X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 25.3-25.5

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 25-3 คาดคั้นเอาผิด

ในขณะที่เขากำลังสอบสวนอยู่นั้น เฉิงเผยเหนียนก็ไล่ตามมาถึงอย่างกระหืดกระหอบ ทีแรกเฉิงเผยเหนียนเข้ามาในจวนไม่ได้ เขาถูกชายฉกรรจ์ตัวโตราวกับเจดีย์เหล็กหลายคนขวางเอาไว้หน้าประตูใหญ่ของบ้านตนเองด้วยท่าทางดุร้ายถมึงทึง จนกระทั่งพวกเซิ่งกุ้ยเหนียงกับหลิ่วจือหว่านมาถึง ชายฉกรรจ์ร่างโตผู้นั้นเข้าไปรายงานท่านแม่ทัพ ถึงยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามา

หลังจากเฉิงเผยเหนียนเข้ามายังเรือนชั้นในก็ตะลึงงันไปหมด

นี่มันภาพสนามรบนองเลือดอันใดกัน เจ้าลูกเนรคุณเฉิงเทียนฟู่คิดจะเข่นฆ่าสกุลเฉิงล้างตระกูลอย่างนั้นหรือ

เขาโมโหจนด่าทอหยาบคายในใจทันที ปรี่ถลาไปตรงหน้าเฉิงเทียนฟู่ คิดจะตบอีกฝ่ายสักหนึ่งฉาด

ทว่าบุตรชายกลับพาดกระบี่ลงบนลำคอของเขาในทันใด ใช้คมกระบี่ยันคอของเขาเบาๆ แล้ววาดไล้เล็กน้อย เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นคอของน้องสาว รอยเขียวช้ำตรงนี้ยังไม่จางหาย…ท่านพ่ออยากให้ข้ากลับสกุลเฉิงมาตลอดมิใช่หรือ วันนี้ข้ากลับมาดังที่ท่านปรารถนาแล้ว เหตุใดท่านพ่อยังไม่ดีใจอีกเล่า แต่น่าเสียดายที่ในจวนนี้สกปรกโสโครกเสียจนชวนให้คนไม่กล้าย่างกราย ข้าช่วยทำความสะอาดจวนสกุลเฉิงให้แล้ว ประเดี๋ยวพวกเราสองพ่อลูกมานั่งค่อยๆ คุยกันเถิด”

หลิ่วจือหว่านที่ตามเข้ามาก็ตื่นตกใจเช่นกัน มิใช่เพราะนางเห็นโลหิตแล้วหวาดกลัว แต่เพราะกังวลว่าเฉิงเทียนฟู่จะเดือดดาลเลือดขึ้นหน้าจนสูญเสียสติสัมปชัญญะไป หากเขาสังหารคนในสกุลเฉิงจริงๆ ต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นฝ่ายผิดไป

พอถึงตอนนั้นถ้าสกุลเถียนไม่ยอมจบสิ้น ญาติผู้พี่ไม่เพียงแต่จะต้องถูกถอดจากตำแหน่งขุนนาง เกรงว่ายังจะต้องติดคุกติดตะรางอีกด้วย…

ดังนั้นนางจึงเดินไปข้างกายเฉิงเทียนฟู่ เอ่ยเสียงเบาว่า “ญาติผู้พี่จะนั่งพักดื่มน้ำชาสักแก้วหรือไม่เจ้าคะ ผ่อนคลายสักนิดแล้วค่อยหารือกับพวกเขาดีหรือไม่”

เฉิงเทียนฟู่รู้ว่าแม่นางน้อยเอ่ยเช่นนี้เพื่อย้ำเตือนเขาว่าอย่าได้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะ

เขามองหลิ่วจือหว่านปราดหนึ่ง หลังชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “ข้ารู้แก่ใจดี เจ้ากับท่านแม่ไปนั่งอีกด้านเถิด”

ส่วนทางฝั่งบ่าวรับใช้ที่ถูกสอบสวนเหล่านั้น พอเห็นเถียนเต๋อซิวถูกแทงจนอยู่ในสภาพราวกับน้ำเต้าสีเลือด แต่ละคนก็ตกใจเสียขวัญจนตัวสั่นราวกับตะแกรงร่อนแป้ง

เฉิงเทียนฟู่พูดเอาไว้ชัดเจนว่าหากมีใครยังคิดไม่ได้ ยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ทำตัวซื่อสัตย์ภักดี เช่นนั้นก็อย่าโทษว่ากระบี่ของเขาไร้ไมตรีที่ทำให้ใครต้องไปรายงานตัวต่อพญามัจจุราชอย่างฉับพลัน

ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่มีเวลาไปสนใจคิดว่าเถียนเพ่ยหรงจะลงโทษพวกเขาหรือไม่ หลังจากถูกข่มขู่ไต่สวนเล็กน้อยก็เล่าเรื่องที่วันนั้นเถียนเพ่ยหรงสั่งให้พวกเขาฉวยโอกาสตอนคุณหนูเฉิงเต๋อฉิงไปเข้าห้องเวจที่เรือนด้านหลังสกัดสาวใช้ของนางเอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งทำหน้าที่นำทางให้เถียนเต๋อซิวโดยเฉพาะ แค่รอให้เฉิงเต๋อฉิงอยู่ตามลำพังแล้วก็ค่อยให้เถียนเต๋อซิวไปพบเจอกันซึ่งๆ หน้า

หลังจากเฉิงเทียนฟู่รับฟังจบด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก็หันไปถามบิดาที่กำลังทำแผลตรงหน้าผากอยู่

“ท่านได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่ เป็นเพราะฮูหยินของท่านผู้นั้นวางแผนเอาไว้นานแล้ว หาคนสกปรกโสมมพรรค์นี้มาสร้างความแปดเปื้อนให้ชื่อเสียงของน้องสาวข้า ถ้ามิใช่เพราะเต๋อฉิงเรียนวรยุทธ์กับญาติผู้พี่ของนางมาสองสามกระบวนท่า เกรงว่าคงจะถูกเจ้าคนสันดานสุนัขนี่กระชากเข้าห้อง โดนเขาขืนใจย่ำยีไปแล้ว! บัดนี้พยานบุคคลล้วนมีครบ เถียนฮูหยิน ท่านพ่อ ใต้เท้าผู้ว่าการว่าข้อกฎหมายออกมาเถิด!”

เฉิงเผยเหนียนหาใช่คนโง่เขลาไม่ อันที่จริงตอนที่ได้ยินเถียนเพ่ยหรงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเมื่อวานในใจก็รู้สึกอยู่รางๆ เช่นกันว่าเรื่องนี้ดูมีเลศนัย

เพียงแต่เถียนเพ่ยหรงเคยบอกถึงประโยชน์ของการแต่งงานในครั้งนี้ หลานชายผู้นั้นเป็นคนกตัญญูรู้คุณ และรู้เช่นกันว่าเมื่อปีนั้นสกุลเฉิงแยกบ้านอย่างไม่เป็นธรรม หากเขาแต่งเฉิงเต๋อฉิงเป็นภรรยา จะต้องโน้มน้าวนางให้คืนทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่ท่านพ่อตาแน่นอน คนอื่นจะได้เห็นว่าบุตรสาวกตัญญูรู้คุณบิดาโอบอ้อมอารี

เขาคิดว่าที่ฮูหยินของตนกล่าวมามีเหตุผล อีกทั้งเฉิงเต๋อฉิงก็แค่ถูกคุณชายสกุลเถียนกระชากแขนเสื้อเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้โดนคนเห็นเข้าก็แค่คิดกันไปว่าพวกเด็กๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่เคารพขนบธรรมเนียมเท่านั้น ขอเพียงแต่งงานกันก็ไม่มีปัญหาแล้ว

ในเมื่อไม่เสียหายอันใดต่อศักดิ์ศรีหน้าตา เขาก็ยินดีจะแสร้งทำเป็นเลอะเลือน เร่งเร้าการแต่งงานนี้ให้สำเร็จ

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงเต๋อฉิงกลับจะแขวนคอฆ่าตัวตาย ส่วนเฉิงเทียนฟู่ก็พากำลังทหารบุกเข้ามาที่นี่ราวกับคลุ้มคลั่งเสียสติ ซ้ำยังพาใต้เท้าผู้ว่าการมาเป็นพยานอีกด้วย หลังจากผ่านการสอบสวนของผู้ว่าการก็ทำให้เรื่องสัมพันธ์ลับของหนุ่มสาวกลายเป็นคดีเจตนาบังคับขืนใจเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินไปเสียดื้อๆ

ทันใดนั้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะรับมืออย่างไร ทำได้เพียงถลึงตาใส่พวกเถียนเพ่ยหรงสองป้าหลานพร้อมเอ่ย “พะ…พวกเจ้าทำเรื่องพรรค์นี้จริงๆ รึ ไม่เห็นกฎหมายกฎตระกูลอยู่ในสายตาเลยหรืออย่างไร”

เถียนเพ่ยหรงเองก็คิดไม่ถึงว่าเฉิงเทียนฟู่จะบุกมาถึงที่อย่างไม่กลัวเกรงเช่นนี้ พอเห็นว่าพวกบ่าวรับใช้พากันสารภาพความจริงออกมา นางก็ตัดสินใจเด็ดขาด เอ่ยแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเฉิงเทียนฟู่ทรมานให้สารภาพ หลานชายบ้านข้าก็แค่เห็นว่าเต๋อฉิงรูปโฉมสะสวย มีใจให้ตั้งแต่แรกพบก็เท่านั้น

บัดนี้พวกเขาถูกคนอื่นเห็นตอนที่ฉุดกระชากกันแล้ว หากเขาเป็นห่วงน้องสาวจริงก็ควรทำเรื่องใหญ่ให้เล็กลง ช่วยให้การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสกุลเถียนและสกุลเฉิงของพวกเราก็จะเกี่ยวดองแน่นแฟ้นกันยิ่งขึ้นไปอีก หากมิเช่นนั้นชื่อเสียงของเต๋อฉิงได้รับความเสื่อมเสีย นางก็คงหาบ้านสามีในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่ได้อีกแล้ว!”

“ท่านพี่ ต่อให้ข้าต้องออกบวชเป็นแม่ชี หรือว่าต้องตายเสียบัดเดี๋ยวนี้ ข้าก็ไม่มีวันแต่งให้พวกต่ำทรามไร้ยางอายพรรค์นี้เด็ดขาด!” ในขณะนี้เอง เฉิงเต๋อฉิงก็เดินเข้ามาโดยมีสาวใช้คอยประคับประคอง

เมื่อนางได้ยินว่ามารดาไล่ตามพี่ชายไปยังสกุลเฉิง ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บปวดทรมาน แต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมา รีบไล่ตามมาด้วยความร้อนรนใจ พลทหารจำคุณหนูสกุลเฉิงได้ ดังนั้นจึงปล่อยนางเข้ามา

เมื่อคืนนางคิดสั้นไปชั่ววูบ ทำให้มารดาต้องเศร้าโศกาถึงเพียงนั้น เท่านี้นางก็นึกเสียใจภายหลังอย่างสุดซึ้งแล้ว ถ้าหากพี่ชายต้องมาก่อเรื่องใหญ่เพราะนาง ทำให้ต้องหมดสิ้นอนาคต เช่นนั้นนางคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ

สีหน้าของพี่ชายกับหยวนกวงต๋าเมื่อครู่นี้ล้วนระคนด้วยจิตสังหารคุกรุ่น นางยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัวจริงๆ ตลอดทางที่มานางร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

บัดนี้พอเห็นว่าพี่ชายยังสบายดี ไม่ได้ก่อคดีฆ่าคนตาย ในใจของนางก็พลันผ่อนคลายลงเช่นกัน

ยามนี้เฉิงเผยเหนียนถึงได้เห็นรอยรัดบนลำคอของเฉิงเต๋อฉิง ในใจก็แตกตื่นตกใจไปเช่นกัน เขาพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบุตรชายถึงบุกเข้ามาอาละวาดที่สกุลเฉิงราวกับคนบ้าเสียสติ

อย่างไรเขาก็เป็นบิดาของเฉิงเต๋อฉิง ครั้นเห็นบุตรสาวอยู่ในสภาพเช่นนี้ในใจก็เริ่มโกรธแค้นเถียนซื่อขึ้นมา แต่ต่อมาก็โมโหบุตรสาวที่ทำอันใดมุทะลุบุ่มบ่าม ทำเรื่องเล็กให้บานปลายจนควบคุมไม่ได้เช่นนี้

เฉิงเทียนฟู่เห็นน้องสาวมาก็ขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าจะจัดการแทนเจ้าให้เรียบร้อยเอง เจ้ากลับจวนไปก่อนเถิด”

แต่เฉิงเต๋อฉิงกลับส่ายศีรษะ มองไปทางเสนาธิการหยวนซึ่งยืนอยู่ข้างกายเฉิงเทียนฟู่ เอ่ยถามเขาตรงๆ ว่า “เจ้าเคยมีความคิดจะสู่ขอกับท่านพี่ อยากแต่งข้าเป็นภรรยาใช่หรือไม่ ตอนนี้ข้าถูกคนชั่วแซ่เถียนผู้นี้เกาะแกะ ถูกเขากระชากแขนเสื้อต่อหน้าธารกำนัล เจ้าถือสาหรือไม่”

หยวนกวงต๋าไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าคุณหนูสกุลเฉิงที่ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เขาเลยสักครั้งจู่ๆ จะเอ่ยปากถามขึ้น ภายใต้ความตื่นตะลึง เขาพลันเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มทึ่มทื่อทันที “ขอแค่เจ้ายินดีแต่ง ข้าย่อมยินดีรับเจ้าเป็นภรรยา ถ้าเจ้าโกรธแค้นที่เขากระชากแขนเสื้อเจ้า ข้าก็จะตัดแขนเขาเป็นการแก้แค้นให้เจ้าประเดี๋ยวนี้!”

พูดจบ หยวนกวงต๋าผู้มุทะลุก็ชักดาบหมายจะเข้าไปฟันแขนของเถียนเต๋อซิว ทำเอาเถียนเต๋อซิวแตกตื่นตกใจจนปัสสาวะราด ตะโกนพร้อมกับน้ำหูน้ำตาไหลว่า “ท่านวีรบุรุษชายชาตรีโปรดไว้ชีวิตด้วย!”

เฉิงเต๋อฉิงเองก็ถูกเขาทำให้ขำขันเล็กน้อยขึ้นมาเช่นกัน นางรีบตะโกนห้ามเขาเอาไว้ แล้วพูดกับพี่ชายว่า “ท่านพ่อกังวลว่าข้าจะแต่งไม่ออกมิใช่หรือ มีคนที่ไม่ถือสาอยู่ที่นี่แล้ว หากเขายินดีรับข้าเป็นภรรยา ข้าก็ยินดีแต่ง ไม่ทราบว่าท่านพี่กับท่านแม่พอใจในการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่”

ครั้นวาจานี้โพล่งออกไป คนที่อยู่เต็มห้องโถงก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอยู่บ้าง เพราะนอกจากหลิ่วจือหว่านที่ล่วงรู้ถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างเฉิงเต๋อฉิงกับเจ้าหนุ่มหยวนกวงต๋าในยามปกติแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่เคยสังเกตเห็นทั้งสิ้น

แต่หลังจากเฉิงเทียนฟู่หันกลับมามองทั้งสองอยู่หลายปราดก็ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง จึงเปิดปากเอ่ยว่า “หนนี้เสนาธิการหยวนสร้างคุณูปการในสนามรบแนวหน้ามากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังอายุใกล้เคียงกับเจ้า ถ้าพวกเจ้ามีใจจะแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน คนเป็นพี่ชายอย่างข้าก็ไม่มีอันใดต้องขัดขวาง…”

เซิ่งกุ้ยเหนียงฟังจนตะลึงงันไปอยู่ข้างๆ มองดูหยวนกวงต๋าที่อยู่ตรงหน้าซึ่งตัวดำราวกับไข่มูลลาผู้นี้อย่างอึ้งงัน รู้สึกว่าชายฉกรรจ์หยาบกร้านเช่นนี้จะคู่ควรกับบุตรสาวได้อย่างไรกัน

เฉิงเผยเหนียนก็รู้สึกว่าการแต่งงานนี้ตกลงปลงใจกันอย่างกับเด็กเล่นขายของเกินไป จึงตบเข่าฉาดพลางเอ่ย “นี่มันใช้ได้ที่ใดกัน ใช้ได้ที่ใดกัน มีเด็กสาวบ้านใดบ้างไปถามผู้อื่นว่าจะรับหรือไม่รับตนเองเป็นภรรยา นี่มันใช้ไม่ได้เกินไปแล้ว!”

แต่เฉิงเต๋อฉิงกลับตัดสินใจเด็ดขาดแน่วแน่แล้ว เมื่อวานนางไปเยือนประตูผีมาแล้วรอบหนึ่ง จึงปลงอนิจจังกับหลายๆ เรื่องแล้ว

ตนเองโชคไม่ดี ต้องมามีบิดาและมารดาเลี้ยงที่เลวร้ายเช่นนี้

เดิมทีเพราะเรื่องที่บิดามารดาหย่าร้างกันทำให้นางหาบ้านสามียากอยู่แล้ว ทั้งตนเองยังมีสินเดิมก้อนใหญ่พานให้แม่เลี้ยงอิจฉาตาร้อน

หากสามีเป็นบัณฑิตอ่อนแอปวกเปียก ในวันข้างหน้าก็จะยังต้องถูกพวกเขารบเร้าราวีอย่างมิอาจเลี่ยง

นางมิสู้หาบุรุษที่เป็นวรยุทธ์อย่างพี่ชายสักคน ไม่ต้องเคารพกฎระเบียบ ขอแค่รู้จักรักใคร่เอ็นดูนางก็พอแล้ว

พอถึงตอนนั้นหากบิดากับท่านลุงใหญ่มาหาเรื่องอีก สามีของนางสามารถถือดาบไปมีเรื่องกับพวกเขาได้ ไม่ต้องสนใจหลักเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เท่านี้ก็จะลดปัญหาวุ่นวายไปได้มาก

ครั้นประสบชะตากรรมในคราวนี้มา เฉิงเต๋อฉิงก็รู้สึกว่าชาติกำเนิดวงศ์ตระกูลไปจนถึงรูปโฉมล้วนมิได้สลักสำคัญทั้งสิ้น นางต้องการแค่สามีที่หน้าตาเหมือนกับจงขุย* มาช่วยข่มขวัญพวกภูตผีปีศาจที่ตามหลอกหลอนนางไม่ยอมปล่อยเหล่านั้นให้ล่าถอยไป

วันนี้ตอนที่พี่ชายมาหาตนเอง หยวนกวงต๋าผู้นั้นก็อยู่ด้วย พี่ชายยังไม่ทันได้เอ่ย หยวนกวงต๋าก็เอ่ยถามขึ้นก่อนด้วยดวงตาแดงก่ำว่าผู้ใดรังแกนาง เขาจะสังหารคนผู้นั้นล้างแค้นให้นาง

ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ทำให้เฉิงเต๋อฉิงถูกใจเจ้าไข่มูลลาผู้นี้ขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกันก็ตัดสินใจแล้วว่าหากเขาไม่ถือสา เช่นนั้น…ก็เป็นเขาแล้วกัน!

ขอแค่นางแต่งให้ผู้อื่นไปแล้ว ถึงจะสามารถหยุดความคิดของเถียนซื่อที่ต้องการจะวางแผนแย่งชิงสินเดิมของนางลงได้ และนับแต่นี้ไปเรื่องวุ่นวายจากการที่ถูกเถียนเต๋อซิวลวนลามก็จะได้สงบลง รักษาชื่อเสียงของพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆ ในจวนเอาไว้ได้

ตอนนี้พอได้ยินบิดาซักไซ้เสียงดัง เฉิงเต๋อฉิงก็เอ่ยเสียงเยียบเย็นว่า “ท่านฟังคำยุยงส่งเสริมของสตรีแพศยานี่ ล่มการแต่งงานของข้ากับสกุลฉี แต่กลับยัดเยียดคนที่รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวหาความสำราญผู้นี้ให้ข้า!

ท่านเหมือนบิดาที่ใดกัน นี่ท่านเจตนาจะทำให้ข้าขยะแขยงตายมากกว่ากระมัง วันนี้หากท่านยังไม่รับปาก ยังดึงดันจะล่มงานแต่งงานของข้าให้ได้ เช่นนั้นข้า…ข้าก็จะเอาเชือกมาแขวนคอตายหน้าประตูใหญ่ของสกุลเฉิงท่าน! ให้เรื่องที่ท่านขายบุตรสาวแลกเกียรติยศแพร่กระจายให้คนทั้งเมืองหลวงรู้กันจนทั่ว! จะได้สร้างชื่อเสียงให้ใต้เท้าเฉิงอย่างท่าน!”

พอพูดถึงช่วงท้ายนางก็เสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวหมดแรง สั่นเทิ้มไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ส่วนหยวนกวงต๋าก็เหมือนกับสุนัขที่ได้รับคำสั่งก็ไม่ปาน สายตาเผยแววดุร้าย ถลึงตาจ้องมองเฉิงเผยเหนียนอย่างพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่ ท่าทางเหมือนว่าหากเขาไม่ยอมรับปากก็จะฟาดค้อนจินกวาใส่ว่าที่พ่อตาให้ตาย

“จะ…เจ้ามันบุตรสาวอกตัญญู! เซิ่งกุ้ยเหนียง เจ้าดูซิว่าเจ้าสั่งสอนบุตรสาวจนกลายเป็นเช่นไร”

บทที่ 25-4 คาดคั้นเอาผิด

วันนี้ใต้เท้าผู้ว่าการถูกเฉิงเทียนฟู่ส่งคนไป ‘เชิญ’ มา เขาอยู่ในชุดคลุมนอนเปิดข้อเท้าเปล่าเปลือย ไม่ได้สวมถุงเท้า ใส่เพียงรองเท้าไม้คู่หนึ่งพลางดูการรบราต่อสู้ในครอบครัวอันสุดแสนจะน้ำเน่ามาตลอดทั้งช่วงเช้า จึงเข้าใจกระจ่างว่าหากคดีนี้ถูกจำขึ้นไปพิจารณาในศาลจริงๆ เช่นนั้นทั้งหน้าตาทั้งศักดิ์ศรีความเป็นคนของใต้เท้าเฉิงก็คงจะย่อยยับป่นปี้ไม่มีเหลือ

ตอนนี้ใต้เท้าเฉิงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ใต้เท้าผู้ว่าการจึงเอ่ยวาจาชี้ทางกระจ่างให้เขาด้วยความปรารถนาดี “คือว่า…ใต้เท้าเฉิง ท่านควรกังวลกับเรื่องตรงหน้าและปกป้องชื่อเสียงของบุตรสาวก่อน ไม่อย่างนั้นหากคุณหนูเต๋อฉิงแขวนคอเสียชีวิตที่นี่ขึ้นมา เกรงว่าฮูหยินของท่านกับหลานชายคงจะต้องถูกจับใส่ตรวนไม้ขึ้นศาลไต่สวนในข้อหาบังคับขืนใจไม่สำเร็จจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต…”

ครั้นได้ยินใต้เท้าผู้ว่าการเตือนสติ เฉิงเผยเหนียนก็สะดุ้งเฮือกหนึ่งที จากนั้นก็ไม่พูดอันใดอีก

ใต้เท้าผู้ว่าการเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าแม่ทัพน้อยเฉิงพาตนเองมามิใช่แค่เพื่อมาเป็นสักขีพยานอย่างเดียวแน่ๆ เพื่อให้ได้กลับบ้านเร็วสักหน่อย ต่อจากนั้นอันใดที่เกลี้ยกล่อมได้เขาก็ช่วยเกลี้ยกล่อม อันใดที่ข่มขู่ได้เขาก็ช่วยข่มขู่ ในที่สุดก็เปิดรอยแยกเล็กๆ ในสมองของเฉิงเผยเหนียนได้เสียที

ก่อนหน้านี้เฉิงเผยเหนียนก็สูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทไปเพราะคดีภาษีเกลือ หากยามนี้ถูกคนยื่นฎีกากล่าวโทษว่าคุณธรรมส่วนบุคคลบกพร่อง เช่นนั้นก็คงจะไม่มีอนาคตอันใดให้พูดถึงอีกแล้ว

ตอนนี้ทุกคนนั่งรวมอยู่ที่เดียวกัน มีใต้เท้าผู้ว่าการช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ ในที่สุดก็กำหนดเรื่องการแต่งงานของเฉิงเต๋อฉิงเรียบร้อย บนหนังสือสมรสไม่เพียงแต่มีลายนิ้วมือของเซิ่งกุ้ยเหนียงเท่านั้น ยังมีการลงนามลายมือชื่อของเฉิงเผยเหนียนอีกด้วย ต่อไปหากเฉิงเผยเหนียนกลับคำอีกก็แถไถไม่ได้แล้ว

ในขณะที่ทุกคนเขียนร่างเอกสารอยู่นั้น หลิ่วจือหว่านก็นั่งระบายลมหายใจเฮือกใหญ่เบาๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง

หลังจากเกิดเรื่องกับเฉิงเต๋อฉิง หลิ่วจือหว่านก็รู้สึกผิดมาโดยตลอด นางไม่ควรฟังคำพูดของเฉิงเต๋อฉิงแล้วไม่ยอมบอกญาติผู้พี่เกี่ยวกับเรื่องของคุณชายสกุลเถียน ยามอยู่ในสกุลเซิ่ง นางนับตนเองเป็นคนนอกมาโดยตลอด ดังนั้นบางครั้งเวลาทำอันใดก็ต้องคะนึงถึงท่าทีของผู้อื่นด้วย

เฉิงเต๋อฉิงไม่อยากให้นางยุ่งไม่เข้าเรื่อง นางก็ยึดมั่นในหลักการที่ว่ามีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องมาก แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นนี้…

เถียนเพ่ยหรงผู้นี้สมกับเป็นบุตรสาวของเถียนเสียนจง ชั่วช้าเลวทรามอย่างถึงขีดสุดจริงๆ ไม่มีความใจกว้างอารีเหมือนอย่างสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่โตเลยสักนิด…เพียงแต่ไม่รู้ว่าพอกลับไปคราวนี้ญาติผู้พี่จะตำหนิตนเองที่รู้เรื่องแต่ไม่ยอมรายงานหรือไม่…

ขณะที่นางก้มหน้าครุ่นคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งนั้น ก็เห็นญาติผู้พี่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้พร้อมกับขมวดคิ้วจ้องมองตน ดูท่าทางเหมือนจะไม่พอใจตนเองอย่างเต็มเปี่ยม…

“เจ้าทำเช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน!” พอเขาเปิดปากก็เอ่ยติเตียนทันที น้ำเสียงเย็นยะเยือกยิ่ง

หลิ่วจือหว่านรู้สึกผิดต่อข้าวสุกของสกุลเซิ่งที่กินมาตลอดหลายปีนี้ จึงก้มหน้าพลางลุกยืน ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยปากยอมรับผิดก็ได้ยินเฉิงเทียนฟู่พูดเสียงต่ำเบาว่า “ถึงจะรีบร้อนออกมาข้างนอกก็ควรจะแต่งตัวให้ดีๆ…สวมนี่เอาไว้ก่อน”

พูดจบเขาก็ถอดชุดคลุมตัวนอกของตนเองออก จากนั้นก็ยื่นให้หลิ่วจือหว่าน

หลิ่วจือหว่านรับชุดคลุมมาด้วยความงุนงงเล็กน้อย ต่อมาก็มองดูชุดลำลองตัวกว้างบนร่างของตนเอง…ถึงแม้จะไม่ค่อยให้ความรู้สึกงดงามสักเท่าใด คอเสื้อก็ใหญ่เกินไปสักนิด แต่ก็ถือว่าสามารถออกไปพบเจอผู้คนได้

เมื่อเทียบกันแล้วนางดูสุภาพเรียบร้อยกว่าใต้เท้าผู้ว่าการที่กำลังค้อมเอวเขียนเอกสารผู้นั้นมาก ใต้เท้าผู้นั้นคอเสื้อยังเปิดกว้างออกกึ่งหนึ่ง สวมรองเท้าไม้ ข้อเท้าโผล่ออกมาครึ่งหนึ่งอยู่เลย!

ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่โมโหจนขาดสติหรือไม่ ถึงได้ยังมีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแต่งตัวของนาง แต่กลับไม่รู้จักหาเสื้อผ้าและรองเท้าดีๆ ให้ใต้เท้าผู้ว่าการที่กำลังเหน็ดเหนื่อยตรากตรำใส่

พอนางคิดจะพูดอันใดบางอย่าง ญาติผู้พี่ก็หันกายเดินกลับไปยังข้างโต๊ะแล้ว

เมื่อเขียนเอกสารเสร็จ ใต้เท้าผู้ว่าการก็กลับมาเป็นฝ่ายช่วยพูดขอร้องความเมตตาแทนป้าหลานสกุลเถียน บอกกับเฉิงเทียนฟู่แค่ว่าถ้าเรื่องนี้ขึ้นไปถึงโรงถึงศาลจริงๆ ชื่อเสียงของคุณหนูสกุลเฉิงก็จะได้รับความเสียหายใหญ่หลวง มิสู้ให้จบกันตรงนี้เสียดีกว่า

ยามนี้เถียนเต๋อซิวก็รับผลกรรมที่ตนเองก่อแล้ว ให้เขากลับไปรักษาบาดแผลเอาเอง ห้ามอ้างอาการบาดเจ็บมาเซ้าซี้รบกวนแม่ทัพน้อยเฉิงอีก ส่วนเถียนเพ่ยหรงก็มอบให้เฉิงเผยเหนียนลงโทษตามกฎตระกูล

ผู้ว่าการดูเหมือนกำลังขอความเห็นใจให้พวกเถียนเต๋อซิวอยู่ แต่ในความเป็นจริงก็ตักเตือนป้าหลานสกุลเถียนอย่างกลายๆ เช่นกันว่าอย่าใช้เรื่องนี้มาสร้างความรำคาญใจให้แก่แม่ทัพน้อยเฉิงอีก หาไม่แล้วตนเองจะกลับกลายเป็นฝ่ายเสียหายแทน

เพราะว่าแผลจากคมกระบี่สองแผลนั้นของเฉิงเทียนฟู่ช่างร้ายกาจเหลือเกิน ต่อให้เถียนเต๋อซิวรักษาจนแผลหายดีแล้ว แต่ขาข้างนั้นก็ต้องเป๋ไป บอกเล่าผลดีผลร้ายให้ฟังเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ให้เจ้าอันธพาลนี่ตัดความคิดที่จะขึ้นศาลย้อนกลับมาแว้งกัดทิ้งไป

เฉิงเทียนฟู่รู้ว่าจริงอยู่ที่เรื่องในวันนี้ไม่ควรจะไปถึงขั้นขึ้นศาลพิจารณาคดี ที่เขายอมไว้ชีวิตสารเลวของเถียนเต๋อซิวมิใช่เพราะสิ่งอื่นใด แต่เพียงเพื่อชื่อเสียงของน้องสาวเท่านั้น

ทว่าที่เขามาอาละวาดใหญ่โตที่สกุลเฉิงในวันนี้เป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ทั้งได้ลงโทษสองป้าหลานสกุลเถียน ทั้งยังได้เตือนสติบิดาที่หน้ามืดตามัวของเขาผู้นั้นเล็กน้อย

หลังจากเห็นว่าเฉิงเผยเหนียนเรียกให้คนจับตัวบ่าวรับใช้หลายคนที่มีส่วนร่วมในการช่วยเถียนเต๋อซิวดักล้อมเฉิงเต๋อฉิงไปขายแล้ว เฉิงเทียนฟู่ก็ยังคงนั่งดื่มน้ำชาอยู่ในห้องโถง ดูท่าทางนั้นแล้วเหมือนจะยังรอคอยให้บิดาสอบสวนเถียนเพ่ยหรงอยู่

วันนี้เฉิงเผยเหนียนวุ่นวายใจจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดังนั้นพอเห็นว่าบุตรชายยังดื้อแพ่งไม่ยอมกลับไป เพลิงโทสะก็สุมแน่นในหัวใจเช่นกัน จึงถามอีกฝ่ายว่ายังจะอยู่กินอาหารเย็นด้วยใช่หรือไม่

เฉิงเทียนฟู่เห็นว่าบิดาไล่เขา ยามนี้ถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างเอ้อระเหย ทว่าตอนที่จะเดินจากไป เขาก็จงใจจับกระบี่พกตรงข้างเอว ย้ำกับบิดาเพื่อความแน่ใจเล็กน้อยว่ายังต้องการให้เขากลับสกุลเฉิงอีกหรือไม่ ตอนนี้เขากลับอยากจะพำนักระยะยาวอยู่ที่สกุลเฉิงเสียแล้ว จะได้ช่วยบิดาสะสางบ้านเรือนให้สะอาดเอี่ยม

เฉิงเผยเหนียนมองดูสีหน้าเยาะเย้ยเสียดสีของบุตรชายก็โมโหจนอกแทบจะระเบิดแล้วจริงๆ

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าบุตรชายยังเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกทำโทษคุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชน ปล่อยให้เขาเฆี่ยนตีโดยไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่คำเดียวผู้นั้นมาตลอด

ทว่าวันนี้หลังเฉิงเผยเหนียนถูกบุตรชายใช้กระบี่พาดใส่ลำคอ เขาถึงได้ตระหนักว่าบุตรชายปีกกล้าขาแข็งมากแล้ว ไม่อยู่ในโอวาทของเขาแม้แต่น้อย

หากเดนปีศาจในร่างมนุษย์เช่นนี้กลับมาอยู่สกุลเฉิงจริงๆ ก็จะได้เป็นนายท่านสี่ของสกุลเฉิง เช่นนั้นคงจะได้มาขี่คอเขาถ่ายอุจจาระแน่ๆ!

ดังนั้นพอเฉิงเผยเหนียนได้ยินวาจานี้ก็ชี้หน้าบุตรชายพลางตะคอกด่าทอ “ถึงแม้สกุลเฉิงของข้าจะไร้ทายาทสืบทอด ข้าผิดบาปต่อบรรพบุรุษ ก็ไม่รับลูกเนรคุณอย่างเจ้าเข้าจวนเด็ดขาด!”

ขณะที่หลิ่วจือหว่านแอบดูญาติผู้พี่ยั่วโมโหบิดาจนกระทืบเท้าเร่าๆ อยู่บนรถม้า นางก็เห็นรอยยิ้มเยียบเย็นตรงมุมปากของญาติผู้พี่อย่างชัดเจน

เรื่องวุ่นวายในวันนี้ทำให้ความผูกพันฉันพ่อลูกระหว่างเขากับบิดาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดแตกหักอย่างสมบูรณ์โดยแท้จริง

จู่ๆ หลิ่วจือหว่านก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจแทนเฉิงเทียนฟู่ ถึงแม้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่ในใจเขาเจ็บปวดอยู่หรือไม่

พอเรื่องนี้จบลง ชายหญิงสกุลเซิ่งก็ออกเดินทางกลับจวนได้ในที่สุด

ถึงแม้เซิ่งกุ้ยเหนียงจะตามมาด้วยตลอดทาง ทว่านางมองดูเหตุการณ์นี้จนวิงเวียนตาลายตั้งแต่ต้นจนจบ ยามนั่งในรถม้าจู่ๆ ก็จิกลงบนหน้าขาของตนเองอย่างทนไม่ไหว กลัวว่าตนเองจะยังอยู่ในฝันร้าย

นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าบุตรสาวเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดอยู่ๆ ก็ชี้ไปที่เจ้าไข่มูลลาผู้หนึ่งแล้วบอกว่าจะแต่งเป็นภรรยาของเขา

นางกระวนกระวายใจเล็กน้อยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่นางถูกบุตรชายของตนเองกดตัวเอาไว้ไม่ให้ระเบิดโทสะ

 

หลังออกจากสกุลเฉิงแล้วขึ้นรถม้าแล้ว พอจิตใจเริ่มสงบลงบ้าง นางก็เอ่ยถามบุตรสาวด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย “เจ้า…คนแซ่หยวนอันใดนั่น…เขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ เจ้าอย่าเลอะเลือนแต่งให้เขาเพราะโมโหเลือดขึ้นหน้าเพียงชั่ววูบเล่า”

เฉิงเต๋อฉิงนั่งพิงอยู่ข้างกายหลิ่วจือหว่าน เอ่ยอธิบายกับมารดาว่า “เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านพี่ ถึงแม้ตำแหน่งจะไม่ใหญ่ แต่ก็ทำหน้าที่อย่างจริงจัง ท่านพี่บอกว่าเขาเป็นคนซื่อตรงคนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าเถียนเต๋อซิวนั่น”

ที่แล้วมาเซิ่งกุ้ยเหนียงเลือกบุรุษล้วนดูที่รูปโฉม หาไม่แล้วเมื่อกระโน้นก็คงไม่ถูกใจเฉิงเผยเหนียน ยืนกรานจะแต่งให้เขาที่มีศักดิ์ต่ำกว่า แต่นางไม่นึกว่ายามบุตรสาวออกเรือนจะเลอะเลือนยิ่งกว่าตนเองเสียอีก ไม่เพียงแต่ไม่ดูวงศ์ตระกูล แม้กระทั่งรูปลักษณ์ก็ยังไม่เลือก

เมื่อเป็นเช่นนี้ บุพเพสันนิวาสในคราวนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนถูกบีบให้จำยอมอยู่บ้าง

ทันใดนั้นในใจของเซิ่งกุ้ยเหนียงก็ราวกับกลืนแมลงวันเข้าไป อย่างกับว่าเป็นตัวนางเองที่ถูกบังคับให้แต่งกับชายฉกรรจ์หยาบกระด้าง หลังจากสะอื้นอยู่เสียงหนึ่งก็ร้องไห้โฮออกมา

เฉิงเต๋อฉิงโมโหจนแทบอดทนไม่ไหว “ท่านแม่ ท่านต้องเป็นถึงขั้นนี้เลยหรือ”

หลิ่วจือหว่านเองก็กระวีกระวาดควักผ้าออกมา เช็ดน้ำตาให้อาหญิงพร้อมกับเอ่ยปลอบประโลมว่า “ท่านอาหญิงอย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ เสนาธิการหยวนผู้นั้นอยู่นอกรถม้านี่เอง ถ้าถูกได้ยินเข้าจะไม่ทำให้เขาคิดมากหรือ”

ทว่าน้ำตาของเซิ่งกุ้ยเหนียงราวกับแม่น้ำสายใหญ่ที่เขื่อนแตกทลายอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะหยุดอย่างไรก็หยุดไม่อยู่ หลังลงจากรถม้านางก็ปรี่เข้าไปในจวนโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง หมายจะไปเล่าให้มารดาฟังอย่างละเอียดยิบ

เมื่อการแต่งงานที่เกิดความคิดขึ้นมาอย่างปุบปับกะทันหันนี้ถูกรายงานให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งทราบ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งเองก็ฉงนงงงวยเช่นกัน ประหลาดใจว่าเหตุใดอยู่ๆ ก็มีหยวนกวงต๋าโผล่ขึ้นมาจากซอกหลืบกลางอากาศได้

บทที่ 25-5 คาดคั้นเอาผิด

หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าเฉิงเต๋อฉิงเกือบจะแขวนคอตาย นางก็โกรธจนตบโต๊ะฉาด ตวาดใส่หวังซื่อกับเซิ่งกุ้ยเหนียงว่า “เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ขึ้นกลับไม่มาบอกข้า พวกเจ้านี่ใจกล้าขึ้นแล้วจริงๆ!”

เคราะห์ดีที่หลิ่วจือหว่านนั่งอยู่อีกด้านด้วย จึงช่วยลูบหลังให้ท่านย่าหายใจคล่องขึ้น ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อคืนทุกคนล้วนร้อนใจกันแทบแย่ พวกท่านแม่เองก็กลัวว่าหากบอกตอนนั้นจะทำให้ท่านย่าตกอกตกใจเข้า บัดนี้เรื่องราวได้รับการแก้ไขสมบูรณ์แล้ว ข้าเห็นว่าเต๋อฉิงก็ชอบเสนาธิการหยวนผู้นั้นไม่น้อย มิได้เกิดความคิดขึ้นมากะทันหันเหมือนอย่างที่ท่านอาหญิงพูดเลยเจ้าค่ะ”

ท่านย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สั่งให้เฉิงเทียนฟู่ไปเรียกเสนาธิการหยวนผู้นั้นเข้ามาพบสักครา

สุดท้ายจู่ๆ เบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งก็ปรากฏเสาเล็กสีดำอันสูงใหญ่มหึมาต้นหนึ่งโดยที่นางมิได้ทันตั้งตัว ทำเอาท่านผู้เฒ่าตื่นตกใจจนร่างกายหงายไปด้านหลังเล็กน้อย แต่ยังโชคดีที่มีหลิ่วจือหว่านผู้เป็นหลานสาวประคองเอาไว้

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งผ่านเรื่องราวมามาก ไม่นานนักก็สงบเยือกเย็นลงได้ เพียงแค่เอ่ยให้ว่าที่หลานเขยในอนาคตผู้นี้นั่งลงด้วยวาจานุ่มนวล หลังจากนั้นก็สอบถามอายุ วันเกิด รวมไปถึงสภาพการณ์ของบิดามารดาที่บ้านของเขา

หยวนกวงต๋าตอบคำถามทีละข้อๆ อย่างสัตย์ซื่อเป็นธรรมชาติ บอกแค่เพียงว่าตนเองอายุยี่สิบปี บ้านเดิมอยู่แถบทางเหนือ ดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะ

เขาเป็นบุตรชายคนรองของที่บ้าน บิดามารดามีพี่ชายคนโตคอยดูแล เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ ดังนั้นจึงออกมาผจญภัยเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย มาขอพึ่งพาอยู่ใต้บัญชาการของแม่ทัพน้อยเฉิง

พอฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งถามเขาว่าที่บ้านมีปศุสัตว์กี่ตัว หยวนกวงต๋าก็เกาศีรษะแกรกๆ พลางเอ่ยตอบว่า “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้ขอรับ แต่ไรมาข้าไม่เคยสนใจกิจการของที่บ้าน อีกทั้งยังออกจากบ้านมาเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าวัวแกะเหล่านั้นป่วยตายไปหมดแล้วหรือไม่…

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง มารดาข้าเคยบอกว่าสัตว์มีขนหอบหายใจแรงล้วนมิใช่ทรัพย์สิน เพราะหากเกิดโรคระบาดเข้าก็จะไม่เหลือเลย ดังนั้นท่านแม่เองก็ไม่บอกข้าเช่นกัน นางกลัวว่าหากคนรู้เยอะ ถูกเทพเจ้าแห่งโรคระบาดเพ่งเล็งเข้าจะไม่ดี”

พอเซิ่งกุ้ยเหนียงได้ฟังถ้อยคำทึ่มทื่อเช่นนี้อยู่อีกด้านหนึ่งก็โบกพัดกลมผ้าโปร่งบางไม่หยุด ท่าทางเหมือนหายใจไม่สะดวกเท่าใดนัก

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งได้ยินแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ ไม่เอ่ยถามต่อไปอีก อย่างไรเสียไม่ว่าจะถามเช่นไรก็เป็นเพียงเจ้าหนุ่มยากจนคนหนึ่งเท่านั้น วันข้างหน้าเฉิงเต๋อฉิงยังต้องเพิ่มสินเดิมชดเชยเข้าไปอีก

เซิ่งเซียงหลันนั่งเบ้ปากอยู่อีกด้าน รู้สึกว่าหยวนกวงต๋านั่นมิได้ไร้เดียงสาเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก ที่บ้านมีวัวมีแกะเท่าใด ใช้ตามองปราดเดียวก็รู้แล้วมิใช่หรือ แต่เขากลับพูดเลี่ยงๆ ว่าไม่รู้ เห็นได้ชัดว่ากลัวจะถูกสกุลเซิ่งดูถูกดูแคลน

หากสกุลเซิ่งล้มเลิกการแต่งงานขึ้นมา เขาก็ไม่ได้แต่งนางหนูมหาเศรษฐีอย่างเฉิงเต๋อฉิงเป็นภรรยาแล้ว

ดูจากชะตากรรมของญาติผู้พี่ในครานี้แล้ว การมีมารดาที่ไม่รู้จักยืนหยัดหนักแน่น สู้ไม่มียังจะดีเสียกว่า!

อาหญิงเซิ่งกุ้ยเหนียงเองก็เป็นพวกหัวสมองเลอะเทอะเลอะเลือนเช่นกัน ได้แต่มองดูญาติผู้พี่พาสินเดิมอันมั่งคั่งอู้ฟู่เช่นนี้ไปแต่งให้แก่นายทหารหยาบกระด้างที่พูดจาไม่รู้เรื่องผู้หนึ่งตาปริบๆ

ตอนนี้ไป๋ซื่อมารดาของนางยังถูกคุมขังอยู่ที่หมู่บ้านชาวนา เรื่องการแต่งงานของบุตรสาวอนุภรรยาที่ไร้บิดามารดาอย่างนางย่อมไม่มีใครจัดแจงหาให้เป็นธรรมดา

แต่เซิ่งเซียงหลันคิดว่าหากตนเองต้องแต่งให้ชายฉกรรจ์อย่างหยวนกวงต๋า เช่นนั้นนางยอมตายดีกว่าไปรับกรรมเช่นนี้

พอคิดถึงตรงนี้เซิ่งเซียงหลันก็ยิ่งยืนหยัดในความคิดที่จะหาบ้านสามีให้ได้โดยเร็ว

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายการแต่งงานของเฉิงเต๋อฉิงก็ถือว่าถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว การแต่งงานของเด็กสาวผู้หนึ่งต้องขรุขระพลิกผันปานนี้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน หากพูดออกไปชื่อเสียงคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าใดจริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งขบคิดไตร่ตรองซ้ำไปซ้ำมาก็คิดว่ามีแต่ต้องทำเยี่ยงนี้เช่นกัน

ยังดีที่หยวนกวงต๋าผู้นั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉิงเทียนฟู่ หากหลังแต่งงานเขาปฏิบัติไม่ดีต่อเฉิงเต๋อฉิงก็ย่อมต้องโดนพี่ภรรยาผู้เป็นแม่ทัพน้อยสำเร็จโทษเป็นธรรมดา

ถึงแม้หยวนกวงต๋าผู้นั้นจะไม่มีสมบัติพัสถานใดๆ เรือนอยู่อาศัยที่ได้รับแบ่งสันในตอนนี้ก็เป็นแค่คฤหาสน์หลังเล็กๆ ทว่าอย่าดูถูกคนหนุ่มว่ายากแค้น ยังต้องดูกันต่อไปว่าเขาจะสามารถสร้างคุณงามความชอบ เลื่อนขั้นขึ้นไปทีละก้าวๆ ต่อไปได้หรือไม่

เซิ่งกุ้ยเหนียงมีความคิดว่าอยากจะเลือกซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่อีกหลังให้บุตรสาว เช่นนี้แล้วยามจัดพิธีแต่งงาน ญาติสนิทมิตรสหายเห็นแล้วจะได้ดูดีขึ้นหน่อย

แต่หยวนกวงต๋ากล่าวว่าเขาแต่งภรรยาไยต้องให้ภรรยาเตรียมสินเดิมเพิ่มเติมด้วยเล่า ตัวเขาเองก็มีเงินเก็บอยู่บ้าง ช่วงนี้จะแวะไปดูตามที่ต่างๆ เพื่อเลือกคฤหาสน์หลังใหม่ไว้ใช้สำหรับจัดพิธีแต่งงาน

ในเมื่อท่านเขยในอนาคตพูดถึงเพียงนี้แล้ว เซิ่งกุ้ยเหนียงก็ไม่สะดวกใจจะหักหน้าบุตรเขยเอาแต่ยืนกรานความคิดตนเอง

ส่วนเหตุการณ์วุ่นวายของเฉิงเต๋อฉิงกับคุณชายสกุลเถียนที่จวนกั๋วกงก็มีข่าวซุบซิบเล่าลือแพร่งพรายออกไปเล็กน้อยเช่นกัน แต่เพราะเฉิงเทียนฟู่ไปอาละวาดแหลกลาญไม่สนหน้าใครที่สกุลเฉิงมารอบหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็สยบต้นตอข่าวลือไปได้ในที่สุด

ก่อนที่เฉิงเทียนฟู่จะกลับจากจวนสกุลเฉิงได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่าหากในเมืองหลวงมีเสียงซุบซิบนินทาเกี่ยวกับน้องสาวของเขา เขาจะนับเป็นความผิดของเถียนเพ่ยหรงกับเถียนเต๋อซิวทั้งหมดแน่นอน

ถ้ามีคนอยากจะหยิบเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเจตนาสาดโคลนใส่น้องสาวของเขา ก็จงเตรียมล้างคอให้สะอาด คราวหน้าตอนเขาเตะประตูเข้าไปจะต้องเงื้อกระบี่ฟาดฟันใส่ลำคอให้ศีรษะตกลงจากบ่าเป็นแน่

เถียนเพ่ยหรงถูกผู้อื่นกุมจุดอ่อนเอาไว้ คำให้การที่บอกว่านางจงใจวางแผนทำลายความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเฉิงเต๋อฉิงยังอยู่ในกำมือของเฉิงเทียนฟู่อยู่เลย ซ้ำร้ายแม้แต่เรื่องที่เถียนเต๋อซิวได้รับบาดเจ็บก็ยังไม่สามารถเอาความได้ แม้จะมีพิษสงร้ายกาจอยู่เต็มอกแต่ก็ต้องระงับเอาไว้ชั่วคราว มิอาจปะทุออกมาได้ และไม่สามารถไปสร้างข่าวลือเกี่ยวกับเฉิงเต๋อฉิงได้เป็นธรรมดา

เหล่าฮูหยินที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นต่างก็รู้จักขอบเขตเช่นกัน ไม่กล้าจะเอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของหญิงสาวมาใส่ร้ายด้อยค่า กระทั่งข่าวคราวที่เฉิงเต๋อฉิงหมั้นหมายแล้วแพร่กระจายออกไป เรื่องที่นางกับคุณชายสกุลเถียนฉุดกระชากกันอยู่ในสวนแค่ไม่กี่ทีก็ยิ่งไม่มีคนพูดถึงไปเอง

เพราะเรื่องที่เฉิงเทียนฟู่ไปอาละวาดที่สกุลเฉิง เหล่าฮูหยินต่างก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน มีพี่ชายคอยเข้าข้างเช่นนี้ พวกนางก็ไม่อยากจะหาภัยใส่ตัวเช่นกัน

หลังจากเฉิงเต๋อฉิงได้รับบทเรียนมาจากประตูผีรอบหนึ่งแล้ว นิสัยใจคอก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่สนใจว่าผู้อื่นจะติฉินนินทานางหรือไม่ เอาแต่ตั้งอกตั้งใจตระเตรียมสินเดิมอย่างเดียวเท่านั้น

เพราะว่าบิดามารดาและพี่น้องของเสนาธิการหยวนอยู่ห่างไกลถึงทางเหนือ แม้ว่าจะส่งจดหมายไปแล้ว แต่กว่าพวกเขาจะมาร่วมพิธีที่เมืองหลวงได้ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสองเดือน

เดิมทีนางจะแต่งให้สกุลฉี จึงได้ตระเตรียมสินเดิมที่เป็นงานปักเย็บเอาไว้ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว แต่เฉิงเต๋อฉิงกลับบอกว่าการเอาสินเดิมที่เตรียมไว้เพื่อจะออกเรือนกับผู้อื่นมาใช้ในพิธีแต่งงานกับหยวนกวงต๋าเป็นการไม่ให้ความเคารพยกย่องสามียิ่ง

หลังจากกำหนดฤกษ์แต่งงานแล้วนางจึงให้เหล่าสาวใช้จุดกระถางไฟเอาไว้ในลานบ้านสองสามใบ จากนั้นก็เอางานปักเย็บที่เป็นสินเดิมเหล่านั้นเผาทิ้งให้หมด ถือเป็นการเซ่นไหว้ให้แก่สัญญาหมั้นหมายที่สูญสิ้นลงไปของนาง

เปลวเพลิงลุกโชนพุ่งสู่นภา ทำเอาเซิ่งเซียงหลันเห็นแล้วเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาอีกครา

นางคิดว่าต่อให้เฉิงเต๋อฉิงเป็นนางหนูมหาเศรษฐีก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเหยียบย่ำทำลายสิ่งของเช่นนี้เลย หากเฉิงเต๋อฉิงไม่อยากใช้ก็เอามาให้น้องสาวก็ได้! เซิ่งเซียงหลันรู้ว่าสกุลเซิ่งยึดมั่นในความประหยัดมัธยัสถ์ ภายนอกรุ่มรวยแต่ภายในโหรงเหรง ในวันข้างหน้ายามตนเองออกเรือนไม่มีทางเตรียมข้าวของดีๆ อันวิจิตรประณีตเหมือนอย่างเฉิงเต๋อฉิงได้แน่ ทันใดนั้นนางจึงกระวนกระวายจนกระทืบเท้าเร่าๆ ไม่ยอมหยุด แย่งชิงเอามาได้อยู่หลายชิ้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอสิ่งของถูกเผาไหม้หมดแล้วเฉิงเต๋อฉิงก็ต้องตระเตรียมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ของอื่นๆ ยังสามารถแบ่งให้หญิงเย็บผ้าที่จ้างมาได้ แต่ว่าสิ่งของอย่างเช่นผ้าห่มนกยวนยาง หมอนปักลายดอก ยังจำเป็นต้องลงมือเย็บปักด้วยตนเองสักหลายเข็มเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ

ดังนั้นเฉิงเต๋อฉิงเองจึงลดจำนวนครั้งที่ออกไปข้างนอกลง แล้วจัดเตรียมสินเดิมอยู่ในบ้านอย่างสบายอกสบายใจ

แต่คราวนี้ลำบากเซิ่งเซียงหลันแล้ว พอไม่มีอาหญิงกับพี่สาวไปเป็นเพื่อน นางก็ไม่กล้าออกไปคนเดียวเช่นกัน ดังนั้นยามนางนั่งเย็บปักอยู่ด้วยกันกับเฉิงเต๋อฉิงและ ‘เซิ่งเซียงเฉียว’ ผู้เป็นพี่สาว จึงมีแต่คำพูดบ่นกระปอดกระแปดเต็มปาก

“ท่านแม่ก็ด้วย ถึงแม้ท่านอาหญิงกับญาติผู้พี่เต๋อฉิงจะยุ่งวุ่นจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่เห็นต้องให้ข้าถูกคุมตัวอยู่แต่ในบ้านไปด้วยอีกคนเลยนี่! ช่วงนี้นางไม่พาข้าออกไปข้างนอกเลย ต่อให้มีคุณชายที่เหมาะสมกันก็คงต้องคลาดแคล้วกันไป บัดนี้ญาติผู้พี่เต๋อฉิงออกเรือนแล้ว ส่วนท่านพี่ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ มีแต่ข้าคนเดียวที่ไม่มีใครเป็นห่วงเลยสักนิด”

หลิ่วจือหว่านกำลังช่วยเฉิงเต๋อฉิงปักผ้าเช็ดหน้าลายนกยวนยาง พอได้ยินเซิ่งเซียงหลันเอ่ยถึงตนเองก็อดช้อนสายตาขึ้นมามิได้ “เหตุใดจึงพูดถึงข้าขึ้นมา แล้วไฉนข้าถึงไม่ต้องกลุ้มใจเล่า”

เซิ่งเซียงหลันกลอกตาเล็กน้อย เอ่ยด้วยความอิจฉาริษยานิดๆ

“ท่านย่อมไม่ต้องกลุ้มใจอยู่แล้ว แค่นั่งอยู่ในบ้านก็มีคนมาสู่ขอติดๆ กันไม่หยุด แรกสุดเป็นคุณชายสกุลฟางมาสู่ขอ แต่ก็ถูกท่านแม่ปฏิเสธอ้อมๆ ไปแล้ว ซื่อจื่อผู้นั้นก็ส่งเทียบมาเชิญท่านออกไปข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่ามิใช่หรือ จากที่ข้าเห็น นี่เขาก็คิดเปลี่ยนใจกลับมาหาท่านเช่นกัน

ได้ยินว่าระยะนี้ท่านอ๋องกำลังโดดเด่นเป็นที่จับตามอง หากพอเขาได้อำนาจยังคิดจะแต่งท่านเป็นภรรยาอยู่ นี่จะมิใช่บุพเพสันนิวาสอันแสนประเสริฐหรือ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านคิดอย่างไรของท่าน เหตุใดตอนนั้นต้องขอร้องให้ท่านย่าขอถอนหมั้นระหว่างท่านกับซื่อจื่อต่อหน้าพระพักต์ฝ่าบาทด้วย”

ในสกุลเซิ่งนอกจากเฉิงเทียนฟู่กับหลิ่วจือหว่านแล้วล้วนไม่มีใครรู้ความจริงเบื้องหลังการเสียชีวิตของเซิ่งเซวียนเหอเมื่อครั้งกระโน้น ดังนั้นเซิ่งเซียงหลันถึงได้ยกยอปอปั้นจินซื่อจื่ออย่างไม่ครั่นคร้ามเกรงกลัว

ไม่รอให้หลิ่วจือหว่านเอ่ย เฉิงเต๋อฉิงกลับถลึงตาใส่เซิ่งเซียงหลันทีหนึ่ง ที่ผ่านมานางดูถูกดูแคลนญาติผู้น้องเซิ่งเซียงหลันมาตลอดว่ามีสายตาตื้นเขิน

จากที่นางเห็น ซื่อจื่อผู้นั้นกับเถียนเต๋อซิวล้วนแต่เป็นคนจำพวกเดียวกัน ต่างเป็นคนเจ้าชู้ประตูดินทั้งสิ้น แต่เซิ่งเซียงหลันกลับอาลัยอาวรณ์ ถวิลหามิรู้ลืม ชวนให้คนหัวร่องอหายเสียเหลือเกิน

ที่น่าชิงชังที่สุดคือพักหลังมานี้นางมักจะเหน็บแนมเสียดสีหยวนกวงต๋าต่อหน้าบ้างลับหลังบ้างอยู่บ่อยๆ ท่าทางเหมือนดูถูกว่าที่ญาติผู้พี่เขยเสียเต็มประดา

เฉิงเต๋อฉิงได้ยินแล้วก็มีน้ำโห สบโอกาสเสียดสีกลับไปพอดีว่า “ข้าว่าเจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ดูจากนิสัยการดูคนของเจ้าแล้ว คุณชายที่ชอบเลี้ยงดูอนุภรรยาซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดทั่วทั้งเมืองหลวงนี้ แต่ละคนล้วนเหมาะจะแต่งด้วยทั้งสิ้น แล้วไยเจ้าต้องรีบร้อนด้วยเล่า แค่ดูว่าเงินทองที่กองพะเนินอยู่ในจวนใดมีกลิ่นเหม็นสาบมาก เจ้าแต่งเข้าจวนนั้นก็สิ้นเรื่อง!”

เซิ่งเซียงหลันถูกเฉิงเต๋อฉิงฉีกหน้าไปคราหนึ่งก็อดโมโหกระฟัดกระเฟียดมิได้ ทั้งสองจึงทะเลาะเบาะแว้งกันยกใหญ่

หลิ่วจือหว่านเคยชินกับการที่พวกนางสองคนมักจะทะเลาะโหวกเหวกโวยวายกันอยู่บ่อยๆ แล้ว จึงก้มหน้าทำงานของตนเองต่อไป แต่ว่าก็จริงอยู่ที่ซื่อจื่อผู้นั้นได้ส่งเทียบเชิญมาให้นางอยู่หลายครั้ง

ต่อมาอาจเพราะเดาได้ว่านางไม่อยากจะสนใจเขา ซื่อจื่อถึงได้ไหว้วานให้คุณหนูจวนอื่นฝากเซิ่งเซียงหลันนำความมาบอก ความหมายคร่าวๆ ก็คือบัดนี้เขาอายุมากขึ้น ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลไร้สาระเหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัยแล้ว ถ้าหากสร้างครอบครัวแล้วก็จะยิ่งอบรมขัดเกลาจิตใจ ทำผลงานสร้างเนื้อสร้างตัว

สรุปคือฟังดูแล้วซื่อจื่อไม่เหมือนกำลังพูดถึงตนเอง แต่เหมือนถูกญาติผู้พี่สิงร่างมากกว่า ขันแข็งเอาการเอางานยิ่ง

แน่นอนว่าหลิ่วจือหว่านไม่สนใจคำพูดเหลวไหลไร้สาระของซื่อจื่อ ทั้งยังตักเตือนเซิ่งเซียงหลันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจว่าต่อไปอย่าได้เอาข่าวคราวพรรค์นี้มาบอกนางอีก ถ้านำความมาอีกนางจะไปฟ้องท่านแม่ เซิ่งเซียงหลันจะต้องโดนลงโทษคุกเข่าในศาลบรรพชนแน่นอน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 มิ.. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: