X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 2.3

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 2-3 ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ

หลายวันมานี้ตอนที่นางขุดผักป่า ยังถือโอกาสขุดหาพวกสมุนไพรด้วย ครั้งอดีตยามที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่เคยสอนหลักวิชาแพทย์ให้นาง ดังนั้นนางจึงจดจำสมุนไพรที่พบเห็นได้ทั่วไปเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำยิ่ง นางนำสมุนไพรที่ขุดมาได้ไปแลกที่แผงขายสมุนไพรหน้าหมู่บ้านได้เงินมาสิบกว่าอีแปะท่านป้าที่รับซื้อสมุนไพรใจดียิ่ง ยังเอ่ยปากสัญญาว่าจะไม่บอกให้หวังเฉี่ยวรู้

ถึงแม้เงินเหล่านี้จะไม่มาก แต่ก็พอให้นางเอาไว้ใช้ฉุกเฉินได้ พอถึงตอนนั้นนางค่อยปลอมตัวเป็นขอทานน้อย หาวิธีเดินทางไปยังบ้านท่านยายที่หลิ่งหนาน…

หนทางเบื้องหน้าแสนเลือนราง สำหรับดรุณีน้อยอายุเท่านางแล้ว ดูเหมือนจะมองไม่เห็นแสงอรุณรุ่งใดๆ แต่ว่านางหาได้รู้สึกหวาดกลัวไม่

ชีวิตนางผ่านพ้นความทุกข์เข็ญที่บิดาถูกใส่ร้าย และผ่านการที่ถูกคนชั่วช้าพาไปขายมาแล้ว ดังนั้นต่อให้ขมขื่นแค่ไหนลำบากลำบนเพียงใด ก็เป็นเพียงเห็บเหาบนเสื้อผ้าสกปรกๆ เท่านั้น นางไม่สนใจหรอกว่าจะมีมากน้อยเท่าใด

ทว่าในขณะที่นางกำลังผ่าฟืนไปพลางครุ่นคิดเรื่องในใจของตนเองไปพลาง ก็รู้สึกเพียงว่าถูกผ้าอุดจมูกเอาไว้ ศีรษะเอียงไปอีกทาง ก่อนจะหมดสติรับรู้ไป…

เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งนางก็มาอยู่บนรถม้าที่เคลื่อนโคลงเคลงคันหนึ่งเสียแล้ว ในตัวรถติดผนังด้วยผ้าแพรต่วนสีคราม ถึงแม้มิอาจเรียกได้ว่าเลอค่าสูงส่ง แต่ว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางใช้สิ่งนี้มาปิดผนังด้านในรถม้าแน่นอน

ส่วนนางก็เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงสีขาวนวลสะอาดสะอ้าน อีกฝั่งของตัวรถมีหญิงชราใบหน้าบึ้งตึงผู้หนึ่งพร้อมด้วยสาวใช้น้อยที่ก้มหน้าหลุบตาต่ำคนหนึ่งกำลังนั่งพิงอยู่

เมื่อเห็นว่านางหนูฟื้นแล้ว หญิงชราผู้นั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักสีหน้าพูดว่า “ยินดีกับแม่นางด้วย โชคดีของเจ้ามาถึงแล้ว เพราะเจ้ารูปโฉมละม้ายคล้ายคลึงกับคุณหนูท่านหนึ่งที่จวนของข้า บังเอิญคุณหนูของข้าโชคร้ายเสียชีวิตไปแล้ว แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านกลับรักใคร่เอ็นดูนางยิ่งนัก หากล่วงรู้ข่าวร้ายของนางเมื่อใดจะต้องอายุขัยสั้นลงไปอีกเป็นแน่ ทุกคนในบ้านต่างก็เวทนา ดังนั้นจึงคิดหาวิธีออกมา ขอให้แม่นางช่วยปลอมตัวเป็นคุณหนูของข้าปิดบังเรื่องนี้กับท่านผู้เฒ่าด้วยเถิด ถือเสียว่าสร้างบุญสร้างกุศล”

หญิงชราผู้นี้คือจ้าวหมัวมัวซึ่งเป็นผู้อบรมกิริยามารยาทของซื่อจื่อจวนอ๋อง นางได้รับคำสั่งจากฉือหนิงอ๋องว่าจากนี้ต่อไปจะต้องคอยเฝ้าติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูตัวปลอมผู้นี้ จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้น

แน่นอนว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของแผนการที่จวนอ๋องและสกุลเซิ่งกำลังทำอยู่นี้ย่อมไม่จำเป็นต้องบอกนางหนูน้อยบ้านนอกคนหนึ่งให้มากความ บอกแค่สั้นๆ ง่ายๆ ว่านางมาประจบเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งให้มีความสุขก็พอแล้ว

นางหนูฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเรียวน้อยๆ เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “สกุลเซิ่งแห่งเมืองหลวง? คุณหนูคนใดของสกุลเซิ่งหรือ”

จ้าวหมัวมัวคิดว่านางเอ่ยถามได้โง่เขลายิ่ง ทำอย่างกับนางรู้จักคุณหนูสกุลเซิ่งอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ตอบเสียงแข็งกลับไปว่า “เซิ่งเซียงเฉียวบุตรสาวในภรรยาเอกของสกุลเซิ่ง”

นางหนูกะพริบตาปริบๆ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครา “เอ่อ…บ้านสามีของข้าตกลงแล้วหรือ”

จ้าวหมัวมัวยิ้มเย็นชาเล็กน้อย “แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าวางใจไปกับพวกเราก็พอ”

พอนึกถึงสกุลเซวียที่โลภมากไม่รู้จักพอนั้น จ้าวหมัวมัวก็ยิ้มเย็นในใจ โชคดีที่ท่านอ๋องคิดการรอบคอบ กลัวว่าคุณชายสี่สกุลเฉิงอายุยังน้อยมีเมตตาปรานีมากเกินไป ดังนั้นจึงส่งคนสนิทจากจวนอ๋องไปจัดการอีกครั้ง

คนสกุลเซวียก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน เพื่อขจัดภัยร้ายที่จะตามมาภายหลัง คนของจวนอ๋องจึงจัดการถอนรากถอนโคนพวกเขาจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้ก็ต้องดูว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะเชื่อฟังหรือไม่ ถ้าหากไม่รู้จักกาลเทศะดุจเดียวกัน ก็คงต้องตักเตือนให้หนักๆ อย่างมิอาจเลี่ยง

แต่เห็นได้ชัดว่านางหนูผู้นี้ไม่ได้รับการสั่งสอนมาแม้แต่น้อย นางขบคิดอยู่ชั่วขณะ แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “ในเมื่อแม่สามีข้าตกลงแล้ว เหตุใดต้องหลอกข้าเข้าไปในคฤหาสน์เก่าของสกุลเฉิง แล้วใช้ยาสลบเล่นงานข้าให้หมดสติด้วยเล่า”

จ้าวหมัวมัวถูกถามจนนิ่งอึ้งไป ที่เมืองหลวงรีบร้อนต้องการให้คุณหนูตัวปลอมกลับไปประจำตำแหน่ง ส่วนคนที่ส่งไปก็รู้ว่าคนตามแถบชนบทพาลพาโลไร้เหตุผล เพื่อลบล้างรากฐานและร่องรอยว่านางหนูตัวน้อยผู้นี้เคยอยู่ที่เมืองเจี้ยนเฉิง ท่านอ๋องจึงออกคำสั่งให้นางแกล้งตาย ดังนั้นตอนพาตัวนางออกมา วิธีการจึงย่อมรุนแรงหยาบกระด้างเป็นธรรมดา แต่ไหนเลยจะรอดพ้นการขบคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนของแม่นางน้อยผู้นี้ไปได้

ทว่าจ้าวหมัวมัวเองก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองสร้างเรื่องโกหกมาหลอกเด็กสาวบ้านนอกคอกนาผู้นี้ แค่ทำตามคำสั่งของฉือหนิงอ๋อง ถ้าหากนางไม่เชื่อฟัง ก็ขู่ขวัญให้นางยอมศิโรราบเป็นพอ

ด้วยเหตุนี้จ้าวหมัวมัวจึงบอกเป็นนัยให้หนิงเยียนสาวใช้น้อยที่อยู่ข้างๆ ซึ่งใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษเปิดกล่องไม้ทรงยาวที่ประคองอยู่ในมือนางออก…

หนิงเยียนลำคอแข็งทื่อ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกถลน เปิดกล่องไม้ในมือออกด้วยปากสั่นเทา…

ยามนางหนูหันไปมองก็ต้องสูดลมหายใจเย็นเฉียบเฮือกใหญ่…ศีรษะของสองสามีภรรยาสกุลเซวียกำลังวางเบียดกันอยู่ในนั้น กลิ่นเหม็นคาวโลหิตอันเตะจมูกซึ่งเจือปนด้วยกลิ่นของปูนขาวลอยเข้ามาปะทะใบหน้า!

จ้าวหมัวมัวมองดูใบหน้าที่ซีดเผือดของแม่นางน้อยในรถม้าทั้งสองคนด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยย้ำทีละคำๆ ว่า “จำเอาไว้ พอกลับไปถึงจวน ทุกอย่างต้องทำตามที่ข้าบอก! หาไม่แล้วสิ่งที่วางอยู่ในกล่องก็จะเป็นศีรษะของพวกเจ้าทั้งสอง!”

สาวใช้น้อยหนิงเยียนปิดกล่องไม้ลงดังปึง จากนั้นคุกเข่าลงข้างเท้าจ้าวหมัวมัวพร้อมกับสะอื้นไห้พลางเอ่ย “หนิงเยียนจะเชื่อฟังหมัวมัวทุกอย่างเจ้าค่ะ ขอให้ท่านอ๋องโปรดมีเมตตา ไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิด!”

จ้าวหมัวมัวแค่นเสียงฮึหนึ่งคำ กำชับสั่งให้หนิงเยียนถือกล่องออกไปนอกตัวรถ แล้วถึงค่อยหันมาเอ่ยถามด้วยท่าทีคล้ายกับเป็นมิตร “ขอถามว่าตอนนี้เจ้ายังมีอันใดอยากจะถามอีกหรือไม่”

นางหนูกำหมัดแน่น บังคับหยาดน้ำตาให้คลอหน่วยอยู่ในดวงตา เสมือนอย่างเด็กสาวขี้ขลาดหวาดกลัวทุกคน เอ่ยด้วยเสียงสะอื้นไห้ว่า “มะ…ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ…”

จ้าวหมัวมัวแค่นเสียงเย็นชา ก็แค่นางเด็กบ้านนอก ขู่ไปแค่นิดเดียวก็ยอมให้คนบังคับกะเกณฑ์ตามใจชอบราวกับก้อนดินนิ่มๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องต่อจากนี้ก็จัดการง่ายหน่อย

ดังนั้นนางจึงเอ่ยย้ำช้าๆ ชัดๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็จงจำเอาไว้ นับจากนี้ไปเจ้าก็คือหลานสาวฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่ง บุตรสาวเพียงคนเดียวของนายท่านเซิ่งเซวียนเหอกับภรรยาเอก คู่หมั้นของซื่อจื่อแห่งจวนฉือหนิงอ๋อง…เซิ่งเซียงเฉียว!”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: