X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 25.1-25.2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 25-1 คาดคั้นเอาผิด

หลิ่วจือหว่านซึ่งอยู่อีกด้านมองดูเฉิงเผยเหนียน จู่ๆ ก็เปิดปากขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา ตัดบทคำพูดของเขาลง “ถึงแม้หลายปีมานี้พวกเราจะอยู่แต่ที่ชนบท ทว่าตอนที่เพิ่งจะกลับมาเมืองหลวงก็ไม่เคยเห็นคุณชายสกุลเถียนผู้นั้นตามงานเลี้ยงน้อยใหญ่เลย ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อไม่นานมานี้เขาพลันปรากฏตัวขึ้นตามงานเลี้ยงน้ำชาต่างๆ ซ้ำยังมักจะชอบเข้ามาใกล้ชิดเต๋อฉิงอยู่เรื่อย

เพราะว่าข้าไม่รู้จักเขาเลยเกิดความสนใจใคร่รู้ เคยไปสืบถามกับคนอื่นมา ได้ความว่าคุณชายสกุลเถียนผู้นี้แต่เดิมแยกจวนออกมาจากสกุลเถียนพร้อมกับบิดาที่เป็นบุตรซึ่งเกิดจากอนุภรรยา ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อำเภออื่น ดูแลการค้าของตระกูลตนเอง ถึงแม้จะยังไม่เคยแต่งงาน

ทว่าในคฤหาสน์ที่ต่างเมืองหลังนั้นเลี้ยงนางระบำเอาไว้คนหนึ่ง สองคนนี้กำลังอยู่ในช่วงรักใคร่ชู้ชื่น กิจการในบ้านก็ยุ่งวุ่นวาย เหตุใดอยู่ดีๆ เขาถึงยอมปล่อยกิจการที่ทำเงินได้กับอนุนอกเรือนโฉมงามหยาดเยิ้มทิ้งไป แล้วมาหมกตัวอยู่ตามงานเลี้ยงน้อยใหญ่ในเมืองหลวงทั้งวี่ทั้งวันเล่า ข้าสืบได้เรื่องมาว่าถึงแม้เขาจะเป็นคนสกุลเถียน แต่กลับขออาศัยอยู่ในจวนของใต้เท้าเฉิงมาตลอดเลยนี่เจ้าคะ”

ครั้นนางกล่าวเช่นนี้เฉิงเผยเหนียนก็เอ่ยวาจาไม่ออกในทันใด ตอนแรกที่เถียนเพ่ยหรงเป็นตัวตั้งตัวตีช่วยหาสามีให้เฉิงเต๋อฉิงแทนเขาก็เอาแต่เอ่ยชมหลานชายว่าดีเช่นนั้นดีเช่นนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเถียนเต๋อซิวกลับเลี้ยงอนุนอกเรือนเอาไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ถ้าหากมีพฤติกรรมต่ำทรามพรรค์นี้จริงๆ เขาก็ไม่กล้าเอ่ยชมเชยให้เซิ่งกุ้ยเหนียงฟังว่าคุณชายสกุลเถียนเป็นคนหนุ่มมากความสามารถมีคุณธรรมจริยธรรมอันใดเช่นกัน

เขาเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเถียนเต๋อซิวจะเป็นคนเช่นนี้ เพราะตอนแรกเถียนเพ่ยหรงบอกเพียงว่าให้หนุ่มสาวทำความรู้จักกันเอง ถูกตาต้องใจกันแล้วค่อยไปสู่ขอ เดี๋ยวก็เกิดเป็นความรักขึ้นเอง

หลังจากแต่งให้หลานชายสกุลเถียนแล้ว สินเดิมของบุตรสาวก็จะได้กลับคืนมามากกว่าครึ่ง…

ทันใดนั้นเขาเองก็ร้อนตัวเล็กน้อยเช่นกัน เริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เถียนเต๋อซิวปรักปรำบุตรสาวจริงหรือไม่

หลิ่วจือหว่านผ่อนลมหายใจเล็กน้อย เอ่ยต่อไปว่า “ต่อมาข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นเถียนฮูหยินของจวนท่านที่เป็นฝ่ายพาหลานชายไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้อยใหญ่ ช่างบังเอิญเหลือเกินที่งานเลี้ยงเหล่านี้ก็เป็นงานเลี้ยงที่หญิงสาวบ้านพวกเราก็จะไปร่วมเช่นกัน ข้าเห็นกับตาตนเองว่าทางเดินใหญ่โตกว้างขวาง เขาไม่เดินให้ดี กลับมาเดินชนกับเต๋อฉิง หากมิใช่ตาบอดก็คงจะเจตนา

ถึงแม้เต๋อฉิงเองก็เป็นหญิงสาวที่งามทั้งภายนอกและภายใน รูปโฉมงามละมุนละไม แต่ในฐานะที่พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ข้าก็ขอพูดอย่างไม่เกรงใจสักประโยค รูปโฉมของนางยังไม่งดงามพอจะทำให้คุณชายสกุลเถียนที่คลุกคลีอยู่กับหญิงงามเริงเมืองผู้นั้นหลงใหลจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างได้หรอก

หากรูปโฉมไม่พอให้คนหลงใหล แต่เมื่อประกอบกับสินเดิมของนางแล้วก็สามารถทำให้คนถ่อยไร้ยางอายที่เห็นผลประโยชน์แล้วลืมคุณธรรมบางคนหลงนึกว่าเกาะขั้นบันไดขึ้นสวรรค์ได้จริงๆ เรื่องนี้ประจักษ์ชัดอยู่ตรงหน้า เหตุใดคุณชายสกุลเถียนถึงต้องปั้นน้ำเป็นตัวนั้น ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักผู้สูงส่งอย่างท่านมองไม่ออกหรอกหรือ”

เฉิงเผยเหนียนถูกพูดใส่จนแตกตื่นตะลึงลานไป ยามนี้เขาเองก็ขบคิดเข้าใจสายสนกลในที่อยู่เบื้องหลังแล้วเช่นกัน ทว่าเขาอยู่บนหลังเสือยากจะลงได้ในทันทีทันใด จึงไม่กล้าเอ่ยยอมรับกับปากตนเองต่อหน้าภรรยาเก่าว่าฮูหยินที่เขาแต่งเป็นภรรยาคนใหม่นี้วางแผนเล่นงานบุตรสาวของตนเอง

ดังนั้นพอฟังถ้อยคำบีบเค้นกดดันของหลิ่วจือหว่านจบ เขาก็อับอายจนพาลโกรธอยู่บ้าง จึงตะคอกเสียงดังกึกก้องว่า “ที่นี่ผู้ใหญ่เขากำลังคุยกันอยู่ เด็กน้อยอย่างเจ้ายื่นมือเข้ามาสอดอันใดด้วย เต๋อฉิงเป็นบุตรสาวของข้า เรื่องบางเรื่องข้ากับเซิ่งกุ้ยเหนียงต้องปรึกษากันสองคน เกี่ยวอันใดกับเจ้าเล่า”

หลิ่วจือหว่านยิ้มเย็นพลางเอ่ย “ท่านพูดเองนี่ว่าเต๋อฉิงถูกฝากเลี้ยงดูที่สกุลเซิ่ง หากนางเสื่อมเสียชื่อเสียงก็เท่ากับบุตรสาวสกุลเซิ่งอย่างพวกเราเสื่อมเสียชื่อเสียง ท่านเอาใจเข้าหาสกุลเถียน หวังจะขายบุตรสาวแลกเกียรติยศ แต่อย่ามาหวังว่าจะเอาชื่อเสียงสกุลเซิ่งของพวกเราไปขายให้สกุลเถียนพร้อมกันเพื่อเป็นสินเดิมให้ท่านเชียว”

เฉิงเผยเหนียนเป็นขุนนางมานานหลายปี ไหนเลยจะเคยถูกแม่นางน้อยผู้หนึ่งด่ากราดซึ่งๆ หน้าเช่นนี้

ทันใดนั้นเขาก็โมโหขึ้นมา เพราะความฉุนจัดจึงชี้หน้าหลิ่วจือหว่านแล้วโพล่งด่าว่า “เจ้ามันนางเด็กสามหาว บุตรหลานที่สกุลเซิ่งเลี้ยงดูล้วนมีแต่สตรีไร้ยางอาย ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่อย่างเจ้าอยู่แล้ว ยังจะต้องให้ข้าสาดโคลนให้ชื่อเสียงพวกเจ้าแปดเปื้อนอีกหรือ”

วาจาประโยคนี้ของเขาจุดเพลิงโทสะในหัวใจของเซิ่งกุ้ยเหนียงให้ลุกโชนขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา เมื่อวานบุตรสาวพยายามปลิดชีพตนเอง แม้ว่าจะถูกช่วยเอาไว้ได้ แต่บนลำคอเรียวบางขาวผ่องนั้นยังคงหลงเหลือรอยเขียวช้ำรอยหนึ่งเอาไว้ เซิ่งกุ้ยเหนียงมองดูก็ปวดใจอยู่ตลอดคืน

พูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเวรกรรมที่คนสารเลวอย่างเถียนเพ่ยหรงกับเฉิงเผยเหนียนคู่นี้ก่อขึ้น ยามนี้พอเห็นว่าคนเป็นบิดาอย่างเฉิงเผยเหนียนไม่แม้แต่จะถามว่าอาการของบุตรสาวในตอนนี้เป็นอย่างไร กลับเอาแต่คิดว่าจะเอาอกเอาใจสกุลเถียนเช่นไร ซ้ำบัดนี้ก็ยังเริ่มมาด่าทอต่อว่าเด็กสาวในสกุลเซิ่งอีก จึงเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในบัดดล

นางผู้มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนหวานมาแต่ไหนแต่ไรกลับกระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายราวกับแม่เสือก็ไม่ปาน คว้ากาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาฟาดใส่ศีรษะของเฉิงเผยเหนียนอย่างหนักหน่วงรุนแรง หลังจากนั้นก็ใช้เล็บข่วนใบหน้าของเขา

เซิ่งกุ้ยเหนียงข่วนไปพลางเอ่ยด่าไปพลาง “ท่านมันพวกหน้าด้านไร้ยางอาย! ปล่อยให้เถียนเพ่ยหรงส่งเสริมหลานชายอันธพาลมาทำลายชื่อเสียงของบุตรสาวข้า! ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานบุตรสาวข้ากลับมาถึงจวนก็ใช้สายรัดเอวแขวนคอฆ่าตัวตาย! หากมิใช่เพราะนางหนูเซียงเฉียวนี่ไปช่วยได้ทันท่วงที วันนี้ท่านก็คงได้แห่ศพให้ฉิงเอ๋อร์ไปแต่งผีกับสกุลเถียนแล้ว! ท่านจะได้มาวางอำนาจบาตรใหญ่ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหวอยู่ที่นี่หรือ ต่อให้วันนี้ท่านไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปที่สกุลเฉิงของท่านเพื่อสับพวกท่านให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น!”

คราวนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงโกรธแค้นขึ้นมาแล้วจริงๆ น่าเวทนาใต้เท้าเฉิงที่บาดแผลที่เกิดจากการถูกไม้เท้าฟาดใส่จนเขียวช้ำก่อนหน้านี้ยังไม่ทันจางหาย ตอนนี้ก็มาถูกกาน้ำชาฟาดใส่จนโลหิตสดๆ อาบชุ่มโชกอีก

เขาไม่เคยเห็นเซิ่งกุ้ยเหนียงอาละวาดคลุ้มคลั่งเช่นนี้มาก่อน จึงทั้งเจ็บทั้งตื่นตระหนกไปพร้อมๆ กัน ได้แต่หลบหลีกพร้อมกับร้องโอ๊ยๆ ตะโกนเสียงดังลั่นว่านางจะสังหารตน!

เหตุการณ์นี้ชุลมุนจนหยุดไม่ลงไปพักหนึ่ง จนกระทั่งยามเฉิงเทียนฟู่สาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาพร้อมกับเกล็ดน้ำค้างหนาวเหน็บเกาะทั่วทั้งร่าง ก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่มารดากำลังจะสังหารบิดาเข้า

เขารีบเดินทางกลับมาจากนอกเมืองหลวง คนสกุลเซิ่งที่ส่งไปตามหาเจอกับเขาระหว่างทางพอดี หลังจากคนที่นำความไปแจ้งรีบร้อนเล่าสถานการณ์ในจวนให้ฟังแล้ว เฉิงเทียนฟู่ก็ตวัดแส้ควบอาชาห้อตะบึงกลับมา

เมื่อครู่กลับถึงจวนเขาก็แวะไปที่ห้องนอนของน้องสาวก่อน แม้ว่าอาการของเฉิงเต๋อฉิงจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีท่าทางเศร้าสร้อยเซื่องซึมอยู่

ไม่รู้เพราะเหตุใดหยวนกวงต๋าซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉิงเทียนฟู่กลับบุกเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาวโดยไม่สนใจสาวใช้ที่เข้ามาขัดขวาง ตาแดงก่ำพลางตะโกนโหวกเหวกใส่เฉิงเต๋อฉิงที่อยู่บนเตียงว่า “เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปเชือดไอ้สารเลวนั่นเพื่อแก้แค้นให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”

เฉิงเทียนฟู่สั่งให้คนจับตัวเสนาธิการหยวนที่กำลังบ้าคลั่งเอาไว้ ต่อมาหลังจากมองดูลำคอที่ช้ำเขียวของน้องสาวแล้วก็สาวเท้าพรวดพราดเดินมายังเรือนด้านหน้า

ตอนที่เขาเดินมาถึงห้องโถงก็ได้ยินมารดากำลังด่าบิดาสาดเสียเทเสียอยู่พอดี จึงเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ จนกระจ่างเกือบหมดในทันที หลังจากนั้นก็หันกายเดินตรงออกไปนอกประตูจวนโดยที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยวาจาใดๆ ทั้งสิ้น

เฉิงเผยเหนียนเห็นแล้วนึกว่าเขาไม่สนใจตนเอง เลยพูดด่าทอเสียงดังสนั่นว่า “เจ้าเห็นมารดาเจ้าคลุ้มคลั่งเสียสติ เหตุใดถึงยังไม่ห้ามปรามอีก เจ้าอยากจะให้นางทุบตีข้าตายจริงๆ อย่างนั้นรึ”

แต่ว่าหลิ่วจือหว่านเข้าใจอุปนิสัยของญาติผู้พี่ดี แม้ปกติจะเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ แต่ถ้าหากแตะเกล็ดย้อนของเขาเข้าเมื่อใด เขาก็เป็นคนที่พร้อมจะวางเพลิงเผาบ้านสังหารคนได้ทุกเมื่อ

ดังนั้นพอนางเห็นเฉิงเทียนฟู่เดินออกไปพร้อมจิตสังหารคุกรุ่นก็รีบเอ่ยกับเฉิงเผยเหนียนว่า “ท่านยังจะมัวโวยวายอันใดอีก รีบกลับจวนไปเร็วเข้า!”

นางกลัวว่าญาติผู้พี่จะเผลอบันดาลโทสะสังหารคนเข้าจริงๆ จึงรีบเรียกให้เฉิงเผยเหนียนกลับจวนสกุลเฉิงไปห้ามปรามเขาสักหน่อย

ยามนี้เฉิงเผยเหนียนเพิ่งจะได้สติคืนมา เขาตื่นตกใจจนสะดุ้งเฮือก รีบร้อนใช้มือกุมหน้าผากพร้อมกับวิ่งออกไปอย่างกระวนกระวาย

เซิ่งกุ้ยเหนียงก็หวาดกลัวเช่นเดียวกัน ถึงแม้นางเองก็ตบตีผู้อื่น แต่อย่างมากก็มีแค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อย ทว่าถ้าหากบุตรชายใจร้อนวู่วามขึ้นมา เขาก็อาจจะชักกระบี่ออกมาแทงทะลุหัวใจผู้อื่นได้จริงๆ

นางกลัวว่าตนเองจะเกลี้ยกล่อมบุตรชายไม่สำเร็จ จึงเร่งรีบคว้าตัวหลิ่วจือหว่านที่อยู่ข้างกายเอาไว้ จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกเช่นกัน หลังจากสั่งให้คนเตรียมรถม้าแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังสกุลเฉิงอย่างร้อนรน

ส่วนเฉิงเทียนฟู่ก็พานายทหารที่อยู่ใต้บัญชาออกจากจวนแล้วกระโดดขึ้นหลังอาชา ห้อเหยียดมาตลอดทางจนมาถึงสกุลเฉิง

บทที่ 25-2 คาดคั้นเอาผิด

ตอนที่มาถึงหน้าประตูจวนสกุลเฉิง เสนาธิการหยวนก็ลงจากอาชามาเป็นคนแรก จากนั้นก็ตบบานประตูอย่างรุนแรง

ไม่รอให้คนเฝ้าประตูได้เปิดประตูออก เฉิงเทียนฟู่เองก็ลงมาจากหลังม้า เขาใช้ขายาวข้างหนึ่งเตะไปที่ประตูจนเปิดออกทันที หลังจากนั้นก็ตรงปรี่เข้าไปโดยไม่สนพวกบ่าวรับใช้ที่เข้ามาขัดขวางห้ามปราม

พอเถียนเพ่ยหรงผู้นั้นทราบข่าวก็รีบปั้นหน้าแย้มยิ้มเสแสร้งออกมาต้อนรับพลางเอ่ยถาม “เทียนฟู่ เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างแวะมาได้เล่า ไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้าสักคำ ข้าจะได้สั่งให้คนเตรียมอาหารไว้ให้ โอ๊ย…”

ไม่รอให้เถียนเพ่ยหรงพูดจาตามมารยาทจบ นางก็ถูกเฉิงเทียนฟู่ผลักอย่างรุนแรงจนล้มคะมำลงกับพื้นอย่างทุลักทุเลยิ่งเสียก่อน

เฉิงเทียนฟู่ยื่นมือไปกระชากตัวหญิงชรารับใช้คนหนึ่งที่เขารู้จักเอาไว้ เปิดปากเอ่ยถามว่า “ตอนนี้หลานชายของสกุลเถียนผู้นั้นอยู่ที่ใด”

พอหญิงชรารับใช้ผู้นั้นเห็นว่าคุณชายสี่เอ่ยถาม ด้วยอารามตื่นตะลึงจึงพูดบอกไปด้วยความสัตย์จริง “คุณชายสกุลเถียนพักอยู่ในห้องพักแขกฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ คงจะยังไม่ตื่นนอน…”

ครั้นเฉิงเทียนฟู่ได้ยินก็พาคนเดินสาวเท้ายาวๆ ไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังทันที

 

ทางฝั่งเถียนเต๋อซิวนั้นยามนี้กำลังได้ใจเป็นที่สุด

ถึงแม้นางหนูเฉิงเต๋อฉิงนั่นจะไม่หลงกล เขาล่อลวงอยู่หลายครั้งหลายคราล้วนไม่สำเร็จ แต่โชคดีที่ท่านป้าช่วยคิดแผนการดีๆ ให้ สกัดสาวใช้ประจำตัวของเฉิงเต๋อฉิงเอาไว้อย่างชาญฉลาดในจวนหย่งติ้งกั๋วกง ให้เขากับเฉิงเต๋อฉิงได้เจอหน้ากันตามลำพังในสวนดอกไม้ เมื่อเป็นฉะนี้ก็สามารถสร้างสถานการณ์ปลอมๆ เหมือนว่าชายหญิงกำลังลักลอบนัดพบกันขึ้นมาได้

แต่น่าชังนักที่นางเด็กนั่นกลับเป็นวรยุทธ์อยู่สองสามกระบวนท่า จึงไม่ได้ถูกเขากระชากเข้าไปในเรือน มิฉะนั้นแผนการก็คงยิ่งราบรื่นเห็นผลมากกว่านี้เป็นแน่

ตอนนี้ขอเพียงแค่เขากัดไม่ปล่อยว่านางเด็กเฉิงเต๋อฉิงนั่นเป็นคนเชื้อเชิญเขา เพื่อปกปิดข่าวคราวฉาวโฉ่ สกุลเซิ่งจะต้องยอมยกเฉิงเต๋อฉิงให้แต่งกับเขาแน่นอน เขาเพียงต้องรอให้ท่านลุงเขยเดินทางไปสู่ขอ กำหนดฤกษ์แต่งงานก็พอแล้ว

ในขณะที่เขากำลังลำพองใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประตูห้องของตนเองเปิดออกเสียงดัง จากนั้นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก็พุ่งกระโจนเข้ามามองเขาแล้วเอ่ยถาม “เจ้าก็คือเถียนเต๋อซิว?”

เถียนเต๋อซิวยังตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ ปากเอ่ยขานตอบว่าอืมแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงไร้มารยาทเช่นนี้…”

ยังไม่ทันให้เขาพูดจบ คอเสื้อก็ถูกอีกฝ่ายกระชากหมับ ต่อมาร่างทั้งร่างก็ถูกเหวี่ยงเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ หลังจากเหวี่ยงครบหนึ่งรอบแล้วก็ถูกโยนใส่หน้าต่างทันที หน้าต่างบานนั้นถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ตัวคนก็ถูกโยนออกไปราวกับเป็นถุงเก่าขาดรุ่งริ่งเช่นกัน

กระทั่งร่วงหล่นลงกับพื้นอย่างอเนจอนาถ เถียนเต๋อซิวก็รู้สึกเจ็บปวดจนสติสัมปชัญญะพร่าเลือน ได้แต่ร้องโอดครวญ

หยวนกวงต๋าชักค้อนจินกวาคู่หนึ่งออกมาจากข้างเอว ตะโกนร้องเสียงดังหมายจะเข้าไปทุบเจ้าหนุ่มนั่นให้ศีรษะยุบ

ถึงแม้ค้อนนี้จะดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ในสนามรบกลับเป็นอาวุธคมกริบที่สามารถทุบคนให้ตายคาที่ได้ หากคนโดนทุบใส่จุดสำคัญบนศีรษะเข้าถึงขั้นทำให้สมองไหลกระจัดกระจายได้ทีเดียว

เคราะห์ดีที่คนข้างกายได้รับคำกำชับสั่งจากท่านแม่ทัพน้อยตั้งแต่แรกแล้ว จึงรีบกอดเอวเสนาธิการเอาไว้ ไม่ให้เขาพุ่งเข้าไปสังหารคน

ขายาวของเฉิงเทียนฟู่พลันกระโดดพุ่งตัวออกไปจากหน้าต่างได้อย่างง่ายดาย แล้วกระหน่ำเตะเข้าใส่ท้องของเถียนเต๋อซิว จากนั้นค่อยกระชากมวยผมของอีกฝ่ายขึ้นมา เปิดปากเอ่ยถามว่า “บอกมา! ใครบงการให้เจ้าปรักปรำเต๋อฉิง”

ในที่สุดเถียนเต๋อซิวก็ได้สติขึ้นมา ผู้มาเยือนคือเฉิงเทียนฟู่พี่ชายของเฉิงเต๋อฉิงมิใช่หรือ…เพียงแต่เมื่อก่อนตอนที่ตนเองเคยเห็นเขาในงานเลี้ยง รู้สึกว่าถึงแม้คนผู้นี้จะรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับเป็นชายหนุ่มรูปงามที่สุภาพมีมารยาทผู้หนึ่ง

ทว่าพอวันนี้กลับเห็นเฉิงเทียนฟู่พุ่งปรี่เข้ามาเช่นนี้ ทั้งเหวี่ยงทั้งต่อยตี แทบจะเรียกได้ว่าเหี้ยมโหดประหนึ่งราชสีห์ เสี้ยวพริบตาถัดมาพร้อมจะกินคนได้ทุกเมื่อ

ดูท่าเฉิงเทียนฟู่คงจะออกหน้าแทนน้องสาว เดินทางมาเพื่อคิดบัญชีแค้นกับตน

เถียนเต๋อซิวแอบร้องคร่ำครวญในใจ แต่กลับเอ่ยอย่างปากแข็งว่า “พี่ใหญ่เฉิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว เต๋อฉิงกับข้าแอบนัดพบ…ลอบสัญญาหมั้นหมายกัน ข้ามิได้ใส่ร้ายปรักปรำนางแต่อย่างใด…อ๊าก…เขาจะฆ่าข้าแล้ว! ใครก็ได้! ช่วยด้วย!”

อีกฝ่ายยังไม่ทันพูดจบ เฉิงเทียนฟู่ก็คร้านจะฟังเขาปั้นน้ำเป็นตัว ชักกระบี่ออกมาแทงใส่น่องของเขาจนกลายเป็นรูสองรู เถียนเต๋อซิวเป็นคุณชายจอมเสเพล ตั้งแต่เล็กจนโตเคยประสบกับความเจ็บปวดรวดร้าวเช่นนี้ที่ใดกัน เขาเจ็บจนตาเหลือกทั้งสองข้าง ร้องโอดโอยโหยหวนน้ำหูน้ำตาไหล

ในยามนี้เอง เถียนเพ่ยหรงก็ไล่ตามมาอย่างรีบร้อนโดยมีสาวใช้คอยประคอง

ครั้นเห็นภาพโลหิตเจิ่งนองเช่นนี้เถียนเพ่ยหรงก็ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสีทันใด เอ่ยเสียงดังก้องว่า “เฉิงเทียนฟู่! จะ…เจ้าเป็นขุนนางในราชสำนักที่มีตำแหน่งหน้าที่อยู่กับตัว ที่นี่หาใช่สนามรบที่ชายแดน หากเจ้ากล้าสังหารคน ชีวิตจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”

แม้ปากของนางจะตะโกนอยู่ แต่ในใจกลับทั้งหวาดกลัวทั้งยินดี ที่หวาดกลัวคือกลัวเฉิงเทียนฟู่จะสังหารคนจนเสียสติ ทำร้ายนางไปด้วยพร้อมกัน ที่ยินดีคือหากเขาก่อคดีฆ่าคนตายขึ้นเพราะเหตุนี้ เช่นนี้ทรัพย์สมบัติของสกุลเฉิงก็จะสามารถริบกลับคืนมาได้อย่างสมเหตุสมผล! เพราะอย่างไรแล้วชีวิตหนึ่งของสกุลเถียน จะปล่อยให้เขาสังหารไปเช่นนี้ไม่ได้…

ระหว่างที่ในใจนางกำลังคิดคำนวณอย่างรวดเร็วอยู่นั้นกลับพบว่าเฉิงเทียนฟู่เบือนใบหน้ามามองนางเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แววตาน่าครั่นคร้ามเช่นนี้พาให้เถียนเพ่ยหรงตกใจเสียขวัญจนสะดุ้งเฮือก เกรงกลัวว่าเฉิงเทียนฟู่จะสังหารผู้คนอย่างเสียสติ จึงไม่กล้าขัดขวางอีกเช่นกัน รีบร้อนหนีไปอยู่ในห้องปีกข้างที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยันประตูเอาไว้พร้อมเอ่ยกับหมัวมัวที่อยู่ข้างกายด้วยเสียงต่ำเบาว่า “รีบสั่งให้คนไปแจ้งทางการเร็วเข้า แล้วก็ไปตามนายท่านกลับมา ที่นี่จะมีคนตายแล้ว”

แต่เฉิงเทียนฟู่กลับเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้นว่า “ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ข้าได้พาใต้เท้าผู้ว่าการมาเป็นพยานที่นี่ด้วย นอกจากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้ายังล้อมจวนสกุลเฉิงเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว หากไม่มีคำสั่งของข้า วันนี้ใครก็อย่าคิดจะเข้าออกจวน!”

ในยามนี้เอง พลทหารที่อยู่ในชุดเกราะหลายนายก็เดินขนาบบุรุษวัยกลางคนซึ่งสวมใส่ชุดคลุมลำลองตัวกว้าง สวมรองเท้าไม้ผู้หนึ่งเดินเข้ามา

คนที่เป็นผู้นำเอ่ยกับเฉิงเทียนฟู่ว่า “เรียนท่านแม่ทัพ ประตูใหญ่แต่ละแห่งแบ่งกำลังทหารเฝ้าจับตาเอาไว้แล้วขอรับ นอกกำแพงเรือนก็มีคนยืนตรวจตราเฝ้ายามเช่นกัน แม้แต่แมลงวันสักตัวก็บินออกไปไม่ได้แน่นอน พวกเรายังได้ ‘เชิญ’ ใต้เท้าผู้ว่าการมาจากจวนตามที่ท่านกำชับสั่งแล้วขอรับ”

ใต้เท้าผู้ว่าการผู้นั้นจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน เมื่อวานเขาไปร่วมงานเลี้ยงสุรา เมาค้างยังไม่สร่างดี จู่ๆ ก็ถูกพลทหารบุกเข้ามาในจวนและ ‘เชิญ’ มาที่นี่เสียแล้ว

เมื่อเขาเห็นแม่ทัพเพี่ยวฉีถือกระบี่ทำร้ายคน โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งพื้น เหงื่อเยียบเย็นก็ผุดขึ้นมาตามสันหลังทันที สร่างจากอาการเมาค้างโดยสมบูรณ์

เถียนเพ่ยหรงชะโงกศีรษะออกมาจากห้องปีกข้าง เอ่ยถามเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าจะทำอันใดกันแน่ นี่ก็แค่เรื่องส่วนตัวระหว่างหนุ่มสาว เหตุใดเจ้าต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ด้วย เจ้าไม่เป็นห่วงชื่อเสียงของน้องสาวเจ้าอย่างนั้นหรือ”

เฉิงเทียนฟู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “พวกท่านก็เอาคำว่า ‘ชื่อเสียง’ สองพยางค์นี้มาเล่นงานน้องสาวข้ามิใช่หรือ วันนี้ข้าไม่สนใจแล้วจริงๆ!”

พูดจบเขาก็ก้มตัวลงหิ้วตัวเถียนเต๋อซิวที่กำลังร้องไห้โหยหวนขึ้นมา สั่งให้คนทำแผลให้เขาอย่างง่ายๆ แล้วมัดตัวเอาไว้ ต่อมาก็กวักมือเรียกพ่อบ้านของสกุลเฉิงเข้ามาแล้วเปิดปากเอ่ยถาม “เมื่อวานเถียนฮูหยินกับเจ้าเด็กนี่ไปจวนหย่งติ้งกั๋วกงด้วยกัน มีบ่าวรับใช้คนใดตามไปบ้าง ไปพาตัวมาให้หมด!”

พ่อบ้านผู้นั้นกำลังจะหันไปมองสายตาของเถียนเพ่ยหรงตามสัญชาตญาณ

ทว่าในยามนี้เอง ทหารหาญซึ่งอยู่ในชุดเกราะสองนายได้เดินเข้ามาขนาบข้างกายพ่อบ้านเอาไว้ซ้ายขวาข้างละคน เฉิงเทียนฟู่โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องไปหาด้วยตนเองทีละคน เจ้าไปที่ห้องด้านนู้นแล้วหยิบกระดาษกับพู่กันมาเขียนรายชื่อทั้งหมดให้ข้า”

หลังจากพ่อบ้านผู้นั้นเดินเข้าห้องไปแล้วก็ถูกดาบพาดไว้ตรงลำคอ จึงจำต้องเขียนรายชื่อลงไปด้วยความจนปัญญา

เฉิงเทียนฟู่สุ่มเรียกตัวตามรายชื่อมาสองคน ต่อมาก็แยกขังเดี่ยวไว้ในห้องห้องหนึ่ง ให้พวกเขาเขียนรายชื่อคนที่ติดตามเดินทางไปด้วยอีกครั้ง

เนื่องจากสองคนนี้ไม่ได้ตระเตรียมคำให้การกันเอาไว้ก่อน รายชื่อที่เขียนจึงไม่เหมือนกัน เมื่อถึงตอนที่นำมาตรวจเทียบกัน พบว่ารายชื่อของพ่อบ้านเขียนขาดไปจำนวนหนึ่ง พ่อบ้านผู้นั้นจึงถูกทุบตีอย่างรุนแรงอยู่ในห้อง

คราวนี้พ่อบ้านยอมศิโรราบแล้ว เขาเป็นคนเก่าแก่ของสกุลเฉิง รู้ดีว่าคุณชายสี่ผู้นี้นิสัยใจคอเป็นอย่างไร หากวันนี้เขาไม่เขียนรายชื่อให้เรียบร้อยแต่โดยดี ก็คงจะถูกทุบตีตายอยู่ในห้องนี้

หลังจากพ่อบ้านเขียนรายชื่อคนทั้งหมดครบเรียบร้อยตามความสัตย์จริง เฉิงเทียนฟู่อ่านดูครู่หนึ่งก็สั่งให้คนตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อ แล้วจับคนเหล่านี้มัดเอาไว้พร้อมกันทั้งหมด ไต่สวนทีละคนๆ สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 มิ.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: