บทที่ 26-1 น้ำแกงบำรุง
เซิ่งเซียงหลันกลัวเกรงพี่สาวอยู่บ้าง ซ้ำตนเองก็เป็นฝ่ายผิด พอถูกนางตำหนิต่อว่าก็อัดอั้นโทสะเอาไว้เต็มท้อง สุดท้ายก็ระบายโทสะทั้งหมดลงกับเฉิงเต๋อฉิง ท้ายที่สุดสองพี่น้องทะเลาะกันจนบ้านแตก แม้แต่ตะกร้าใส่เข็มกับด้ายก็ถูกโยนกระจัดกระจายไปทั่ว
เรื่องที่เซิ่งเซียงหลันกับเฉิงเต๋อฉิงทะเลาะกันใหญ่โตรบกวนไปถึงหวังซื่อผู้เป็นมารดาเอก
แม้หวังซื่อจะพยายามปฏิบัติต่อลูกเลี้ยงทั้งสองของตนเองด้วยความเป็นกลาง แต่ในใจยังคงเอนเอียงไปหา ‘เซิ่งเซียงเฉียว’ มากกว่าเล็กน้อย
กอปรกับลูกทั้งสองของนางเองก็ยังเล็ก จะต้องแบ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปดูแลพวกเขา ความสนใจที่สามารถแบ่งให้เซิ่งเซียงหลันได้จึงมีไม่มากจริงๆ
แต่พอได้ยินว่าเซิ่งเซียงหลันทะเลาะเบาะแว้งกับญาติผู้พี่เพราะเรื่องที่ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ในคำพูดคำจายังกล่าวโทษผู้หลักผู้ใหญ่ว่าไม่คิดเป็นห่วงเรื่องการหาคู่ครองของนาง หวังซื่อคิดว่าก็ไม่แปลกที่ลูกเลี้ยงจะไม่พอใจ จึงทบทวนตนเองอยู่พักหนึ่ง พบว่าไม่อาจปล่อยให้ ‘เซิ่งเซียงเฉียว’ กับเซิ่งเซียงหลันเสียเวลาต่อไปได้แล้วจริงๆ
ดังนั้นยามฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนหย่งติ้งกั๋วกงส่งเทียบเชิญมาให้อีกครั้ง หวังซื่อจึงตั้งใจเรียกให้ ‘เซิ่งเซียงเฉียว’ กับเซิ่งเซียงหลันสองพี่น้องติดตามนางไปเป็นแขกที่จวนกั๋วกงด้วยกันเป็นพิเศษ
ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนกั๋วกงชอบอกชอบใจนางหนูเซิ่งเซียงเฉียวผู้นี้อย่างเต็มเปี่ยมจริงๆ
แม้นางจะสูญสิ้นบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก แต่ก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งจนรู้ขนบบรรลุมารยาทยิ่ง
ตอนอยู่ที่คฤหาสน์หลังเก่าในเมืองเยี่ยเฉิงเมื่อครั้งกระโน้น นางเองก็เห็นด้วยตาตนเองว่าแม่นางน้อยผู้นี้มิเพียงแต่วิชาแพทย์ล้ำเลิศ ทั้งยังกำกับดูแลในบ้านนอกบ้านได้อย่างเป็นระบบระเบียบ แม่นางน้อยที่ทั้งมีความสามารถทั้งฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ บัดนี้พบเจอได้ไม่มากแล้ว
ได้ยินว่ากิจการของญาติผู้พี่สกุลเฉิงผู้นั้นก็ฝากฝังให้นางช่วยดูแลแทนเช่นกัน สามปีมานี้ร้านรวงและที่นาล้วนดูแลได้เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง
ลองมองไปตามตระกูลใหญ่ๆ ทั่วทั้งเมืองหลวง คุณหนูที่รู้จักคุณค่าของสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ รู้จักกำกับดูแลบ้านอย่างเซิ่งเซียงเฉียวจะมีสักกี่คนกันเชียว แต่งหญิงสาวเช่นนี้เข้าจวนถึงจะช่วยแบ่งเบาทั้งแรงกายและแรงใจ
ตอนนี้เจ้าห้ายังไม่มีคู่ครอง ตามความคิดของนาง ถ้าได้แต่งคุณหนูสกุลเซิ่งผู้นี้เป็นภรรยาก็ดีเหมือนกัน
ดังนั้นหลายครั้งที่ผ่านมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนกั๋วกงจึงล้วนเจาะจงเชิญเซิ่งเซียงเฉียวให้มาเยือนที่จวน หวังว่านางกับเจ้าห้าจะได้ดูตัวกันสักเล็กน้อย ถ้าเด็กทั้งสองถูกตาต้องใจกันและกัน เรื่องที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผู้อาวุโสปรึกษาหารือกัน
ทว่านี่เป็นแค่ความประสงค์ของฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น ทางฝั่งฮูหยินกั๋วกงซึ่งเป็นลูกสะใภ้กลับมีความคิดอีกแบบหนึ่ง
ฮูหยินกั๋วกงไม่เหมือนกับรุ่นของฮูหยินผู้เฒ่าที่เคยดำนาปลูกข้าวร่วมกับฮ่องเต้องค์ก่อน เลยคิดแต่เรื่องกำกับดูแลตระกูลเป็นหลัก นางถูกประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างสุขสบายมาตั้งแต่เยาว์วัย คิดว่าการกำกับดูแลบ้านนั้นแค่หาพ่อบ้านหรือบ่าวรับใช้ที่เป็นงานเป็นการมาสักคนแล้วสั่งการทุกอย่างลงไปก็พอแล้ว
การแต่งงานของบุตรธิดาต้องให้ความสำคัญกับการมีฐานะเหมาะสมคู่ควรกัน มีแรงสนับสนุนใต้เท้ากั๋วกงให้ราชสำนักให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
จริงอยู่ที่คุณหนูสกุลเซิ่งผู้นี้คล่องแคล่วเก่งกาจ รูปโฉมก็สะสวยงดงาม แต่ว่าสกุลเซิ่งไม่มีแนวโน้มใดๆ ว่าจะผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ มีแต่จะตกต่ำลงเหมือนกับตระกูลในเมืองหลวงที่ค่อยๆ ล่มจมเหล่านั้น
นอกจากนั้นนางยังได้ยินมาว่าซื่อจื่อแห่งจวนฉือหนิงอ๋องดูเหมือนจะยังไม่ยอมถอดใจ คอยเอาแต่ส่งจดหมายไปหาคุณหนูสกุลเซิ่งผู้นั้นอยู่เรื่อย นี่เห็นได้ว่ายังคงเหลือเยื่อใยต่ออีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ทุกคราที่คุณหนูสกุลเซิ่งผู้นั้นมาเยือน ซื่อจื่อก็จะอาศัยสายสัมพันธ์กับเจ้าห้าตามเข้าจวนมาด้วย ถึงแม้แขกบุรุษและแขกสตรีจะไม่ได้อยู่ร่วมโถงเดียวกัน แต่ซื่อจื่อก็มักจะชะเง้อมองไปทางเรือนของแขกสตรีอยู่บ่อยๆ เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ของเฒ่าขี้เมามิได้อยู่ที่สุรา
หากเจ้าห้าของบ้านนางตกลงปลงใจกับคุณหนูใหญ่สกุลเซิ่ง นั่นมิเท่ากับเป็นการตบหน้าซื่อจื่อหรอกหรือ
แม้ว่าสถานการณ์ของจวนฉือหนิงอ๋องในตอนนี้จะแตกต่างกับเมื่อก่อนยิ่ง ทว่าอย่างไรแล้วฉือหนิงอ๋องก็เป็นโอรสองค์โตของฝ่าบาท
บัดนี้รัชทายาทเจ็บป่วยอ่อนแอ โอรสที่เพิ่งเกิดของเถียนฮองเฮาก็ยังเยาว์วัยเกินไป เรื่องในวันข้างหน้าใครก็ยากจะพูดได้
ฮูหยินกั๋วกงรู้สึกว่าการเกี่ยวดองนี้ทั้งไม่เหมาะสมคู่ควรกัน ทั้งแลดูยุ่งยากวุ่นวายไปนิด มิสู้หมั้นหมายหญิงสาวตระกูลอื่นให้เจ้าห้าดีกว่า ปัญหาจะได้น้อยลงหน่อย
วาจานี้นางเองก็ได้เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งเป็นแม่สามีของตนเองอย่างอ้อมค้อมนุ่มนวลแล้วรอบหนึ่ง
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับชมชอบแต่นางหนูเซิ่งเซียงเฉียวราวกับถูกคุณไสยก็มิปาน ซ้ำยังบอกว่าลูกสะใภ้อย่างนางสายตาตื้นเขิน การที่จวนหย่งติ้งกั๋วกงยืนหยัดตระหง่านอยู่ในราชสำนักได้ล้วนอาศัยใจภักดีสูงสุดบริสุทธิ์สุดซึ้งมาตลอดหลายรุ่น ยิ่งไม่จำเป็นต้องหาสมัครพรรคพวกผ่านการแต่งงานของบุตรธิดา ไม่จำเป็นต้องแต่งสตรีสูงศักดิ์เข้าจวน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เซิ่งเซียงเฉียวผู้นี้ใช้ได้มากกว่าเสิ่นฟางเซียที่นางเคยหมั้นหมายไว้ก่อนหน้านี้มากโข
ฮูหยินกั๋วกงไม่กล้าโต้เถียงกับแม่สามี รู้สึกแค่เพียงว่าคนเราพอแก่ชราแล้ว หากดื้อรั้นเอาแต่ใจขึ้นมาก็เกินจะทนไหวเช่นกัน
ครั้นนางเห็นว่าโน้มน้าวแม่สามีไม่ได้ ก็มิได้เปลืองน้ำลายอีก
เพียงแต่ตอนที่นางกลับมานั่งพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหวังซื่อและ ‘เซิ่งเซียงเฉียว’ ทั้งนอกทั้งในถ้อยคำของฮูหยินกั๋วกงล้วนเผยความนัยบางอย่างออกมา คร่าวๆ ก็คือแม่สามีอายุมากแล้ว อาจจะพูดจาเหลวไหลเรื่อยเปื่อยอย่างมิอาจเลี่ยง เห็นแม่นางน้อยเยาว์วัยบ้านใดก็นึกชมชอบจากใจจริงทั้งสิ้น ไม่กลัวว่าพูดล้อเล่นแล้วคนอื่นจะถือเป็นจริงเป็นจัง ถ่วงรั้งบุพเพสันนิวาสคุณหนูเยาว์วัยไปเสียเปล่าๆ ดังนั้นหากฮูหยินผู้เฒ่าพูดอันใดออกไป ก็ขอให้หวังซื่อกับคุณหนูอย่าเก็บเอามาใส่ใจ
หวังซื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ฉงนงุนงงอยู่บ้าง ทั้งยังใช้สมองขบคิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แต่หลิ่วจือหว่านหัวไวถึงเพียงนั้น แค่ประเดี๋ยวเดียวก็ฟังเข้าใจได้ในทันที
ความหมายของฮูหยินกั๋วกงคือคุณชายห้าของบ้านพวกเขาไม่มีทางแต่งงานเกี่ยวดองกับคุณหนูของสกุลเซิ่งแน่นอน หากฮูหยินผู้เฒ่าพูดหยอกล้อ พวกนางก็อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังไป
ดังนั้นระหว่างทางกลับบ้านหลิ่วจือหว่านจึงอธิบายถ้อยคำนี้ให้มารดาฟังจนเข้าใจอย่างละเอียด
หวังซื่อเพิ่งจะมารู้สึกตัวภายหลัง ทันใดนั้นนางก็ใบหน้าร้อนผะผ่าว เอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “บุตรชายคนที่ห้าของบ้านเขาเป็นแค่บุตรอนุภรรยาเท่านั้น เป็นที่รู้จักก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของจวนกั๋วกง เขาร่ำเรียนวิชาได้แตกฉาน หรือว่ามีผลงานในฐานะขุนนางอันใดกัน ก็แค่ช่วงนี้สร้างคุณงามความชอบจากการควบคุมขนส่งเสบียงกรังกองทัพเท่านั้น ซ้ำยังอาศัยบารมีของเทียนฟู่ด้วยซ้ำ!
คิดว่าบุตรสาวบ้านข้าไม่มีคนต้องการหรือไร ถึงต้องยัดเยียดให้บ้านพวกเขา หากมิใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าบ้านเขาส่งเทียบเชิญมาให้ ข้าก็คร้านจะแวะไปเยือนจริงๆ ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองก็เลิกไปมาหาสู่กับคุณหนูเจ็ดของจวนเขาเสีย! คนเขาจะได้ไม่หวาดระแวง คิดว่าพวกเราเกาะตระกูลพวกเขาไต่เต้า!”
ครั้นคำพูดนี้ได้ยินเข้าหูเซิ่งเซียงหลันก็ประดุจดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ประตูใหญ่ของจวนกั๋วกงอันโอ่อ่าแห่งหนึ่งกลับปิดสนิทลงต่อหน้าต่อตานางด้วยประการฉะนี้
นางนึกเสียใจภายหลังขึ้นมาทันทีที่ระยะนี้ตนเองขยันออกไปข้างนอกบ่อยๆ เลยไม่มีโอกาสได้ทบทวนหนังสือสร้างความผูกพันกับญาติผู้พี่ในห้องหนังสือ มารดาเอกกล่าวถูกต้อง ตระกูลสูงศักดิ์อย่างจวนกั๋วกงมีอันใดน่าเกาะกันเล่า แม้กระทั่งบุตรสาวภรรยาเอกอย่างพี่สาว ฮูหยินกั๋วกงผู้นั้นยังไม่ถูกใจ เช่นนั้นบุตรสาวอนุภรรยาอย่างนางยิ่งไม่ติดลำดับด้วยซ้ำไป
การแต่งงานกับญาติผู้พี่ยังเป็นจริงได้มากกว่าอีก ถ้ามีแม่สามีหูเบาอย่างท่านอาหญิงก็จะได้ไม่ต้องทนรองรับอารมณ์…แต่แค่ในอนาคตจะสลัดน้องสามีปากคอเราะรายอย่างเฉิงเต๋อฉิงไม่ได้ก็เท่านั้น ทว่าหากตนเองกลายเป็นพี่สะใภ้แล้ว มีหรือจะสั่งสอนเฉิงเต๋อฉิงให้เข็ดหลาบไม่ได้
บทที่ 26-2 น้ำแกงบำรุง
หลังกลับมาจากจวนกั๋วกง เซิ่งเซียงหลันก็ไม่หลงทิศหลงทางอีกต่อไป เริ่มโผล่ไปที่ห้องครัวเล็กอย่างขยันขันแข็ง รับหน้าที่ตุ๋นน้ำแกงบำรุงจากยาสมุนไพรให้ญาติผู้พี่มาทำเอง
หลายวันมานี้นางเองก็เห็นแล้ว เพราะท่านพี่เชี่ยวชาญศาสตร์การปรุงยา จึงมักจะให้ห้องครัวตุ๋นน้ำแกงให้พวกท่านย่า มารดาเอก ท่านอาหญิง และญาติผู้พี่
ของท่านย่าย่อมเป็นน้ำแกงจำพวกช่วยให้ชุ่มปอด จิตใจสดชื่นบำรุงสายตา ของมารดาเอกกับท่านอาหญิงเป็นน้ำแกงช่วยการไหลเวียนโลหิตบำรุงรูปโฉม ส่วนของญาติผู้พี่ก็เป็นจำพวกบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า บำรุงสุขภาพเสริมสร้างพละกำลัง
เซิ่งเซียงหลันต้องยอมรับว่าในด้านการประจบเอาใจคนนั้น นับวันฝีมือของพี่สาวก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นทุกที ประจบได้อย่างรอบด้านไม่มีตกหล่น
เรื่องอย่างการตุ๋นน้ำแกงให้เช่นนี้ทั้งไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมาย ทั้งยังละเอียดอ่อนเอาใจใส่และได้หน้า
ดังนั้นนางจึงรับหน้าที่ตุ๋นน้ำแกงให้ญาติผู้พี่มาทำต่อทันที นางตุ๋นน้ำแกงอย่างพิถีพิถันตามตำราแพทย์ซึ่งว่าด้วยการบำรุงความอบอุ่นแก่ร่างกายมาหนึ่งหม้อ จากนั้นก็ยกไปไว้ตรงหน้าญาติผู้พี่
แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากที่นางอุตส่าห์ยกน้ำแกงเข้าไปในห้องหนังสืออย่างกระตือรือร้น ญาติผู้พี่กลับไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ แค่ได้กลิ่นยาสมุนไพรในน้ำแกงของนางก็ย่นคิ้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบกลิ่นนี้ ญาติผู้น้องเอาไปดื่มเองเถิด”
รอยยิ้มของเซิ่งเซียงหลันค้างแข็งอยู่บนใบหน้า นางสงสัยว่าญาติผู้พี่กำลังโทษที่ช่วงก่อนหน้านี้นางเมินเฉยละเลยใส่เขา ถึงได้จงใจพูดเช่นนี้
นางเคยเห็นกับตาตนเองชัดๆ ว่าไม่ว่าเซิ่งเซียงเฉียวผู้เป็นพี่สาวจะยกน้ำแกงที่มีกลิ่นยาสมุนไพรอันใดมา ญาติผู้พี่ก็ยกดื่มจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวโดยไม่ต้องใช้ช้อนด้วยซ้ำ
เซิ่งเซียงหลันอิจฉาริษยาขึ้นมาทันที เอ่ยถามญาติผู้พี่ออกไปตรงๆ ว่าเขามีปัญหาอันใดกับนางหรือไม่ เหตุใดถึงดื่มแต่น้ำแกงของเซิ่งเซียงเฉียวแต่กลับไม่ยอมดื่มน้ำแกงของนางเล่า
เฉิงเทียนฟู่ขมวดคิ้วมองดูญาติผู้น้องเซิ่งเซียงหลันที่สะอื้นไห้ปานดอกสาลี่ต้องสายฝน พลันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดว่านางน้อยอกน้อยใจอันใดของนางกัน
ในขณะที่เซิ่งเซียงหลันร่ำไห้ต่อว่าต่อขานญาติผู้พี่อยู่ในห้องหนังสือนั้น เซิ่งกุ้ยเหนียงก็กำลังจะเข้ามาพูดคุยกับบุตรชายในห้องหนังสือพอดี ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในห้องก็เผลอไปได้ยินเข้าเต็มสองหูเสียก่อน
นางหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน ทว่าในใจกลับระเบิดตูมออกมาทันใด
ถึงแม้ในเรื่องอื่นๆ เซิ่งกุ้ยเหนียงจะลังเลตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีวัยกลางคนที่มีประสบการณ์มาแล้ว เรื่องระหว่างชายหญิงพรรค์นี้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเกิดอันใดขึ้น
น้ำเสียงคับอกคับใจของหลานสาวนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังกล่าวโทษที่ญาติผู้พี่ไม่ให้ความสำคัญกับนาง ถึงกับริษยาหึงหวงผู้อื่นอีกด้วย!
นี่ทำให้ในใจของเซิ่งกุ้ยเหนียงพลันตื่นตระหนก ตระหนักขึ้นมาได้โดยฉับพลันว่าพวกเด็กๆ เติบใหญ่แล้วจริงๆ ควรจะรักษาระยะห่างต่อกันได้แล้ว!
ถ้าหากเซิ่งเซียงหลันแอบหลงใหลได้ปลื้มบุตรชายจนก่อเรื่องเหม็นคาวฉาวโฉ่อันใดออกมาอีก จวนหลังนี้คงจะไม่มีทางอยู่อย่างสงบได้อีกแล้ว
นางมีบุตรชายเพียงแค่คนเดียวนะ! เฉิงเทียนฟู่อนาคตกำลังสดใส หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล การจะเลือกภรรยาให้เขาต้องรอบคอบแล้วรอบคอบอีก อาจไม่ต้องเลือกสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลมีชื่อเสียง แต่อย่างน้อยก็ต้องช่วยเหลือค้ำจุนหน้าที่การงานของบุตรชายได้
ส่วนหลานสาวอย่างเซิ่งเซียงหลันซึ่งมีฐานะเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยา หากพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้เอามาเป็นอนุภรรยาของบุตรชาย…นางก็ไม่คู่ควร ด้วยนิสัยมองโลกตื้นเขินของนาง ต่อไปจะไม่ก่อความวุ่นวายในเรือนหลังบ้านของบุตรชายจนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเลยหรือ
พอนึกถึงตรงนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงก็กระแอมกระไออย่างรุนแรงหนึ่งเสียง หลังจากนั้นก็ย่ำฝีเท้าก้าวเข้าไปอย่างไม่เกรงอกเกรงใจแม้แต่เศษเสี้ยว ครั้นเซิ่งเซียงหลันเห็นอาหญิงเดินเข้ามาก็รีบร้อนเช็ดน้ำตาแล้วก้มหน้าเอ่ยทักทายอาหญิง
เซิ่งกุ้ยเหนียงเอ่ยกับเซิ่งเซียงหลันด้วยใบหน้าบึ้งตึง “อีกไม่นานญาติผู้พี่เจ้าก็ต้องเข้าร่วมการสอบ ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องขยันหมั่นเพียรทบทวนหนังสือ ถ้าเจ้าไม่มีธุระอื่นก็ไปเล่นสนุกกับพวกเซียงเฉียวเถิด ต่อไปหากไม่มีเรื่องอันใดก็อย่าก้าวเข้ามาในห้องหนังสือของญาติผู้พี่เจ้าอีก”
เซิ่งเซียงหลันไม่กล้าเอ่ยคำอีก นางจึงยอบกายคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็เบ้ปากเดินออกไป
หลังนางเดินออกไปแล้ว เซิ่งกุ้ยเหนียงถึงหันมากล่าวกับบุตรชายด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย “ข้าขอพูดวาจาที่ไม่ควรพูดสักประโยคเถิดนะ บัดนี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว ควรจะรู้จักหลีกเลี่ยงคำครหา ต้องจำใส่ใจไว้ว่าต้องรักษาระยะห่างกับญาติผู้น้องทั้งสองของเจ้าบ้าง อย่าได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสองเป็นอันขาด ยิ่งอย่าพูดจาอันใดให้พวกนางเกิดความคิดเลยเถิดเล่า”
เฉิงเทียนฟู่เงยหน้าขึ้นมองมารดาครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดท่านแม่ถึงพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเล่าขอรับ”
เซิ่งกุ้ยเหนียงเอ่ยด้วยความร้อนรนใจ “เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ นางหนูเซียงหลันนั่นถูกปฏิเสธมาจากข้างนอก ตอนนี้เลยมาเอาอกเอาใจเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ การแต่งงานของน้องสาวเจ้าไม่ถูกใจข้าเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากเจ้าแต่งสะใภ้ที่ไม่ถูกใจข้าเข้ามาอีก เช่นนั้นข้า…ข้าอยู่ไปจะมีความหมายอันใดอีกเล่า”
พอพูดถึงตรงนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงก็ขอบตาแดงระเรื่อ ความโศกศัลย์ไหลบ่าขึ้นมา ร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ตลอดทั้งช่วงเช้านี้เฉิงเทียนฟู่มิได้อยู่สงบเงียบเลยสักนิด เขาถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะโยนม้วนหนังสือในมือทิ้งแล้วเอ่ยถามว่า “ในห้องหนังสือของข้าบูชาราชันมังกรอย่างนั้นหรือ พวกท่านแต่ละคนถึงต้องมาร่ำไห้ขอฝน ข้ามิใช่คนที่หน้ามืดตามัวเหล่านั้นเสียหน่อย ท่านแม่ไม่ต้องกล่าวคำพูดเลื่อนลอยไร้สาระพวกนี้กับข้าหรอกขอรับ”
เซิ่งกุ้ยเหนียงเองก็รู้ว่าบุตรชายมีความยับยั้งชั่งใจ ดังนั้นจึงเบาใจลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกำชับกำชาอย่างกระตือรือร้น จนกระทั่งเฉิงเทียนฟู่ใช้ดวงตาจ้องมองนางนิ่งๆ นางถึงค่อยสงบปากสงบคำไม่พูดอีก
บุตรชายคนนี้ของตนหล่อเหลาสง่างามยิ่งกว่าบิดาของเขาเมื่อครั้งวัยหนุ่มเสียอีก ก็ไม่แปลกที่แม่นางน้อยเยาว์วัยต่างก็รักใคร่เขา…
หลังออกมาจากห้องหนังสือ นางก็ขบคิดว่าอยากจะย้ำเตือนนางหนูเซิ่งเซียงหลันอีกสักหน่อย เช่นนี้ถึงจะเบาใจลงอีกนิดมากขึ้น
ถ้อยคำบางอย่างเอ่ยเอาไว้ก่อนเนิ่นๆ พอผู้อื่นฟังเข้าใจแล้วจะได้ลดปัญหายุ่งยากในวันข้างหน้าลง จะรอให้ถึงตอนที่เรื่องราวมิอาจแก้ไขได้แล้วถึงค่อยมาแตกหักกันไม่ได้กระมัง
ดังนั้นเซิ่งกุ้ยเหนียงจึงถือโอกาสยามที่เย็บปักสินเดิมเป็นเพื่อนบุตรสาว ร้อยด้ายไปพลางเอ่ยกับเซิ่งเซียงหลันด้วยใบหน้าเบิกบานเป็นมิตรไปพลางว่า “รอบนี้ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่เจ้าจะสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วเช่นกัน…ข้าได้หาแม่สื่อเอาไว้แล้ว ไหว้วานให้พวกนางช่วยข้าเฟ้นหาหญิงสาวที่เหมาะสมคู่ควรกัน จริงสิ ข้ายังบอกกับพวกแม่สื่อด้วยว่าในบ้านยังมีบุตรสาวที่ยังมิได้ออกเรือนอีกสองคน ถ้าพวกนางมีคุณชายที่เหมาะสมก็ให้ช่วยดูตัวให้พวกเจ้าด้วย”
ครั้นเซิ่งเซียงหลันได้ยินวาจานี้ก็ร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ถลึงตาพร้อมกับกลั้นลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วถึงค่อยเปิดปากพูดว่า “ท่านอาหญิง บ้านท่านสถานการณ์เป็นเช่นนี้…การแต่งงานของพี่เต๋อฉิงก็ไม่ราบรื่นมากอยู่แล้ว หากแต่งหญิงสาวที่ไม่รู้จักพื้นเพกันเข้าจวน ถ้านางนิสัยร้ายกาจไปสักหน่อยจะไม่หาเรื่องให้ท่านโมโหแย่หรือเจ้าคะ จากที่ข้าเห็นสู้หาคนที่รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังกันดี ไม่รังเกียจที่ท่านหย่าร้างกับสามี ทั้งยังยกย่องกตัญญูท่านยังจะดีเสียกว่าอีก”
พอเซิ่งกุ้ยเหนียงได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าตนเองคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด เซิ่งเซียงหลันผู้นี้พุ่งเป้าหมายมาที่บุตรชายของตนเองจริงๆ ด้วย
ดังนั้นนางจึงข่มกลั้นความโกรธเคืองเอาไว้ เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ข้ามิใช่เฉิงเผยเหนียนผู้นั้นเสียหน่อย ที่เอาแต่คิดจะเกี่ยวดองให้แน่นแฟ้นยิ่งๆ ขึ้นไปอันใดนั่น รู้พื้นเพกันดีแล้วมีประโยชน์อันใด ในบรรดาคุณหนูที่ข้ารู้จักไม่มีใครคู่ควรกับเทียนฟู่สักคน เขาอนาคตสดใสยาวไกล ทั้งยังมีวิชาความรู้ อย่างไรข้าก็ต้องหาคุณหนูจากตระกูลบัณฑิตที่มีความรู้ใกล้เคียงกับเขากระมัง! เต๋อฉิงญาติผู้พี่เจ้าก็ออกเรือนอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือไปแล้ว ข้าคงจะให้ญาติผู้พี่เจ้าลักลอบสัญญาหมั้นหมายกับผู้อื่นอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่งสะใภ้ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามาอีกคนไม่ได้กระมัง อย่างน้อยก็ต้องเป็นตระกูลขุนนาง พ่อตาแม่ยายต้องฉลาดมีเหตุผล…”
เซิ่งเซียงหลันกระวนกระวายอยากจะพูดอันใดบางอย่างอีก แต่กลับถูกหลิ่วจือหว่านเตะเข้าที่ใต้โต๊ะหนึ่งที
ที่หลิ่วจือหว่านเตะใส่เซิ่งเซียงหลันเพราะทนดูนางสร้างเรื่องขายหน้าไม่ได้จริงๆ
คนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างนางยังเข้าใจเลยว่าความหมายแฝงในถ้อยคำของท่านอาหญิงก็คือไม่ปรารถนาให้หญิงสาวสกุลเซิ่งไปวุ่นวายรบกวนญาติผู้พี่ หากเซิ่งเซียงหลันพูดอันใดออกไปอีกก็เท่ากับหาเรื่องให้ตนเองอับอายขายหน้าเสียเปล่าๆ
เฉิงเต๋อฉิงฟังจนเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟอยู่อีกด้าน ปาตะกร้าทิ้งแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ นี่ท่านไม่ชอบใจหยวนกวงต๋าใช่หรือไม่ ถึงได้ต้องพูดเสียดสีเหน็บแนมเช่นนี้!”
เซิ่งกุ้ยเหนียงเพิ่งตระหนักว่าเมื่อครู่เผลอพูดจาทำร้ายบุตรสาวเข้า จึงโต้แย้งกับบุตรสาวไปสองสามประโยค สุดท้ายสองแม่ลูกก็ทะเลาะถกเถียงกันขึ้นมา
หลิ่วจือหว่านจึงฉวยโอกาสดึงมือเซิ่งเซียงหลันเดินออกไป
ถึงแม้ปกติเซิ่งเซียงหลันจะปากร้ายไม่รักษาน้ำใจคน แต่อย่างไรก็ยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง คำว่า ‘บิดามารดายังอยู่ครบ’ ที่ท่านอาหญิงพูดในตอนท้ายทิ่มแทงใจดำของนางเหลือเกิน ดังนั้นหลังจากออกมาแล้วนางจึงกระทืบเท้าเร่าๆ อย่างเกรี้ยวกราดพลางเอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “ท่านอาหญิงหมายความว่าอย่างไรกัน ดูถูกที่พวกเราเป็นลูกไม่มีบิดามีมารดาใช่หรือไม่!”
หลิ่วจือหว่านรีบหยุดหัวข้อสนทนานี้เอาไว้ จูงมือนางเดินไปอีกพักหนึ่งแล้วถึงค่อยพูดว่า “ท่านอาหญิงก็แค่บอกว่าตนเองอยากหาสะใภ้เช่นไร เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วยเล่า อยู่ๆ เจ้าก็ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ประเดี๋ยวผู้อื่นเขาจะเข้าใจผิดเอาได้”
เซิ่งเซียงหลันสูดจมูกโดยแรง ถลึงตาใส่พี่สาว เอ่ยอย่างไม่ใคร่ยอมแพ้นัก “ท่านได้ยินคำพูดของท่านอาหญิงแล้วไม่โกรธเลยหรือ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ความในใจของท่านนะ ท่านเองก็ต้องใจญาติผู้พี่เหมือนกันมิใช่หรือ”
หลิ่วจือหว่านรู้สึกขบขัน “เอาคำพูดนี้มาจากที่ใดกัน”
“มิฉะนั้นเหตุใดท่านต้องส่งน้ำแกงไปให้เขาอยู่เรื่อยด้วยเล่า”
หลิ่วจือหว่านพูดไม่ออกเล็กน้อย ถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ถือว่าเติบโตกับพวกคุณหนูในจวนมาด้วยกันหลายปี ทว่าเรื่องที่นางคิดอยู่ในสมองนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงเลยแม้แต่นิดเดียว
วันคืนที่ต้องทนหิวทนหนาวเหน็บเมื่อกาลก่อนนั้นยังปรากฏเข้ามาในความฝันเป็นครั้งคราว นางคิดแต่อยากจะแก้แค้นให้บิดามารดาและญาติพี่น้อง คิดแต่ว่าจะหาเงินทองอย่างไร เรื่องสำคัญที่ขบคิดอยู่ในใจไม่ใช่เรื่อง ‘รักไม่รัก’ อันใดนั่นแน่นอน
แม้บางครั้งนางก็ไม่อยากจะสนใจเซิ่งเซียงหลันเช่นกัน แต่พอคิดว่าตนเองยังอยู่ในฐานะเซิ่งเซียงเฉียว ใช้ชีวิตสุขสบายไร้พะวงอยู่ในจวนสกุลเซิ่ง อย่างไรก็ต้องทำหน้าที่พี่สาวแทนเซิ่งเซียงเฉียวบ้าง
ดังนั้นนางจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างระอาใจว่า “ข้ามิได้ส่งให้ญาติผู้พี่คนเดียวเสียหน่อย ท่านย่ากับมารดาเอก รวมไปถึงทางฝั่งท่านอาหญิงข้าก็ส่งให้ ส่วนเจ้ากับเต๋อฉิงธาตุในร่างกายออกไปทางเย็น ซ้ำยังกลัวอ้วน ไม่เหมาะจะดื่มน้ำแกงเยอะ ข้าเลยปรุงยาลูกกลอนบำรุงโฉมรักษารูปร่างให้พวกเจ้าทั้งสองคนแทน หากว่าตามความหมายในคำพูดของเจ้าแล้ว ข้าก็ต้องใจพวกเจ้าทุกคนเลยน่ะสิ ข้าต้องแต่งให้ทุกคนจนครบเลยหรือไม่เล่า”
เซิ่งเซียงหลันถูกคำพูดของนางตอกกลับจนอับจนวาจาไป
เพราะว่าถ้อยคำที่พี่สาวเอ่ยมาแต่ละประโยคล้วนเป็นความจริง ตลอดหลายปีมานี้พี่สาวดูแลทั้งคนเฒ่าคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงในจวนอย่างรอบคอบเหมาะสมทุกคนจริงๆ
บางครั้งระดับความละเอียดอ่อนเอาใจใส่นั้นทำให้คนเคลือบแคลงสงสัยว่านางเป็นบ่าวรับใช้ที่ถูกจ้างวานมา หรือไม่ก็เป็นนกกระจอกที่บินถลาเข้าจวนมาตอบแทนบุญคุณ* มากกว่า หาใช่คุณหนูใหญ่ผู้ถูกประคบประหงมดูแลอยู่ในจวนไม่
เซิ่งเซียงหลันรู้สึกผิดขึ้นมาทันที พอนึกถึงคำพูดของท่านอาหญิงนางก็ยิ่งสิ้นหวัง ได้แต่กอดเอวของพี่สาวเอาไว้ จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดของนาง
“ท่านพี่ แล้วท่านว่าข้าควรทำเช่นไรเล่า หรือข้าต้องหาชายฉกรรจ์หยาบกระด้างตัวดำเมี่ยมอย่างกับก้อนถ่านเหมือนหยวนกวงต๋ามาแต่งด้วย อี๋เหนียงข้าไม่อยู่ข้างกาย ไม่มีใครคิดเป็นห่วงข้าเลย ข้าคิดถึงมารดาแท้ๆ ของข้าแล้ว แต่ท่านย่าก็ไม่ยอมปล่อยนางกลับมา…ฮือๆ…ข้าควรจะทำอย่างไรดี”
หลิ่วจือหว่านถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตบหลังเซิ่งเซียงหลันเบาๆ เอ่ยปลอบใจ
“พูดเหลวไหล ท่านแม่เป็นห่วงเจ้าจะตายไป หลายวันก่อนเจ้างอแงอยากจะออกไปข้างนอก ท่านแม่ก็พาเจ้าไปด้วยมิใช่หรือ อีกอย่างท่านย่าก็ไม่ปล่อยให้เจ้าแก่ตายอยู่ในบ้านหรอก เพียงแต่…การแต่งงานจะดูเพียงว่าอีกฝ่ายชาติตระกูลสูงหรือต่ำแค่นั้นมิได้ ยังต้องดูด้วยว่าทั้งสองคนถูกชะตาตรงใจกันหรือไม่ หาไม่แล้วต่อให้มั่งคั่งมีเกียรติยศเพียงไรก็เป็นเพียงดอกถานฮวา ชั่ววูบเท่านั้น
เจ้าเป็นสตรี ในเรื่องการแต่งงานอย่าได้เสนอตัวมากเกินไป ช่วงหลายวันก่อนหน้านี้เจ้าเอาแต่โผล่ไปปรากฏตัวต่อหน้าคุณชายห้า ถึงแม้ฉากหน้าคุณหนูคนอื่นๆ จะไม่ได้พูดอันใด แต่ลับหลังก็หัวเราะเยาะเจ้าเช่นกัน ท่านอาหญิงบอกแล้วมิใช่หรือว่านางได้ไหว้วานแม่สื่อให้แล้ว เจ้ารอสักหน่อยเถิด อย่างไรเสียข้าก็ไม่รีบร้อนออกเรือนอยู่แล้ว ถ้ามีคนดีๆ ก็ให้เจ้าเลือกก่อนทั้งหมดเลย ดีหรือไม่”
วาจานี้หยอกกระเซ้าเซิ่งเซียงหลันจนหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาได้ในที่สุด
ทว่าพอวันนี้ได้ยินคำพูดของเซิ่งกุ้ยเหนียง หลิ่วจือหว่านเองก็ลอบย้ำเตือนกับตนเองเช่นกันว่าต่อไปนี้อย่าทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับญาติผู้พี่มากเกินไปเด็ดขาด
ท่านอาหญิงพูดถูก ญาติผู้พี่เป็นคนที่มีอนาคตสดใสยาวไกล จะมาตกเป็นขี้ปากผู้อื่นเพียงเพราะคำพูดซุบซิบนินทาเล็กๆ น้อยๆ ให้คนอื่นรู้สึกว่าสกุลเซิ่งมีแต่เรื่องวุ่นวายไม่สงบมิได้
ด้วยเหตุนี้หลังจากนั้นมานางจึงไม่ไปที่ห้องหนังสืออีก แม้กระทั่งน้ำแกงบำรุงร่างกายให้ญาติผู้พี่ก็เลิกยกไปส่งเช่นกัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 มิ.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.