บทที่ 38-3 ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง
พอตอนกลางคืนเฉิงเทียนฟู่กลับมาบ้าน เขากำลังล้างหน้าอยู่ใต้โครงไม้เลื้อยในลานบ้าน หลิ่วจือหว่านที่ให้อาหารไก่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เล่าเรื่อง ‘สหายรัก’ คนแรกที่รู้จักในอำเภอก้งเซี่ยนให้เขาฟัง
ทว่าเฉิงเทียนฟู่กลับไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด เขาล้างหน้าพร้อมกับฟังนางเล่า จนกระทั่งถึงตอนที่นางบอกว่าตนเองเป็น ‘คนร่วมบ้าน’ ของเขา ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองนาง เอ่ยอย่างขึงขังจริงจังว่า “ข้าไม่แบกรับคำด่าทอที่ไม่มีมูลหรอกนะ เจ้าลองว่ามาซิ ข้าไปร่วมบ้านกับเจ้าตั้งแต่เมื่อใด แค่จุมพิตเล็กน้อยเจ้ายังไม่ยินยอมเลย”
หลิ่วจือหว่านกำลังเล่าเรื่องอย่างเคร่งเครียด นึกไม่ถึงว่าเฉิงเทียนฟู่กลับเย้าหยอกนางด้วยวาจาเอาสนุก ใบหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาทันใด ขัดเขินจนหุบยิ้มไม่ได้ นางปาข้าวฟ่างในกำมือใส่เขา “ขะ…ข้าไม่ให้ท่านจุมพิตตอนใดกัน”
เฉิงเทียนฟู่สะบัดข้าวฟ่างที่ติดศีรษะออก ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาหานาง อุ้มนางขึ้นมาด้วยแขนข้างเดียว จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง
ในเมื่อได้รับราชโองการปากเปล่าจากคนงามแล้ว จะมีเหตุผลอันใดให้เขาไม่จุมพิตนางอีกเล่า
หลิ่วจือหว่านตื่นตระหนกเล็กน้อย ทุบแผ่นหลังของเขาพร้อมหัวเราะเอ่ยว่า “ว้าย นี่ท่านจะทำอันใดกัน”
หลังจากเฉิงเทียนฟู่แบกนางเข้าไปในห้องแล้วก็จุมพิตขบเม้มลงไปบนริมฝีปากแดงสดของนางอย่างดุเดือด…
กระทั่งทั้งสองแยกริมฝีปากออกจากกันแล้ว หลิ่วจือหว่านรู้สึกเพียงว่าหัวใจเต้นดังตุบๆ แข้งขาล้วนอ่อนระทวย นางเอ่ยถามญาติผู้พี่ห่างๆ อย่างหยอกล้อด้วยสุ้มเสียงต่ำเบาว่า “ท่านเก่งเพียงนี้…เมื่อก่อนเคยไปเที่ยวสตรีในหอนางโลมกับจินเหลียนหยวนหรือไม่”
เฉิงเทียนฟู่เลิกคิ้วกล่าว “หากข้าเคยทำเรื่องพรรค์นี้ไหนเลยจะต้องให้ข้าบอกเอง คนปากสว่างอย่างอดีตคู่หมั้นของเจ้าย่อมชิงฟ้องเจ้าไปแล้ว…เจ้าต่างหาก ตอนเดินชมทะเลสาบกับเขาช่วงเทศกาลเด็กหญิง เขาเคยทำตัวนอกกรอบกับเจ้าหรือไม่”
พอหลิ่วจือหว่านได้ยินเขาหึงหวงเรื่องราวในอดีตก็เอ่ยด้วยความขำขันอย่างอดไม่ได้ “ตอนนั้นข้าอายุเท่าใดกันเชียว ซื่อจื่อไม่ได้มองหน้าข้าตรงๆ ด้วยซ้ำ ทั้งใจมีแต่หญิงสาวดาวเด่นบนเรือสำราญ อีกอย่างวันนั้นข้าเดินไปได้แค่ครึ่งทางก็ถูกซื่อจื่อทิ้งไว้กับท่านแล้วมิใช่หรือ”
พอเฉิงเทียนฟู่ได้ยินก็ทอดถอนใจด้วยความเสียดายอยู่บ้าง “หากรู้แต่แรกว่าเจ้าจะเป็นภรรยาในอนาคตของข้า วันนั้นข้าไม่มีทางพาเจ้าไปเดินหมากแน่นอน ข้าควรจะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นสนุกสนานให้เต็มที่ ในภายภาคหน้าเจ้าจะได้ไม่เอาใจยากเช่นนี้”
หลิ่วจือหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของเฉิงเทียนฟู่ทุบเขาเบาๆ ให้ปล่อยมือแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ดีๆ หลังจากนั้นนางก็ยื่นนิ้วเรียวไปหยิบเมล็ดข้าวฟ่างที่ติดอยู่ในเส้นผมของเขาออก หลังกระเซ้าเย้าแหย่กันรอบหนึ่งแล้วก็ถึงเวลาพูดเรื่องสำคัญที่ถูกขัดจังหวะไปเสียที
“หรงซื่อผู้นี้คงจะได้รับคำสั่งจากพ่อสามีของนางให้จงใจเข้ามาตีสนิทกับข้า ดูท่าหลังจากพวกเขาใช้ไม้แข็งกับนายอำเภออย่างท่านไปหลายทีแล้ว จึงอยากจะใช้ไม้อ่อนกับท่านหน่อย เพียงแต่ครั้งนี้ท่านลงโทษเขาด้วยการปรับภาษีเกลือ ทว่าเขากลับงัดไม้นี้ออกมาใช้ เช่นนี้มิเท่ากับสร้างความเดือดร้อนให้คนงานคนทำเกลือและพ่อค้าเกลือจำนวนมากหรอกหรือเจ้าคะ พอราคาเกลือปรับสูงขึ้น เมื่อราษฎรที่ลำบากยากจนเหล่านั้นซื้อเกลือก็ต้องจ่ายเงินมากขึ้นอีกตั้งเยอะ…ซานตงเพิ่งจะเกิดภัยแล้ง ไม่รู้ว่ามีชาวบ้านมากมายเท่าใดที่กำลังขายลูกขายหลานอยู่ข้างทาง คิดแต่จะใช้เลือดเนื้อเชื้อไขแลกกับข้าวหนึ่งอุ้งมือ…”
ยามนางเอ่ยวาจานี้สุ้มเสียงผะแผ่วต่ำเบา เห็นได้ชัดว่านางนึกถึงประสบการณ์น่าเวทนาตอนที่ตนเองร้องไห้คร่ำครวญกับเด็กคนอื่นๆ ที่ถูกจับมาขายเมื่อครั้งอยู่ในมือพ่อค้ามนุษย์ตอนที่ยังเยาว์วัย
พอเฉิงเทียนฟู่นึกถึงชะตาที่นางเคยประสบมา ในใจก็ปวดร้าวระลอกหนึ่งตามไปด้วย เขาลุกขึ้นกอดนางเข้าสู่อ้อมอก ตบหลังนางเบาๆ เป็นการปลอบโยนแล้วพูดว่า
“เยวี่ยขุยผู้นี้ไม่ได้ทำเช่นนี้เฉพาะตอนที่ข้าอยู่ในตำแหน่งเท่านั้น ข้าตรวจสอบบัญชีดูแล้ว ในช่วงเกือบสิบปีมานี้ราคาเกลือปรับขึ้นทั้งหมดห้าครั้ง ผลกำไรของเขาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยทุกครั้ง ตอนที่ราชสำนักส่งคนมาสอบถามก็จะเจอกับอุบัติเหตุโครงสูบน้ำเค็มในบ่อเกลือถล่มจนมีคนตาย หรือไม่ก็ลดการผลิตพรรค์นี้อยู่เรื่อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ผลผลิตเกลือของอำเภอก้งเซี่ยนก็จะลดลง การขึ้นราคาก็กลายเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ว่าเกลือลดลงจริงๆ น่ะหรือ กว่าครึ่งของเกลือเหล่านั้นถูกเขาแบ่งขายให้กลุ่มค้าเกลือต่างๆ เอาไปขายต่อเป็นเกลือเถื่อน อาศัยว่าเกลือหลวงขึ้นราคา ชาวบ้านเลยหันไปซื้อเกลือเถื่อนเพื่อประหยัดเงิน ดังนั้นเงินที่ไม่ต้องแจ้งภาษีเหล่านี้ก็เข้ามือสกุลเยวี่ยกับขุนนางที่ให้ท้ายสกุลเยวี่ยอย่างไม่ขาดสาย กัดกร่อนท้องพระคลัง ร่ำรวยด้วยวิธีผิดกฎหมาย”
ก่อนหน้านี้หลิ่วจือหว่านยังไม่รู้ซึ้งถึงกลวิธีสกปรกโสมมของสกุลเยวี่ยจริงๆ นางอดนึกถึงพี่สาวที่ขายเต้าฮวยในตลาดผู้นั้นขึ้นมามิได้ สามีของนางก็เสียชีวิตในอุบัติเหตุบ่อเกลือเหมือนกันมิใช่หรือ
เมื่อพูดเช่นนี้แล้วเหตุการณ์บ่อเกลือถล่มก็มิใช่อุบัติเหตุไม่คาดฝัน แต่เกิดจากฝีมือของมนุษย์!
เฉิงเทียนฟู่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “รัชทายาททรงเป็นห่วงปัญหาท้องพระคลังร่อยหรอ บรรพบุรุษของตระกูลภรรยาเยวี่ยขุยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์ก่อน พวกเขาได้รับงานที่กำไรงามอย่างการขุดบ่อเกลือสืบทอดต่อๆ กันมา แต่กลับบ่อนทำลายขุนนาง เริ่มหยั่งรากฝังลึก หากไม่ล้างบางอำเภอก้งเซี่ยนสักรอบ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปนานๆ เข้าจะต้องก่อให้เกิดเภทภัยแก่บ้านเมืองแน่นอน ถึงตอนนั้นพอรัชทายาททรงขึ้นครองราชย์ หากรากฐานไม่มั่นคง จะไม่ถูกคนประสงค์ร้ายหลอกใช้ประโยชน์ ล้มล้างกฎหมายบ้านเมืองเอาหรือ”
หลิ่วจือหว่านพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านเป็นคมมีดที่รัชทายาททรงส่งมา เป็นมือมืดที่จะทะลวงอำเภอก้งเซี่ยน และยังเป็นเข็มเทพสยบสมุทร* ของราชสำนักที่จะแก้ปัญหาท้องพระคลังร่อยหรอ…เพียงแต่ท่านโดดเดี่ยวไร้พวกพ้อง หอกในที่แจ้งหลบง่ายแต่ธนูในที่ลับป้องกันยาก ดูแล้วตอนนี้สกุลเยวี่ยมีอำนาจในอำเภอก้งเซี่ยนอย่างล้นฟ้า คนใหญ่คนโตที่อยู่เหนือเขาดูเหมือนจะมีไม่น้อยเช่นกัน ต่อจากนี้ควรจะพลิกสถานการณ์อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เฉิงเทียนฟู่ก้มหน้าลงมองนาง “พลิกสถานการณ์อย่างไรไม่จำเป็นต้องถึงมือเจ้าหรอก ไหนเจ้าว่ามาซิ เจ้าบอกกับหรงซื่อผู้นั้นว่าเจ้าเป็น ‘คนร่วมบ้าน’ อันใดสักอย่างของข้า เจ้าคิดจะทำอันใดอีก”
หลิ่วจือหว่านเอียงศีรษะมองเขาพลางเอ่ย “ท่านก็รู้สัจธรรมที่ว่าพยัคฆ์ในที่ราบถูกสุนัขกลั่นแกล้งดี ถึงได้แสร้งทำเป็นโง่เขลาเบาปัญญาให้เยวี่ยขุยดู เช่นนั้นข้าก็ต้องแสดงท่าทีขี้ขลาดตาขาวต่อหน้าสตรีในสกุลเยวี่ยเช่นกัน นอกจากนั้นหากในภายภาคหน้าต่อกรกับสกุลเยวี่ยจนตายกันไปข้างจริงๆ ไม่แน่พวกเขาอาจจะสงสารเวทนา ปล่อยสตรีอ่อนแอที่ไม่สลักสำคัญอันใดอย่างข้าไปก็ได้”
เฉิงเทียนฟู่ออกแรงรัดเอวนางทันที “เจ้าเห็นข้าไร้ประโยชน์เพียงนี้เชียวหรือ ถึงจะปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นได้”
หลิ่วจือหว่านผลักเขาออกยิ้มๆ “สรุปแล้วก็คือหรงซื่อผู้นั้นคิดจะอาศัยข้าหยั่งเชิงท่าน นางอุตส่าห์เสนอตัวมาหาถึงที่ หากไม่ใช้ประโยชน์สักหน่อยจะไม่เสียดายแย่หรือเจ้าคะ”
เหมือนอย่างที่หลิ่วจือหว่านพูดไว้ไม่มีผิด ผ่านไปไม่นานนักหรงซื่อผู้นั้นก็แวะมาเยือนเรือนหลังน้อยของเฉิงเทียนฟู่ด้วยตนเอง พอเข้ามาในลานบ้านนางก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก “สวรรค์ ดีร้ายอย่างไรนายอำเภอเฉิงก็เป็นผู้ปกครองอำเภออำเภอหนึ่ง เป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในท้องที่ ไฉนที่พักอาศัยถึงสู้พวกเศรษฐีตามบ้านนอกไม่ได้เลยเล่า ไอ้หยา…”
หรงซื่อได้แต่กวาดสายตามองไปรอบด้าน ไม่ทันได้สนใจใต้ฝ่าเท้า สุดท้ายรองเท้าปักลายซึ่งทำจากผ้าดิ้นสูจิ่นก็เหยียบลงบนขี้ไก่เข้าพอดี
หลิ่วจือหว่านรีบสั่งให้คนหยิบกระดาษฟางเหลืองมาเช็ดรองเท้าให้หรงซื่อ ก่อนจะเอ่ยอย่างแฝงแววขอโทษขอโพยเต็มเปี่ยม “ใต้เท้าของข้าถึงแม้จะมีทรัพย์สินที่ดินในเมืองหลวง แต่จนปัญญาที่เขาต้องเลี้ยงดูมารดา ให้เงินจุนเจือน้องสาว ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์อยู่บ้างเช่นกัน เพราะอย่างไรในวันข้างหน้ายังจะต้องแต่งฮูหยินอีก ไก่ที่เลี้ยงเอาไว้พวกนี้ก็พอจะช่วยลดเงินซื้อไข่ซื้อเนื้อสัตว์ได้…ให้ฮูหยินเห็นเรื่องตลกแล้ว”
หรงซื่อมองนางด้วยความเห็นใจแล้วเอ่ย “ในเมื่อท่านรู้ว่าต่อไปนายอำเภอเฉิงจะต้องแต่งภรรยา ก็ต้องคิดเผื่อตนเองให้มากๆ ท่านยังอ่อนเยาว์สะสวยถึงเพียงนี้ หากสามารถช่วยให้ใต้เท้าทำการใหญ่สำเร็จได้ ใต้เท้าถึงจะให้ความสำคัญกับท่านมากกว่าเดิมจนขาดท่านไปไม่ได้”
พอหลิ่วจือหว่านได้ยินก็ดวงตาเป็นประกาย ถามว่า “ขอถามเยวี่ยฮูหยินว่าข้าจะต้องช่วยเหลือใต้เท้าอย่างไรหรือ”
หรงซื่อคลี่ยิ้มบางๆ “อำเภอก้งเซี่ยนมีบ่อเกลืออยู่ทั่วทุกหนแห่ง พ่อค้าเกลือมีมากมายราวกับมดบนพื้นดิน ขอแค่ท่านเกลี้ยกล่อมให้นายอำเภอเฉิงคล้อยตามสภาพความเป็นอยู่ของอำเภอก้งเซี่ยนสักหน่อย ไปมาหาสู่กับพ่อค้าเกลือให้มากๆ ประเดี๋ยวก็ย่อมมีคนที่รู้จักดูตาม้าตาเรือมาเคาะประตูหลังของเรือนท่านเอง บางทีเพียงแค่ไม่กี่วัน ใต้เท้าของท่านก็สามารถเปลี่ยนมาอยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ได้แล้ว”
พอหรงซื่อพูดจบก็เห็นแค่หญิงงามแห่งเมืองหลวงผู้สะคราญโฉมผู้นี้พลันหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล “นะ…นี่มันทุจริตคดโกงมิใช่หรือ หากถูกเบื้องบนรู้เข้าศีรษะจะหลุดจากบ่าเชียวนะ!”
หรงซื่อรู้สึกว่าสตรีตัวน้อยผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่เคยพบเจอโลกกว้าง ซ้ำยังขี้ขลาดตาขาวมากไปหน่อย จึงเอ่ยชี้แนะต่อไปว่า “อำเภอก้งเซี่ยนแห่งนี้อยู่ห่างจากราชสำนักในเมืองหลวงนับพันภูผาหมื่นธารา ทั้งยังมิใช่จุดทำการสำคัญของกรมทั้งหกที่จะถูกคนคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดเสียหน่อย ดูแล้วใต้เท้าของท่านเป็นคนที่หัวสมองหลักแหลมคนหนึ่ง ขอแค่ท่านโน้มน้าวเขาได้ รายละเอียดว่าควรทำเช่นไรถึงจะไม่เผยพิรุธออกไปเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ…
ข้ามาวันนี้ก็เพื่อมอบเงินค่าจับจ่ายใช้สอยให้ท่านสักเล็กน้อยก่อน ท่านเองก็จะได้มีกินมีใช้เพิ่มอีกนิด ซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกใจ ผ้าดิ้นสูจิ่นของอำเภอพวกเรามีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน แต่เพราะว่าที่ผ่านมาล้วนถวายแก่วังหลวง คนทั่วไปหาได้ไม่กี่พับเท่านั้น รอมีเวลาวันใดข้าจะพาท่านไปที่ร้านปักผ้าดิ้นสูจิ่น ท่านสามารถเลือกลายปักแล้วให้หญิงปักผ้าช่วยเย็บปักเสื้อนอกไว้ให้ท่านสวมใส่ได้โดยเฉพาะ”
พูดจบหรงซื่อก็ดันกล่องไม้ใบเล็กๆ ไปตรงหน้าหลิ่วจือหว่าน
เดิมทีหลิ่วจือหว่านนึกว่าในกล่องนี้คงจะเป็นของจำพวกเศษเงินเศษทอง แต่เมื่อเปิดออกดูถึงพบว่าด้านในเป็นตั๋วเงินปึกหนาๆ หนึ่งปึก แต่ละใบล้วนมีมูลค่าหนึ่งร้อยตำลึง
คราวนี้นางกลับไม่ต้องแสร้งแสดงละครแล้ว ได้แต่เอ่ยเสียงเบาด้วยความตื่นตะลึงว่า “เยอะเพียงนี้เชียว…”
ต้องกล่าวก่อนว่าสำหรับสกุลเยวี่ยแล้ว หลิ่วจือหว่านก็เป็นเพียงอนุนอกเรือนของนายอำเภอตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น
แต่สกุลเยวี่ยกลับทุ่มเงินก้อนโตกับอิฐเคาะประตูอย่างอนุภรรยาหรืออนุนอกเรือนของนายอำเภอคนหนึ่งถึงขั้นนี้
ขอถามว่าถ้าคนที่มารับตำแหน่งก้งเซิงเป็นคนยากจนที่ลำบากพากเพียรเรียนหนังสือจนสอบได้เป็นขุนนาง เมื่อพบเจอความยั่วยวนใจจากภูเขาทองทะเลเงินเช่นนี้จะยึดมั่นในความตั้งใจดั้งเดิม ต้านทานแรงเย้ายวนได้อย่างไร
หลิ่วจือหว่านมองดูตั๋วเงินปึกนั้นนิ่งๆ อยู่เนิ่นนาน ครั้นแล้วก็คว้าตั๋วเงินปึกนั้นขึ้นมาต่อหน้าหรงซื่อ ทั้งยังเริ่มนับเสียงดังฟึ่บฟั่บอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
หลังจากนับซ้ำไปซ้ำมาสองรอบ นางก็ใส่กลับลงไปในกล่องไม้ ต่อมาอนุนอกเรือนนายอำเภอผู้นี้ก็แย้มยิ้มบางๆ ให้หรงซื่อ “ทั้งหมดสี่ร้อยใบ เช่นนั้น…ข้าก็ไม่เกรงใจท่านแล้วนะ”
หรงซื่อยังไม่หายเหม่อลอยจากการเคลื่อนไหวนับตั๋วเงินอย่างคล่องแคล่วของอีกฝ่าย แม่นางสกุลเฉียนก็แย้มยิ้มเรียกสาวใช้ร่างอ้วนดำคนหนึ่งให้ยกกล่องไม้ใบนั้นเข้าไปในห้องชั้นใน
พอเห็นแม่นางสกุลเฉียนผู้นี้รับตั๋วเงินเอาไว้หรงซื่อก็วางใจได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากจูงมือแม่นางสกุลเฉียนคุยเล่นสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่งนางก็กลับไป
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกสามวันห้าวันหรงซื่อก็จะต้องแวะมารอบหนึ่ง ประดุจเป็นพี่สาวน้องสาวต่างแซ่กับแม่นางน้อยสกุลเฉียนก็ไม่ปาน
ส่วนทางด้านสกุลเยวี่ย พอถึงต้นเดือนก็ตีฆ้องป่าวประกาศเริ่มกลั่นน้ำเค็มมาต้มเกลืออย่างเป็นทางการ หัวหน้าสมาคมเยวี่ยขุยก็ยังเชิญเฉิงเทียนฟู่มาร่วมชมกระบวนการด้วย
เฉิงเทียนฟู่เห็นเพียงน้ำเค็มซึ่งถูกสูบออกมาจากบ่อเกลือไหลคดเคี้ยวตามท่อซึ่งทำจากไม้ไผ่กลวงๆ มาต่อเข้าด้วยกัน จากนั้นก็มีหัวจ่ายตรงหัวมุมแบ่งให้ไหลแยกไปตามหม้อใบใหญ่สำหรับต้มเกลือ
ในที่สุดบ่อเกลือน้อยใหญ่ในอำเภอก้งเซี่ยนก็เริ่มทำงาน สิ่งที่เคี่ยวอยู่ในหม้อต้มเกลือเหล่านี้ก็คือเกลือสำหรับทั่วทั้งใต้หล้า เป็นสีเงินขาวๆ แวววาว
หลายวันมานี้ประตูเรือนหลังเล็กของนายอำเภอเฉิงผู้นั้นมักจะปิดไม่สนิท สะใภ้สกุลเยวี่ยทยอยมอบสิ่งของต่างๆ ให้ไม่น้อย
เยวี่ยขุยใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ใช้พระเดชและพระคุณพร้อมๆ กัน คิดเอาเองว่าสามารถสยบนายอำเภอที่มาจากเมืองหลวงผู้นี้ได้แล้ว จึงแย้มยิ้มพลางพูดกับเฉิงเทียนฟู่ว่า “นายอำเภอเฉิง ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าอย่างข้าพูดจาไม่ระมัดระวัง หากมีตรงที่ใดเผลอล่วงเกินเข้า ขอโปรดอภัยด้วย!”
เฉิงเทียนฟู่นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ มองดูภาพความสาละวนวุ่นวายใต้เรือนไม้ไผ่ เอ่ยอย่างไม่ค่อยจริงใจนักว่า “ที่ใดกัน ข้ายังต้องขอบคุณหัวหน้าเยวี่ยด้วยซ้ำที่ไม่ถือสากับเรื่องก่อนหน้านี้ ยอมถ่ายทอดคำสั่งให้เปิดบ่อเกลือน้อยใหญ่เหล่านี้อีกครั้ง หาไม่แล้วหากปล่อยไปอีกสองสามวัน คงจะมีพระราชโองการของฝ่าบาทลงมาถึงอำเภอก้งเซี่ยน ตรัสถามท่านและข้าว่าเหตุใดชาวบ้านถึงไม่มีเกลือกิน”
เยวี่ยขุยยิ้มออกมา “ท่านเองก็ทราบดีว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นในบ่อเกลือ ทำให้เสียเวลาไปช่วงหนึ่ง ข้าสั่งให้คนรีบเร่งจัดการทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีหยุด รีบผลิตเกลือออกมาให้ได้เร็วที่สุด จะกล้ารบกวนให้ฝ่าบาทใส่พระทัยกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ได้อย่างไรกัน แต่ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการผลิตเกลือพอดี อีกไม่นานเรือของกลุ่มค้าเกลือน้อยใหญ่ในอำเภอก้งเซี่ยนก็จะเริ่มขนส่งเกลือแล้ว พอเริ่มขนส่งก็ต้องรีบเร่งทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน จะชักช้าเสียเวลามิได้ ขอใต้เท้านายอำเภอช่วยอนุโลมสักเล็กน้อย ลดความยุ่งยากจากการตั้งด่านตรวจด้วยเถิด จะได้ให้ชาวบ้านในอำเภอก้งเซี่ยนผลิตเกลือได้เยอะขึ้น หาเงินมาจับจ่ายใช้สอยในบ้านได้มากๆ”
วาจานี้เขาเอ่ยอย่างกำกวมยิ่ง แต่ความหมายทั้งทางตรงทางอ้อมก็คือให้เฉิงเทียนฟู่รับเงินไปจัดการธุระให้ ยกเลิกด่านตรวจตามรายทางน้อยใหญ่ทั้งนอกและในอำเภอก้งเซี่ยนไปเสีย
แน่นอนว่านี่หาใช่การอำนวยความสะดวกให้แก่กิจการค้าเกลือหลวงไม่ แต่เป็นการอำนวยความสะดวกให้การค้าขายเกลือเถื่อนต่างหาก อีกฝ่ายบอกเป็นนัยให้เฉิงเทียนฟู่ลืมตาข้างปิดตาข้าง
นี่ก็อธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลว่าเหตุใดช่วงก่อนหน้านี้หรงซื่อผู้นั้นถึงยัดเงินใส่เรือนหลังน้อยไม่หยุดหย่อนราวกับสายน้ำไหล
หลังจากปั่นราคาเกลือให้สูงขึ้นได้แล้วเยวี่ยขุยก็อยากจะขายเกลือเถื่อนของตนเองออกไปอย่างราบรื่น ขั้นตอนนี้จะต้องให้นายอำเภอในท้องที่พยักหน้าตกลง ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ตอนนี้เยวี่ยขุยคิดว่าตนเองสอนเจ้าเด็กจากเมืองหลวงให้รู้จักประพฤติตนเป็นแล้ว ย่อมวางใจกล้าพูดสิ่งที่ต้องการกับเขาเป็นธรรมดา
เฉิงเทียนฟู่ยกมุมปากขึ้นอย่างช้าๆ มองดูอีกฝ่ายพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย “หัวหน้าเยวี่ยพูดถูกเป็นที่สุด ข้าอยากคิดหาวิธีช่วยให้ชาวบ้านในพื้นที่มีช่องทางทำมาหากินเพิ่มขึ้นแน่นอน…”
ทันใดนั้นเยวี่ยขุยก็คิดว่าตนเองตกลงกับนายอำเภอเฉิงผู้นี้ได้แล้ว จึงเตรียมการวางแผนอย่างสบายอกสบายใจเป็นธรรมดา รอแค่ปล่อยเกลือเถื่อนที่กองพะเนินเป็นภูเขาออกไปเท่านั้น
บทที่ 38-4 ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง
ตอนเริ่มแรกเยวี่ยขุยเพียงลองหยั่งท่าทีดูก่อนเท่านั้น รถขนเกลือสองสามคันที่ส่งออกไปล้วนบรรทุกเกลือจำนวนไม่มากนัก
หลังจากพบว่าด่านตรวจซึ่งที่ทำการอำเภอตั้งไว้ก่อนหน้านี้ถูกยกออกไปหมดแล้ว เยวี่ยขุยก็คิดว่านายอำเภอเฉิงรู้จักประพฤติตัวเป็นผู้เป็นคนแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงวางใจให้คนของตนเองปล่อยเกลือเถื่อนจำนวนมากออกไป
แต่ในขณะที่เยวี่ยขุยคิดว่าสบายใจได้แล้วนั้น เกลือเถื่อนห้าสิบกว่าคันรถของเขาก็ถูกคนของนายอำเภอเฉิงยึดเอาไว้ทั้งหมดในชั่วข้ามคืน
เจ้าหน้าที่ในที่ทำการล้วนแต่เป็นคนของเยวี่ยขุยทั้งสิ้น ตอนที่ผู้ใต้บัญชาแอบมาแจ้งข่าวให้เขาทราบยังพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “นายอำเภอเฉิงเลวทรามเกินมนุษย์จริงๆ! แม้แต่เจ้าหน้าที่ในที่ทำการอย่างพวกเราก็ยังปิดบัง ว่ากันว่าเขายืมกำลังพลมาจากหัวหน้าทหารไป๋ของอำเภออี้เซิงที่อยู่ข้างๆ แอบตั้งด่านตามท่าเรือและปากทางต่างๆ แค่พริบตาเดียวก็ยึดสินค้าจำนวนมากเหล่านี้เอาไว้ได้”
เยวี่ยเต๋อเหวยได้ยินคำพูดนี้ก็โมโหจนตบโต๊ะทันที “ท่านพ่อ เฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ไร้ยางอายจริงๆ รับเงินของพวกเราไปมากมายเพียงนั้น แต่กลับไม่ทำตามที่ขอ! นี่เขาหมายความเช่นไรกันขอรับ หรือว่ายังอยากจะรีดทรัพย์พวกเรา? ไม่อย่างนั้นพวกเราจัดการขั้นเด็ดขาด เก็บเจ้าเด็กนี่เถิดขอรับ!”
ในดวงตาของเยวี่ยขุยก็เต็มไปด้วยจิตสังหารเช่นกัน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการขายเกลือ เกลือเถื่อนจะต้องถูกปล่อยออกไปตามท้องตลาดก่อนที่จะกำหนดราคาเกลือหลวงเท่านั้น เช่นนี้ถึงจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
บัดนี้พอถูกเฉิงเทียนฟู่ขัดขวางเข้า ทุกอย่างก็ผิดแผนไปหมด เขาจะต้องเรียกตัวนายอำเภอเฉิงผู้นี้มาพูดคุยกันจริงจังต่อหน้าให้ได้ ดูซิว่าอีกฝ่ายมีเจตนาจะทำอันใดกันแน่
เพียงแต่ระยะนี้เชิญตัวนายอำเภอเฉิงไม่ง่ายนัก หลังจากส่งคนไปเชื้อเชิญอยู่หลายครั้งล้วนไร้ผล เยวี่ยขุยก็เข้าใจแล้วว่านี่นายอำเภอเฉิงต้องการจะวางท่ายกตำแหน่งขุนนางมาข่มเขา
ดังนั้นเขาจึงให้บุตรชายนั่งเกี้ยวไปยังที่ทำการชั่วคราวแห่งนั้นเพื่อไปพูดคุยกับเฉิงเทียนฟู่ด้วยตนเอง
เยวี่ยเต๋อเหวยจงใจเลือกช่วงเวลาไปที่ทำการตอนใกล้เที่ยงวัน คิดอยากจะเลี้ยงสุราอาหารแก่เฉิงเทียนฟู่ จะได้ดื่มไปคุยไป
เขาไปถึงที่ทำการแล้วก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรายงานเฉิงเทียนฟู่ ตอนที่เดินเข้าไปในห้องโถงก็พบว่านายอำเภอเฉิงกำลังกินข้าวอยู่ก่อนแล้ว
นายอำเภอเฉิงผู้นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เบื้องหน้าเป็นโต๊ะกินข้าวเตี้ยๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป
ข้างๆ มีแม่นางน้อยอ่อนหวานเยาว์วัยผู้หนึ่งกำลังยกกับข้าวออกมาจากกล่องใส่อาหารทีละอย่างๆ
ดูจากรูปโฉมงดงามหยาดเยิ้มของแม่นางผู้นั้นแล้วคงจะเป็นอนุนอกเรือนของเฉิงเทียนฟู่แน่ๆ
เมื่อเฉิงเทียนฟู่เหลือบเห็นเยวี่ยเต๋อเหวยเดินเข้ามาก็ไม่แม้แต่จะเงยศีรษะ เอาแต่นั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะตัวเล็กด้วยท่าทางสุขสำราญใจ กินอาหารที่อยู่ในถ้วยอย่างจดจ่อ
อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของหลิ่วจือหว่านทั้งสิ้น
เพราะหลิ่วจือหว่านเห็นว่าอาหารท้องถิ่นมีแต่รสเผ็ดเสียเป็นส่วนมาก ไม่ดีต่อการฟื้นตัวของบาดแผลเฉิงเทียนฟู่ ดังนั้นตอนที่เฉิงเทียนฟู่ทำงานยุ่งจนไม่สามารถกลับมากินข้าวได้นั้นนางก็นำอาหารมาให้ที่ทำการด้วยตนเอง เขาจะได้ไม่ต้องกินอาหารท้องถิ่นเผ็ดๆ
ในช่วงระยะนี้ที่อยู่อำเภอก้งเซี่ยน นางกลับได้งัดฝีมือการทำอาหารที่เคยฝึกฝนสมัยเป็นสะใภ้เด็กตอนอยู่ที่สกุลเซวียออกมาใช้
การที่นางต้องแสดงฝีมือทำอาหารเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะอาหารฝีมือของจิ้นเป่ารสชาติย่ำแย่พอๆ กับเศษอาหารที่เอาไว้ให้หมูกินไม่มีผิด เหนียวหนืดเต็มหม้อไปหมดอยู่ร่ำไป ดังนั้นหลิ่วจือหว่านจึงต้องลงมือต้มแกงด้วยตนเอง
เฉิงเทียนฟู่ชอบอาหารที่นางทำยิ่ง เขายังโทษนางว่าแอบซุกซ่อนฝีมือเอาไว้ ตอนอยู่ที่สกุลเซิ่งไม่เห็นเคยทำให้เขากินเลยสักครั้ง หลิ่วจือหว่านจึงอธิบายไปว่าคนที่มีพื้นเพเป็นเด็กยากจนอย่างนางเห็นคุณค่าของโอกาสที่อุตส่าห์ได้เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ยิ่งนัก มีเพียงคนที่กินอิ่มแน่นท้องแล้วไม่มีอันใดทำเท่านั้นถึงจะไปเปลืองแรงทำอาหารในห้องครัวของสกุลเซิ่งให้ผู้อื่นกิน
สุดท้ายหลิ่วจือหว่านก็อดสะทกสะท้อนใจมิได้ ‘แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ววนไปวนมาจนมาถึงอำเภอก้งเซี่ยน หลูอีเซี่ยนจู่ผู้สูงศักดิ์อย่างข้ากลับต้องมาใช้ชีวิตอย่างสะใภ้เด็กในชนบทอีกครั้ง…ไม่ได้ อีกสองวันข้าต้องหางานทำแล้ว…’
เฉิงเทียนฟู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลิ่วจือหว่านถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่อยู่ข้างกายเขา แน่นอนว่าต้องเป็นสะใภ้เด็กของเขา
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเขากลับมีความรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าหวานหว่านเป็นของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงในอนาคต ส่วนคู่หมั้นสติปัญญาอ่อนด้อยสมัยเด็กจากบ้านนอกกับจินซื่อจื่ออดีตคู่หมั้นกึ่งโง่กึ่งฉลาดที่เมืองหลวงของนาง ล้วนแต่ถูกลบทิ้งไปจากสมองของเฉิงเทียนฟู่จนหมด มองข้ามผ่านไปไม่คิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว
เพื่อชดเชยความเสียใจที่เมื่อก่อนไม่เคยได้มีลาภปากได้ลิ้มรสอาหารฝีมือหลิ่วจือหว่าน ในแต่ละวันเฉิงเทียนฟู่จึงกินอาหารทั้งสามมื้ออย่างตรงเวลายิ่ง ไม่อาจตัดใจพลาดได้แม้แต่มื้อเดียว
วันนี้หลิ่วจือหว่านนึ่งปลาตัวหนึ่ง นางใช้น้ำปรุงรสที่หมักจากเห็ดหอมและถั่วดำด้วยตนเอง เพียงใส่ต้นหอมและขิงหั่นฝอยดับกลิ่นคาวปลา แล้วใส่เกลือลงไปกำมือหนึ่งก็ดึงรสอร่อยสดใหม่ของปลาออกมาได้อย่างเต็มที่ นางยังตุ๋นน้ำแกงไก่และทำขนมเปี๊ยะที่หมักแป้งเอง พอเปิดกล่องอาหารออกมาทั่วทั้งห้องก็มีกลิ่นหอมจากอาหารที่ร้อนกรุ่นลอยอบอวลไปหมด
เฉิงเทียนฟู่ราวกับมองไม่เห็นคนอย่างไรอย่างนั้น เอาแต่กินอาหารคำโต ไม่สนใจเยวี่ยเต๋อเหวยที่เดินเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
เยวี่ยเต๋อเหวยเป็นบุตรชายของเยวี่ยขุย เป็นรองหัวหน้าของสมาคมการค้าเกลือ วางอำนาจบาตรใหญ่ในอำเภอก้งเซี่ยนมาจนชิน ประหนึ่งรัชทายาทในพื้นที่ นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นคนกล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาถึงเพียงนี้
กลับเป็นแม่นางน้อยสกุลเฉียนที่รับทรัพย์สินเงินทองจากฮูหยินของเขาเป็นประจำผู้นั้นที่พอเห็นเขาเข้ามาก็เอ่ยทักทายอย่างเปี่ยมไมตรี “ท่านคงเป็นรองหัวหน้าสมาคมเยวี่ยสินะเจ้าคะ ได้ยินหรงซื่อเอ่ยถึงท่านอยู่บ่อยๆ ท่านมาทันเวลาอาหารกลางวันพอดี ไม่เช่นนั้นท่านจะมากินด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ”
เยวี่ยเต๋อเหวยเอ่ยอย่างหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม “ช่วงนี้ข้าเป็นร้อนใน กินอาหารไม่ค่อยลง เชิญนายอำเภอเฉิงค่อยๆ กินเถิด”
เฉิงเทียนฟู่เอาขนมเปี๊ยะจิ้มน้ำที่ไหลเยิ้มจากตัวปลา กินไปพลางพูดไปพลางว่า “รองหัวหน้าสมาคมเยวี่ยไม่กินจริงๆ หรือ นี่เป็นอาหารโอชะที่หาชิมในอำเภอก้งเซี่ยนไม่ได้เชียวนะ”
เยวี่ยเต๋อเหวยคร้านจะพล่ามไร้สาระกับเขาจึงลากเก้าอี้มาตัวหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงมองจากตำแหน่งที่สูงกว่า พูดถามเฉิงเทียนฟู่ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กว่า “นายอำเภอเฉิง ท่านมีเจตนาเช่นไรกันแน่ถึงได้ระดมกำลังพลมาจับกุมกลุ่มคนค้าเกลือที่ชานเมือง ครอบครัวของกลุ่มค้าเกลือเหล่านี้ไหว้วานให้ข้ามาสอบถามท่าน”
เขาไม่บอกว่าตนเองเป็นเจ้านายของพวกพ่อค้าเกลือเถื่อนเหล่านี้ แต่กลับแสดงท่าทางของรองหัวหน้าสมาคมออกมา ทำเหมือนว่าการมาครั้งนี้มาด้วยธุระอันเป็นกิจวัตรประจำวันของสมาคม เห็นได้ชัดว่าเป็นการปลีกตนเองออกมาก่อน จะได้ไม่มีความผิดโทษฐานค้าขายเกลือเถื่อน
เฉิงเทียนฟู่เลิกคิ้วพร้อมเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเขาไม่มีหนังสืออนุญาตค้าเกลือหลวง ซ้ำยังไม่ได้จ่ายภาษีให้ครบตามจำนวน ข้าก็ย่อมยึดรถลักลอบขนเกลือเถื่อนเหล่านี้เอาไว้ มีตรงที่ใดไม่เหมาะสมกันเล่า”
เยวี่ยเต๋อเหวยหัวเราะเย็นชาแล้วเอ่ย “นายอำเภอเฉิงปฏิบัติตามกฎหมายโดยยึดมั่นในความยุติธรรมเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องดี ทว่า…ภรรยาคนงามของท่านไม่ได้สอนหลักสัจธรรมที่ว่า ‘กินของผู้อื่นเลยปากนิ่ม’ ให้ท่านฟังหรือ”
ครั้นหลิ่วจือหว่านได้ยินก็เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงเช่นกัน นางจัดชายกระโปรงให้เรียบร้อยไปพร้อมๆ กับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สตรีอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนอย่างข้าไม่สร้างปัญหาให้ญาติผู้พี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว จะกล้าดีสอนหลักสัจธรรมให้นายอำเภอได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
เยวี่ยเต๋อเหวยคิดไม่ถึงว่าหนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นี้ล้วนไม่มีใครหลงกล จึงยิ้มเยียบเย็นพร้อมกับเอ่ยออกไปตรงๆ “หลายวันก่อนหน้านี้ฮูหยินของข้าเห็นว่าที่พักอาศัยของนายอำเภอเฉิงทั้งเก่าทั้งเล็ก จึงให้เงินช่วยเหลือจำนวนไม่น้อยแก่แม่นางสกุลเฉียนผู้นี้ นางไม่เคยเล่าให้นายอำเภอเฉิงฟังอย่างนั้นหรือ”
เมื่อหลิ่วจือหว่านได้ยินก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “ญาติผู้พี่ของข้ามิใช่ท่านอ๋องหรือขุนนางชั้นสูงเสียหน่อย จะต้องการเงินมากมายเพียงนั้นมาช่วยจุนเจือไปเพื่ออันใดกัน ขะ…ข้าหลงนึกว่า…”
เฉิงเทียนฟู่ตีหน้าบึ้งตึงแล้วพูดกับหลิ่วจือหว่านว่า “เจ้ารับเงินทองของรองหัวหน้าสมาคมเยวี่ยมา ไม่รู้หรือว่านี่เป็นการทุจริตรับสินบน ผิดกฎหมายของแคว้นต้าซี”
หลิ่วจือหว่านกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วเจ้าค่ะว่าไม่สามารถรับสินบนแทนญาติผู้พี่ได้ ข้านึกว่าหรงซื่อนำเงินค่าปรับภาษีเกลือมามอบให้แทนพ่อสามีของนางเสียอีก วันนั้นข้าจึงให้เสมียนเมิ่งที่เป็นเจ้าหน้าที่เก็บภาษีประจำที่ทำการอำเภอไปแล้ว ให้เขานับเงินเข้าคลัง…ทำไมหรือ ข้าทำผิดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
ในยามนี้เองก็มีคนเลิกม่านประตูมาจากห้องโถงข้างๆ เสมียนเมิ่งผู้นั้นถือชามข้าวอยู่พร้อมกับพูดว่า “คุณหนูสกุลเฉียนจ่ายเงินค่าปรับจำนวนไม่น้อยแทนหัวหน้าสมาคมเยวี่ยแล้วจริงๆ นอกจากตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งร้อยตำลึงสี่ร้อยใบ ยังมีเพชรนิลจินดาและแพรพรรณนานาชนิด ทั้งหมดล้วนถูกนับเข้าท้องพระคลังแล้ว ชื่อผู้จ่ายแทนรวมถึงวันเวลาที่ส่งเข้าคลังระบุไว้อย่างชัดเจน ประทับตราเรียบร้อย มิอาจบิดพลิ้วได้…รองหัวหน้าสมาคมเยวี่ย ถ้าท่านคิดจะกลับคำขอคืนคงเป็นไปไม่ได้”
เสมียนเมิ่งผู้นี้ก็เป็นคนที่เฉิงเทียนฟู่พามาเช่นกัน เขาหาใช่ขุนนางในพื้นที่ไม่ ยามเห็นคนสกุลเยวี่ยก็ไม่มีท่าทีเคารพนบนอบแม้แต่กระผีกริ้น เขาซึ่งมีพื้นเพเป็นคนซานตงเคี้ยวต้นหอมอย่างโผงผางพลางเอ่ย “แต่ว่ารองหัวหน้าสมาคมเยวี่ย เงินที่ฮูหยินท่านจ่ายแทนให้เหล่านี้เป็นแค่เงินเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นจากทั้งหมดที่พวกท่านควรจ่าย ขอให้พวกท่านพ่อลูกกลับไปแล้วรีบๆ จ่ายภาษีที่เหลือให้ครบ ที่ทำการอำเภอก้งเซี่ยนของพวกเรายังรอใช้เงินอยู่นะ”
ใบหน้าอวบอ้วนของเยวี่ยเต๋อเหวยโกรธจัดจนกลายเป็นสีแดงก่ำไปแล้ว เขาหัวเราะอย่างเย็นชาไม่หยุดแล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ดีจริงๆ นี่พวกท่านรวมหัววางแผนกันเอาไว้เรียบร้อยแล้วสินะ! นายอำเภอเฉิงปฏิบัติตามกฎหมายโดยยึดมั่นในความยุติธรรมปานนี้ช่างชวนให้คนเลื่อมใสจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่พูดจาให้มากความ ขอให้นายอำเภอเฉิงระวังตัวเอาไว้ให้ดี!”
พูดจบเยวี่ยเต๋อเหวยก็ลุกขึ้นหมายจะจากไป แต่เฉิงเทียนฟู่กลับเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หยุด ข้าให้เจ้าไปได้แล้วหรือ”
เยวี่ยเต๋อเหวยพูดอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “ทำไมรึ นายอำเภอเฉิงอยากจะให้ข้าอยู่กินข้าวหรืออย่างไร”
เฉิงเทียนฟู่กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “หลังจากสอบสวนพ่อค้าเกลือที่ถูกกุมตัวเมื่อวานนี้ พวกเขาสารภาพว่าเกลือเถื่อนขายมาจากบ่อเกลือของสกุลเยวี่ยของเจ้า สกุลเยวี่ยของเจ้าลักลอบผลิตเกลือ สั่งสอนตักเตือนหลายครั้งหลายคราก็ไม่รู้จักแก้ไข วันนี้เจอหน้าข้าไม่ทำความเคารพ ซ้ำยังเข้ามานั่งในห้องโถงตามอำเภอใจ เหมือนกับว่าเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าเสียมากกว่า ราษฎรต่ำทรามพรรค์นี้ข้าจะไม่มีปัญญาลงโทษให้เจ้ากินข้าวในคุกเชียวหรือ ใครก็ได้! จับตัวเยวี่ยเต๋อเหวยผู้นี้เอาไว้ ลงโทษโบยสยบความสามหาวยี่สิบไม้ก่อน แล้วค่อยจับขังคุก!”
ห้องข้างๆ ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ที่กำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่ ทว่าเจ้าหน้าที่เป็นคนในพื้นที่ ไม่มีใครขยับแม้แต่คนเดียว
พวกเขารู้ถึงความร้ายกาจของสกุลเยวี่ยดี หากวันนี้ทำร้ายบุตรชายคนรองของสกุลเยวี่ย เช่นนั้นวันพรุ่งนี้คนเฒ่าคนแก่และลูกเล็กเด็กแดงในบ้านของพวกเขาก็อาจจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้
ทว่าชายฉกรรจ์ร่างกำยำล่ำสันหลายคนที่นายอำเภอเฉิงผู้นี้พามาด้วยไม่รู้จักเคารพยำเกรงงูเจ้าถิ่น พอได้ยินคำสั่งของนายอำเภอเฉิงก็วางถ้วยและตะเกียบลงแล้วพากันปรี่ไปยังห้องโถงหลัก เตะผู้คุ้มกันของเยวี่ยเต๋อเหวยให้พ้นทางแล้วจับพวกเขามัดไว้ด้วยกัน จากนั้นก็กดตัวรัชทายาทแห่งอำเภอก้งเซี่ยนผู้นี้เอาไว้ในห้องโถงหลัก
ชายฉกรรจ์เหล่านี้เป็นคนที่เฉิงเทียนฟู่พามาจากในกองทัพทั้งนั้น ล้วนลงมืออย่างไร้สิ้นความเมตตาปรานี แต่ละคนเงื้อมือขึ้นสูงแล้วฟาดอย่างหนักหน่วง โบยจนเยวี่ยเต๋อเหวยร้องไห้คร่ำครวญ โหยหวนราวกับผีสางร่ำไห้
สุดท้ายเพิ่งจะโบยสงบความสามหาวไปได้แค่ครึ่งทาง เยวี่ยเต๋อเหวยผู้นั้นก็ปัสสาวะราดกางเกงจนเปียกชุ่ม ดวงตาพลันเหลือกขึ้นแล้วเป็นลมหมดสติไป
พื้นห้องโถงไต่สวนของเฉิงเทียนฟู่เปรอะเปื้อนสกปรก เขาย่นหัวคิ้วพลางสั่งให้คนย้ายโต๊ะตัวเตี้ยไปที่ใต้ต้นไม้ในลานกว้าง จากนั้นก็กินอาหารที่สะใภ้เด็กของบ้านตนเองปรุงขึ้นต่อไปอย่างเบิกบานใจ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ส.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.