X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 1.5 – 1.6

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1-5 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท

เมื่อครานั้นที่สกุลเฉิงและสกุลเซิ่งเกี่ยวดองกันทางการแต่งงาน สกุลเฉิงถือว่าเด็ดดอกฟ้าเสียด้วยซ้ำไป หากมิใช่เพราะบุตรชายคนรองสกุลเฉิงมีรูปโฉมงามโดดเด่น ได้รับสมญานามว่าบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง คงจะไม่สามารถเอาชนะใจเซิ่งกุ้ยเหนียงผู้นั้นได้จริงๆ

ตอนนั้นมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงเคยทำนายบุพเพสันนิวาสของทั้งสองเอาไว้ บอกว่ามีรุ่งเรืองก็ต้องมีตกต่ำ ‘เซิ่ง’ นี้ถึงแม้จะมีบุญบารมีอันเป็นรากฐานคอยโอบอุ้มอยู่ แต่หากอยากจะเจริญรุ่งมั่งมีตราบชั่วร้อยปี ก็จำเป็นต้องเติมบุญบารมีให้เต็มเปี่ยม และ ‘เฉิง’ สามารถต่อพลังให้ ‘เซิ่ง’ ได้

อย่างไรเสียพระสงฆ์ชื่อดังผู้นั้นก็กล่าวทำนายวิเคราะห์อักษรได้อย่างฉะฉานมีเหตุผล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการวางแผนอันล้ำเลิศของนายท่านผู้เฒ่าสกุลเฉิงเมื่อครั้งกระโน้นหรือไม่ สุดท้ายการแต่งงานนี้ก็เป็นอันตกลงได้ในที่สุด

ตอนนี้ดูเหมือนพระสงฆ์ชื่อดังคงพูดผิดไปแล้วจริงๆ หากรากฐานไม่มั่นคง ไหนเลยจะมีชีวิตรอดได้ สกุลเซิ่งของพวกเขาไม่เพียงแต่จะล่มสลาย ซ้ำร้ายยังจะพาให้สกุลเฉิงถูกฝังไปพร้อมๆ กัน!

สกุลเฉิงรากฐานตื้นเขิน วงศ์ตระกูลจึงทำได้เพียงบ่มเพาะลูกหลานที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนเอาไว้บ้าง คาดหวังว่าจะได้สร้างคุณงามความดีในแวดวงขุนนางเพื่อที่จะสืบต่อบุญบารมีที่นายท่านผู้เฒ่าทิ้งเอาไว้ให้ลูกให้หลาน แต่ว่าบัดนี้นางเด็กสมควรตายจากสกุลเซิ่งผู้นั้นกลับทำลายสัญญาหมั้นหมายของจวนฉือหนิงอ๋องแล้วหนีตามบุรุษอื่นไป

นางไม่รู้หรือว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีทายาทสืบทอดเพียงหยิบมือ กอปรกับองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันร่างกายอ่อนแอขี้โรค เกรงว่าคงจะอายุไม่ยืนนาน ใครๆ ต่างก็รู้ว่าหากองค์รัชทายาทเสียชีวิต เช่นนั้นแล้วฉือหนิงอ๋องก็จะได้รับสืบทอดราชบัลลังก์ บุตรชายคนเดียวของเขาก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทในภายภาคหน้า

นั่นก็หมายความว่าเซิ่งเซียงเฉียวผู้นี้ได้หักหน้าว่าที่โอรสสวรรค์ ยื่นหมวกเขียว กิ่งก้านดกครึ้มให้กับว่าที่องค์รัชทายาทในอนาคต

พอเฉียนซื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่ามีเหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดขึ้นมาตามหลังคอ แต่เมื่อนึกถึงคำกำชับสั่งของสามี นางก็รีบปลุกเร้าจิตใจทันที ใบหน้านางเคร่งเครียด หางตาตก หลังจากยื่นมือโบกไล่ให้สาวใช้ที่อยู่เต็มห้องออกไปแล้วก็เดินไปปิดประตูห้องด้วยตนเอง ก่อนจะพูดคุยกับเซิ่งกุ้ยเหนียงอย่างเป็นความลับ

ไม่นานนักก็ได้ยินเพียงเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวดดังลอยออกมาจากในห้อง จู่ๆ ฮูหยินรองกุ้ยเหนียงก็แผดเสียงร่ำไห้ออกมา

บรรดาสาวใช้ที่อยู่ด้านล่างของเฉลียงทางเดินต่างก็ได้รับคำสั่งจากฮูหยินใหญ่เฉียนซื่อว่าห้ามเข้าใกล้หน้าห้อง จึงทำได้แค่ประสานมือรอคอย ในใจร้อนรนกระวนกระวาย

เฉี่ยวอิงสาวใช้ประจำตัวของกุ้ยเหนียงเองก็ร้อนรุ่มใจจนแทบทนไม่ไหวเช่นกัน ขณะที่กำลังกัดริมฝีปากขบคิดอยู่นั้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กหนุ่มร่างผอมเพรียวสูงชะลูดผู้หนึ่งเดินเลี้ยวเข้ามาตรงประตูวงเดือนของเรือนชั้นใน

เด็กหนุ่มคนนี้รูปร่างสูงใหญ่เกินไป ดูไม่ออกเลยว่าอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น ท่อนเอวเหยียดตรง คิ้วหนาเข้มจมูกโด่งเป็นสัน ถึงแม้จะสวมใส่ชุดหรูซานสีขาวหิมะ เปล่งบุคลิกสุภาพเรียบร้อย แต่ประกายที่ปรากฏออกมาจากดวงตาคู่นั้นคมกริบราวกับใบมีดก็ไม่ปาน จ้องมองจนสาวใช้น้อยทั้งหลายอดหน้าแดงระเรื่อไม่ได้ มองดูเขาเดินพรวดพราดผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม

อิ้งมามาซึ่งเป็นบ่าวอาวุโสประจำกายของเฉียนซื่อกำลังเฝ้าอยู่หน้าประตู ครั้นเห็นเฉิงเทียนฟู่คุณชายบ้านรองทำท่าเหมือนจะบุกเข้ามาก็รีบร้อนยื่นมือออกไปขวางทันที “คุณชายสี่ ฮูหยินใหญ่กำลังคุยกับฮูหยินรองอยู่เจ้าค่ะ รอประเดี๋ยว…โอ๊ย…”

ไม่รอให้อิ้งมามาพูดจบ ร่างอ้วนฉุของนางก็ถูกเตะจนโซซัดโซเซ ส่วนเฉิงเทียนฟู่นั้นก็ผลักประตูห้องเปิดออกอย่างรุนแรงแล้วเดินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไป

กุ้ยเหนียงซึ่งอยู่ในห้องสะอื้นไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตาไปแล้ว นิ้วโป้งขวาถูกเฉียนซื่อจับเอาไว้ แตะชาดแดงกำลังจะประทับลงไปบนกระดาษ ยามนางซึ่งเดิมทีสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเห็นบุตรชายที่หลบร้อนไปร่ำเรียนหนังสือที่คฤหาสน์หลังเก่ากลับมาอย่างกะทันหันก็ตะโกนเสียงสะอื้นออกมาทันที “เทียนฟู่…”

วาจาโถมกระหน่ำอัดแน่นอยู่ในลำคอ ครั้นแล้วนางก็ล้มฟุบลงข้างโต๊ะด้วยเพราะเรี่ยวแรงไม่เป็นใจ

เฉียนซื่อก็ถูกหลานชายที่บุกเข้ามาอย่างปุบปับไม่ทันให้ตั้งตัวทำเอาตกอกตกใจไปยกใหญ่ จึงเผลอคลายมือออก จากนั้นก็แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าสี่ จะเข้ามาในห้องเหตุใดถึงไม่เคาะประตูก่อน”

เฉิงเทียนฟู่มิได้สนใจป้าสะใภ้ เขาเดินตรงไปยังข้างกายมารดา ก่อนจะจับชีพจรของนาง หลังจากตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอันใดมาก เขาก็หยิบหนังสือหย่าที่อยู่บนโต๊ะฉบับนั้นขึ้นมา หลังจากอ่านไปสองสามบรรทัดก็เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เฉียนซื่อ

เฉียนซื่อรู้ว่าถึงแม้เจ้าเด็กเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้จะอายุยังน้อย แต่ก็เป็น ‘คนเลี้ยงม้าสวรรค์’ จอมก่อเรื่องมาตั้งแต่ยังเล็ก ตอนอายุห้าขวบเขายังกล้าพาเด็กอายุเจ็ดแปดขวบหลายคนในจวนไปแหย่รังต่อในสวนดอกไม้หลังบ้าน นับตั้งแต่นั้นมาก็ก่อเรื่องน้อยใหญ่ไม่หยุดหย่อน ทำให้บิดาของเขาโมโหจนฟาดไม้เรียวหักไปไม่รู้กี่อันแล้ว

ต่อมานายท่านผู้เฒ่าที่เสียไปคิดว่าหากยังปล่อยเอาไว้ต่อไป คนเป็นบิดาคงจะตีบุตรชายจนตาย ดังนั้นจึงไหว้วานผู้อื่นให้ส่งเฉิงเทียนฟู่ในวัยแปดขวบไปร่ำเรียนหนังสือในสำนักวิชาที่ต่างเมือง ผ่านไปสองสามปีถึงค่อยเห็นเขามีพัฒนาการบ้าง ทุกคราที่กลับมาบ้านในช่วงเทศกาลก็เริ่มค่อยๆ มีท่าทางเรียบร้อยขึ้นเล็กน้อย

แต่ท่าทียามเด็กหนุ่มเตะประตูบุกตาขวางเข้ามาในวันนี้ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเลวทรามที่ชวนปวดเศียรเวียนเกล้าเมื่อกาลก่อนขึ้นมา

แต่ยังไม่ทันรอให้เฉียนซื่อได้แสดงความเป็นป้าสะใภ้ออกมาอย่างเต็มที่ เฉิงเทียนฟู่ก็เริ่มพูดตำหนิขึ้นมาเสียก่อน “ท่านป้าสะใภ้ ท่านปิดประตูก็เพื่อบังคับให้ท่านแม่ข้าหย่ากับท่านพ่อหรือ”

เรื่องลับที่เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของจวนสกุลเฉิงเช่นนี้ เฉียนซื่อเองก็ไม่สะดวกจะพูดออกมาตรงๆ จึงได้แต่เอ่ยด้วยใบหน้าแข็งทื่อว่า “นี่เป็นเรื่องของบิดามารดาเจ้า เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าได้เข้ามายุ่ง เจ้าไปหาท่านลุงเจ้าที่ห้องหนังสือเถิด เขาจะเล่าให้เจ้าฟังเอง”

แต่เฉิงเทียนฟู่หาได้มีท่าทีจะเดินออกไปไม่ เขากลับลงนั่ง ดวงตาเรียวยาวอันเย็นชาคู่นั้นเหลือบมองหนังสือหย่าที่อยู่ในมือ พลิกมือโยนมันเข้าไปในเตากำยานซึ่งอยู่อีกด้าน เพียงเสี้ยวอึดใจหนังสือหย่าก็กลายเป็นเปลวควัน จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วพร้อมเอ่ยกับเฉียนซื่อว่า “ข้าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เพลียแรงอยู่บ้าง ท่านป้าสะใภ้ก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

เฉียนซื่ออาศัยว่าตนเองมีฐานะเป็นสะใภ้ใหญ่ จึงเอ่ยกับกุ้ยเหนียงว่า “เจ้าให้เทียนฟู่ออกไปก่อน! นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะให้เขาเข้ามายุ่ง…”

เสียงพูดยังไม่ทันสิ้น เด็กหนุ่มก็ยกมือพรวดขึ้นมา ต่อมาก็ได้ยินเพียงเสียงดังแกรก ผิวโต๊ะไม้หนาตัวนั้นถูกตบจนเกิดเป็นรอยร้าว จากนั้นเขาก็หรี่ตาเอ่ยว่า “ท่านป้าสะใภ้จะเกาะติดนอนค้างคืนในเรือนท่านแม่ข้าอย่างนั้นหรือ”

เฉียนซื่อหันไปมองโดยพลัน เจ้าสี่ผู้นี้ทำนิสัยซุกซนเป็นลิงกังขึ้นมาอีกแล้ว

แม้เฉิงเทียนฟู่ผู้นี้จะอายุยังน้อย แต่กลับรู้จักผู้คนกว้างขวางมากมาย ในช่วงที่เขาร่ำเรียนหนังสืออยู่ต่างเมือง ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้ไปผูกมิตรกับชาวยุทธ์จำนวนหนึ่งแล้วเรียนวรยุทธ์จากพวกเขามา ตอนไปร่วมงานล่าสัตว์กับเหล่าองค์ชายเมื่อครั้งอายุสิบสาม เขายังเคยสังหารหมีดำด้วยตัวคนเดียวเพื่อช่วยองค์ชายที่พลัดหลงกับขบวน จนได้รับคำชมเชยจากฝ่าบาท

เพียงแต่นายท่านผู้เฒ่าเคยสอนสั่งเขาว่าต้องมุ่งมั่นเดินในเส้นทางขุนนางฝ่ายบุ๋น ห้ามสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยคุณงามความชอบทางการทหารเด็ดขาด เพราะว่าสนามรบล้วนเอาชีวิตไปแลกกับการเลื่อนตำแหน่ง บุตรหลานสกุลเฉิงของพวกเราไม่จำเป็นต้องทุ่มชีวิตถึงเพียงนั้นก็ได้

แรงตบเมื่อครู่นี้ช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างแท้จริง ดูท่าในช่วงเวลาหลายปีที่เขาบากบั่นร่ำเรียนศาสตร์ศิลป์แห่งปราชญ์เมธีก็มิได้ทอดทิ้งวรยุทธ์หมัดมวยไป

เฉียนซื่อมองดูอิ้งมามาซึ่งล้มนั่งอยู่ตรงหน้าประตูพักใหญ่แล้วก็ยังลุกไม่ขึ้น ต่อมาก็มองดูเจ้าเด็กสารเลวที่แค่พูดจาไม่เข้าหูคำสองคำก็พร้อมจะยกเท้าเตะป้าสะใภ้อย่างนางได้ครู่หนึ่ง นางรู้ดีแก่ใจว่าคงจะไม่อาจบีบมะพลับนิ่มอย่างกุ้ยเหนียงได้อีกต่อไปแล้ว ทำได้เพียงต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้ นางตีหน้าบึ้งตึง พาอิ้งมามาที่ถูกเตะจนเจ็บเสียดหน้าอกกลับไปอย่างเร่งร้อน

ยามนี้กุ้ยเหนียงเองก็เริ่มกลับมาหายใจคล่องแล้วเช่นกัน หยาดน้ำตาไหลพรากออกมาทันใด

เมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว เรื่องการหย่านี้…สามีของนางก็รู้เห็นเป็นใจด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังยอมรับกลายๆ ด้วยซ้ำไป

เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจของกุ้ยเหนียงก็ขมขื่น เจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดซึ้ง

บ้านเดิมของตนเองเกิดเรื่องขึ้น จริงอยู่ว่าการที่เซิ่งเซียงเฉียวบุตรสาวของพี่ชายหนีตามบุรุษอื่นไปโดยที่ยังมีสัญญาหมั้นหมายกับจวนอ๋องอยู่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ทว่าสกุลเซิ่งก็กำลังปกปิดเรื่องฉาวโฉ่นี้อยู่ ทั้งยังส่งคนออกไปตามหาตัวเซิ่งเซียงเฉียวอย่างลับๆ หวังว่าพอตามตัวนางกลับมาได้แล้ว หลังจากดุด่าสั่งสอนหนักๆ สักคราก็จะสามารถกลบเกลื่อนเรื่องนี้ผ่านไปได้

นางเองก็ได้ยินพี่ชายพูดกับพ่อบ้านอยู่สองสามประโยคตอนที่กลับไปบ้านเดิมเมื่อหลายวันก่อน จึงพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ พอกลับมานางก็เล่าให้สามีฟัง เฉิงเผยเหนียนรีบร้อนไปที่จวนสกุลเซิ่งทันที แน่นอนว่าพี่ชายนางย่อมไม่มีทางยอมรับออกมาอยู่แล้ว แต่ก็ยังกำชับนักกำชับหนาไม่ให้เขาเอาไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้า

เกี่ยวดองทางการแต่งงานกันมาหลายปี ครั้นเฉิงเผยเหนียนเห็นท่าทางเคร่งเครียดของพี่ภรรยาเซิ่งเซวียนเหอ ในใจก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาในบัดดล ตอนกลับมายังบอกกับนางว่าเรื่องนี้ดูท่าคงจะเป็นความจริง

นางแตกตื่นตกใจจนละล่ำละลักเตือนเขาว่าอย่าแพร่งพรายออกไป แล้วเหตุใด…ตอนนี้ทางฝั่งบ้านใหญ่ถึงได้รู้เรื่องเช่นกันเล่า

บทที่ 1-6 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท

เมื่อขบคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ ผ่านไปตั้งสิบกว่าวันแล้ว แต่ยังคงไม่มีข่าวคราวของเซิ่งเซียงเฉียว

ต่อให้สกุลเซิ่งพาตัวกลับมาได้ แต่เกรงว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเด็กสาวคงจะไม่อยู่แล้ว ในภายภาคหน้าหากถูกจวนอ๋องจับได้ก็จะเป็นเคราะห์ภัยมหันต์อีกครั้งเช่นกัน

ท่านพี่คงจะยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว ถึงได้เล่าให้พี่ใหญ่ฟังสินะ

ก็เหมือนอย่างที่เฉียนซื่อว่าเมื่อครู่นี้ หากท่านอ๋องได้กลายเป็นฮ่องเต้ ต่อไปทุกครั้งที่เห็นคนสกุลเซิ่งก็จะนึกถึงเรื่องสกปรกโสมมนี้ขึ้นมา บุตรชายของเซิ่งกุ้ยเหนียงจะไม่พาลถูกฮ่องเต้รังเกียจเดียดฉันท์เอาหรอกหรือ ยังจะมีอนาคตอันใดให้พูดถึงอีกเล่า

ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือเหมือนอย่างที่พี่สะใภ้ใหญ่พูด…สกุลเซิ่งกับสกุลเฉิงต้องตัดขาดความสัมพันธ์ต่อกันถึงจะสามารถปกป้องเกียรติยศความมั่งคั่งของบุตรชายในภายภาคหน้าได้

เมื่อนึกถึงจุดนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงก็มองไปยังบุตรชายผู้มีบุคลิกรูปโฉมงามล้ำโดดเด่น ความโศกเศร้าแผ่ขยายออกมาอีกครั้ง นางกอดเฉิงเทียนฟู่เอาไว้แล้วเริ่มร้องไห้โฮ

แม้ว่าเฉิงเทียนฟู่จะยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม แต่กลับมีไหล่กว้างแขนยาว เขาโอบมารดาเอาไว้ได้ด้วยแขนข้างเดียว เอ่ยคล้ายกับกำลังปลอบน้องสาวอย่างไรอย่างนั้น “ท่านแม่อย่าเป็นกังวลไปเลยขอรับ ญาติผู้น้องเซียงเฉียว…ถูกพาตัวกลับมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็กลับถึงจวน”

เสียงร้องไห้ของกุ้ยเหนียงหยุดลงอย่างฉับพลัน นางเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามด้วยความฉงน “กลับมาแล้ว? เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดบอกข้าเลยเล่า”

หลังจากเฉิงเทียนฟู่รินน้ำชาให้มารดาแล้วก็เอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ท่านลุงคงจะคิดว่าท่านแม่ปิดปากไม่สนิท จึงไม่ได้บอกท่าน”

กุ้ยเหนียงโต้กลับทันควัน “ข้าปิดปากไม่สนิทที่ใดกัน…”

ไม่รอให้นางพูดจบ เฉิงเทียนฟู่ก็ขัดจังหวะคำพูดของนางทันที “เรื่องของญาติผู้น้องเซียงเฉียว ท่านเป็นคนเล่าให้ท่านพ่อฟังสินะ หาไม่แล้วท่านลุงใหญ่จะรู้ได้อย่างไร”

สุ้มเสียงของกุ้ยเหนียงแผ่วต่ำลงเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “แต่…บิดาเจ้าหาใช่คนนอกเสียหน่อย เรื่องใหญ่เพียงนี้ย่อมต้องบอกให้เขารู้เป็นธรรมดา…”

เฉิงเทียนฟู่จ้องมองมารดานิ่งๆ แววตาซับซ้อนอยู่เล็กน้อย คิดว่าควรจะกล่าวเตือนมารดาสักหน่อย จึงเอ่ยเน้นย้ำทีละคำๆ ว่า “ท่านแม่ พอจบเรื่องนี้แล้วท่านก็ควรจะรู้กระมังว่าเรื่องบางเรื่องแม้แต่สามีของตนเองก็ควรจะต้องระวังเอาไว้บ้าง”

กุ้ยเหนียงถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เยาว์วัย เสมือนดั่งบุปผางามบอบบางในกระโจมอุ่นที่ไม่เคยประสบเจอพายุฝนกระหน่ำ แต่ก็หาใช่คนหัวทึบโง่เขลาไม่

วันนี้ถูกพี่สะใภ้บีบให้หย่า มิหนำซ้ำสามีก็ยังหายไปตั้งแต่เช้า ครั้นคิดตรึกตรองไปเรื่อยๆ เช่นนี้นางก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันใด หยาดน้ำตาไหลทะลักออกมาอีกครา “สกุลเฉิงรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว ใจดำอำมหิตยิ่งนัก! เหนียนหลาง* เขา…เขาทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”

เฉิงเทียนฟู่มิได้เอ่ยวาจา แววตาแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น นึกถึงถ้อยคำที่ท่านลุงบอกตอนที่มาหาตนก่อนหน้านี้ เขาบอกแต่เพียงว่าคราวนี้เซิ่งเซียงเฉียวถูกคนสารเลวหลอกล่อให้หนีตามกันไป ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวพันใหญ่หลวงกับเถียนเพ่ยหรงแห่งจวนติ้งกั๋วกงผู้นั้นอีกด้วย ต่อมาเขาก็นึกโยงถึงข่าวลือลับๆ ที่ตนเองได้ยินมาในระยะหลังว่าบิดากับคุณหนูเถียนที่เพิ่งจะเป็นม่ายผู้นั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินเหตุ ในใจเขาก็ล่วงรู้ถึงความคิดของบิดาเช่นเดียวกัน

บัดนี้เริ่มมีข่าวคราวของเซิ่งเซียงเฉียวบ้างแล้ว มีคนเห็นนางขึ้นเรือลักลอบขนส่งสินค้าของทางทะเลใต้ไป ตามกฎระเบียบของราชสำนัก หากมิได้รับป้ายจากทางการ เรือน้อยใหญ่ก็ไม่อาจออกทะเลโดยพลการได้ ท่านลุงรู้ว่าก่อนเฉิงเทียนฟู่จะไปร่ำเรียนวิชาเคยผูกมิตรกับคนในยุทธภพเอาไว้ มีหลายคนที่ทำงานเดินเรือ ด้วยความอับจนปัญญา ท่านลุงถึงได้มาขอให้เขาใช้เส้นสายช่วยเหลือ ลองดูว่าจะสืบหาเบาะแสของเซียงเฉียวได้บ้างหรือไม่

แม้ว่าเฉิงเทียนฟู่จะอายุยังน้อย แต่กลับเยือกเย็นพึ่งพาได้มากกว่าบิดาของเขาเสียอีก กอปรกับเขาสนิทสนมกับซื่อจื่อจวนฉือหนิงอ๋อง พอถึงตอนนั้นหากตามเช็ดตามล้างเรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องขอให้เขาช่วยประสานกับทั้งสองฝ่าย ช่วยไกล่เกลี่ยให้สักหน่อย

ด้วยสาเหตุนี้เอง เฉิงเทียนฟู่ถึงได้รีบเร่งเดินทางกลับมาจากคฤหาสน์หลังเก่า ทว่าช่วงเวลาที่เขากำลังเดินทางนั้น ท่านพ่อกลับทนไม่ไหวปากโป้งพูดเรื่องฉาวโฉ่ของสกุลเซิ่งออกไป ถึงได้เกิดละครฉากพี่สะใภ้บังคับให้น้องสะใภ้หย่าสามีขึ้น

เซิ่งกุ้ยเหนียงพึ่งพาสามีกับบุตรชายจนเคยชิน ตอนนี้ท้องนภาที่สามีค้ำยันเอาไว้ได้พังทลายลง แต่ก็ยังโชคดีที่บุตรชายกลับมา ในใจของนางจึงยังสงบมั่นคงอยู่บ้าง ทุกอย่างว่าตามที่บุตรชายบอกก็พอ

หลังจากเฉิงเผยเฟิงได้ยินความที่เฉียนซื่อฮูหยินของตนนำกลับมาบอก หัวคิ้วก็พลันขมวด รอคอยให้หลานชายมาขอขมา

แต่ใครเล่าจะรู้ เขานั่งรออยู่ในห้องหนังสือมาครึ่งวัน กลับไม่เห็นหลานชายมาขอพบ จนกระทั่งใกล้ถึงยามเที่ยงของวันถัดมา เฉิงเผยเฟิงก็ข่มกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ สั่งให้บ่าวชราข้างกายไปเรียกตัวเจ้าสี่มา

บ้านใหญ่เฉิงเผยเฟิงมีบุตรชายทั้งหมดสามคน เฉิงเทียนฟู่ซึ่งถือกำเนิดจากบ้านรองอยู่ในลำดับที่สี่พอดี

แม้เฉิงเผยเฟิงจะเป็นผู้กุมอำนาจสกุลเฉิง แต่ก็คร้านจะสนใจเรื่องของพวกลูกหลาน ยิ่งไปกว่านั้นเฉิงเทียนฟู่ยังเป็นบุตรของบ้านรอง ย่อมมีบิดาคอยอบรมสั่งสอนอยู่แล้ว

เขาเองก็ไม่ได้เจอเจ้าสี่ที่ไปเรียนวิชาอยู่ต่างถิ่นมานานแล้วเช่นกัน ในสมองจึงคิดว่าเจ้าสี่ยังเป็นเด็กน้อยดื้อรั้นอยู่เหมือนเดิม

แต่เมื่อเด็กหนุ่มรูปร่างสูงชะลูดในชุดตัวยาวสีขาวราวหิมะเดินเข้ามาในห้องหนังสือ เฉิงเผยเฟิงก็พลันตระหนักได้ว่าเจ้าเด็กจอมซนผู้นั้นค่อยๆ เติบใหญ่กลายเป็นกึ่งชายหนุ่มไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

หลังจากเขามองดูเฉิงเทียนฟู่โค้งคำนับแล้วกล่าวทำความเคารพอย่างพอนับได้ว่ามีมารยาทอยู่บ้าง ก็เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เจ้ายังไม่สำเร็จการศึกษา อยู่ในช่วงที่จำเป็นต้องขยันหมั่นเพียร เรื่องของบิดาเจ้า เจ้ายังไม่ต้องก้าวก่ายหรอก”

เฉิงเทียนฟู่มองท่านลุงใหญ่ จากนั้นก็พูดด้วยท่าทีเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน “ข้ากลับมาคราวนี้เพราะท่านยายบังเอิญจับไข้ร่างกายไม่ค่อยสบาย นางคิดถึงข้า ดังนั้นท่านลุงจึงเขียนจดหมายหาข้า ให้ข้ากลับมาเยี่ยมท่านผู้เฒ่า ก่อนจะกลับมาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามีปัญหาอันใดกัน”

เฉิงเผยเฟิงยิ้มเยาะเล็กน้อย ขณะกำลังจะไล่หลานชายออกไปนั้น เฉิงเทียนฟู่กลับเปิดปากขึ้นก่อนว่า “ครั้งนี้ซื่อจื่อแห่งจวนฉือหนิงอ๋องก็ถือโอกาสกลับเมืองหลวงมาพร้อมกับข้าด้วย ประเดี๋ยวก็จะไปเยี่ยมท่านยายด้วยกันกับข้า เดี๋ยวข้าก็ต้องออกไปแล้ว ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านลุงใหญ่ต่อได้ ต้องขออภัยด้วยขอรับ…”

พอได้ยินว่าซื่อจื่อจวนฉือหนิงอ๋องจะไปที่จวนสกุลเซิ่ง เฉิงเผยเฟิงก็ปั้นท่าเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนไม่ได้อีกต่อไป เขาตื่นตระหนกจนหนวดแทบจะตวัดโค้งขึ้นมา ลุกขึ้นพรวดแล้วเอ่ยว่า “หะ…เหตุใดเจ้าถึงไปชวนซื่อจื่อกลับมาด้วยกันเล่า นะ…นี่ไม่แย่ตายหรือ เจ้าไม่รู้เรื่องงามหน้าที่เซิ่งเซียงเฉียวญาติผู้น้องของเจ้าก่อหรืออย่างไร”

เฉิงเทียนฟู่จ้องมองท่านลุงใหญ่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยราวกับประชดเสียดสีนิดๆ “ข้ายังไม่รู้เรื่องเลยนะขอรับ ไม่รู้เช่นกันว่าท่านลุงไปฟังข่าวเลื่อนลอยมาจากที่ใด คำพูดเหลวไหลแต่กลับเอามาถือเป็นจริงเป็นจังไปเสียทั้งหมด! สองสามวันนี้ญาติผู้น้องเซียงเฉียวบังเอิญโดนลมหนาวจนเป็นหวัด ป่วยไข้มิอาจพบเจอผู้คนได้ ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องอับอายขายหน้าอันใดเสียหน่อย อีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว หรือว่าท่านลุงบังคับให้ท่านแม่กับท่านพ่อข้าหย่ากันเพราะข่าวลือไร้หลักแหล่ง? นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในครอบครัวอย่างแท้จริง!”

เฉิงเผยเฟิงหรี่ตาลงน้อยๆ คิดแค่ว่าเด็กหนุ่มโง่เขลากำลังพูดจาเลอะเทอะส่งเดช ไม่รู้ถึงสถานการณ์คับขันของสกุลเซิ่งเลยแม้แต่น้อย

ทว่าเฉิงเทียนฟู่ได้ผลักประตูสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปแล้ว เฉิงเผยเฟิงเองก็ไม่สะดวกใจจะเรียกเขากลับมาอีก

เขาคร้านจะสนใจหลานชายจอมเกเรเช่นกัน การรีบให้เซิ่งกุ้ยเหนียงลงนามในหนังสือหย่าโดยเร็วต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ

เมื่อไปที่เรือนของบ้านรองอีกครั้ง เฉียนซื่อกลับพบว่าเซิ่งกุ้ยเหนียงเก็บสัมภาระหลายคันรถตั้งแต่เช้าตรู่ พาสาวใช้และหญิงรับใช้ชราที่ติดตามออกเรือนมาออกไปทางประตูข้างของจวนซึ่งอยู่ด้านข้างของเรือนตน กลับยังบ้านเดิมที่จวนสกุลเซิ่งพร้อมกับเฉิงเทียนฟู่แล้ว…

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: