X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 39.1-39.3

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 39-1 วางกับดัก

ตอนที่ข่าวเรื่องเยวี่ยเต๋อเหวยถูกโบยซ้ำยังโดนจับเข้าคุกแพร่มาถึงสกุลเยวี่ย เยวี่ยขุยเองก็กำลังกินข้าวโดยมีอนุภรรยาสองคนคอยปรนนิบัติอยู่เช่นกัน

พอเยวี่ยขุยที่นั่งกินข้าวอยู่ในห้องหนังสือได้ยินว่าบุตรชายถูกโบยจนสลบ เขาก็โกรธจัดจนพลิกโต๊ะตรงหน้าอย่างรุนแรง

“เฉิงเทียนฟู่ตัวดี ข้าอุตส่าห์ให้เกียรติแล้วแต่กลับไม่รับไว้!”

ที่ปรึกษาซึ่งอยู่ข้างๆ เร่งรีบเอ่ยโน้มน้าว “นายท่านโปรดระงับโทสะ ข้าได้ส่งคนไปดูแลคุณชายรองในคุกแล้ว แต่ว่าเฉิงเทียนฟู่ไม่มีหัวคิดถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจะอยู่ร่วมกันลำบาก ท่านต้องคิดหาวิธีช่วยคุณชายรองออกมาให้โดยเร็วดีกว่าขอรับ เขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุก”

เยวี่ยขุยบรรเทาโทสะลง เอ่ยว่า “ไป ไปที่ทำการเจ้าเมืองชวนจง เชิญตัวเจ้าเมืองเซี่ยมาสักรอบ ตอนนี้รีบช่วยเต๋อเหวยออกมาก่อน ส่วนเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ข้าไม่ปล่อยเขาไว้แน่!”

พอที่ปรึกษาผู้นั้นได้ยินก็รีบเร่งส่งคนขี่ม้าเร็วไปเชิญเจ้าเมืองเซี่ยทันที

เจ้าเมืองเซี่ยผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของเถียนเสียนจง

แต่เดิมเขาเป็นนายอำเภอของอำเภอก้งเซี่ยน ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเรื่อยมาจนเป็นเจ้าเมืองชวนจง เป็นนายอำเภอเพียงไม่กี่คนที่สามารถรอดออกไปจากอำเภอก้งเซี่ยนได้

ที่เจ้าเมืองเซี่ยเคราะห์ดีถึงเพียงนี้ย่อมมีหลักการปฏิบัติตนในฐานะขุนนางเป็นของตนเอง นั่นก็คือเกาะขาใหญ่ๆ ของสกุลเถียนเอาไว้แน่น รักษาแหล่งขุมทรัพย์อย่างอำเภอก้งเซี่ยนให้กับท่านกั๋วจิ้ว

เขาทำหน้าที่นี้ได้ดีมาตลอด ทว่าตอนนี้อยู่ดีๆ การค้าขายในอำเภอก้งเซี่ยนกลับมีตัวปัญหาผู้หนึ่งเข้ามาร่วมวง เจ้าเมืองเซี่ยเคยได้ยินเรื่องของเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้มาก่อน รู้ว่าตอนอยู่ที่เมืองหลวงเขาไม่ค่อยถูกกับสกุลเถียนสักเท่าใด

ในช่วงแรกที่เฉิงเทียนฟู่ถูกลดตำแหน่งให้มาอยู่ที่อำเภอก้งเซี่ยน เถียนกั๋วจิ้วเคยเขียนจดหมายบอกให้เขารู้เป็นนัยๆ ว่าต้องหาโอกาสจับผิดเฉิงเทียนฟู่ ให้นายอำเภอที่มาใหม่ผู้นี้ล่มจมสู่ก้นบึ้งอยู่ที่อำเภอก้งเซี่ยน อย่าให้โงหัวขึ้นมาได้อีก

บัดนี้หลังจากได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายสั่งโบยบุตรชายคนรองของสกุลเยวี่ย เจ้าเมืองเซี่ยก็รีบร้อนลุกขึ้นมาจากตั่งเตียงของอนุภรรยาที่เพิ่งรับเข้าจวนมาใหม่ เตรียมเรียกเฉิงเทียนฟู่มายังที่ทำการเจ้าเมืองเพื่อตำหนิต่อว่าสักหนึ่งยก

จะว่าไปแล้วอนุภรรยาที่กำลังได้รับความโปรดปรานจากเขาในตอนนี้ก็เป็นม้าผอมหยางโจวที่หัวหน้าสมาคมเยวี่ยเลือกสรรให้ด้วยตนเอง ทั้งรูปโฉมและฝีมือในการปรนนิบัติพัดวีคนล้วนเป็นเลิศทั้งสิ้น

เฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ไม่รู้จักประพฤติตนเลยจริงๆ ถ้าหากน้อมรับคำสั่งสอนแต่โดยดี ผลประโยชน์ที่สกุลเยวี่ยจะให้ก็มีมากมายไม่หมดไม่สิ้น ตัวอยู่ที่ชวนจง สวรรค์สูงฮ่องเต้ห่างไกลเหตุใดเขาถึงไม่รู้จักใช้ชีวิตให้สุขสบายสักหน่อยเล่า

เจ้าเมืองเซี่ยมีฐานะที่เป็นผู้บัญชาการเบื้องบนของเฉิงเทียนฟู่ ย่อมไม่อาจไม่พบได้

 

สองวันมานี้เฉิงเทียนฟู่เพิ่งจะตัดไหมที่แขนออก หลังจากฝึกฝนเพลงหมัดมวยไปหนึ่งชุดก็พาหลิ่วจือหว่านไปที่เมืองจิ่นเฉิงของชวนจงเพื่อพบเจ้าเมืองด้วยกัน

สาเหตุที่เขาพาหลิ่วจือหว่านมาด้วยเป็นเพราะตั้งแต่นางมาถึงอำเภอก้งเซี่ยน วันๆ ก็ได้แต่เดินเที่ยวไปตามตลาดไม่กี่แห่งที่อยู่ตามหัวถนนและหลังบ้านเท่านั้น

นานๆ ทีจะมีเวลาว่างได้เข้าเมืองจิ่นเฉิงสักครั้ง ถือเป็นการพาหลิ่วจือหว่านไปเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจพอดี จะได้ให้นางดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่อันเป็นเอกลักษณ์ของแถบชวนจงด้วยเช่นกัน

ระหว่างที่เขาไปยังที่ทำการเจ้าเมือง หลิ่วจือหว่านก็ดื่มน้ำชารออยู่ในโรงน้ำชาซึ่งอยู่อีกฟากของถนน

ส่วนเฉิงเทียนฟู่นั้นหลังจากเข้าพบเจ้าเมืองเซี่ย ผู้บัญชาการเบื้องบนของเขาก็ตีหน้าถมึงทึงแล้วสั่งให้เขาปล่อยตัวคนเสีย

เฉิงเทียนฟู่เลิกคิ้วขึ้นพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าเมืองเซี่ยไม่ถามต้นสายปลายเหตุ แต่เปิดปากสั่งให้ข้าน้อยปล่อยตัวคนทันที มีเหตุผลอันใดหรือ”

เจ้าเมืองเซี่ยแค่นเสียงเย็นชาเอ่ย “ก่อนนายอำเภอเฉิงจะมาที่นี่ อำเภอก้งเซี่ยนส่งออกเกลืออย่างราบรื่นมั่นคง จัดแจงจ่ายให้แต่ละเขตเมืองอย่างเพียงพอ ราคาก็คงที่ แต่หลังจากเจ้ามาอำเภอก้งเซี่ยนก็หยุดการผลิต ราคาเกลือข้างนอกพุ่งขึ้นสูงตามไปด้วย หากปล่อยให้เจ้าสร้างความวุ่นวายต่อไปเกรงว่าราษฎรกว่าครึ่งใต้หล้าคงจะไม่รู้จักรสจืดรสเค็มของอาหารแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดตามมาเช่นนี้น่ากลัวเพียงใดเจ้าคงรู้กระมัง อีกอย่างเจ้าไม่รู้หรือไรว่าในอำเภอก้งเซี่ยนสกุลเยวี่ยมีบารมีประหนึ่งเข็มเทพสยบสมุทร ตอนนี้เจ้าจับตัวบุตรชายคนรองของเขาเอาไว้ ทั้งยังโบยจนเกือบตาย เช่นนี้จะบรรเทาความโกรธแค้นของราษฎรได้อย่างไร”

คนหนุ่มไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจากเมืองหลวงคนหนึ่งผิดใจกับจวนฉือหนิงอ๋องและสกุลเถียน ซ้ำยังใจกล้าไร้มารยาทจนล่วงเกินฝ่าบาทในการสอบหน้าพระที่นั่ง บัดนี้มาถึงอำเภอก้งเซี่ยนแล้วก็ยังไม่รู้จักน้อมรับคำสอนสั่ง ท่าทางมุทะลุหาเรื่องคนไปทั่ว หากตายอยู่ในดินแดนของอำเภอก้งเซี่ยนจริงๆ ก็สมควรแล้ว!

เจ้าเมืองเซี่ยคิดว่าคนหัวรั้นที่ไม่รู้จักพลิกแพลงพรรค์นี้ติดอยู่ในแดนเถื่อนอย่างชวนจงคงไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากอีกแล้ว ดังนั้นยามพูดจาจึงไม่มีความเกรงอกเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น ด่าทอนายอำเภอตำแหน่งเล็กๆ ผู้นี้ไปหนึ่งยกด้วยสีหน้าเย็นชา

เฉิงเทียนฟู่หลุบตาฟังคำดุด่าของผู้บัญชาการเบื้องบน สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองจะบอกว่าตนเองก็เคยได้รับการสั่งสอนจากสกุลเยวี่ยมาก่อนอย่างนั้นหรือ”

เจ้าเมืองเซี่ยพลันผงะอึ้งไป ไม่รู้ว่าเขาถามเช่นนี้มีเจตนาเช่นไร

เฉิงเทียนฟู่พูดต่อไปว่า “ถึงแม้ข้าน้อยจะตำแหน่งไม่สูงเท่าใต้เท้า แต่ก็เป็นนายอำเภอที่ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เอง ให้ปกครองดูแลพื้นที่อำเภอก้งเซี่ยน แม้จะเพิ่งเคยมาที่นี่ แต่ก็ไม่กล้าย่อหย่อนหละหลวม ดังนั้นจึงตรวจสอบราคาเกลือของอำเภอก้งเซี่ยนอย่างละเอียดยิบ พบว่าในช่วงสองปีที่เจ้าเมืองเซี่ยรับตำแหน่งนายอำเภออยู่ที่อำเภอก้งเซี่ยน ราคาเกลือปรับขึ้นติดๆ กันถึงสองครั้ง…หรือว่าตอนนั้นท่านเองก็ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน มีเรื่องกับคนไปทั่ว เกือบจะตายอยู่ในดินแดนของอำเภอก้งเซี่ยนเหมือนกัน”

“จะ…เจ้า!” เจ้าเมืองเซี่ยนึกไม่ถึงว่าเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้จะรื้อผลงานที่เขาสร้างขึ้นเมื่อครั้งเป็นนายอำเภอออกมายอกย้อนเขา จึงโกรธเกรี้ยวจนใบหน้าแดงเถือกราวกับตับหมูขึ้นมาทันใด

ตอนนั้นเขารู้จักกาลเทศะจะตายไป! ที่ราคาเกลือพุ่งสูงขึ้นเป็นผลลัพธ์จากการที่เขากับสกุลเยวี่ยรวมไปถึงเจ้าหน้าที่เก็บภาษีหลายคนรวมหัวกันวางแผน

แต่เขาก็ยับยั้งเพลิงโทสะเอาไว้อย่างรวดเร็ว ยิ้มเยียบเย็นพลางเอ่ย “ในเมื่อเจ้ายังหน้ามืดตามัว เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนเจ้า หากเกิดปัญหาใหญ่โตอันใดขึ้นที่อำเภอก้งเซี่ยน ทำให้ราคาเกลือทั้งแผ่นดินปั่นป่วน สะเทือนไปถึงฝ่าบาท กลัวก็แต่ว่านายอำเภอเฉิงจะต้องถูกลดตำแหน่งไปเลี้ยงแกะที่ทะเลทรายตามชายแดนทางเหนือแล้ว!”

กับเจ้าเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพรรค์นี้ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าเมืองเซี่ยจึงชี้ให้เห็นจุดสำคัญอย่างตรงไปตรงมาเสียเลย “สกุลหยางของฮูหยินของเยวี่ยขุยเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้องค์ก่อนเมื่อครั้งเสด็จประพาสแถบสู่* เป็นการส่วนพระองค์เอาไว้ ถึงได้รับอภิสิทธิ์ในการดำเนินกิจการค้าเกลือบ่อ ตอนนี้เยวี่ยขุยรับช่วงดูแลกิจการของสกุลหยางซึ่งเป็นตระกูลฝั่งภรรยา ควบคุมบ่อเกลือทั้งหมดในพื้นที่นี้ นี่เป็นงานที่ได้รับอนุญาตจากราชวงศ์เป็นกรณีพิเศษ เมื่อก่อนขุนนางในราชสำนักอยากจะริบบ่อเกลือกลับไปอยู่หลายครั้ง แต่เพราะว่านี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากฮ่องเต้องค์ก่อนจึงไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการไม่เคารพต่อฮ่องเต้องค์ก่อน!”

เฉิงเทียนฟู่ได้ยินเจ้าเมืองเซี่ยยกบิดาของฝ่าบาทองค์ปัจจุบันมาข่มขู่คน แต่ก็ยังคงไม่ไหวหวั่น เพียงแต่พูดกับเขาว่า “นับแต่โบราณกาลมาเกลือเป็นสมบัติของบ้านเมือง ถึงแม้ในยุคของฮ่องเต้องค์ก่อนราชวงศ์ต้าซีจะยกบ่อเกลือให้ตระกูลภรรยาของเยวี่ยขุยเหมาดูแล แต่ก็แค่อนุญาตให้ตระกูลของเขาทำกำไรจากการกลั่นบ่อเกลือเท่านั้น มิได้ให้ตระกูลเขาผูกขาดการค้าขายเกลือเสียหน่อย แต่ต้องค้าเกลือหลวงจ่ายภาษีให้บ้านเมือง มีการกำหนดราคาโดยเฉพาะ ข้าน้อยกลับอยากถามเจ้าเมืองเซี่ยมากกว่าว่าตกลงแล้วข้าน้อยไม่เคารพฮ่องเต้องค์ก่อน หรือว่าที่นี่มีคนไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง จงใจปั่นราคาเกลือหลวงให้สูงขึ้นเพื่อแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวกันแน่”

เจ้าเมืองเซี่ยเองก็ดูออกว่าตนเองไม่สามารถโน้มน้าวก้อนหินในอาจมก้อนนี้ได้ จึงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชาทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ราคาเกลือในแต่ละเดือนล้วนกำหนดในช่วงสิ้นเดือนก่อนหน้า คนที่กำหนดราคานอกจากชาวนาเกลือในพื้นที่แล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการค้าเกลือ ถึงตอนนั้นหากความไร้ระเบียบของเจ้าทำให้ราคาเกลือพุ่งสูงขึ้น ความรับผิดชอบนี้เจ้าจงแบกรับแต่เพียงผู้เดียวเสียเถอะ!”

ทั้งสองพูดคุยกันไม่ถูกคอ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ

ตอนเฉิงเทียนฟู่กลับมา น้ำชาหนึ่งกาของหลิ่วจือหว่านก็ยังดื่มไม่ทันหมด พอเห็นอีกฝ่ายนางก็เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ถูกด่ามาหรือเจ้าคะ”

เฉิงเทียนฟู่หันหน้าไปมองประตูใหญ่ของที่ทำการเจ้าเมืองซึ่งอยู่เยื้องออกไปฝั่งตรงข้ามครู่หนึ่ง “คำด่าครั้งนี้ข้าจำเอาไว้ก่อน ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องมอบของกำนัลชั้นเลิศให้เจ้าเมืองเซี่ยแน่นอน แต่ดูท่าแล้วราคาเกลือของเดือนหน้าคงจะพุ่งทะยานสูงขึ้น เกรงว่าคงไม่ได้เพิ่มส่วนแบ่งกำไรแค่สามส่วนเป็นแน่”

หลิ่วจือหว่านระบายรอยยิ้มน้อยๆ “นับแต่สมัยโบราณมาการทำการค้าล้วนกลัวคนกินส่วนแบ่งมากไม่กลัวคนกินส่วนแบ่งน้อย ถ้าผูกขาดแต่เพียงเจ้าเดียว สุดท้ายแล้วก็มิใช่กลยุทธ์ที่ดี เยวี่ยขุยเองก็อาศัยจุดนี้ถึงสามารถใช้อำนาจในอำเภอก้งเซี่ยนได้ตามใจชอบ ควบคุมราคาเกลือทั่วทั้งใต้หล้าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนเองมิใช่หรือ”

เฉิงเทียนฟู่ช่วยนางขยับปิ่นบุปผาบนศีรษะให้ตรง “เจ้าพูดถูก หากสกุลเยวี่ยพบว่าบ่อเกลือของตระกูลพวกเขาไม่ได้มีอันใดวิเศษวิโส เกรงว่าความโอหังอวดดีคงจะดับมอดลงไปสามส่วน…”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ขบคิดอยู่สักพักแล้วเอ่ยขึ้น “ลูกน้องของนายน้อยอู๋ผู้นั้นไม่รู้ว่ารักษาอาการบาดเจ็บจนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

หลิ่วจือหว่านเอ่ย “หลายวันมานี้ข้าปรุงยาบำรุงกระดูกเป็นยาขี้ผึ้ง ให้จิ้นเป่านำไปมอบให้นายน้อยอู๋ ลูกจ้างใต้การบัญชาของเขากับคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักหลายคนคงจะจ่ายค่ายาไม่ไหว ดังนั้นข้าเลยตรวจรักษาโดยไม่คิดเงินให้พวกเขาหลายครั้ง”

เฉิงเทียนฟู่พยักหน้าน้อยๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีเวลาว่างไปพบเขาเสียที กลับไปข้ามีเรื่องจะขอร้องเขาสักหน่อย”

ยามนี้จู่ๆ หลิ่วจือหว่านก็เห็นว่ามีร้านขายกรวยและถาดทองแดง จึงรีบร้องขึ้นว่า “อ๊ะ อันนี้ข้าเอาไปใช้ได้ ญาติผู้พี่ ซื้อเยอะๆ หน่อยเถิด”

เฉิงเทียนฟู่แย้มยิ้มพลางจูงมือนางไปยังร้านขายของชำ พอซื้อทีก็ซื้อมาเยอะถึงหนึ่งคันรถ เวลาที่เหลือต่อจากนี้ทั้งสองก็เดินๆ หยุดๆ เลือกซื้อข้าวของไปเรื่อยเปื่อย

พอเห็นว่ามีร้านเชือดวัวแก่เพื่อขายเนื้อ พวกเขายังซื้อเนื้อวัวมาครึ่งตัว แล้วห่อเอาเครื่องในกลับไปอีกด้วย บอกว่าเอาไว้ให้สุนัขเฝ้าบ้านกิน

ระยะนี้เฉิงเทียนฟู่เลี้ยงสุนัขตัวโตๆ ไว้หน้าบ้านและหลังบ้านถึงห้าตัว พวกมันอยู่ดีกินดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก แต่ละมื้อล้วนต้องมีเนื้อสัตว์ บางคราก็ให้กินแป้งเหนียวๆ ที่ทำจากข้าวโพดเพื่อแก้เลี่ยน

ถึงแม้หลิ่วจือหว่านจะตระหนี่ถี่เหนียว แต่กลับใจกว้างกับสุนัขทหารที่เมื่อก่อนเคยรับใช้กองทัพเป็นอย่างมาก ต่อให้เปลืองเนื้อสัตว์ก็ยอมสละได้

จิ้นเป่ากลับรู้สึกว่าสิ้นเปลืองยิ่ง จึงบ่นอุบอิบเสียงเบาว่าให้คุณหนูเก็บเครื่องในไว้ให้นางบ้าง ของเช่นนี้ต้องตุ๋นให้สุกแล้วกินถึงจะอร่อย! พาให้หลิ่วจือหว่านพูดล้อว่านางแย่งอาหารสุนัขกิน

สำหรับจิ้นเป่าแล้วของอื่นๆ ที่คุณหนูซื้อมากลับไม่มีอันใดเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้นางอดไม่ไหวบ่นกระปอดกระแปดว่า “นี่ท่านจะเปิดร้านขายซีอิ๊วหรือเจ้าคะ ซื้อของอันใดของท่านมาเนี่ย! ไฉนถึงมีหม้อเยอะแยะเพียงนี้เล่า”

ยามพวกเขากลับมาจากเมืองจิ่นเฉิง ข้าวของก็บรรทุกเต็มรถคันใหญ่ๆ หลายคัน

ตอนกลับถึงอำเภอก้งเซี่ยนยังมีเพื่อนบ้านเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ หลิ่วจือหว่านตอบกลับไปยิ้มๆ ว่า “เพิ่งจะซื้อบ้าน ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่พอใช้ไปเสียหมด อุตส่าห์ได้เข้าเมืองจิ่นเฉิงทั้งที ย่อมต้องซื้อของเยอะๆ หน่อย นอกจากนั้นแล้วช่วงนี้ข้ายังคิดจะเปิดร้านปักผ้าด้วย ต้องเตรียมข้าวของเครื่องใช้ไว้เยอะๆ เช่นกัน”

พวกเพื่อนบ้านต่างก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ซื้อเรือนข้างๆ ไว้อีกหลัง หลายวันก่อนยังเชิญช่างก่อสร้างหลายคนมาก่อเตาไฟให้ เห็นบอกว่าเอาไว้ใช้ต้มน้ำซักผ้า

ต่อมาพอเห็นว่าสิ่งที่ขนย้ายลงมาจากรถมีแต่สิ่งของเบ็ดเตล็ดทั่วไปจริงๆ ก็ไม่มีใครเอ่ยถามขึ้นอีกเป็นธรรมดา

อย่างไรแล้วเงินเบี้ยหวัดของนายอำเภอก็มีจำกัด คนร่วมบ้านที่เขาเลี้ยงดูอยากจะหาช่องทางทำมาหากินเองก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง

เพียงแต่ถึงแม้ผ้าปักสู่ซิ่วของแถบชวนตี้จะมีชื่อเสียงเลื่องลือ ทว่าช่างปักผ้าฝีมือดีส่วนมากกลับถูกร้านปักผ้าชื่อดังจ้างงานเอาไว้หมดแล้ว ล้วนลงนามสัญญาขายตัวชั่วชีวิต ไม่ว่าจะเป็นร้านปักผ้าหรือร้านขายผ้าเปิดใหม่ของคนต่างถิ่นพรรค์นี้ส่วนใหญ่แล้วขาดทุนทั้งสิ้น

ดูท่าทางหมายมั่นจะเปิดกิจการใหญ่โตของแม่นางสกุลเฉียนผู้นี้แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้จะถลุงเงินของนายอำเภอไปเท่าใด ทั้งไม่รู้ว่านางตั้งใจจะทำการค้าจริงๆ หรือคิดจะหาข้ออ้างมาผลาญทรัพย์สินของคนร่วมบ้านกันแน่

บทที่ 39-2 วางกับดัก

วันถัดมาหลังเฉิงเทียนฟู่กลับมาจากเมืองจิ่นเฉิงก็ตรงไปเยี่ยมเยือนสกุลอู๋แห่งกลุ่มไม้หาบดำทันที

ในอำเภอก้งเซี่ยนสกุลอู๋ถือเป็นกลุ่มค้าเกลือที่มีประสบการณ์ยาวนานเช่นกัน

แต่น่าเสียดายหลังจากสกุลเยวี่ยค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นก็ไม่พอใจกับแค่การรับเหมาขุดบ่อเกลือจากทางการอีกต่อไป ซ้ำร้ายยังสนับสนุนอุ้มชูพ่อค้าเกลือของพวกตนเอง กีดกันกลุ่มค้าเกลือที่ไม่ถูกกัน ทำให้สกุลอู๋ไม่มีคุณสมบัติขนส่งเกลือหลวงออกไปขายอีก ทำได้เพียงอาศัยลักลอบค้าเกลือเถื่อนประทังชีวิต

แต่ความจริงแล้วการค้าเกลือเถื่อนซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ในพื้นที่ก็ถูกสกุลเยวี่ยผูกขาดเอาไว้ด้วยเหมือนกัน

หลายวันมานี้สองพ่อลูกสกุลอู๋ต่างก็กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจ คิดจะขายบ้านของบรรพบุรุษทิ้ง หาเงินจุนเจือให้กับลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น ลูกจ้างเหล่านี้บางคนเข้าร่วมกลุ่มมาตั้งแต่สมัยท่านปู่ซึ่งเป็นนายท่านผู้เฒ่าสกุลอู๋ บัดนี้กลับต้องมาขาเป๋ นายท่านสกุลอู๋ที่เป็นคนเก่าคนแก่ของกลุ่มค้าเกลือในแถบชวนจงให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง คิดว่าตนเองต้องรับผิดชอบช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านของพวกเขา

แต่หากขายบ้านของบรรพบุรุษทิ้งไป ต่อไปนี้ทุกคนในครอบครัวของตนเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้อีก พวกเขาทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ดังนั้นหลายวันมานี้สกุลอู๋ก็กลัดกลุ้มทุกข์ใจเช่นกัน

พอเห็นนายอำเภอเฉิงที่เพิ่งรับตำแหน่งพาผู้ติดตามมาเยือนอย่างปุบปับกะทันหัน พ่อลูกสกุลอู๋ก็ตื่นตกใจเล็กน้อยเป็นธรรมดา ไม่รู้ว่าครั้งนี้ใต้เท้ามาด้วยจุดประสงค์ใด

นายอำเภอเฉิงมิได้มามือเปล่า แต่นำกล่องอาหารที่หลิ่วจือหว่านปรุงด้วยตนเองพร้อมเหล้าขาวซึ่งเป็นผลผลิตในท้องที่มาด้วย

ช่วงนี้หลิ่วจือหว่านเรียนทำอาหารของแถบชวนจงหลายอย่าง พอเห็นว่าบาดแผลของเฉิงเทียนฟู่หายเกือบสนิทแล้ว ทั้งสองก็ลองกินอาหารรสเผ็ดให้เข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เช่นเดียวกัน

ชิ้นเนื้อสีแดงสดหนึ่งหม้อถูกตัดหั่นอย่างชำนิชำนาญยิ่ง หลังชิ้นเนื้อสดนุ่มถูกห่อด้วยแป้งแล้วก็นำมาแช่ในน้ำแกงสีแดงฉานให้ดูดซึมน้ำอย่างเต็มที่ รสชาติเผ็ดแสบกำลังดี กินคู่กับเหล้าขาวที่ต้มร้อนๆ หลังจากสุราลงท้องไปหลายจอกก็ไม่มีการแบ่งแยกขุนนางหรือราษฎรอีก

กระทั่งทั้งสามดื่มอย่างสนุกสนาน นายท่านสกุลอู๋ก็หยั่งเชิงถามนายอำเภอเฉิงถึงจุดประสงค์ที่มาเยือนในครานี้

โบราณกล่าวไว้ว่าแค่ดื่มสุราก็เห็นอุปนิสัยคน ทุกคนดื่มกันจนได้ที่แล้ว นิสัยเป็นเช่นไรแค่แวบเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจน

แม้ก่อนหน้านี้เฉิงเทียนฟู่จะเคยสืบพฤติกรรมของพ่อลูกคู่นี้ ทว่ายามนี้พอได้พูดคุยสัพเพเหระกันบนโต๊ะสุราก็ยิ่งมั่นใจว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นพวกซื่อตรงมีคุณธรรม ดังนั้นจึงตัดสินใจพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม เล่าแผนการของตนเองให้สองพ่อลูกคู่นี้ฟังเสียงเบา

ทั้งสามคนพูดคุยกันถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ

เมื่อคุยกันถึงท้ายที่สุด เฉิงเทียนฟู่ก็มิได้พูดบีบบังคับพวกเขา บอกแค่เพียงว่า “หากท่านทั้งสองรู้สึกลำบากใจ ไม่กล้าล่วงเกินสกุลเยวี่ย ข้าก็เข้าใจได้ จะหาหนทางอื่นเอง ไม่ทำให้ทั้งสองท่านอึดอัดลำบากใจแน่นอน”

พอสองพ่อลูกได้ฟังก็มองหน้ากันไปมา มิได้เอ่ยวาจาอันใดออกไปพักใหญ่ๆ สุดท้ายนายน้อยอู๋ก็พูดออกมาก่อนว่า “ตอนนี้พี่น้องในกลุ่มข้าถูกคนสกุลเยวี่ยทำร้ายจนพิกลพิการมากมายนับไม่ถ้วน หากจะบอกว่าล่วงเกินก็ล่วงเกินไปนานแล้ว ตอนนี้ครอบครัวข้าจะขายบ้านบรรพบุรุษทิ้ง หาเงินชดเชยให้กับลูกจ้างที่บาดเจ็บ แต่ว่าพ่อค้าขายบ้านในพื้นที่กลับไม่มีใครกล้ารับ ได้ยินว่าสกุลเยวี่ยเปล่งวาจาว่าจะเอาสกุลอู๋ของข้าเป็นตัวอย่างให้ทุกคนเห็นว่าเขาเล่นงานทุกคนในกลุ่มไม้หาบดำของข้าให้กลายเป็นขอทานข้างถนนที่ไม่มีปัญญาขอข้าวกินได้อย่างไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้สกุลอู๋ของข้ายังมีอันใดต้องกลัวอีกเล่า มีแต่เชื่อฟังคำบัญชาของนายอำเภอเฉิง คว่ำสกุลเยวี่ยให้ได้พวกเราถึงจะมีหนทางรอดชีวิต”

นายท่านสกุลอู๋เดิมทียังพะว้าพะวังอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินวาจานี้ของบุตรชายก็รู้สึกว่ามีเหตุผล คนของกลุ่มค้าเกลือส่วนมากตอนเยาว์วัยล้วนอาศัยความใจกล้าบ้าบิ่นหาโอกาสทำมาหากินกันทั้งนั้น

เขาเองก็รู้ว่านายอำเภอเฉิงผู้นี้ไม่เหมือนกับพวกนายอำเภอก่อนหน้านี้ นายอำเภอผู้นี้เป็นถึงผู้กล้าที่เคยเข่นฆ่าอริราชศัตรูในสนามรบมาก่อน

ครอบครัวเขามีญาติพี่น้องเคยเป็นทหารอยู่ที่ชายแดน ยามพูดถึงแม่ทัพเฉิงผู้นี้ก็ชมเปาะไม่ขาดปาก บอกว่าเป็นวีรบุรุษล้วนถือกำเนิดจากคนหนุ่มแน่น เป็นพวกมีความกล้าหาญมีสติปัญญา ไหนเลยพอมาถึงอำเภอก้งเซี่ยนแล้วจะกลายเป็นหนอนที่ลุกไม่ขึ้นเหมือนอย่างที่ผู้คนเล่าลือกันได้

ภายใต้การชักนำของบุตรชาย นายท่านสกุลอู๋เองก็เอ่ยกับเฉิงเทียนฟู่อย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า “ในเมื่อนายอำเภอเฉิงไว้ใจพวกเราสองพ่อลูก เช่นนั้นทุกคนในกลุ่มไม้หาบดำจะรับใช้ท่านอย่างสุดกำลังแรงใจ!”

เฉิงเทียนฟู่ดึงแรงหลักอย่างกลุ่มไม้หาบดำมาเป็นพวกได้แล้ว หลังจากสั่งการพวกเขาว่าต่อจากนี้ให้ดำเนินการเช่นไรอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อดื่มสุราจนพอใจกินข้าวจนอิ่มหนำแล้วก็เหินสายลมราตรีจากไป

ส่วนทางฝั่งสกุลเยวี่ยก็คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเฉิงเทียนฟู่อยู่ตลอดเวลา

เยวี่ยขุยเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้จะไร้ความคิดความอ่านถึงเพียงนี้ แม้แต่ท่านเจ้าเมืองก็ไม่อาจโน้มน้าวให้เขาปล่อยบุตรชายของตนเองได้

ที่ปรึกษาจากสำนักต่างๆ ที่เขาชุบเลี้ยงเอาไว้เหล่านั้นต่างก็พากันแสดงความคิดเห็นว่าหากไม่กำจัดเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ทิ้งเสีย กิจการค้าขายเกลือในอำเภอก้งเซี่ยนก็ไม่มีทางสงบสุขได้แน่นอน นายอำเภอผู้นี้ถ่วงรั้งการหาเงินหาทองของทุกคนมากเกินไป!

เมื่อได้ยินว่าเฉิงเทียนฟู่ไปเยี่ยมเยือนพ่อลูกสกุลอู๋ เยวี่ยขุยก็แค่นเสียงเย็นชาหนึ่งทีอย่างไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง “เขาก็คิดจะซื้อตัวชาวยุทธ์ไว้ใช้ประโยชน์เช่นเดียวกับข้ารึ แต่น่าเสียดายที่ตาของเขาไม่มีแววสักเท่าใด ถึงได้ไปดึงตัวพวกตาแก่ขาเป๋ของสกุลอู๋มาเป็นสุนัขรับใช้! ข้าอยากจะเห็นนักว่านายอำเภอเฉิงผู้นี้จะเล่นลูกไม้อันใดได้”

พวกที่ปรึกษาก็พากันหัวเราะอย่างเย็นชา “ถ้ามิใช่เพราะท่านหัวหน้าสมาคมยังเห็นว่าเหล่าอู๋ถือเป็นคนเก่าคนแก่ในอำเภอก้งเซี่ยน ป่านนี้ที่นี่คงไม่มีที่ให้พวกเขายืนไปนานแล้ว ครั้งนี้หากท่านไม่ให้บทเรียนกับเฉิงเทียนฟู่เสียบ้าง เขาจะรู้จักความตื้นลึกหนาบางของกิจการค้าเกลือได้อย่างไร พอถึงตอนประชุมกำหนดราคาช่วงปลายเดือน รับรองว่าเขาได้เห็นดีจนต้องคุกเข่าขอร้องท่านหัวหน้าสมาคมแน่ขอรับ!”

เยวี่ยขุยก็คิดจะทำเช่นนี้จริงๆ

เขาตระเตรียมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการค้าเกลือที่จะมาประชุมกำหนดราคาเอาไว้แล้วว่าหากเกลือขึ้นราคา ล้วนเป็นเพราะต้นทุนในการกลั่นเกลือสูงขึ้นทั้งสิ้น สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง ขณะเดียวกัน เป็นเพราะเฉิงเทียนฟู่มาถึงอำเภอก้งเซี่ยนแล้วปกครองดูแลไม่เหมาะสม ทำให้ราคาเกลือพุ่งสูงขึ้น ยากจะปัดความรับผิดชอบได้

ไม่เพียงแต่ขุนนางในท้องที่เท่านั้น กับขุนนางเบื้องบนที่อยู่ในเมืองหลวงเหล่านั้นเขาก็สมคบคิดกันเอาไว้แล้ว พอถึงตอนนั้นฎีกามากมายราวกับเกล็ดหิมะก็จะร่วงหล่นใส่เฉิงเทียนฟู่จนตาย

ทว่าเยวี่ยเต๋อเหวยถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กๆ ทนรับความทุกข์เข็ญในคุกไม่ได้แม้แต่น้อย

ได้ยินคนข้างในนำความมาบอกว่าคนที่เฝ้าเขามิใช่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่อำเภอก้งเซี่ยนด้วยซ้ำ ล้วนแต่เป็นคนที่เฉิงเทียนฟู่พามาจากเมืองหลวงด้วย แต่ละวันให้คุณชายรองสกุลเยวี่ยนอนแค่สองชั่วยามเท่านั้น กลางดึกก็จะสาดน้ำเย็นปลุกให้ตื่น ให้เขาเขียนบัญชียอดส่งออกเกลือของสกุลเยวี่ยอย่างเงียบๆ

เยวี่ยเต๋อเหวยจะจำได้อย่างไรกัน สุดท้ายก็ร้องไห้หาบิดาตะโกนหามารดา อาละวาดโวยวายให้ปล่อยเขาออกไป

บุตรชายคนรองสกุลเยวี่ยเป็นบุตรที่เกิดจากอี๋เหนียงรองของเยวี่ยขุย เพราะว่าฮูหยินใหญ่ของเขาอายุมากร่างกายอ่อนแอ ในบ้านล้วนได้อี๋เหนียงรองคอยกำกับดูแล ครั้นได้ยินว่าบุตรชายถูกจับ อี๋เหนียงของเขาก็หยาดน้ำตาไหลริน บอกให้เขารีบคิดหาวิธีโดยเร็ว

เยวี่ยขุยสงสารเวทนาบุตรชาย หลังจากตั้งป้อมใส่กันมาหลายวันสุดท้ายเขาก็กัดฟันจ่ายทั้งภาษีและค่าปรับอย่างละสามเท่าตามที่เฉิงเทียนฟู่เรียกร้องจนครบ

เมื่อเยวี่ยเต๋อเหวยถูกปล่อยตัวออกมาจากคุก บุรุษซึ่งเดิมทีรูปร่างอวบอ้วนกลับผ่ายผอมจนกลายเป็นคนละคน เขากอดพ่อบ้านที่มารับเขาเอาไว้พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง พูดโพล่งว่าคุกแห่งนี้มีแต่คนชั่วช้าที่ชอบทรมานผู้อื่น หากเขาไม่ฆ่าเจ้าลูกเต่าที่มาจากเมืองหลวงเหล่านี้ให้ตาย เขาก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!

เยวี่ยขุยเห็นสภาพบุตรชายได้รับความทุกข์ทรมานหน้าตาก็มืดทะมึนถึงขีดสุด เคียดแค้นจนกัดกรามกรอดๆ

ที่ผ่านมาในอาณาเขตอำเภอก้งเซี่ยนเขาพูดคำไหนคำนั้น นานมากแล้วที่ไม่มีคนกล้าฉีกหน้าเขาเช่นนี้!

เขาไม่จำเป็นต้องรอกำหนดราคาเกลือแล้ว!

เหมือนดั่งที่บุตรชายบอก หากเขาไม่สังหารเฉิงเทียนฟู่ผู้นี้ให้ดูเป็นตัวอย่าง อำเภอก้งเซี่ยนก็คงจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แล้วจริงๆ! เขาจะต้องทำให้เจ้าคนแซ่เฉิงรู้ว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจในพื้นที่นี้!

คืนวันที่สามหลังจากเยวี่ยเต๋อเหวยออกมาจากคุกก็มีคนแอบอ้อมไปยังนอกกำแพงหลังบ้านของเรือนสกุลเฉิง พาดกำแพงเตรียมจะลักลอบเข้าไป

ทว่าคนยังไม่ทันเท้าแตะพื้นก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าระลอกใหญ่ ชายสวมผ้าปิดหน้าเจ็ดแปดคนที่แขวนตัวอยู่บนกำแพงถูกสุนัขดุร้ายห้าตัวดึงกระชากลงมากัดจนร่ำไห้ร้องโหยหวน

สุนัขดุร้ายขาดำหลังสูงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสุนัขที่เฉิงเทียนฟู่นำกลับมาจากชายแดนทางเหนือด้วย เป็นสุนัขทหารที่กล้าต่อสู้กับฝูงหมาป่าในทุ่งหญ้า โดยทั่วไปเอาไว้ตรวจลาดตระเวนในค่ายทหาร

เพื่อรักษาสัญชาตญาณดิบเถื่อนเอาไว้ ปกติอาหารที่สุนัขกินก็จะเป็นเนื้อสดๆ ที่มีโลหิตติดอยู่ ต่อให้คนชั่วชุดดำพวกนี้โยนซาลาเปาไส้เนื้อผสมยาพิษลงมา ก่อนจะลงมาถึงพื้นสุนัขเหล่านี้ก็ไม่แม้แต่จะดมสักนิดด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นว่ามีผู้มาเยือนโดยมิได้รับเชิญ สุนัขดุร้ายฝูงนี้ก็กระโจนเข้าใส่แล้วเลือกกัดแต่จุดสำคัญ ทำให้นักฆ่าเหล่านี้เจ็บปวดจนไม่มีแรงจะต้านรับ

พอสุนัขส่งเสียงเห่าขึ้นมาห้องโถงก็จุดไฟสว่างไสวทันที โจรร้ายเจ็ดแปดคนถูกองครักษ์พุ่งเข้ามาจับตัวมัดไว้อย่างรวดเร็ว

แต่ว่าโจรร้ายเหล่านี้ก็ถือว่ารับเงินเพื่อมาช่วยขจัดปัญหาให้ผู้อื่น พวกเขายืนกรานว่าตนเองไม่ได้รับคำสั่งจากใคร เพียงแค่เตรียมจะลักลอบเข้ามาขโมยของเท่านั้น

ทว่าสิ่งที่ค้นได้จากตัวของพวกเขาคือเชือกและมีดแหลมคม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีดาบและถุงกระดาษมันที่เอาไว้ใช้ใส่ศีรษะมนุษย์ ด้านในยังมีผงปูนขาวสำหรับซับเลือดรองเอาไว้อีกด้วย

พอนึกโยงถึงเรื่องในอดีตก่อนหน้านี้ที่มีนายอำเภอผู้แข็งกร้าวคนหนึ่งถูกคนฆ่าตัดศีรษะทั้งครอบครัว โยนศพทิ้งไว้ในที่รกร้าง ศีรษะถูกเสียบไว้บนเสาธงหน้าประตูเมือง ก็นึกภาพได้ไม่ยากว่าคนกลุ่มนี้เตรียมจะมากระทำการอันใด

บทที่ 39-3 วางกับดัก

คดีที่นายอำเภอผู้นั้นถูกสังหารเมื่อครั้งกระโน้นสุดท้ายสรุปเอาว่าเป็นฝีมือของพวกโจรป่า แล้วแจ้งเรื่องขึ้นสู่ราชสำนัก ซ้ำต่อมาสกุลเยวี่ยยังเป็นหัวหอกบริจาคเงินทองสนับสนุนปฏิบัติการปราบปรามโจรป่าอย่างใหญ่โตเอิกเกริกแล้วก็ปล่อยให้เรื่องจบไปทั้งอย่างนั้น

หากมิใช่เพราะเฉิงเทียนฟู่เตรียมการป้องกันเอาไว้แต่เนิ่นๆ ก็ไม่รู้ว่าพอคนชั่วกลุ่มนี้เข้าเรือนมาได้จะขโมยเพชรนิลจินดาหรือว่าศีรษะบนคอคนกันแน่

เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงแทบไม่มีคนออกมาจากประตูเรือนสกุลเฉิงมาหลายวันแล้ว ดูเหมือนนายอำเภอเฉิงจะออกคำสั่งห้ามไม่ให้คนในครอบครัวออกไปข้างนอก จะได้ไม่ประสบเหตุมิคาดฝันเข้า

แม้แต่ผักและเนื้อสำหรับทำอาหารสามมื้อในแต่ละวันก็ไม่ได้ไปซื้อตามตลาด แต่ให้ข้างนอกนำมาส่งให้แทน ทำตัวเหมือนกับเป็นกระต่ายตื่นตูมก็มิปาน

พอเยวี่ยขุยได้ยินคำรายงานของลูกน้องก็แค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา ที่นี่สวรรค์สูงฮ่องเต้ห่างไกล ไร้ซึ่งข้อบังคับต่างๆ นานาของกฎหมายบ้านเมือง อาศัยก็แต่เส้นสายกว้างไกล คมดาบเร็วไว เงินทองหนาหนัก

ถึงครั้งนี้เขาจะปล่อยให้เจ้าคนแซ่เฉิงรอดชีวิตไปได้ แต่ก็พอจะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนอกสั่นขวัญหายได้แล้ว

ทว่าเจ้าคนแซ่เฉิงไม่มีทางซ่อนตัวอยู่ในกำแพงสูงของเรือนหลังเล็กๆ ไปได้ตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม หากไม่เอาศีรษะของอีกฝ่ายมาแขวนไว้นอกประตูเมือง สกุลเยวี่ยก็คงสร้างความน่ายำเกรงในอาณาเขตอำเภอก้งเซี่ยนไม่ได้อีกต่อไป

เขาส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวในเรือนสกุลเฉิง ในที่สุดช่วงกลางเดือนก็ได้รับรายงานจากสายสืบว่าระยะนี้นายอำเภอเฉิงออกไปทำงานที่ที่ทำการตรงเวลาทุกวัน บางครั้งพอถึงตอนเที่ยงวันก็จะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนอนุนอกเรือนของเขา

ดังนั้นในตอนที่นายอำเภอเฉิงไปเดินเที่ยวเล่นกับคนร่วมบ้านของเขาหลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ก็มีชาวยุทธ์ร่างสูงใหญ่กำยำสามคนสวมงอบปิดบังหน้าตา ลอบโจมตีพวกเขาซึ่งๆ หน้าอย่างกะทันหัน

ครั้งนี้คนที่เยวี่ยขุยส่งไปเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศสามคน หนึ่งในนั้นยังมีมือสังหารที่คราวก่อนฟันแขนของเฉิงเทียนฟู่จนได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย

การก่อเหตุกลางถนนเช่นนี้จำเป็นต้องกระทำการอย่างรวดเร็วฉับไวไม่ให้ทันได้ตั้งตัว มือสังหารกระโจนพุ่งตรงเข้าไป แทงกริชใส่เฉิงเทียนฟู่อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่ครั้งก็เป็นแผลเปิดขนาดใหญ่โลหิตเจิ่งนองแล้ว ตัวคนยังไม่ทันล้มถึงพื้น พวกเขาก็จะหนีจากไปอย่างรวดเร็ว หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

เดิมทีชาวยุทธ์ผู้นั้นคิดว่าครั้งนี้จะสามารถเอาชีวิตขุนนางสารเลวได้อย่างง่ายดาย ทว่าเพิ่งจะแทงกริชเข้าใส่ ก็ถูกเฉิงเทียนฟู่ใช้ท่ากรงเล็บอินทรีตะปบคว้าไหล่ด้านหลังเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังเป๊าะ เฉิงเทียนฟู่หักแขนของคนผู้นั้นจนผิดรูป!

ตอนนั้นเป็นช่วงสายที่ตลาดกำลังคึกคักพอดี เยวี่ยขุยเจตนาจะสร้างความน่าเกรงขาม จึงต้องการจะสังหารคนกลางวันแสกๆ เช่นนี้เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู

แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าประชาชนชาวอำเภอก้งเซี่ยนเห็นนายอำเภอเฉิงซึ่งปกติดูสุภาพเรียบร้อยกลับยกอาวุธตวัดฟาดฟัน ใช้กระบี่แทงบนร่างมือสังหารผู้นั้นจนทะลุราวกับกำลังหยอกแมวล้อสุนัขก็ไม่ปาน แต่ละกระบี่ล้วนหลีกเลี่ยงจุดสำคัญ แต่กลับเลือกทำให้แขนขาใช้การไม่ได้ ตัดเส้นเอ็นที่ข้อให้ขาดจนหมดสิ้น

ส่วนอนุนอกเรือนรูปโฉมงามแฉล้มเปราะบางของเขาก็ท่าทางเหมือนกับเห็นแล้วคันไม้คันมือ ภายใต้การห้อมล้อมคุ้มกันขององครักษ์ นางปลดธนูคันน้อยออกมาจากข้างเอว ท่วงท่าองอาจห้าวหาญ เล็งเป้าอย่างสงบเยือกเย็น จากนั้นก็ปล่อยลูกธนูออกไปติดๆ กันหลายดอก ปักตรงเข้าใส่ดวงตาของอีกสองคนที่เหลือ

ภาพเหตุการณ์นองเลือดนี้ทำให้พวกสตรีที่อยู่ข้างถนนล้วนรีบปิดตาบุตรหลานของตนเองทันที

แต่เด็กๆ กลับยังดูไม่สาแก่ใจ ต้องแกะมือของมารดาออกเพื่อดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นให้ได้

นายอำเภอเฉิงพาองครักษ์มาด้วย แต่สุดท้ายองครักษ์เหล่านั้นต่างก็มิได้ลงมือ หลังจากเห็นนายอำเภอเฉิงทำให้ทั้งสามคนกองอยู่กับพื้นขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว เสมียนเมิ่งถึงได้ส่งเสียงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านแม่ทัพ ที่นี่ไม่เหมือนกับชายแดนทางเหนือ ชาวบ้านมองดูอยู่นะขอรับ ระงับโทสะสักหน่อยเถิด แทงอีกแค่สองกระบี่ก็พอแล้ว…คุณหนูสกุลเฉียน ท่านเองก็ระงับโทสะด้วยเช่นกัน อย่าเดินเข้าไปใกล้อีกเลย ระวังรองเท้าปักลายคู่ใหม่ของท่านจะเปื้อนโลหิตเอา…”

สุดท้ายภายใต้การห้ามปรามของเหล่าองครักษ์ มือสังหารทั้งสามจึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ในที่สุด นอนจมอยู่กลางกองเลือดด้วยลมหายใจรวยริน

เฉิงเทียนฟู่คร้านแม้แต่จะสอบสวนพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมาตรงๆ ว่า “สามคนนี้คงจะถูกคนอื่นกุมจุดอ่อนไว้ในกำมือ ต่อให้ตายก็คงไม่รับสารภาพ พวกเขาลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักกลางถนนเช่นนี้มีโทษตายอย่างมิอาจละเว้นได้ พรุ่งนี้ลากไปตัดศีรษะเสียบประจานหน้าตลาดเสีย!”

เสมียนเมิ่งกล่าวเตือนเสียงเบาด้วยความลังเลใจเล็กน้อย “ประหารโดยไม่สอบสวนเช่นนี้เกรงว่าจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านได้นะขอรับ”

เฉิงเทียนฟู่พยักหน้านิดๆ คิดว่าที่อีกฝ่ายกล่าวมาก็มีเหตุผล ดังนั้นจึงปล่อยคอของโจรร้ายที่เป็นหัวหน้าออก จากนั้นจู่ๆ ก็เก็บกริชที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ยื่นไปไว้ในมือของโจรร้ายผู้นั้น

คนผู้นั้นแทบจะกำกริชเอาไว้ไม่ไหวแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดนายอำเภอไก่อ่อนอย่างเฉิงเทียนฟู่อยู่ๆ ถึงเก่งกาจได้ปานนี้

เมื่อครู่เขาได้ยินคำพูดของเฉิงเทียนฟู่แล้วเช่นกัน รู้ตัวดีว่าเมื่อถูกจับแล้วคงไม่มีหนทางรอดชีวิต จึงเงื้อกริชขึ้นหมายจะฟันเข้าใส่อีกครั้งอย่างโอนเอน

ทันใดนั้นเฉิงเทียนฟู่ก็ยกมือตวัดอาวุธอย่างฉับพลัน ฟันศีรษะของเขาจนหลุดลงมา

ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำให้เกิดเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นตกใจดังไปทั่วท้องถนน เฉิงเทียนฟู่หยิบศีรษะของคนร้ายผู้นั้นขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “โจรชั่วพรรค์นี้คิดขัดขืนสุดชีวิต ถูกจับแล้วยังหมายจะลอบสังหารข้าอีก เพื่อป้องกันตัวแล้ว ข้าถูกบีบให้ต้องตัดศีรษะเขาเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู!”

พูดจบเขาก็พลันออกแรงโยนศีรษะในมือ ศีรษะของคนผู้นั้นถูกโยนสูงไปทางโรงน้ำชาซึ่งอยู่อีกด้านราวกับเป็นลูกหนังผ้าปัก ร่วงหล่นลงบนโต๊ะของเยวี่ยขุยที่กำลังนั่งเหยียดตรงอยู่ในห้องพิเศษพอดิบพอดี

คนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวนี้ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตที่มีหน้ามีตาในหมู่กิจการค้าเกลือทั้งสิ้น ทุกคนต่างก็ถูกศีรษะคนที่โผล่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ตกใจเสียขวัญจนหงายหลังล้มไปกับพื้น แต่ละคนหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด สภาพน่าสมเพชเวทนาเหลือประมาณ

เดิมทีที่เยวี่ยขุยมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นนายอำเภอที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้โดนเชือดตายกลางถนนด้วยตาของตนเอง

เพื่อระบายความคั่งแค้นในใจ เขายังได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาแล้วเชิญผู้นำของกิจการค้าเกลือต่างๆ มารวมตัวกันที่นี่ ทุกคนจะได้เห็นว่าในอาณาเขตของอำเภอก้งเซี่ยนนั้น สิ่งใดเรียกว่า ‘ผู้ใดเชื่อฟังข้าย่อมรุ่งโรจน์ ทำให้ข้าพิโรธต้องมอดม้วย’

แต่เขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่ตนเองเห็นกลับเป็นภาพเฉิงเทียนฟู่และคนร่วมบ้านของเขาผนึกกำลังกันร่ายรำเพลงกระบี่กลางถนน สิ่งที่คาดคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือนายอำเภอเฉิงผู้นี้กลับแกว่งกระบี่ตัดศีรษะคนผู้หนึ่งทั้งเป็นท่ามกลางฝูงชนแล้วโยนมาไว้ตรงหน้าเขา!

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน สิงหาคม 2567)

 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: