บทที่ 38-1 ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง
หลิ่วจือหว่านเห็นว่านางเหมือนจะไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ จึงแย้มยิ้มพร้อมกับจ่ายเงิน แล้วเดินออกมาจากแผงพร้อมกับเฉิงเทียนฟู่ หลังจากนั้นก็เอ่ยถามเฉิงเทียนฟู่ว่า “ญาติผู้พี่ คนร่วมบ้านหมายความว่าอย่างไรหรือ”
เนื่องจากเฉิงเทียนฟู่กำลังตรวจสอบคดีอุบัติเหตุที่บ่อเกลือเมื่อหลายปีก่อนอยู่ จึงรู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นหญิงม่าย แค่นึกว่านางหาบุรุษคนใหม่ได้แล้ว ส่วนถ้อยคำภาษาถิ่นที่เข้าใจกันเฉพาะในชนบทนี้เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นยังคิดไม่ถึงว่าชาวบ้านในแถบชวนจงจะเปิดกว้างถึงเพียงนี้ พี่สาวผู้นั้นถึงกับแนะนำชู้รักของตนเองอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง จึงเอ่ยตอบไปเรื่อยเปื่อยว่า “คงจะหมายถึงสามีภรรยาที่ยังมิได้แต่งงานกัน…ก็เหมือนกับเจ้าและข้า”
หลิ่วจือหว่านถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “ข้าพูดตั้งแต่เมื่อใดว่าจะแต่งให้ท่าน”
เฉิงเทียนฟู่กล่าว “เจ้ายืนกรานจะอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ต้องมีฐานะสักอย่างสิ ข้าเขียนจดหมายหาท่านยายอธิบายเรื่องของพวกเราแล้ว บอกท่านยายว่าหลังจากกลับไปแล้วก็จะแต่งงานกับเจ้า”
หลิ่วจือหว่านตื่นตระหนกยิ่ง เอ่ยอย่างกระวนกระวายใจว่า “ทะ…ท่านตัดสินใจเอาเองได้อย่างไร ท่านทำเช่นนี้…ก็เหมือนข้าแอบหนีมาเพื่อบีบบังคับให้ท่านแต่งข้าเป็นภรรยาน่ะสิ พอถึงตอนนั้นท่านอาหญิงจะไม่โมโหตายหรือ เร็วเข้า! ท่านรีบสกัดคนส่งจดหมายให้ข้าเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าคะ!”
แต่เฉิงเทียนฟู่กลับไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่ครึ่งก้าว เขาเพียงแต่หลุบตาลง ดวงตานั้นผุดประกายเย็นยะเยือกพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ายังไม่ยอมแต่งให้ข้าอีกหรือ”
หลิ่วจือหว่านร้อนใจแล้วจริงๆ “ถึงแม้ยอมแต่งให้ท่าน ก็ต้องรอให้กลับถึงเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยๆ ปรึกษาหารือกันไป…”
นี่เป็นคำพูดที่ใกล้เคียงกับคำว่าตกลงจะแต่งกับเขามากที่สุดที่เฉิงเทียนฟู่ได้ยินมา ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งผนึกด้วยน้ำแข็งหนาวเหน็บจึงเริ่มหลอมละลายในทันที
หลิ่วจือหว่านเห็นว่าเขาไม่ขยับจึงรีบเร่งเร้าให้เขาไปสกัดจดหมายเอาไว้ แต่เขากลับคลี่ยิ้มพลางกุมมือของนางแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังไม่ได้เขียนจดหมายเลย แล้วจะสกัดได้อย่างไร”
ตอนนี้หลิ่วจือหว่านถึงได้รู้ว่าเขากำลังหลอกนางอยู่ นางโกรธเกรี้ยวจนสะบัดมือเขาออก แต่น่าเสียดายที่มือของเขามีแรงเยอะเกินไป สะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่ออก
“เอาล่ะ เลิกโกรธได้แล้ว ข้าจะบอกท่านยายว่าหลังจากเจ้ามาถึงที่นี่ก็โดนลมหนาวจนจับไข้เข้า เพื่อไม่ให้เจ้านั่งรถม้าโคลงเคลง และเพื่อป้องกันมิให้เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นระหว่างทาง ข้าจะพาเจ้ากลับไปพร้อมกันตอนกลับเมืองหลวงเพื่อไปเยี่ยมญาติช่วงวันปีใหม่ เจ้าว่าเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่”
ครั้นหลิ่วจือหว่านได้ยินเฉิงเทียนฟู่พูดเช่นนี้ถึงค่อยพยักหน้าอย่างช้าๆ
ยามนี้ไม่มีข้ออ้างที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ส่วนเรื่องหลังจากกลับไปแล้ว หากท่านย่าโมโห นางจะลงโทษตนเองก็แล้วกัน เพราะนางเองก็ทำให้ท่านย่าไม่สบายใจ ถูกดุด่าทุบตีก็สมควรแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปหาพ่อค้าบ้านที่เป็นนายหน้าซื้อขายบ้านในอำเภอเพื่อเลือกดูบ้านที่ต้องการจะซื้อ
ตอนที่พ่อค้าบ้านเห็นเด็กสาวงามพริ้มเพราข้างกายนายอำเภอเฉิงก็เอ่ยถามใต้เท้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าแม่นางผู้นี้เป็นอันใดกับเขา
เฉิงเทียนฟู่เอ่ยด้วยภาษาถิ่นที่เรียนรู้มาจากผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉยว่า “เป็นคนร่วมบ้านของข้า”
ในเมื่อเขายอมให้นางอยู่ด้วยก็ย่อมมิอาจให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ได้ จึงอธิบายชัดเจนว่าญาติผู้น้องห่างๆ คนนี้เป็นคู่หมั้นของตนเอง จะได้ลดคำซุบซิบนินทาตามละแวกใกล้เคียงด้วยเช่นกัน
พ่อค้าบ้านผู้นั้นนึกไม่ถึงว่านายอำเภอหนุ่มผู้นี้ในด้านความสัมพันธ์ชายหญิงจะทำตัวกลมกลืนกับคนในพื้นที่ได้ดีเช่นนี้ เพิ่งมารับตำแหน่งได้ไม่นานก็มีคนร่วมบ้านแล้ว เป็นคะ…คนหนุ่มช่างเปี่ยมกำลังวังชาจริงๆ!
เขามองดูนายอำเภอด้วยสีหน้าอิจฉา ต่อมาก็มองประเมินสตรีงามแฉล้มผู้นี้อย่างแฝงเจตนาไม่ดี
แต่พอคิดๆ แล้วก็ถูก สตรีที่ขุนนางซึ่งมาจากต่างถิ่นเหล่านี้พามาด้วยส่วนมากล้วนมิใช่ภรรยาเอก แต่เป็นพวกอนุภรรยามากกว่า
ดูจากความชมชอบของนายอำเภอที่จับมือของเด็กสาวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คงจะเพิ่งได้มาครองไม่นาน กำลังหลงใหลเชียวล่ะ!
มิน่านายอำเภอเฉิงถึงได้รีบร้อนอยากจะซื้อบ้านให้นางจนทนรอไม่ไหว นี่กะจะรีบรับอนุเข้าบ้านสินะ!
พ่อค้าบ้านกระตือรือร้นขึ้นมาทันที พ่อค้าเกลือที่นี่มีคนซื้อคฤหาสน์ให้อนุภรรยา อนุนอกเรือนไม่น้อย แต่ละคนล้วนแสร้งทำเป็นอวดร่ำอวดรวยต่อหน้าสตรี ทุกครั้งเขาล้วนสามารถทำกำไรได้ก้อนโต
เมื่อได้ยินนายอำเภอเฉิงพูดเช่นนี้เขาก็รีบเอาคฤหาสน์สวยหรูพร้อมมีสวนในตัวหลายแห่งออกมา ราคาก็แจ้งให้สูงเอาไว้ก่อนเช่นกัน
นึกไม่ถึงว่านายอำเภอเฉิงยังไม่ทันเอ่ยตอบ เด็กสาวงามแฉล้มผู้นั้นกลับเปิดปากขึ้นว่า “คฤหาสน์ที่ท่านเสนอราคาขายเป็นจวนอ๋องในเมืองหลวงหรือ จวนที่ท่านอ๋องเคยอาศัยอยู่ยังไม่กล้าเรียกราคาสูงถึงเพียงนี้เลย!”
พูดจบนางก็ยื่นมือไปรับกระดาษรูปวาดคฤหาสน์มาจากพ่อค้าบ้าน พลิกไปมาอย่างรวดเร็วอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะดึงออกมาสองใบแล้วสอบถามราคา
ครั้นพ่อค้าบ้านเห็นก็พบว่านี่ล้วนเป็นเรือนที่เรียบง่ายธรรมดาๆ ทั้งสิ้น! เขาจึงร้อนใจแทนเด็กสาวผู้งดงามสะสวยขึ้นมา วัยสาวมีแค่หนเดียว จะเอามาขายราคาถูกๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
เขาพยายามพูดภาษาที่เป็นมาตรฐานอย่างไม่ค่อยคล่องแคล่วนักด้วยสุ้มเสียงต่ำเบาว่า “ไอ้หยาแม่นาง อย่าแสร้งทำเป็นกุลสตรีช่วยบุรุษประหยัดเงินเลย! เรือนเล็กๆ เช่นนี้จะคู่ควรกับท่านได้อย่างไรกัน จริงสิ ยังไม่ได้ถามเลย ต่อไปท่านกับนายอำเภอเฉิงมีแผนจะจัดงานมงคลกันหรือไม่”
หลิ่วจือหว่านยิ้มน้อยๆ มิได้เอ่ยตอบ
พ่อค้าบ้านผู้นั้นรู้กระจ่างชัดแก่ใจทันที คิดว่าตนเองเดาไว้ไม่มีผิด ต่อไปนางคงไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะยกเป็นอนุภรรยาด้วยซ้ำ เป็นได้แค่ชู้รักอนุนอกเรือนของนายอำเภอเฉิง
ดังนั้นถึงแม้ใต้เท้าจะซื้อบ้านให้นางอยู่ แต่ภายภาคหน้าจะโยกย้ายชื่อนางเข้าบ้านหรือไม่ก็ยังไม่แน่นอน!
สตรีเช่นนี้ส่วนมากล้วนมีแผนที่จะกอบโกยเงินมากกว่า ดังนั้นเขาจึงจงใจกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ท่านซื้อหลังใหญ่หน่อย ข้าจะแบ่งกำไรให้สองส่วน กลับไปค่อยให้คนส่งไปให้ท่าน เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ ท่านทั้งได้อยู่เรือนหลังใหญ่ ทั้งได้เงินไว้ใช้จ่าย สบายจะตายไป!”
หลิ่วจือหว่านมองพ่อค้าบ้านที่ยิ้มอย่างประจบสอพลอผู้นี้ครู่หนึ่ง นางคิดอยู่สักพักก็พอจะเข้าใจได้ทันที
หลิ่วจือหว่านหันหน้าไปมองเฉิงเทียนฟู่ เขาเองก็รู้ว่านางเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ดังนั้นจึงนั่งดื่มน้ำชาอยู่ด้านข้างโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยถามเรื่องบ้าน
นางส่ายศีรษะยิ้มๆ เจตนากดเสียงให้ต่ำลงเช่นเดียวกันแล้วเอ่ยถาม “หมอดูบอกว่าถ้าข้าอยู่เรือนหลังใหญ่โชคลาภจะรั่วไหล เรือนเล็กจะได้ผลประโยชน์มากกว่า…หากข้าซื้อเรือนเช่นนี้ ท่านจะให้ส่วนแบ่งข้าได้เท่าใด”
พ่อค้าบ้านเห็นเด็กสาวหลงกลจึงหน้าชื่นตาบานทันที ในเมื่อนางยืนกรานจะซื้อเรือนหลังเล็ก เช่นนั้นก็ย่อมได้ เขาแค่ถีบราคาให้สูงขึ้นหน่อย ทุกคนต่างได้กำไรด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงบอกราคาบ้านก่อน ต่อมาก็ชี้นิ้วบอกตัวเลขจำนวนหนึ่งออกมา บอกเป็นนัยๆ ให้นางรู้ว่านี่คือส่วนแบ่งของนาง
หลิ่วจือหว่านเลิกคิ้วกล่าว “แค่นี้เองหรือ คิดว่าข้าไม่เคยเห็นเงินหรือไร”
พ่อค้าบ้านรู้สึกว่าแม่นางน้อยละโมบโลภมากไม่เบา ดังนั้นจึงกัดฟันเบาๆ ชี้นิ้วบอกตัวเลขออกมาอีกครั้ง
แต่เด็กสาวยังเห็นว่าไม่มากพอ ต่อรองกันไปต่อรองกันมา พ่อค้าบ้านจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “แม่นาง ไม่มีใครเขากล้าเรียกร้องส่วนแบ่งสูงอย่างท่านหรอก จะให้ข้าเหนื่อยเปล่าไม่ได้กระมัง ตัวข้าเองก็ต้องเก็บไว้อย่างน้อยสามส่วนสิ!”
หลิ่วจือหว่านเห็นว่าหยั่งราคาที่แท้จริงได้แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็พาพวกเราไปดูบ้านก่อนเถิด”
หลังจากไปดูแล้วหลิ่วจือหว่านถูกใจเรือนหลังเล็กๆ อันเงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายหลังหนึ่ง เรือนหลังนี้กำแพงสูง ซ้ำยังอยู่ติดกับตลาด ค่อนข้างปลอดภัยกว่าที่อื่น
ดังนั้นหลิ่วจือหว่านจึงหันหน้าไปแล้วเริ่มต่อรองราคากับพ่อค้าบ้าน
เดิมทีพ่อค้าบ้านนึกว่าเขากับอนุนอกเรือนตัวน้อยของใต้เท้านายอำเภอตกลงกันเรียบร้อยแล้วเสียอีก แต่นึกไม่ถึงว่านางกลับต่อราคาบ้านโดยที่ไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ อีกทั้งราคานี้ยังเป็นธรรมสมเหตุสมผลยิ่ง เพียงแต่ได้กำไรน้อยไปสักหน่อย หากไม่ใช่คนในท้องที่ก็ไม่มีทางให้ราคาที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเช่นนี้ได้
เขารู้สึกว่านางหนูผู้นี้ตลบตะแลงกลับกลอก จึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยด้วยความโมโหทันที “ไม่ขายแล้วๆ ราคานี้น้อยเสียจนไม่ได้กำไรเลย จะขายไปทำอันใดกัน”
หลิ่วจือหว่านแย้มยิ้ม “แต่ทีแรกท่านเพิ่มส่วนแบ่งให้ข้าแล้ว แสดงว่าคงได้กำไรเยอะมาก ตอนนี้ข้าช่วยท่านลดราคาส่วนที่เกินจริงออกไป กลายเป็นราคาที่ยุติธรรมซื่อตรง เหตุใดท่านถึงยังไม่พอใจอีกเล่า เมื่อครู่ท่านเจตนาวางแผนสมคบคิดกับผู้อื่น ตั้งใจจะปอกลอกเงินทองของใต้เท้านายอำเภอ ญาติผู้พี่ คนสับปลับคดโกงพรรค์นี้ควรจะเอาผิดโทษฐานเช่นไรดีเจ้าคะ”
พอพูดถึงช่วงท้ายจู่ๆ นางก็ร้องเรียกเฉิงเทียนฟู่เสียงดัง
เฉิงเทียนฟู่ยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย นิ้วมือยาวเขี่ยกรงนกเปล่าๆ ซึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาเล่น เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ ก็ต้องเอาผิดในโทษฐานหลอกลวงน่ะสิ หลังจากโดนโบยแล้วก็ค่อยให้บทเรียนเขาอย่างสาสม ให้เขาไม่มีหนทางทำมาหากินที่อำเภอก้งเซี่ยนได้อีก ให้เขารู้ความร้ายแรงของการล่วงเกินขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในท้องที่เสียบ้าง!”
พ่อค้าบ้านถูกคำเรียก ‘ญาติผู้พี่’ ของหลิ่วจือหว่านทำเอาฉงนงงงวยไป เอ่ยด้วยท่าทางตะลึงงันจนอ้าปากค้าง “ทะ…ท่านไม่ใช่อนุนอกเรือนของนายอำเภอเฉิง?”
เฉิงเทียนฟู่เลิกคิ้วเอ่ย “บอกแล้วมิใช่หรือว่านางเป็น ‘คนร่วมบ้าน’ ของข้า”
แต่ในขณะที่รอให้นายอำเภอเฉิงเข้าใจว่าความนัยของ ‘คนร่วมบ้าน’ คือความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่คลุมเครือไม่ชัดเจน หาใช่ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาที่ยังมิได้แต่งงานกันไม่ พ่อค้าบ้านก็ร้องโวยวายขอความเป็นธรรม กระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความหงุดหงิดใจพร้อมเอ่ยว่า “นายอำเภอเฉิง คำนี้ไม่ได้ใช้กันเช่นนี้เสียหน่อย ชะ…เช่นนี้…เท่ากับท่านร่วมมือกับคู่หมั้นของท่านวางแผนหลอกข้ามิใช่หรือ”
เฉิงเทียนฟู่แค่นเสียงอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “จริงสิ เจ้ายังดูหมิ่นว่าญาติผู้น้องของข้าเป็นอนุนอกเรือน ความผิดฐานใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ยังต้องเพิ่มโทษตบปากอีกยี่สิบที!”
ต่อให้เป็นนายอำเภอที่ขี้ขลาดไร้ความสามารถเพียงไร แต่การลงโทษชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
พ่อค้าบ้านดวงซวยผู้นี้ถูกนายอำเภอเฉิงจับจุดอ่อนได้คาหนังคาเขา จะไม่ยอมรับในความเคราะห์ร้ายก็มิได้ สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับผิดจากใจจริงด้วยสีหน้าประจบประแจง จนแล้วจนรอดก็ขายบ้านให้กับนายอำเภอเฉิงในราคาที่ต่ำยิ่ง
หลิ่วจือหว่านพอใจกับเรือนหลังน้อยที่เฉิงเทียนฟู่ซื้อแห่งนี้เป็นอย่างมาก
ตอนที่นางอดอยากหิวโหยเป็นสะใภ้เด็กให้คนอื่นอยู่ในชนบทก็เคยวาดฝันว่าวันใดวันหนึ่งหลังจากตนเองหนีออกไปได้แล้วก็อยากจะมีเรือนเป็นของตนเองสักหลัง
ในเรือนมีห้องกว้างขวางสะอาดสะอ้านสักสองสามห้อง นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ว่างเอาไว้ปลูกผักผลไม้ ตนเองอยากปลูกสิ่งใดก็ปลูกสิ่งนั้น ต่อมาก็เลี้ยงไก่และเป็ดจำนวนหนึ่ง ได้กินไข่ไก่สดใหม่ทุกวัน
เพียงแต่ต่อมาหลังจากนางเข้ามาอยู่ในสกุลเซิ่งก็ไม่ค่อยจะได้คิดถึงความฝันที่สุดแสนจะธรรมดานี้อีก นึกไม่ถึงว่านางกลับสามารถทำความฝันเมื่อครั้งวัยเยาว์ให้เป็นจริงได้ในอำเภอเล็กๆ ที่แถบชวนจง
หลังจากนางเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เฉิงเทียนฟู่ฟัง คืนวันนั้นตอนที่เฉิงเทียนฟู่กลับมาเขาได้ถือตะกร้าไม้ไผ่เล็กๆ มาด้วยใบหนึ่ง หลิ่วจือหว่านยื่นศีรษะมองเข้าไปข้างในพบว่ามีแม่ไก่ตัวหนึ่งพร้อมด้วยลูกเจี๊ยบขนปุกปุยตัวอ้วนกลมอีกสิบกว่าตัว
หลิ่วจือหว่านจับขึ้นมาตัวหนึ่ง มองดูดวงตากลมโตสีดำของลูกเจี๊ยบ ชอบอกชอบใจเป็นหนักหนา
เฉิงเทียนฟู่บอกว่าไก่ที่เขาเอามาเป็นไก่ขาสั้นซึ่งมีถิ่นกำเนิดเฉพาะในท้องที่แห่งนี้เท่านั้น หลังจากโตขึ้นเนื้อไก่จะสดอร่อยยิ่ง
หลิ่วจือหว่านได้ฟังแล้วก็รีบขยับตะกร้าไม้ไผ่หนีโดยเร็ว บอกเขาว่าอย่าขู่ให้พวกไก่ของนางเสียขวัญ ไม่อย่างนั้นจะทำให้พวกลูกเจี๊ยบรู้ตัวว่าอนาคตข้างหน้าไร้สิ้นความหวัง ไม่ยอมเติบโตให้เต็มที่
พอมีไก่แล้วในลานบ้านก็มีความคึกคักขึ้นมาทันที เพียงแต่ตอนเดินจะต้องระมัดระวังหน่อย ไม่แน่อาจจะมีลูกเจี๊ยบขนปุยที่ออกมาหาอาหารโผล่พรวดออกมาก็ได้
ส่วนแปลงผักในลานบ้านนั้นไม่นานหลิ่วจือหว่านก็ย้ายต้นกล้าเข้ามาปลูก นอกจากพืชผักจำพวกหัวไช้เท้าผักโขมที่หาได้ทั่วไปในช่วงเหมันตฤดูของชวนจงแล้ว จะขาดพริกชาที่แถบชวนจงต้องมีทุกบ้านไปไม่ได้
ผักดองที่นี่อร่อยยิ่ง หลิ่วจือหว่านจึงซื้อไหผักดองมาหลายใบ จากนั้นก็เรียนวิธีทำผักดองจากหญิงชราที่จ้างมาช่วยงานจิปาถะ แล้วดองผักเอาไว้บางส่วน
หลิ่วจือหว่านยังพบว่าเกลือที่หญิงชรารับใช้เอามาใช้ทำผักดองมิใช่เกลือบ่อจากในท้องที่ แต่เป็นเกลือทะเลที่หยาบกระด้างกว่าเล็กน้อย
นางเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ หญิงชรารับใช้ผู้นั้นตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เกลือบ่อในท้องถิ่นของพวกเรานั้นเอร็ดอร่อย ใช้ทำอาหารเลิศรสเป็นที่สุด แต่ถึงแม้จะเป็นเกลือที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่น ทว่าคนยากคนจนก็ยังต้องประหยัดอดออม อย่างเช่นเวลาทำผักดองก็จะไม่ใช้เกลือละเอียด แต่จะใช้เกลือทะเลหยาบๆ ที่ราคาถูกกว่าเล็กน้อย เวลาใช้แล้วจะได้ไม่เจ็บปวดใจเพราะราคาแพงเจ้าค่ะ”
หลิ่วจือหว่านพยักหน้า หยิบเกลือทะเลเม็ดหนึ่งขึ้นมาชิม หลังจากเอาเข้าปากนอกจากรสเค็มปร่าแล้วยังมีรสขมเฝื่อนอย่างบอกไม่ถูก ยามเข้าปากแล้วมิได้รสชาติโอชาละเอียดอ่อนเหมือนอย่างเกลือบ่อในอำเภอก้งเซี่ยนจริงๆ ไม่แปลกที่อำเภอก้งเซี่ยนสามารถเป็นผู้ผลิตรายใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ยึดครองตลาดค้าเกลือในแคว้นไปมากกว่าครึ่ง
บทที่ 38-2 ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง
หลังจากหลิ่วจือหว่านทำความสะอาดเรือนหลังน้อยจนสะอาดเอี่ยมอ่องแล้ว เฉิงเทียนฟู่ก็สั่งให้คนย้ายสัมภาระของเขาเข้ามาอาศัยอยู่ในเรือนด้วยเช่นกัน
มิใช่เพราะเขาไม่ทะนุถนอมชื่อเสียงของหลิ่วจือหว่าน แต่เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายรูปแบบ หากเขาไม่เฝ้าคุ้มครองอยู่ข้างกายหวานหว่านก็ไม่อาจวางใจได้
ยามเที่ยงในแต่ละวันเขาล้วนต้องรีบกลับมากินข้าวที่เรือน แต่พอหลิ่วจือหว่านเห็นว่าบางครั้งตอนอีกฝ่ายมีงานยุ่งขึ้นมาก็ถึงขั้นไม่มีเวลากินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ นางจึงทำอาหารไว้ให้ตั้งแต่เช้าตรู่แล้วนำไปส่งให้ญาติผู้พี่ซึ่งอยู่ในที่ทำการ เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางกลับไปกลับมา
แม้อำเภอก้งเซี่ยนจะมีอาหารเลิศรสมากมาย แต่สำหรับคนที่มาจากทางเหนือแล้ว ท่ามกลางการรายล้อมไปด้วยอาหารรสชาติเผ็ดร้อน บางครั้งก็อยากจะกินอาหารบ้านเกิดเพื่อปลอบประโลมจิตใจบ้างเช่นกัน
สถานที่แห่งนี้มิใช่เมืองหลวง อีกทั้งหลิ่วจือหว่านก็บอกกับคนนอกว่าตนเองแซ่เฉียน เป็นญาติผู้น้องห่างๆ ของเฉิงเทียนฟู่ เพราะหากนางปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่สกุลเซิ่งคงจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก
แต่สำหรับคนในพื้นที่ นางถือเป็นสตรีในครอบครัวของนายอำเภอเฉิงแล้ว
นิสัยของผู้คนในท้องที่นั้นห้าวหาญทว่าใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ชายหญิงที่มาจับคู่ใช้ชีวิตทำมาหากินอยู่ด้วยกันมีมากมายถมเถ ยิ่งไม่มีใครสนใจจะไปขุดคุ้ยประวัติของญาติผู้น้องแซ่เฉียนของนายอำเภอเฉิงผู้นี้
ในแต่ละวันหลังจากหลิ่วจือหว่านตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืดก็จะพาจิ้นเป่าและสาวใช้อีกสองคนไปทำไร่ทำสวน รวมถึงให้อาหารไก่ ต่อจากนั้นก็ออกไปเดินตลาด ซื้อข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านเพิ่มเติม ตอนเที่ยงก็ต้องเอาข้าวไปส่งให้ญาติผู้พี่ ทำให้ระยะเวลาช่วงแรกที่เพิ่งมาถึงอำเภอก้งเซี่ยนผ่านไปอย่างเร่งรีบมากทีเดียว
ทว่าทุกการเคลื่อนไหวของนายอำเภอเฉิงผู้นี้ย่อมมีคนจำนวนมากให้ความสนใจ โดยเฉพาะการที่เขาซื้อเรือนในอำเภอ ซ้ำยังมีสาวงามชดช้อยคนหนึ่งมาอยู่ด้วย ดูท่าทีเหมือนว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่ในระยะยาว จึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนสืบหาที่มาที่ไปของสตรีของเขา
พ่อค้าบ้านผู้นั้นเนื่องจากไม่ได้กำไรก้อนโต ในใจจึงโกรธแค้นเด็กสาวจอมเจ้าเล่ห์ผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นปากกับใจจึงไม่ซื่อตรง บอกแค่ว่าสตรีแซ่เฉียนผู้นั้นคงจะเป็นชู้รักของนายอำเภอเฉิงอันใดทำนองนั้น
เรื่องที่นายอำเภอเฉิงผู้นี้เลี้ยงดูอนุนอกเรือนไว้ที่อำเภอก้งเซี่ยนแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ลือไปถึงหูของเยวี่ยขุยหัวหน้าสมาคมกิจการค้าเกลือ
ในตอนนั้นเขากำลังอ่านจดหมายลับซึ่งส่งมาจากเมืองหลวงอยู่พอดี หลังจากอ่านจบริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มนึกสนุกออกมาเสี้ยวหนึ่ง
เยวี่ยเต๋อเหวยบุตรชายคนรองของเขายื่นสมุดบัญชีที่สะสางเรียบร้อยแล้วมาให้ ก่อนจะถามอย่างสนใจใคร่รู้ “นายอำเภอที่มาใหม่ผู้นี้มีที่มาที่ไปอันใดหรือขอรับ ถึงขั้นทำให้ฉือหนิงอ๋องกับสกุลเถียนซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงเขียนจดหมายมาหาท่านพ่อไม่หยุดหย่อน”
เยวี่ยขุยหรี่ตาลง แค่นเสียงฮึอย่างเยียบเย็นแล้วเอ่ย “ที่มาที่ไปอันใดน่ะหรือ ก็แค่คนมุทะลุที่สร้างคุณงามความชอบในสนามรบนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น! แต่กลับเยาว์วัยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ล่วงเกินฝ่าบาทเข้า เลยคิดอยากจะสร้างผลงานได้หน้าที่นี่น่ะสิ”
เยวี่ยเต๋อเหวยเผลอหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แกว่งนิ้วพลางเอ่ยว่า “เขาน่ะหรือเป็นถึงแม่ทัพ แม่ทัพที่แค่ถูกชาวยุทธ์ไม่กี่คนล้อมโจมตีก็เสียแขนไปข้างหนึ่งผู้นั้นน่ะหรือ”
ครั้นวาจานี้เปล่งออกไป ที่ปรึกษาหลายคนซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งก็หัวเราะครืน แม่ทัพที่ยิงธนูแม่นยำราวกับจับวาง พละกำลังมากล้นมหาศาลที่บทละครในโรงน้ำชาเหล่านั้นเล่าบรรยาย สำหรับชาวยุทธ์มากประสบการณ์อย่างพวกเขาแล้วก็เป็นแค่เรื่องเล่าที่แต่งออกมาหลอกลวงผู้คนเท่านั้น ส่วนมากก็ตีความเพื่อขับเน้นให้คุณูปการด้านการทหารของตนเองโดดเด่นขึ้นมา หาไม่แล้วเหตุใดแม่ทัพเพี่ยวฉีผู้นี้พอมาถึงอำเภอก้งเซี่ยนก็ไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราวเลยเล่า
แต่เยวี่ยขุยกลับโบกมือสั่งให้พวกเขาหยุดหัวเราะ หรี่ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นพลางกล่าวว่า “จริงอยู่ที่วรยุทธ์ของแม่ทัพผู้นี้ไม่ค่อยร้ายกาจเท่าใด ตอนออกสนามรบคงจะอาศัยผู้ใต้บังคับบัญชาเก่งๆ จนสร้างคุณงามความชอบมาได้ แต่การที่เขาอยากจะสร้างผลงานโดดเด่นที่นี่ก็เป็นเรื่องจริง ทุกท่านจะดูเบาเขาไม่ได้เด็ดขาด พวกท่านไม่เห็นหรือว่าพอเขามาถึงที่นี่ก็แสดงอำนาจใส่ผู้เฒ่าอย่างข้าทันที”
เยวี่ยเต๋อเหวยเอ่ยขำขันอย่างมิใคร่ใส่ใจ “ท่านพ่อ นั่นเขาเรียกขุนนางใหม่ขยันขันแข็งผิดที่ผิดทาง คิดว่าจะไถเงินจากกิจการค้าเกลือของพวกเราได้ ถึงกับเรียกร้องเงินค่าปรับตั้งสามเท่า แต่หารู้ไม่ว่ากลยุทธ์ย้ายต้นทาบกิ่ง ของท่านพ่อก็แค่โยกย้ายเงินค่าปรับไปไว้ที่กลุ่มค้าเกลืออื่นๆ ตอนนี้เพื่อปรับราคาเกลือให้สูงขึ้น พวกเราได้กักตุนเกลือมาเดือนกว่าแล้ว ขอเพียงแค่กักตุนเกลือต่อไปอีกสักระยะ รอจนเกลือข้างนอกไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาเกลือสูงขึ้น พวกเราก็ไม่เพียงแต่จะมีเงินค่าปรับ ซ้ำยังได้กำไรก้อนโตอีกด้วย!”
เยวี่ยขุยที่ได้ยินคำแนะนำของบุตรชายกลับส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย พูดว่า “พอผ่านเดือนนี้ไปก็ควรได้เวลาผู้ประกอบกิจการค้าเกลือประชุมหารือเรื่องราคาเกลือแล้ว เจ้าไปตกลงราคากับกิจการค้าเกลือข้างนอกให้เรียบร้อยว่าหลังจากปรับกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสามส่วนแล้ว พวกเราจะเริ่มปล่อยเกลือออกไป”
เยวี่ยเต๋อเหวยรู้สึกว่าบิดาระมัดระวังตัวเกินไป เพิ่มกำไรขึ้นแค่สามส่วนน้อยเกินไปแล้ว
เยวี่ยขุยหมุนเหอเถามรกตคู่หนึ่งซึ่งอยู่ในมือ สั่งสอนปรัชญาการค้าให้แก่บุตรชายอย่างเนิบนาบเชื่องช้า “เกลือจากอำเภอก้งเซี่ยนของพวกเราเกี่ยวพันไปถึงความสุขสงบของแผ่นดินทั้งใต้หล้า หากโลภมากเกินไปจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สั่นสะเทือนรากฐานการปกครองแผ่นดิน พอถึงตอนนั้นคนที่โอรสสวรรค์ส่งมาคงมิใช่แค่คนมุทะลุที่ถูกลดตำแหน่งเท่านั้น! ดังนั้นไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องรู้จักพอ ถึงแม้จะขึ้นกำไรแค่สามส่วน แต่อำเภอก้งเซี่ยนของพวกเราผลิตเกลือมากมายกองเป็นเขาไท่ซาน พอสะสมเข้าด้วยกันทีละเล็กละน้อย กำไรก็มากจนน่าตื่นตะลึงแล้ว”
เยวี่ยเต๋อเหวยรีบร้อนประสานมือเอ่ย “ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้อง ลูกเข้าใจแล้ว…เพียงแต่นายอำเภอเฉิงผู้นั้นยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี…”
เยวี่ยขุยระบายยิ้มน้อยๆ “ฝ่าบาทลดตำแหน่งเขามาอยู่ที่นี่ก็เพราะหวังให้เขารู้จักประพฤติตัวให้เป็น บัดนี้ที่ทำการขุนนางของเขามีกลุ่มค้าเกลือไปโวยวายไม่เว้นแต่ละวัน ร้องห่มร้องไห้บอกว่าไม่มีอันจะกิน ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียแขนไปแล้วข้างหนึ่ง หากยังไม่คิดทบทวนใหม่ล่ะก็ เกรงว่าคงจะเอาทั้งชีวิตมาทิ้งไว้ที่อำเภอก้งเซี่ยนแล้ว”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดนิ่งไปอีกครา ก่อนจะถามว่า “ก่อนหน้านี้พวกของเจ้าจินตาเดียวเจอของแข็งเข้าให้ ต่อมาก็ถูกเฉิงเทียนฟู่จับตัวไปเหมือนกันมิใช่หรือ”
หลังพวกที่ปรึกษาซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งได้ยินวาจานี้ก็รีบพยักหน้า
เยวี่ยขุยหมุนเหอเถามรกตในมือเล็กน้อย ขบคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “ในเมื่อนายอำเภอเฉิงกัดเจอก้อนหินแข็งก็คงจะรู้ถึงความตื้นลึกหนาบางในอาณาเขตอำเภอก้งเซี่ยนแล้ว อย่างไรพวกเราก็ต้องมอบข้าวหอมหวานให้เขากินบ้าง จานข้าวตั้งวางอยู่ตรงหน้าเขา เขาอยากจะกินชามใดก็อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเขาเอง…เขามีฮูหยินแซ่เฉียนคนหนึ่งอยู่ในเรือนมิใช่หรือ เจ้าให้ฮูหยินของเจ้าแวะไปผูกมิตรกับสตรีแซ่เฉียนผู้นั้นสักหน่อยเถิด”
เมื่อเยวี่ยเต๋อเหวยได้ยินคำพูดของบิดาก็เข้าใจในทันที
นับแต่โบราณกาลมามีใครไม่ชอบเงินทองบ้างเล่า
เฉิงเทียนฟู่ผู้นั้นเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง วางท่าเป็นนายอำเภออย่างเต็มที่ ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นโดนเล่นงานไป ไม่แน่ในใจอาจจะหวาดผวานึกเสียใจภายหลังอยู่ก็ได้ พวกเขาต้องหาทางลงให้เขาสักหน่อย ส่งฮูหยินของตนเองไปสร้างไมตรีกับสตรีของอีกฝ่ายเล็กน้อย มอบทองแท้เงินขาวสักจำนวนหนึ่ง ให้สตรีช่วยเป่าลมข้างหมอนนิดๆ หน่อยๆ เท่านี้ทั้งสองฝ่ายก็สบายแล้ว
หลังจากตัดสินใจได้เช่นนี้แล้ว เยวี่ยเต๋อเหวยก็กลับไปกำชับสั่งกับหรงซื่อฮูหยินของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
วันนี้หลิ่วจือหว่านเตรียมจะออกไปซื้อถ้วยกับตะเกียบสักเล็กน้อย
ถึงแม้ของที่อยู่ในเรือนจะยังใช้ได้อยู่ แต่ทุกครั้งที่เห็นคุณชายสะโอดสะองอย่างเฉิงเทียนฟู่ใช้มือที่ถือกระบี่ยาวถือพู่กันหยกประคองถ้วยเก่าๆ ที่มีรอยบิ่นตรงขอบขึ้นดื่มโจ๊ก ก็มักจะรู้สึกชวนให้คนเจ็บปวดรวดร้าวใจ
ดังนั้นหลิ่วจือหว่านจึงตัดสินใจออกไปซื้อถ้วยกระเบื้องเคลือบครบชุด ยามใช้สอยจะได้ดูเหมาะสมสักหน่อย
นางลำบากมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเงินทองหามาไม่ง่าย ภายหลังพอได้มาดูแลค่าใช้จ่ายของสกุลเซิ่งก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสกุลเซิ่ง คือถ้าประหยัดได้ก็ประหยัด
ในด้านการใช้จ่ายเงินทอง นางมีนิสัยคล้ายคลึงกับเซิ่งเซวียนเหอผู้เป็นอดีตบิดาในนามยิ่ง แค่พูดจาหวานๆ ต่อราคาคราหนึ่งก็ทำให้เถ้าแก่ร้านเครื่องเคลือบรับมือไม่ค่อยไหวแล้ว อีกฝ่ายจึงขายให้นางในราคาต่ำอย่างง่ายดาย ทั้งยังให้นางเลือกสีสันลวดลายได้ตามใจชอบ
ขณะที่หลิ่วจือหว่านกำลังเลือกของอยู่ในร้านเครื่องเคลือบนั้น ข้างๆ ก็มีฮูหยินในชุดแพรไหมหรูหราผู้หนึ่งเดินเข้ามาแย้มยิ้มให้นาง เอ่ยชมว่านางมีสายตาเฉียบแหลม เลือกเครื่องกระเบื้องเคลือบได้ดี ส่วนตนเองดูอยู่ครึ่งวันแล้วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ หลิ่วจือหว่านคลี่ยิ้มบาง ช่วยเลือกสีสันลวดลายให้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
ต่อมาหลังจากนั้นฮูหยินผู้นั้นก็รู้สึกว่าสหายรู้ใจยากจะพบพาน จึงเชื้อเชิญหลิ่วจือหว่านไปนั่งที่โรงน้ำชาอีกฝั่งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น
หางตาของหลิ่วจือหว่านเหลือบเห็นป้ายตระกูลที่แขวนอยู่บนรถม้าของนาง จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อฮูหยินอุตส่าห์มีน้ำใจเชื้อเชิญ ข้าก็ขอน้อมรับเอาไว้”
ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงเดินขึ้นไปบนโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี้ด้วยกัน
ฮูหยินแซ่หรงผู้นี้ใช้เงินมือเติบยิ่ง แม้แต่น้ำชาที่สั่งก็ยังเป็นชาต้าหงเผากาละหนึ่งร้อยตำลึง
หลิ่วจือหว่านทำท่าทางเหมือนไม่เคยพบเจอโลกภายนอก หลังจากดื่มชาไปอึกหนึ่งด้วยท่าทีเคารพเลื่อมใสแล้วก็กล่าวกับหรงซื่อว่า “น้ำชาราคาแพงช่างแตกต่างจากของทั่วไปจริงๆ ข้าดื่มไปเพียงอึกเดียวก็รู้สึกหอมอบอวลไปทั้งปาก สดชื่นไปทั้งร่าง…”
หรงซื่อยิ้มตาหยีเอ่ย “ท่านชอบก็ดีแล้ว ใบชาชนิดนี้ที่บ้านข้ามีเต็มไปหมด กลับไปจะสั่งให้คนนำไปมอบให้แม่นางเฉียนสักสองสามกล่องก็แล้วกัน”
หลิ่วจือหว่านรีบโบกไม้โบกมือเอ่ย “ทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ท่านมอบของราคาแพงเพียงนี้ให้ผู้อื่น สามีท่านจะไม่ตำหนิหรือ จริงสิ ข้ายังไม่ได้ถามเลยว่าท่านเป็นฮูหยินของสกุลใด”
เมื่อได้ยินว่าหรงซื่อผู้นี้เป็นถึงสะใภ้รองของสกุลเยวี่ย หลิ่วจือหว่านก็รีบลุกพรวดขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างลนลานทำอันใดไม่ถูกว่า “ที่แท้ท่านก็เป็นคนของสกุลเยวี่ย…ทะ…ท่านคิดจะทำอะไรกับข้า”
แต่ท่าทางตระหนกตื่นตูมของนางกลับทำให้หรงซื่อขบขัน หรงซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าใจดีเป็นมิตรว่า “ข้าไม่ได้ดูแลกิจการของพ่อสามีกับสามีเสียหน่อย แค่ปรนนิบัติสามีอบรมสั่งสอนบุตรอยู่ในเรือนหลังเท่านั้น จะทำอะไรท่านได้ หากข้าเดาไม่ผิด ท่านเป็นฮูหยินของนายอำเภอเฉิงกระมัง”
ยามนี้หลิ่วจือหว่านถึงค่อยนั่งลงอย่างทำตัวไม่ถูก และเมื่อได้ยินหรงซื่อถามเช่นนี้ก็เอ่ยด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเลียนแบบเถ้าแก่เนี้ยแผงขายเต้าฮวยว่า “ฮูหยินที่ใดกัน ข้าเป็นแค่ญาติผู้น้องของเขาที่สายเลือดห่างจนแทบไม่เกี่ยวข้องกันเท่านั้น…หากพูดด้วยภาษาถิ่นของพวกท่าน เรียกว่าอันใดนะ…แค่ ‘คนร่วมบ้าน’ เท่านั้น”
ครั้นหรงซื่อได้ยินก็เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “นายอำเภอเฉิงมารับตำแหน่ง ไม่พาสตรีคนอื่นมาด้วย แต่กลับพาท่านมาเพียงแค่คนเดียว เท่านี้ก็เห็นแล้วว่าเขารักใคร่เอ็นดูและให้ความสำคัญกับท่านมากเพียงไร ในสายตาชาวบ้านอำเภอก้งเซี่ยนของพวกเรา ท่านก็คือฮูหยินนายอำเภออย่างแท้จริงแล้ว!”
พอหลิ่วจือหว่านได้ยินถ้อยคำนี้ดวงตาพลันเป็นประกาย ช่วงเอวก็เหยียดตรงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน แสดงท่าทีเหมือนกับคนฐานะต่ำต้อยที่ไม่เคยได้มีหน้ามีตามาก่อน
หรงซื่อเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ในใจก็หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง เริ่มเข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วเช่นกัน
สตรีพรรค์นี้แค่ชาชั้นดีถ้วยเดียวก็ดื่มเสียจนหน้าบานเป็นจานเชิง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ไม่เคยพบเจอโลกกว้าง ไร้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย
นางก็แค่เกิดมารูปลักษณ์งามเพริศพริ้ง แต่สายตากลับตื้นเขิน หากมิใช่เพราะนางปรนนิบัติผู้อื่นด้วยร่างกายก็คงจะไร้ประโยชน์จริงๆ
เมื่อครู่นี้ตอนนางซื้อถ้วยกระเบื้องเคลือบก็มีท่าทีคิดเล็กคิดน้อยด้วยความตระหนี่ถี่เหนียวเช่นกัน หากสัญญาว่าจะมอบเงินทองให้นาง นางต้องคิดว่าตนเองได้ผูกมิตรกับสหายแสนประเสริฐแน่ๆ จากนั้นนางย่อมไปช่วยพูดโน้มน้าวเฉิงเทียนฟู่ไม่ให้หาเรื่องกิจการค้าเกลือของสกุลเยวี่ย
จากการเลือกสตรีก็สามารถดูออกถึงเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายของบุรุษคนหนึ่ง
เฉิงเทียนฟู่พาสตรีที่รูปโฉมงามเลอเลิศแต่กลับไร้สมองเช่นนี้มาไว้ข้างกาย แสดงว่าเขาก็เป็นพวกมากตัณหาที่ลุ่มหลงในอิสตรีคนหนึ่ง
ขอแค่นายอำเภอเฉิงเป็นไข่ที่มีรอยร้าว เพียงมอบทรัพย์สินเงินทองอันหรูหราฟุ้งเฟ้อไปให้ก็ต้องไม่กลัวว่านายอำเภอเฉิงผู้นี้จะไม่ยอมศิโรราบให้แก่สกุลเยวี่ย!
ดังนั้นหรงซื่อจึงเลือกถ้อยคำเพราะๆ มายกยอปอปั้นยกใหญ่ ปะเหลาะแม่นางสกุลเฉียนผู้นี้จนรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า จากนั้นทั้งสองก็นัดหมายเวลาที่จะไปเดินซื้อของด้วยกัน แล้วถึงค่อยจากลากันอย่างอาลัยอาวรณ์
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.