X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 1.3 – 1.4

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1-3 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท

หลังจากหวังเฉี่ยวกลับถึงบ้านก็เรียกให้เซวียเซิ่งล้างหน้าหวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ จากนั้นทั้งสองก็ถือแผ่นห้อยเอวชิ้นนั้นไปเสี่ยงดวงที่คฤหาสน์สกุลเฉิงหลังเก่าซึ่งอยู่ห่างออกไปสามหลี่ดู

ทว่าก่อนจะจากไป หวังเฉี่ยวไม่วางใจ จึงผูกปลายด้านหนึ่งของโซ่ล่ามสุนัขไว้ที่ข้อเท้าของนางหนูน้อย ส่วนอีกด้านก็ผูกแน่นกับเสาหินในเรือน ต่อมาก็ใส่กุญแจเอาไว้อีกชั้น แล้วถึงค่อยปล่อยบุตรชายสติปัญญาอ่อนด้อยกับสะใภ้เด็กเอาไว้อย่างวางใจ

เมื่อพวกเซวียเซิ่งสองสามีภรรยาออกจากบ้านไป เซวียต้าเป่าซึ่งเป็นคนสติปัญญาอ่อนด้อยก็ถือถ้วยกระโดดกระดอนมายังข้างกายนางหนูที่กำลังซักผ้าอยู่ในลานบ้าน ก่อนจะยกถ้วยขึ้นแล้วเอ่ยว่า “น้องสาวเทพธิดา ดื่มน้ำ!”

นางหนูในยามนี้ล้างหน้าล้างตาจนสะอาดแล้ว เส้นผมสีดำยาวสลวยถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีคราม หน้าผากแลดูใสกระจ่าง นัยน์ตาดำสนิทราวกับภูผาเขียวครึ้มประดับประดาด้วยดวงดารา อายุยังน้อยก็เป็นหญิงงามเลอโฉมแล้ว

นางหนูน้อยเอ่ยพร้อมกับยิ้มขื่น “เหตุใดถึงเรียกข้าว่าน้องสาวเทพธิดาเล่า”

เซวียต้าเป่าเอียงคอพูด “ก็เจ้าเหมือนกับเทพธิดาในภาพวาดนี่นา! ท่านพ่อท่านแม่ไปที่ใดหรือ เหตุใดต้องล่ามเจ้าไว้อีก เจ้าไม่ใช่สุนัขเสียหน่อย!”

นางหนูวางเสื้อผ้าที่กำลังซักอยู่ในมือลง มองดูดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบนภาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย “กระทั่งเจ้ายังบอกว่าข้าตกระกำลำบาก ในเมื่อร่วงลงมาสู่โลกมนุษย์ ก็ต้องหลบเลี่ยงภัยสวรรค์ แต่ว่าภัยสวรรค์นั้นหลบง่าย ภัยบนโลกนั้นยากจะหนีพ้น…หากท่านพ่อท่านแม่เจ้าไปช่วยงานที่ศาลบรรพชนสกุลเฉิงตอนกลางวัน ก็จะไม่ดุด่าทุบตี…เจ้าอีก จะได้ใช้ชีวิตสบายหน่อย…”

เซวียต้าเป่าฟังจนฉงนงงงวย แต่ว่าเขาฟังประโยคว่า ‘ท่านแม่จะไม่ดุด่าทุบตีเขาอีก’ ออก จึงเอ่ยอย่างหน้าชื่นตาบานขึ้นมาทันใด “ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่บ้าน ดียิ่ง! ดียิ่ง! แต่ว่าท่านแม่ก็ไม่ได้ดุด่าต้าเป่าเสียหน่อย ด่าแต่ท่านพ่อกับน้องสาวเทพธิดาเท่านั้นนี่นา!”

พอแม่นางน้อยได้ยินก็แย้มยิ้มเบาบาง ไม่พูดอันใดเช่นกัน นางคิดจะรับน้ำที่ต้าเป่าถืออยู่มา แต่ว่าจู่ๆ ต้าเป่าก็ยกข้อมือขึ้น เทน้ำที่ยังร้อนๆ ในถ้วยใส่นางหนูจนเปียกไปหมดทั้งตัว

นางหลบไม่ทัน จึงใช้แขนบังใบหน้าเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด ทว่าท่อนแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมากลับถูกน้ำร้อนลวกจนแดงเป็นปื้นใหญ่

เมื่อต้าเป่าเห็นว่าแกล้งนางเล่นสำเร็จก็หัวร่องอหายจนกลิ้งเกลือกไปทั่วพื้น ปรบมือพลางตะโกนเสียงดังเลียนอย่างพวกเด็กซนในหมู่บ้าน “ไก่ตกน้ำแกง! ไก่ตกน้ำแกง!”

นางหนูสลัดหยดน้ำที่เปียกเต็มตัวออกอย่างทุลักทุเล ก่อนจะจ้องมองเซวียต้าเป่าที่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา ถ้าหากไม่มีสิ่งใดเหนือความคาดหมาย คนสติปัญญาอ่อนด้อยผู้นี้จะเป็นสามีในอนาคตของนาง

ถึงแม้เจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อยนี้จะโง่เขลา แต่กลับเรียนวิชากลั่นแกล้งคนมาอย่างเต็มที่ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็จะตบปากนางเลียนแบบหวังเฉี่ยว ถ้าหากหวังเฉี่ยวอยู่ข้างๆ ด้วย นางมีแต่จะต้องทนถูกทำร้ายเท่านั้น ถ้าหากในบ้านไม่มีใครอยู่ นางก็ยังจะพอมีวิธีปะเหลาะเจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อยนี้ให้อยู่ห่างนางสักนิด…

หลังจากค่อยๆ พูดกล่อมให้เจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อยนั่นไปเก็บไข่ที่เล้าไก่ได้แล้ว นางหนูก็ใช้น้ำเย็นล้างแขนที่ถูกลวกจนเป็นแผลไปพลางมองดูห่านป่าบนท้องนภาด้วยความเศร้าระทมไปพลาง นางอยากจะให้ตนเองมีปีกงอกออกมาเสียเหลือเกิน จะได้รอนแรมไปทั่วพันภูผาหมื่นธาราอย่างไม่ต้องพะว้าพะวังสิ่งใด

แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางหนีไปที่ใดไม่ได้ ประการแรกเพราะสามีภรรยาคู่นั้นคอยเฝ้าระวังไม่คลาดสายตา ประการที่สองเพราะทะเบียนราษฎร์ของนางยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น

นางถูกซื้อมาจากพ่อค้ามนุษย์ แม้หวังเฉี่ยวจะไหว้วานให้คนทำทะเบียนราษฎร์ให้นางอยู่ แต่ว่าก็เป็นของปลอม ทว่าคนในแถบบ้านนอกของหมู่บ้านชนบทในเมืองเจี้ยนเฉิงล้วนทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้างต่อสะใภ้ที่ถูกลักพาตัวมาเช่นนี้ ผู้นำหมู่บ้านต่างก็ประทับตรารับรองทำทะเบียนราษฎร์ปลอมให้ทั้งสิ้น จะได้สะดวกเวลาอำเภอตรวจสอบสำมะโนครัว

หากสะใภ้เด็กที่ลักลอบซื้อมาเผ่นหนีไป มิหนำซ้ำทะเบียนราษฎร์ยังเป็นของปลอมอีก พวกหวังเฉี่ยวสองสามีภรรยาก็ไม่สามารถไปฟ้องทางการอย่างชอบด้วยกฎหมายได้ พอถึงตอนนั้นเมื่อนางมีเอกสารทะเบียนราษฎร์ปลอมที่เอามาใช้แทนตัวจริงแล้ว ค่อยหนีออกจากเมืองเจี้ยนเฉิงทีหลังก็จะสะดวกมากขึ้น อย่างน้อยก็สามารถตบตาผ่านไปได้หลายด่าน…

พอคิดถึงจุดนี้นางหนูก็หยิบเต้าเจี้ยวกระปุกใหญ่ออกมา ตักเต้าเจี้ยวออกมาก้อนหนึ่งแล้วป้ายลงบนบริเวณที่ถูกลวกใส่อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็สูดจมูกเล็กน้อย แล้วเริ่มจุดไฟทำกับข้าวให้เจ้าคนสติปัญญาอ่อนด้อย

ถ้าเขากินไม่อิ่มอาละวาดโวยวายขึ้นมา ตกดึกพวกสามีภรรยาสกุลเซวียจะต้องดุด่าทุบตีนางอย่างโหดร้ายแน่นอน แต่พอคิดว่าหากต่อไปนี้พวกเขาไม่อยู่บ้านในตอนกลางวัน เวลานางคิดวางแผนเรื่องตนเองก็จะสะดวกขึ้นมากโข

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดใบหน้าน้อยๆ ของนางหนูก็ปรากฏรอยยิ้มแฝงด้วยเศษเสี้ยวความหวัง

พอตกค่ำ ยามพวกเซวียเซิ่งสองสามีภรรยากลับมาถึงบ้านก็ยิ้มแย้มหน้าชื่นตาบานเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตอนนี้ที่ศาลบรรพชนมิได้ขาดแคลนชายฉกรรจ์ ดังนั้นจึงมีแต่หวังเฉี่ยวที่ถูกจ้างไปช่วยทำงานหุงหาอาหาร แต่เดิมค่าแรงของสตรีก็มิได้มากเท่าบุรุษอยู่แล้ว ทว่าเห็นแก่ป้ายห้อยเอวของคุณชายสี่ พ่อบ้านยังอุตส่าห์ให้ค่าแรงนางเดือนละหนึ่งตำลึง ทำให้หญิงชราคนอื่นๆ ที่มาช่วยงานอิจฉาตาร้อนกันยกใหญ่

ต้องรู้ว่าในตอนแรกที่ข่าวคราวว่าสกุลเฉิงแห่งหวั่นซี* จะสร้างศาลบรรพชนเพิ่มที่เมืองเจี้ยนเฉิงแพร่ออกไป ก็ลุกโหมกระพือไม่มีที่สิ้นสุดไปทั่วแถบชนบทโดยรอบเมืองเจี้ยนเฉิงราวกับไส้ตะเกียงชุบน้ำมัน

หญิงชราหลายคนที่ในบ้านมีชายฉกรรจ์ว่างงานล้วนรวมกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ หวังว่าจะเสาะหาช่องทางให้ชายฉกรรจ์ที่บ้านไปของานทำสักงาน

ยามเซวียเซิ่งกับหวังเฉี่ยวถือสุราอาหารที่ได้รับจากสกุลเฉิงกลับมา ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจข้างๆ บ่อน้ำลึกใต้ต้นไหว เก่าแก่หน้าหมู่บ้านล้วนเต็มไปด้วยคำว่าสกุลเฉิงอย่างนั้นสกุลเฉิงอย่างนี้

“เฉี่ยวเหนียงได้ยินว่าเจ้าได้งานที่บ้านสกุลเฉิง ได้ค่าแรงเป็นกอบเป็นกำเชียว! พอเจ้ามีเงินแล้วอย่าลืมให้ขนมพวกเราสักสองสามห่อเล่า!” หญิงชราผู้หนึ่งตักน้ำพร้อมกับเอ่ยด้วยความอิจฉาตาร้อนไปพลาง

ครั้นได้ยินถ้อยคำนี้ หญิงชราคนอื่นๆ ก็เฮโลตามไปด้วย หวังว่าจะได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากบ้านของเซวียเซิ่งบ้าง ขอขนมมาให้กินหายอยากบ้างก็ยังดี

แต่น่าเสียดายหวังเฉี่ยวกลับกลอกตาขึ้นบน เอ่ยเสียงยานคางว่า “แต่ก่อนตอนบ้านพวกเจ้ามีงานมีเงินไฉนถึงไม่เห็นให้น้ำแกงผู้อื่นบ้างเลยเล่า พอถึงตาข้าก็ขอทั้งขนมขอทั้งเงิน เห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร!”

เดิมทีทุกคนเพียงแค่พูดหยอกล้อเท่านั้น พอถูกหวังเฉี่ยวฟื้นฝอยหาตะเข็บอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้ก็หมดสนุกไปในทันที เหล่าหญิงชราที่เกาะกลุ่มกันอยู่ใต้ต้นไหวต่างพลันหาข้ออ้างว่าต้องกลับบ้านไปทำกับข้าว แยกย้ายกระจัดกระจายกันไป

อาจเพราะเห็นแก่ที่วันนี้นางหนูจับพลัดจับผลูช่วยให้สกุลเซวียได้มีโชคลาภ หวังเฉี่ยวจึงทำสีหน้าดีๆ ให้นางหนูอย่างหาได้ยากยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยามกินอาหาร นางถึงขนาดผัดเนื้อติดมันชิ้นโตๆ หนึ่งจาน ซ้ำยังคีบเนื้อติดมันนั้นให้นางหนูสองสามชิ้นอีกด้วย

แต่ว่านางหนูน้อยก็รู้จักกาลเทศะยิ่ง นอกจากกินเนื้อสองสามชิ้นที่หวังเฉี่ยวคีบให้แล้ว ก็ไม่ได้ยื่นตะเกียบออกไปให้คนรังเกียจอีก

พอถึงเช้าตรู่วันถัดมา หวังเฉี่ยวก็เกล้าผมอย่างประณีตงดงาม ก่อนจะขึ้นเกวียนที่บ่าวรับใช้หลายคนจากหมู่บ้านข้างๆ ลงขันกันจ้างมาเพื่อไปช่วยงานที่ศาลบรรพชนของสกุลเฉิง

เมื่อเซวียเซิ่งเห็นว่าภรรยาของตนเองออกไปแล้วก็รู้สึกโล่งอก พอไม่มีภรรยามาคอยพร่ำบ่นจู้จี้น่ารำคาญ ยามตีเหล็กก็ผ่อนคลายสบายใจขึ้นมาก ถึงแม้เขาจะยุ่งอยู่กับงานในร้านเหล็กที่หลังบ้านจนไม่มีเวลามาดูแลหน้าบ้าน แต่ก็มิได้ล่ามนางหนูเอาไว้เหมือนอย่างที่หวังเฉี่ยวกำชับกำชาไว้ก่อนจะออกไป ทว่าสั่งให้นางไปขุดหัวผักที่มีรสชาติเผ็ดตรงหน้าหมู่บ้านมาผสมทำกับแกล้มให้เขาแทน

ก่อนนางหนูจะออกจากบ้านไป เซวียเซิ่งยังเอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียมว่า “นางเด็กบ้าอย่าได้คิดไม่ซื่อเล่า ถ้าคิดจะหนี สตรีที่หนีไปคราวก่อนผู้นั้นถูกหมาป่านอกหมู่บ้านกัดตายทั้งเป็นเชียวนะ!”

ในหมู่บ้านตามชนบทละแวกนี้มีสะใภ้ที่ถูกซื้อตัวมาไม่น้อย พวกผู้นำหมู่บ้านต่างรู้ดีแต่ก็ไม่พูดออกมา ในหมู่พวกชาวบ้านเองก็คอยช่วยกันจับตาเฝ้าระวัง

เด็กสาวตัวน้อยอย่างนางต่อให้หนีไปจริงๆ ก็หนีไปได้ไม่ไกล นอกจากนั้นยังต้องคอยทำงานหน้าบ้านหลังบ้าน จำเป็นต้องใช้โซ่เหล็กล่ามเอาไว้ด้วยหรือ

พอหวังเฉี่ยวไม่อยู่ที่บ้านแล้ว นางหนูก็ถูกดุด่าต่อว่าน้อยลงบ้าง เซวียเซิ่งผู้นั้นพอดื่มสุราเสร็จแล้วก็มักจะต้องนอนสักสองชั่วยาม* นางพาต้าเป่าที่หัวเราะคิกคักออกไปขุดผักป่าในคันนาซึ่งมีดอกไม้ป่างอกขึ้นแซม ช่วงเวลาที่นางสามารถเอ้อระเหยสบายๆ เพียงชั่วขณะอย่างหาได้ยากยิ่งนี้ทำให้ในที่สุดบนใบหน้าของแม่นางน้อยก็ระเรื่อด้วยเศษเสี้ยวแห่งความสุขสำราญใจ

นางทอดมองไปยังภูเขาแสนไกลที่ทอดตัวยาวทางทิศอุดร กำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างเงียบๆ แต่กลับไม่รู้ตัวว่าในป่าซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักมีคนกำลังแอบจับตามองดูนางอยู่อย่างลับๆ

ในที่สุดคราวนี้ชิงเยี่ยนก็เห็นหน้านางหนูผู้นี้ชัดๆ จึงอดเอ่ยด้วยความตกตะลึงมิได้ “คะ…คุณชาย นางเหมือนเกินไปแล้ว…”

ยังไม่ทันพูดจบ คุณชายสี่ซึ่งยืนนิ่งเงียบมาตลอดก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “หุบปาก ไป! เตรียมม้า พวกเราจะรีบกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้”

ชิงเยี่ยนไม่กล้าชักช้าร่ำไร รีบสั่งให้คนไปเตรียมอาชาทันที เร่งเดินทางกลับเมืองหลวงในทันใด

บทที่ 1-4 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท

เมืองเจี้ยนเฉิงท้องนภาเจิดจ้าสดใส ทว่าในคฤหาสน์สกุลเฉิงที่เมืองหลวงเวลานี้กลับกำลังมีเมฆฝนครึ้มมาเยือน

“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ปิดไม่มิดแล้ว อย่างไรก็ต้องคิดหาวิธีสักอย่างถึงจะปกปิดเอาไว้ได้”

ภายในห้องหนังสือของนายท่านใหญ่สกุลเฉิงไม่เห็นภาพความหรูหราเจิดจรัสเหมือนในวันวานอีกแล้ว บรรยากาศยังมืดทะมึนท่ามกลางแสงเทียนสลัว

นายท่านรองสกุลเฉิงนั่งถอนหายใจอยู่บนเก้าอี้ไม่หยุด คอยช้อนสายตาขึ้นมองพี่ใหญ่เป็นระยะๆ รอคอยให้นายท่านใหญ่เฉิงเผยเฟิงผู้กุมอำนาจในสกุลเฉิงเปล่งวาจา

เฉิงเผยเฟิงซึ่งเอนตัวพิงอยู่บนตั่งนุ่มสูดยาเส้นเข้าไปหนักๆ หนึ่งเฮือก จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เคาะกระบอกยาสูบลงบนกระโถนทองแดงที่อยู่ข้างเท้าแรงๆ แล้วถึงค่อยพ่นควันออกมา เขาขมวดหัวคิ้วแน่นพลางเอ่ย “เรื่องฉาวโฉ่ของสกุลเซิ่งของพวกเขา สกุลเฉิงไม่จำเป็นต้องช่วยปกปิด บุตรสาวที่พวกเขาเลี้ยงมาหน้าด้านไร้ยางอายแอบหนีตามบุรุษไป จะพาให้เด็กๆ สกุลเฉิงของพวกเราเดือดร้อนอับอายขายหน้าไปด้วยไม่ได้…น้องรอง พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็เขียนหนังสือหย่า ส่งกุ้ยเหนียงกลับจวนไป สกุลเฉิงของพวกเรากับสกุลเซิ่ง…ตัดขาดกันเสีย!”

พอเฉิงเผยเหนียนนายท่านรองสกุลเฉิงได้ยินวาจานี้ก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที เอ่ยด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำเล็กน้อย “พี่ใหญ่…ท่าน…ท่านมีเหตุผลหน่อยสิ ต่อให้คุณหนูสกุลเซิ่งหนีตามผู้อื่นไป แต่ก็ยังไม่ถึงตาข้าต้อง…ต้องบ้านแตกสาแหรกขาดเสียหน่อย!”

ในที่สุดเฉิงเผยเฟิงก็ลุกขึ้นนั่งโดยมีสาวใช้คอยประคอง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนลงว่า “เผยเหนียนเอ๋ย ข้าเองก็รู้ว่าเจ้ากับกุ้ยเหนียงรักใคร่กันมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเล็ก นางน่ะ ในช่วงหลายปีมานี้ที่มาอยู่สกุลเฉิงก็ถือว่าปฏิบัติตนตามหลักคุณธรรมสอนหญิงอย่างเคร่งครัด ให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เจ้าสองคน ข้าเองก็สงสารนางเช่นกัน

แต่ว่า…ตอนนี้สกุลเซิ่งก่อภัยพิบัติใหญ่หลวง! เจ้าเห็นแก่ความผูกพันฉันสามีภรรยา แต่พอเรื่องไปถึงฝ่าบาท ไม่ว่าเจ้าก็ดี สกุลเฉิงก็ดี ต่างก็เป็นแค่ลมที่ถูกผายออกมาเท่านั้น! ในเมื่อนางเด็กโง่เซิ่งเซียงเฉียวกล้าหนีตามบุรุษอื่นไปทั้งๆ ที่ยังมีสัญญาหมั้นหมายกับจวนฉือหนิงอ๋องอยู่ ก็เท่ากับโยนเกียรติศักดิ์ศรีของจวนอ๋องกับฝ่าบาททิ้งท่อน้ำทิ้ง หากเจ้าหย่าขาดจากกุ้ยเหนียง ต่อไปแม้จะมีภัยพิบัติใหญ่หลวงก็ตกมาไม่ถึงหัวสกุลเฉิงของพวกเรา!”

ถึงแม้ถ้อยคำของนายท่านใหญ่สกุลเฉิงจะเอ่ยถึงทางเลือกที่โหดร้าย แต่เขากลับไม่อาจโต้แย้งได้

เฉิงเผยเหนียนเข้าใจความหมายของพี่ใหญ่ หากเขาไม่หย่าภรรยา เกิดภายภาคหน้าฮ่องเต้กล่าวโทษสกุลเซิ่ง ย่อมต้องพาลโกรธสกุลเฉิงที่เชื่อมสัมพันธ์ทางการแต่งงานด้วยเช่นกัน จากอุปนิสัยของพี่ใหญ่ ต่อให้ต้องตัดน้องชายคนรองอย่างเขา พี่ใหญ่ก็ต้องปกป้องกิจการที่สร้างมานับร้อยปีของสกุลเฉิงเอาไว้ให้ได้

เขาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้หนานมู่ในทันใด เอ่ยพึมพำว่า “อย่างไรก็…ต้องมีเหตุผลที่รับได้สักข้อกระมัง! คงจะไม่สามารถอ้างว่าเพราะหลานสาวหนีตามบุรุษไป ท่านอาหญิงที่แต่งออกไปแล้วอย่างกุ้ยเหนียงเลยเดือดร้อนต้องถูกหย่าไปด้วย…”

เฉิงเผยเฟิงเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นแก่ความผูกพันในวันวาน สกุลเฉิงของพวกเราเองก็ต้องไว้หน้าสกุลเซิ่งด้วย เจ้าอธิบายผลดีผลเสียให้กุ้ยเหนียงฟังให้ชัดเจน เพื่ออนาคตของบุตรชายกับเจ้าแล้ว นางก็ควรจะรู้จักดูสถานการณ์บ้าง ยอมเป็นฝ่ายขอหย่ากับเจ้าเอง”

นิสัยของเฉิงเผยเหนียนอ่อนแอปวกเปียกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินวาจานี้เขาก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่ดี “พี่ใหญ่ ท่านก็มิใช่ไม่รู้จักกุ้ยเหนียง นางจะยอมหย่าได้อย่างไร นอกจากนั้นแล้ว หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ข้ายังจะเป็นขุนนางในราชสำนักได้หรือ คนอื่นเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ข้าเช่นไร”

เฉิงเผยเฟิงยิ้มออกมา “ปัญญาชนอย่างพวกเจ้าก็ใส่ใจแต่หน้าตาศักดิ์ศรีอันใดก็ไม่รู้ เจ้าคิดว่าตอนนี้ผู้อื่นเขาไม่วิพากษ์วิจารณ์เจ้าลับหลังหรือ พอเรื่องฉาวโฉ่ของสกุลเซิ่งแพร่ออกไป หน้าตารวมไปถึงศีรษะของเจ้าก็คงจะถูกแขวนประจานหน้าประตูเมืองให้คนถุยน้ำลายใส่แล้ว! ถ้าเกิดนางไม่ตกลง ข้าก็มีวิธีทำให้นางตกลงได้ ยิ่งกว่านั้นพอเจ้าหย่ากับนางแล้ว ย่อมมีบุพเพสันนิวาสแสนประเสริฐที่ชวนให้คนอิจฉาตาร้อนรอคอยเจ้าอยู่…”

พูดถึงตรงนี้เฉิงเผยเฟิงก็ดึงมือน้องชายคนรองเอาไว้ เอ่ยด้วยใบหน้าอ่อนละมุนระคนปลาบปลื้ม “เผยเหนียน เจ้าเด็กกว่าข้าสิบปี บัดนี้อายุยังไม่ถึงสี่สิบ เป็นช่วงเวลาที่ฮึกเหิมห้าวหาญของบุรุษ คุณหนูเถียนเพ่ยหรงบุตรสาวภรรยาเอกแห่งจวนติ้งกั๋วกง เพิ่งจะเป็นม่าย ข้าจำได้ว่าตอนที่นางยังไม่ออกเรือนยังเคยไหว้วานให้คนมาทาบทามเจ้า นางนับถือชื่นชมเจ้าจากใจจริง แต่น่าเสียดายตอนนั้นเจ้ายืนกรานจะแต่งกุ้ยเหนียงเป็นภรรยา จึงคลาดบุพเพสันนิวาสอันดีกับคุณหนูเถียนไป…แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าท่านอาหญิงของคุณหนูเถียนจะได้รับเลือกจากฮ่องเต้ ให้เลื่อนฐานะจากนางสนมธรรมดากลายมาเป็นฮองเฮาแห่งแคว้น…สกุลเถียนจึงบินทะยานขึ้นสู่ท้องนภานับตั้งแต่บัดนั้น! ตอนนั้นช่างน่าเสียดายเหลือเกิน…จริงสิ เมื่อหลายวันก่อนเจ้าได้เจอกับนางตอนไปจุดธูปไหว้พระที่วัดเฉียนหลงสินะ ได้ยินเด็กรับใช้เจ้าบอกว่าเจ้ายังไปถวายพระพุทธรูปไม้ที่ตำหนักด้านหลังเป็นเพื่อนคุณหนูสกุลเถียน…”

“พี่ใหญ่ ท่านเลิกพูดเสียที!” ไม่รู้เพราะเหตุใด นายท่านรองสกุลเฉิงจึงรีบร้อนตัดบทคำพูดของพี่ใหญ่ บีบพนักวางแขนเอาไว้ หลังจากกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เอ่ยด้วยท่าทางราวกับตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว “พรุ่งนี้…ข้าจะออกเดินทางไปตรวจสอบภาษีเกลือที่อำเภอเหยียนเซี่ยน คงต้องใช้เวลาสักพัก…ส่วนเรื่องกุ้ยเหนียง พี่ใหญ่ก็จัดการเอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด”

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้จบ เฉิงเผยเหนียนก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องหนังสือ แผ่นหลังซึ่งเดิมทีดูสูงใหญ่ ไม่รู้เหตุใดถึงงองุ้มลงเล็กน้อย

เฉิงเผยเฟิงสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง แต่ก็โล่งอกเสียมากกว่า หนทางสู่การเลื่อนตำแหน่งในสนามขุนนางของน้องชายคนรองของเขาผู้นี้ค่อนข้างขรุขระทุลักทุเล แม้มีวิชาความรู้อัดแน่นเต็มท้อง ทว่ากลับได้แต่เสียเวลาไปกับตำแหน่งไม่สลักสำคัญที่เป็นตัวสำรองรอเข้ากรมอากรมาตลอด

คนเราเมื่อถึงวัยกลางคน ในที่สุดน้องรองก็เริ่มได้สติตื่นรู้จากความไร้เดียงสาไม่รู้ประสีประสาของบุตรหลานตระกูลร่ำรวยในกาลก่อนขึ้นมาบ้าง ระยะนี้เขามีหวังจะได้เลื่อนตำแหน่ง คงจะเป็นเพราะเรื่องที่หลังวัดเฉียนหลง พี่ชายทั้งสองคนของเถียนเพ่ยหรงกุมตำแหน่งสำคัญในกรมปกครองและกรมอากร

ถ้าหากสกุลเถียนยอมลงแรง น้องรองก็นับวันรอเลื่อนตำแหน่งได้เลยทีเดียว…

เมื่อคิดอย่างนี้แล้วในใจเฉิงเผยเฟิงก็เริ่มมีความมั่นใจเช่นกัน จึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องหนังสือ เรื่องในบ้านรอง บุรุษอย่างเขาไม่สะดวกจะออกหน้าเช่นกัน มารดาจากโลกไปเร็ว สะใภ้ใหญ่เป็นเสมือนดั่งมารดา ดังนั้นจึงยังต้องให้เฉียนซื่อฮูหยินของเขาเป็นคนจัดการแทน อธิบายผลดีผลเสียให้กุ้ยเหนียงผู้นั้นฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เช้าตรู่วันถัดมา เฉิงเผยเหนียนก็รีบออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

ยามเฉียนซื่อพาสาวใช้มาถึงในเรือนของบ้านรอง ยังได้ยินกุ้ยเหนียงฮูหยินบ้านรองบ่นกระปอดกระแปดกับหญิงชรารับใช้ว่า “เหตุใดท่านพี่ถึงออกไปแต่เช้าเพียงนี้เล่า ยังไม่ทันได้ดื่มโจ๊กปลิงทะเลอุ่นๆ ก็ออกเดินทางไปเสียแล้ว เช้าตรู่ลมหนาวเหน็บ ท้องว่างเช่นนี้จะไม่ทรมานเอาหรือ เด็กรับใช้ข้างกายเขาก็ไม่พูดโน้มน้าวบ้างเลย…ข้าหลับสนิทเกินไป ท่านพี่ตื่นตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้…”

ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น เฉียนซื่อก็เดินเข้ามาในห้องโถงโดยมีสาวใช้คอยประคอง

ครั้นกุ้ยเหนียงเห็นก็รีบร้อนรวบมวยผมแล้วลุกขึ้นมาต้อนรับ เฉียนซื่อช้อนตามองน้องสะใภ้เล็กน้อย…อายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่พวงแก้มยังคงขาวผ่องเรื่อสีแดงเปล่งปลั่ง หางตาก็เต่งตึงนวลเนียน มิได้อาบย้อมระทมทุกข์จากการล่วงผ่านของกาลเวลาเลยสักนิด

นี่เป็นความสุขสำราญเริงใจซึ่งคนที่ได้รับการประคบประหงมจากบุรุษ ไม่เคยสัมผัสรสชาติของความทุกข์เศร้ามาตั้งแต่เยาว์วัยเท่านั้นถึงจะมีได้

แม้แต่ในหมู่สะใภ้ก็เลี่ยงมิได้ที่จะแอบเปรียบเทียบกัน แต่ก่อนเฉียนซื่อนั้นอิจฉาชีวิตดีๆ ของน้องสะใภ้ของนางผู้นี้อยู่ไม่น้อย

สกุลเฉิงไม่เหมือนกับสกุลเซิ่งที่เป็นผู้ลากมากดีเก่า และก็มิใช่ตระกูลใหญ่โตที่เป็นผู้สูงศักดิ์มากอำนาจ

เมื่อปีนั้นหากมิใช่เพราะนายท่านผู้เฒ่าสกุลเฉิงเล็งเห็นโอกาสแม่นยำ ลอบให้ทุนทรัพย์ช่วยเหลือฮ่องเต้เซียนจู่ทำการใหญ่จนประสบความสำเร็จ สกุลเฉิงก็คงจะยังเป็นพ่อค้าเกลือในแถบหวั่นซีอยู่เลย! ด้วยเหตุนี้สกุลเฉิงจึงได้รับบรรดาศักดิ์ลอยเป็นแม่ทัพขั้นสาม สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูลมาตั้งแต่บัดนั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลใหญ่ที่เป็นขุนน้ำขุนนางมาหลายยุคหลายสมัย ก็ยังคงสู้ผู้อื่นเขาไม่ได้สักเท่าใด

เพราะอย่างไรเสียบรรดาศักดิ์ที่รับเงินเบี้ยหวัดไปวันๆ ไม่มีตำแหน่งจริงจังอันใดพรรค์นี้มีอยู่มากมายในเมืองหลวง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: