บทที่ 2-1 ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ
ทว่าเฉิงเทียนฟู่มิได้ไปที่จวนท่านยายเหมือนอย่างที่เขาพูดเอาไว้ หลังจากได้รับจดหมายที่เด็กรับใช้ของจวนอ๋องนำมาส่งแล้ว เมื่อพามารดาไปส่งที่จวนสกุลเซิ่งเสร็จ เขาก็ขี่อาชาไปที่เรือนรับรองแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของเมือง
หลังจากเข้ามาในเรือนรับรอง เขาก็โยนแส้ควบม้าให้ชิงเยี่ยนเด็กรับใช้ประจำกาย จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาวเดินผ่านระเบียงวนซึ่งเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้มาถึงยังห้องโถงชั้นใน
ม่านในห้องโถงถูกปล่อยลงปิดมิดชิด แสงสว่างแลดูมืดสลัว แต่เพียงแค่ชั่วขณะแรกเฉิงเทียนฟู่ก็เห็นได้ในทันทีว่าท่านลุงเซิ่งเซวียนเหอกำลังก้มหมอบอยู่บนพื้น คุกเข่านิ่งไม่ยอมลุกขึ้นมา
ส่วนฉือหนิงอ๋องนั้นนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานตรงหน้าห้องโถง กำลังหลับตาพลางขยับลูกประคำเหอเถาหยกที่เปล่งประกายแวววาวในมือ
เฉิงเทียนฟู่เดินไปยังข้างกายเซิ่งเซวียนเหอผู้เป็นลุง ขณะที่เขาเลิกชุดตัวยาวขึ้นเพื่อจะคุกเข่ากล่าวทำความเคารพ ท่านอ๋องผู้นั้นถึงค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “เจ้าบอกกับท่านลุงของเจ้าในจดหมายว่าเจอเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับเซิ่งเซียงเฉียวไม่ผิดเพี้ยน เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เฉิงเทียนฟู่มองท่านลุงเล็กน้อย รู้ว่าเขาจะต้องถูกท่านอ๋องเค้นถามเป็นแน่ ถึงต้องจำใจพูดเรื่องนี้ออกมา จึงได้ตอบไปว่า “ผู้น้อยไม่กล้าบอกว่าเหมือนกันถึงสิบส่วนหรอกขอรับ แต่ก็ละม้ายคล้ายกันราวเจ็ดแปดส่วนได้ เพียงแต่นางหาใช่คุณหนูตระกูลใหญ่ แต่เป็นสะใภ้เด็กของชาวบ้านในชนบทเท่านั้น”
หัวคิ้วที่ขมวดแน่นน้อยๆ มาตลอดเวลาของท่านอ๋องดูเหมือนจะคลายออกในที่สุด เขาเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ รูปโฉมเหมือนกันถึงจะสำคัญที่สุด”
เขามองไปทางเซิ่งเซวียนเหอที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมาครึ่งวันแล้วสุดท้ายก็เอ่ยออกมาว่า “ใต้เท้าเซิ่ง ลุกขึ้นเถิด มานั่งคุยกันดีกว่า”
เซิ่งเซวียนเหอรู้ว่าตนเองอบรมสอนสั่งบุตรสาวไม่เข้มงวด บุตรสาวก่อความผิดใหญ่มหันต์เช่นนี้ ต่อให้ตนเองศีรษะหลุดจากบ่าร้อยครั้งก็ไม่เพียงพอ บัดนี้โชคดีที่ได้หลานชายเฉิงเทียนฟู่มาช่วย สถานการณ์ถึงพลิกผันได้ ทว่าหัวใจของเขาก็ยังไม่กลับไปอยู่ที่เดิม แม้จะได้ยินท่านอ๋องมอบความเมตตาปรานีให้ แต่เขาก็ไม่กล้าลุกขึ้นมาในทันทีทันใดเช่นกัน
สุดท้ายเขาถึงลากขาที่ปวดเมื่อยทั้งสองข้างลุกขึ้นโดยที่เฉิงเทียนฟู่ช่วยประคับประคอง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่งอย่างตัวสั่นงันงก
ส่วนคำของท่านอ๋องที่ว่า ‘รูปโฉมเหมือนกันถึงจะสำคัญที่สุด’ ก็ถูกต้องตามนั้นจริงๆ
สัญญาหมั้นหมายของซื่อจื่อกับเซิ่งเซียงเฉียวเป็นสมรสพระราชทานจากโอรสสวรรค์ เพียงแต่คนนอกล้วนไม่รู้ว่าที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้เป็นเพราะพระราชนัดดาซื่อจื่อผู้นี้รูปโฉมละม้ายคล้ายคลึงกับฮ่องเต้เมื่อครั้งวัยเยาว์เป็นที่สุด ส่วนเซิ่งเซียงเฉียวผู้นั้นหน้าตาเหมือนกับคนรักเก่าเมื่อครั้งวันวานของฝ่าบาทยิ่ง
ฮ่องเต้อายุมากแล้ว ไม่ร่วมหอกับเหล่าสนมชายาในตำหนักในมานานแล้ว ทว่าในใจกลับยังยึดติดอยู่แต่กับเรื่องเสียใจเมื่อครั้งเยาว์วัย ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อน ยามฝ่าบาทเผลอไปเห็นซื่อจื่อที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบสองกับคุณหนูสกุลเซิ่งในวัยเก้าขวบกำลังยืนโต้เถียงกันไม่หยุดอยู่ด้านล่างของเฉลียงทางเดินในอุทยานดอกไม้ ภาพบรรยากาศดูราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสากำลังเล่นสนุก ประดุจดั่งคราวันคืนแสนสุขสงบ มีคนงามคอยอยู่เคียงคู่เมื่อปีนั้น น้ำตาของโอรสสวรรค์ก็เอ่อคลอขอบดวงตา ประกาศพระราชโองการมอบสมรสพระราชทานให้ทันที
หลังจากพระราชทานสมรสแล้ว ฉือหนิงอ๋องก็กลายเป็นที่โดดเด่นขึ้นมาในหมู่โอรสซึ่งเกิดจากสนมชายาของฝ่าบาท นับวันจะยิ่งได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
ได้ยินว่าเมื่อครั้งกระโน้นฝ่าบาทเคยให้คำมั่นสัญญากับคนงามไว้ว่าจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาของแผ่นดิน เสวยเกียรติยศแห่งพญาหงส์ ทว่ากลับมิได้เป็นไปดั่งที่ปรารถนาไว้ บัดนี้จึงถ่ายเทความรักฝังใจที่อัดแน่นเต็มอุราให้แก่เด็กชายหญิงตัวน้อยที่รูปโฉมคล้ายคลึงกับเขาและนางเมื่อปีนั้น ถือเป็นการทำความฝันที่ค้างคาให้เป็นจริง
ฉือหนิงอ๋องรู้ดีแก่ใจว่าสาเหตุที่ตนเองกลายเป็นผู้มีโอกาสสูงสุดในการสืบทอดบัลลังก์เป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการทำความฝันให้เป็นจริง แน่นอนว่าเขาย่อมต้องให้ความสำคัญกับบุพเพสันนิวาสระหว่างซื่อจื่อกับคุณหนูสกุลเซิ่งในครานี้เป็นธรรมดา
แต่ตอนนี้เซิ่งเซียงเฉียวหนีไปแล้ว ฉือหนิงอ๋องรู้ว่าหากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูของฝ่าบาท ทำให้ฝันอันแสนหวานมีจุดด่างพร้อยขึ้นมา บัลลังก์มังกรที่อยู่ในมือเขาก็จะบินหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
ดังนั้นขอเพียงแค่พาตัวเซิ่งเซียงเฉียวกลับมา แม้นางจะถูกเหยียบย่ำไร้สิ้นความบริสุทธิ์ผุดผ่องไปแล้ว จวนฉือหนิงอ๋องก็จะต้องปกปิดเรื่องเหม็นคาวเอาไว้ ให้ซื่อจื่อส่งเกี้ยวหลังใหญ่แปดคนหามแต่งเซิ่งเซียงเฉียวเข้าจวนอ๋อง ทำความฝันในวันวานของโอรสสวรรค์ให้เป็นจริง
ทว่าบัดนี้เซิ่งเซียงเฉียวที่ถูกล่อลวงพาตัวไปราวกับจมหายลงไปในแม่น้ำก็มิปาน ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไร้ร่องรอยไม่เจอแม้แต่เงา ยามนี้ทางฝั่งฮองเฮาจู่ๆ ก็ดันมาเรียกตัวเซิ่งเซียงเฉียวเข้าวังอีก
ถึงแม้สกุลเซิ่งจะปฏิเสธไปโดยบอกว่าเซิ่งเซียงเฉียวป่วยไข้ ชะลอออกไปได้สักระยะ แต่เรื่องนี้คงจะปิดเอาไว้ได้ไม่นาน อย่างไรก็ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้ได้
ยามนี้เฉิงเทียนฟู่บอกว่าเจอตัวเด็กสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเซิ่งเซียงเฉียว ต่อให้เป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย ท่านอ๋องก็ต้องคว้ามันเอาไว้ให้แน่น
เจตนาของท่านอ๋องประจักษ์ชัดยิ่ง เขาไม่สนว่าดรุณีน้อยผู้นั้นจะมีพื้นเพเช่นไร ขอแค่มีใบหน้าดวงนั้น สกุลเซิ่งก็ต้องอบรมสั่งสอนแม่นางน้อยผู้นั้นให้ดี ให้นางปลอมตัวเป็นเซิ่งเซียงเฉียวเข้าพิธีสมรสกับซื่อจื่อ
ฮ่องเต้มีอายุมากแล้ว บางทีอีกไม่กี่ปีอายุขัยก็อาจค่อยๆ หมดลง องค์รัชทายาทขี้โรคที่ไร้ประโยชน์ผู้นั้นยิ่งดูท่าทางแล้วคงจะอายุไม่ยืนยาว ขอแค่ฉือหนิงอ๋องได้กลายเป็นโอรสสวรรค์ของแผ่นดิน เขาก็มีวิธีมากมายที่จะทำให้สะใภ้ตัวปลอมหายไปอย่างสมเหตุสมผล พอถึงตอนนั้นซื่อจื่อก็สามารถหาคู่ครองประเสริฐศรีคนใหม่ เลือกพระชายารัชทายาทที่เหมาะสมได้
เซิ่งเซวียนเหอซึ่งเข้าใจสายสนกลในดีพยักหน้ารับตามที่ท่านอ๋องสั่งไม่หยุด เพราะหากพูดกันตามจริงแล้ว เขาก็ตามใจบุตรสาวมากเกินไป ทำให้นางก่อความผิดมหันต์เช่นนี้จนเกือบจะทำให้ทั้งตระกูลเดือดร้อนตามไปด้วย
บัดนี้หาตัวปลอมมาได้ก็ดีเหมือนกัน ขอแค่สามารถปกปิดเรื่องนี้ให้ผ่านพ้นไปได้ เขาก็จะต้องจุดธูปเทียนเซ่นไหว้บรรพบุรุษสกุลเซิ่งเป็นการใหญ่แล้ว
หลังจากปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นตามนี้ เซิ่งเซวียนเหอก็สั่งให้คนไปที่เมืองเจี้ยนเฉิงเพื่อพาตัวแม่นางน้อยผู้นั้นมาอย่างลับๆ ต่อให้แม่นางน้อยผู้นั้นหน้าตาคล้ายคลึงคุณหนูสกุลเซิ่งเพียงใดก็เป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอกคอกนา หากจะมาปลอมตัวเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ แค่คิดเขาก็ปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว
ทว่าท่านอ๋องกลับโบกมือเบาๆ บอกแค่ว่าเรื่องนี้ให้เขาจัดการเอง เพราะอย่างไรสกุลเซิ่งก็เป็นฝ่ายสร้างปัญหาขึ้นก่อน ฉือหนิงอ๋องไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น จึงสั่งให้คนของตนเองไปรับเด็กสาวบ้านนอกผู้นั้นกลับมาเองเสียเลย
ส่วนเฉิงเทียนฟู่นั้นถูกท่านอ๋องรั้งตัวเอาไว้เพียงลำพัง ฟังเขาเล่าเรื่องการออกตามหาเซิ่งเซียงเฉียวที่ทะเลใต้
สกุลเซิ่งก่อปัญหาวุ่นวายขึ้น เดิมทีฉือหนิงอ๋องก็โกรธมากอยู่แล้ว แต่ยามนี้เด็กหนุ่มคนนี้แทบจะกลายมาเป็นดาวนำโชคของเขา พร้อมทั้งยังได้คิดหาวิธีกอบกู้สถานการณ์เอาไว้แล้ว นี่ทำให้ฉือหนิงอ๋องพอจะเบาใจลงได้เล็กน้อย
ฉือหนิงอ๋องมองดูสหายร่วมสำนักของบุตรชาย รู้สึกว่าต้องมองเด็กหนุ่มที่เจอวิกฤตแต่ก็ไม่แตกตื่น ปรับเปลี่ยนรับมือไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ผู้นี้ใหม่
ยามนี้เขาต้องการลูกมือในราชสำนักอย่างเร่งด่วน คุณชายสี่สกุลเฉิงเองก็จะเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งเข้าเป็นขุนนางเช่นกัน มีแต่ต้องรวบรวมบุคคลที่มีความสามารถมาอยู่ในมือเท่านั้น การใหญ่ของตนเองถึงจะสำเร็จมั่นคงได้ ด้วยเหตุนี้ฉือหนิงอ๋องจึงกล่าวชื่นชมยกย่องเขาสักเล็กน้อย ต่อมาก็กำชับสั่งเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าให้คอยจับตาดูเรื่องต่างๆ ต่อจากนี้ไม่ให้คลาดสายตา
เฉิงเทียนฟู่ฉวยจังหวะนี้เผลอพูดถึงจุดน่าสงสัยในตอนแรก ที่ญาติผู้น้องเซิ่งเซียงเฉียวลักลอบติดต่อกับผู้อื่นลับหลังครอบครัวและหมัวมัว ผู้สั่งสอนดูแล นอกจากนี้ยังกล่าวถึงว่าหลายครั้งที่ญาติผู้น้องออกไปนอกจวนล้วนได้รับคำเชื้อเชิญจากเถียนเพ่ยหรงบุตรสาวในภรรยาเอกของสกุลเถียน สกุลเถียนย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสลัดไม่พ้นแน่นอน
สกุลเถียนเป็นบ้านเดิมของฮองเฮา มีอำนาจทั้งในและนอกราชสำนักอย่างมากล้น แม้กระทั่งฉือหนิงอ๋องเองก็ยังต้องลงให้สามส่วน เมื่อครั้งที่ฮองเฮายังเป็นนางสนมก็ไม่ใคร่ชอบหน้ามารดาของฉือหนิงอ๋องนักเนื่องจากมีเรื่องแย่งชิงความโปรดปรานจากฮ่องเต้กัน เคยเล่นงานกันหลายครั้งหลายครา ตอนนี้จึงยิ่งทนเห็นฉือหนิงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์แทนที่บุตรชายซึ่งป่วยกระเสาะกระแสะมากโรคของตนเองมิได้
ฉือหนิงอ๋องถือกำเนิดในราชสกุล เรียกได้ว่าความคิดเฉียบแหลม แค่กระตุ้นนิดเดียวก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง พอได้ยินถ้อยคำแฝงความนัยของเฉิงเทียนฟู่ ในใจก็เข้าใจขึ้นมาถึงเก้าส่วนแล้ว
มิน่าฮองเฮาถึงรีบร้อนเรียกตัวเซิ่งเซียงเฉียวเข้าพบ นี่วางแผนจะหาเรื่องให้จวนอ๋องของข้าตกบ่อโคลน ทำให้ข้าปีนขึ้นมาไม่ได้อีกสินะ!
บทที่ 2-2 ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ
หลังจากเฉิงเทียนฟู่แอบฟ้องเรื่องสกุลเถียนแล้วก็ขอตัวออกไปจากเรือนรับรอง
เถียนเพ่ยหรงช่างใจดำอำมหิตจริงๆ เกือบจะทำให้มารดาของเขาถูกหย่า ถึงแม้เซิ่งกุ้ยเหนียงจะไม่รู้ถึงเรื่องเลวทรามของบิดา แต่เฉิงเทียนฟู่จะไม่มีทางปล่อยสตรีผู้นั้นไปง่ายๆ แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจะทำลายความคิดเพ้อฝันของบิดาอีกด้วย!
ยามเขาเดินมาถึงหน้าประตูเรือนรับรอง จินเหลียนหยวนซื่อจื่อกำลังยืนรอเขาอยู่พอดี บนใบหน้าดูเหมือนจะมีแวววิตกกังวล
พอเห็นเฉิงเทียนฟู่เดินเข้ามา เขาก็ยื่นมือออกไปจู่โจมเข้าใส่ท้องของเฉิงเทียนฟู่อย่างหนักหน่วงทันที แต่กลับถูกเฉิงเทียนฟู่ใช้กระบวนท่าสี่ตำลึงปาดพันชั่ง สลายไปได้อย่างสบายๆ
เฉิงเทียนฟู่ถอยกรูดตามน้ำออกไปสองสามก้าว จากนั้นก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “ฝีมือของซื่อจื่อคล่องแคล่วปราดเปรียวขึ้นทุกที ผู้น้อยรับมือไม่ไหวจริงๆ…”
จินซื่อจื่อถ่มน้ำลายลงอีกด้านแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสี่ เลิกเสแสร้งแกล้งทำได้แล้ว ในเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ถึงวีรกรรมที่เจ้าต่อยตีกับข้าและซื่อจื่อจากอีกสองจวนจนตกน้ำในวังหลวง หากมิใช่เพราะเสด็จปู่ทรงมีความคิดเปิดกว้าง เด็กน้อยอย่างเจ้าคงจะศีรษะหลุดออกจากบ่า ถูกเอาไปแขวนไว้ที่กำแพงเมืองตั้งแต่อายุหกขวบแล้ว…สกุลเซิ่งก็ทำเกินไปจริงๆ! ถึงแม้จะตามตัวญาติผู้น้องของเจ้าคนนั้นกลับมาได้ แต่คงจะสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วเป็นแน่แท้…สตรีเหลวแหลกเช่นนี้ ต่อไปข้าจะหลับนอนด้วยลงได้อย่างไร”
เบื้องหน้าดูเหมือนซื่อจื่อร่ำเรียนวิชาร่วมสำนักกับเขา แต่เบื้องหลังถูกเฉิงเทียนฟู่ชักชวนให้มาร่ำเรียนวิชาหมัดมวยกับอาจารย์วิชายุทธ์คนใหม่มากกว่า คำพูดคำจาของชาวยุทธ์ก็เรียนรู้มาอย่างเต็มที่ จึงเอ่ยด่าทอต่อหน้าสหายที่เป็นเพื่อนเรียนเพื่อนเล่นมาตั้งแต่เยาว์วัยอย่างไม่ระมัดระวังคำพูดแม้แต่น้อย
เขาหารู้ไม่ว่าเซิ่งเซียงเฉียวที่พาตัวกลับมาในคราวนี้เป็นตัวปลอม จึงเชื่อแค่ว่าสตรีผู้นี้ใจง่ายสำส่อน ไม่ใช่คนดีอันใด แต่จนปัญญาที่ท่านพ่อคิดแต่จะเอาอกเอาใจเสด็จปู่ เขาจึงจำต้องแต่งสตรีเหลวแหลกเป็นภรรยาเพื่อประจบเอาใจฝ่าบาท
แต่ไหนแต่ไรมาซื่อจื่อก็มิได้ใส่ใจกับการแต่งงานนี้อยู่แล้ว นอกจากเคยเจอกับเซิ่งเซียงเฉียวอยู่ไม่กี่ครั้งเมื่อตอนเด็กๆ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอนางอีกเลย
สำหรับซื่อจื่อในวัยสิบเจ็ดปีแล้ว เขาจำได้แต่นิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของคุณหนูสกุลเซิ่งเท่านั้น บัดนี้พอมีเรื่องฉาวโฉ่ที่นางแอบหนีตามบุรุษอื่นไปเพิ่มขึ้นมาอีก ซื่อจื่อก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟยกใหญ่ตั้งแต่รู้ว่าเซิ่งเซียงเฉียวกลับมาแล้ว
เฉิงเทียนฟู่ปรายตามองเหล่าเด็กรับใช้ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง ครั้นแล้วก็เอ่ยปลอบประโลมซื่อจื่อด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ผู้จะทำการใหญ่ให้สำเร็จต้องไม่ยึดติดกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในสมัยโบราณกาลพระพุทธองค์เคยสละร่างกายให้เป็นอาหารเสือ บัดนี้ซื่อจื่อสละความบริสุทธิ์ผุดผ่องเพื่อบรรลุอรหันต์ การแต่งงานในครานี้เกี่ยวพันไปถึงความเจริญรุ่งเรืองของสกุลเซิ่ง สกุลเฉิง และจวนอ๋องทั้งสามตระกูล ผู้น้อยขอขอบคุณซื่อจื่อที่สละตนให้ทุกฝ่ายสมปรารถนา…”
ซื่อจื่อกลับถูกคำพูดผายลมทว่าจริงจังของเขาพาให้ตลกขบขันเข้า จึงเอ่ยขึ้นว่า “ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของข้ายกให้นางกำนัลต้นห้องไปตั้งนานแล้ว! ยังห่างจากการบรรลุอรหันต์อีกไกล! แต่เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าเรื่องใดควรไม่ควร ถ้าหากเรื่องฉาวโฉ่ของนางแพร่ออกไป ข้าก็จะเสียหน้าไปด้วย ก็ถือเสียว่าอุจจาระรดในผ้าห่ม ปิดเอาไว้ให้สนิทก็แล้วกัน!”
เฉิงเทียนฟู่หลุบตาลงกึ่งหนึ่ง เข้าใจจุดประสงค์ที่ท่านอ๋องกำชับเขาว่าห้ามให้ซื่อจื่อรู้ว่าเซิ่งเซียงเฉียวเป็นตัวปลอมแล้ว ซื่อจื่อมีอุปนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา หากรู้ว่าคนที่ตนเองต้องแต่งเป็นภรรยาเป็นเด็กสาวบ้านนอกคอกนา เป็นสะใภ้เด็กของคนสติปัญญาอ่อนด้อย เกรงว่าคงจะต้องอาละวาดโวยวายเป็นแน่
เดิมทีเฉิงเทียนฟู่คิดจะปรึกษาหารือกับท่านลุงสักหน่อยว่าให้เด็กสาวบ้านนอกผู้นั้นมาช่วยเหลือ ปรากฏโฉมต่อหน้าผู้คนเล็กน้อย ถ้าหากหาตัวเซิ่งเซียงเฉียวไม่เจอจริงๆ หลังจากข่าวซุบซิบเรื่องที่นางหนีตามบุรุษไปซาลงแล้ว ค่อยป่าวประกาศกับภายนอกว่าเซิ่งเซียงเฉียวป่วยเสียชีวิต พอถึงตอนนั้นค่อยให้เงินนางหนูน้อยคนนั้นสักนิดหน่อยเพื่อจบเรื่องไป
แต่ตอนนี้ท่านอ๋องล่วงรู้เรื่องราวถึงขั้นนี้แล้ว แต่ยังคิดที่จะให้ซื่อจื่อแต่งเซิ่งเซียงเฉียวตัวปลอมเป็นภรรยา…ยามนี้คนที่ไปรับตัวนางหนูน้อยผู้นั้นล้วนแต่เป็นคนที่จวนอ๋องส่งไปทั้งสิ้น ดูท่าคงใกล้จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง…
ส่วนนางหนูสะใภ้เด็กที่อยู่ห่างไกลถึงเมืองเจี้ยนเฉิง ย่อมไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตนเองได้ถูกเหล่าผู้สูงศักดิ์กำหนดเอาไว้ให้เรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว
ในวันที่สี่ที่หวังเฉี่ยวไปช่วยงาน จู่ๆ พ่อบ้านก็เรียกนางเข้าไปหา บอกว่าในคฤหาสน์ยังขาดสาวใช้ช่วยงานจิปาถะอีกคน ได้ยินว่าที่บ้านนางมีสะใภ้เด็กอยู่ หากอยู่ว่างๆ ก็มิสู้เรียกนางมาช่วยงาน เงินเบี้ยหวัดรายเดือนจะจ่ายให้เท่ากับค่าแรงของหวังเฉี่ยว
ครั้นหวังเฉี่ยวได้ยินดวงตาก็ลุกวาว! นี่ก็หมายความว่าทุกเดือนในบ้านจะมีเงินสองตำลึงเข้าคลัง เรื่องดีๆ เช่นนี้ย่อมไม่ยอมปล่อยให้พลาดไปอยู่แล้ว นางจึงรีบตกปากรับคำในทันที
วันถัดมานางก็พานางหนูมาที่คฤหาสน์หลังเก่าของสกุลเฉิงด้วยกัน
พ่อบ้านผู้นั้นจึงสั่งให้นางหนูเข้าไปทำงานในคฤหาสน์ชั้นใน
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน อยู่ๆ ก็มีข่าวร้ายส่งมา ตอนที่นางหนูน้อยผู้นั้นกำลังเติมถ่านใส่เตาหลอมใหญ่ในคฤหาสน์เก่าของจวนชั้นในอยู่นั้น ก็พลันเผลอไม่ทันระวังล้มร่วงลงไปก้นเตาหลอม ตอนที่ถูกคนพบเจอเข้าก็กลายเป็นศพไหม้เกรียมไปเสียแล้ว
พอหวังเฉี่ยวได้ยินข่าวนี้ก็ร้องไห้โหยหวนออกมาทันที โหวกเหวกโวยวายให้สกุลเฉิงชดใช้คนชดใช้ชีวิต
เนื่องจากคนที่จวนอ๋องส่งมาปฏิบัติการอย่างลับๆ ความจริงแล้วพ่อบ้านเองก็ไม่รู้ว่านางหนูผู้นี้ตายอย่างเป็นปริศนา คิดแค่ว่าในเมื่อเกิดเหตุถึงแก่ชีวิตขึ้นในจวนสกุลเฉิง เขาก็อยากจะรอดพ้นความผิดชอบเช่นกัน! เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ชื่อเสียงของสกุลเฉิงต้องด่างพร้อย ดังนั้นเขาจึงจ่ายเงินสำรองให้ไปก่อน ชดใช้เงินให้หวังเฉี่ยวมากถึงห้าสิบตำลึง ต่อมาได้ยินว่าคุณชายส่งจดหมายนกพิราบนำความมาบอก จึงให้เงินนางไปอีกหนึ่งร้อยตำลึง
เงินมากมายเช่นนี้ ซื้อที่นาซื้อคฤหาสน์ให้บุตรชายแต่งภรรยาสักสิบคนก็ยังเหลือแหล่!
แต่ว่าหวังเฉี่ยวยังไม่พอใจ ครั้นเห็นว่าพ่อบ้านพูดง่ายเช่นนี้ก็ตัดสินใจร้องไห้โวยวายอีกรอบ จะเอาเงินมากกว่านี้ให้ได้
เพียงแต่ตอนที่นางพาสามีและบุตรชายสติปัญญาอ่อนด้อยมาเฝ้าศพไหม้เกรียมที่อยู่บนเปลหาม พร้อมกับโอดโอยอยู่บนพื้นหน้าประตูจวนสกุลเฉิง ก็มีรถม้าคันหนึ่งหยุดลงพอดี มีชายฉกรรจ์แปลกหน้าจำนวนหนึ่งเดินลงมาจากบนรถม้า จ้องมองหวังเฉี่ยวที่กำลังกลิ้งเกลือกไปทั่วพื้นอย่างเย็นชา พอเดินเข้าไปในจวนสกุลเฉิงแล้วก็เอ่ยถามพ่อบ้านว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
พ่อบ้านเห็นว่าเป็นคนที่จวนฉือหนิงอ๋องส่งมา จึงได้แต่ยิ้มฝืดๆ พลางเอ่ย “เป็นบ้านสามีของผู้เสียชีวิต…”
ผู้มาเยือนแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เอ่ยสั่งการว่า “ท่านอ๋องมีคำสั่งว่าเรื่องนี้ไม่ต้องให้จวนสกุลเฉิงของพวกเจ้าเข้ามาก้าวก่าย แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองเสีย!”
หลังจากหวังเฉี่ยวผู้นั้นร้องไห้โวยวายอยู่ยกหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครออกมาจากจวนสกุลเฉิงอีกก็จำต้องพาศพไหม้เกรียมกลับไปด้วยความโกรธแค้น ใช้แค่เสื่อห่อหุ้มเอาไว้ นำไปโยนทิ้งที่ลานทิ้งศพไร้ญาติให้จบๆ เรื่องไป
แต่น่าเสียดาย ข่าวคราวที่ครอบครัวนางได้รับเงินก้อนโตมาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาแค่ไม่กี่วันก็ถูกโจรยกเค้ากลางดึก
อันที่จริงเพื่อนบ้านโดยรอบต่างก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวกันทั้งสิ้น
หากเปลี่ยนเป็นบ้านอื่น เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงจะต้องฟาดฆ้องตีกลองแบกขวานแบกจอบออกไปช่วยขับไล่คนร้ายให้ล่าถอยแล้ว
ทว่าน่าเสียดายที่หวังเฉี่ยวผู้นั้นปกติปากคอเราะรายจนล่วงเกินเพื่อนบ้านไปทั่ว ตอนนี้พอได้เงินจากการที่ลูกสะใภ้เอาชีวิตเข้าแลกก็พาให้ทุกคนอิจฉาตาร้อนเข้าไปใหญ่ ยามเภทภัยมาเยือนพวกชาวบ้านจึงต่างคนต่างเฝ้าประตูบ้านตนเอง รอดูเรื่องสนุกๆ ผ่านข้างกำแพง
ได้ยินว่ามีชายฉกรรจ์ปิดหน้าปิดตาสิบกว่าคนสังหารครอบครัวของเซวียเซิ่งยกบ้าน สุดท้ายยังจุดไฟเผาเรือนแล้วเผ่นหนีไป
เมื่อคดีนี้ไปถึงที่ทำการอำเภอ ทางการก็แค่ส่งคนมาสืบสวนพอเป็นพิธี แล้วปล่อยให้เรื่องจบลงทั้งอย่างนั้น
ภายหลังพวกชาวบ้านสะเทือนใจกับคดีฆ่าคนสกุลเซวียอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป ส่วนสะใภ้เด็กตัวน้อยที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้นั้นก็ยิ่งถูกลืมเลือนเอาไว้ข้างหลัง
พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่านางหนูที่เดิมน่าจะถูกเผาจนร่างดำเกรียมผู้นั้น ยามนี้กำลังอยู่บนรถม้าซึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
ในตอนแรกที่นางหนูอยู่ที่ศาลบรรพชนของสกุลเฉิงนั้น นางก็แอบลอบวางแผนกับตนเอง คิดจะฉวยโอกาสหนีไปด้วยซ้ำ
ตอนที่เดินเข้าไปในเรือน นางหมายตาไว้แล้วว่าประตูข้างของเรือนชั้นนอกมักจะมีนายช่างเดินเข้าเดินออก ถ้าหากสบโอกาสก็สามารถแอบขึ้นรถม้าขนไม้ที่ด้านนอกได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 พ.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.