X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 50.1-50.3

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 50-1 สังหารคนปิดปาก

 ในเรือนชั้นในส่วนมากมีแต่สาวใช้อายุน้อย ล้วนแต่ลงนามสัญญาขายตัวชั่วชีวิตทั้งสิ้น เนื่องจากระยะนี้เพิ่งจะตั้งจวน ทุกคนจะต้องเรียนรู้กฎระเบียบ จึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับนอกจวนสักเท่าไร กลับเป็นหญิงชรารับใช้ที่ทำงานจิปาถะทั่วไปหลายคนที่มีบุตรหลานต้องเลี้ยงดู จะต้องออกจากจวนไปหาครอบครัวเป็นระยะๆ

เมื่อคัดกรองออกไปเช่นนี้หลายรอบเข้า ในที่สุดก็มีคนระงับความลนลานร้อนตัวไม่ไหว เผยพิรุธออกมาให้เห็น คิดจะฉวยโอกาสช่วงที่สถานการณ์วุ่นวายออกไปจากประตูหลังอย่างไม่บอกไม่กล่าว ลอบหนีไปเงียบๆ

ยามถูกองครักษ์จับตัวมาสอบสวน หญิงชราที่รับผิดชอบกวาดถูในเรือนชั้นในก็พูดทั้งน้ำตาว่าบุตรชายติดพนันของนางเป็นคนมาหานาง บอกว่าขอแค่วาดแผนที่ในสวนหนึ่งแผ่น ระบุตำแหน่งห้องนอนเจ้าของจวนและญาติพี่น้องจากสกุลจางให้ชัดเจนก็จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินห้าสิบตำลึง

บุตรชายของนางมีหนี้สินล้นพ้นตัว จวนจะถูกผู้อื่นตัดแขนทิ้งอยู่รอมร่อ นางนึกว่าเป็นแค่พวกขโมยจะเข้ามายกเค้าในสวนเซี่ยนหยวน ถึงได้มาขอซื้อแผนที่

นางคิดว่าเซี่ยนจู่ร่ำรวยถึงเพียงนั้น ถูกขโมยของไปบ้างเล็กน้อยก็คงจะไม่เป็นไร นางถึงได้วาดแผนที่นี้ออกมา แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับมาสังหารคน!

หากนางรู้แต่แรก ถึงจะให้เงินนางพันตำลึง หญิงชรารับใช้ก็มิกล้าทำเช่นนี้

ส่วนบุตรชายของหญิงชราผู้นี้สุดท้ายก็ถูกพบตรงที่ทิ้งศพไร้ญาตินอกเมือง ถูกคนกระหน่ำฟันใส่จนเสียชีวิตไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการสังหารคนปิดปาก

บัดนี้เบาะแสขาดหายไป แต่หลิ่วจือหว่านล่วงรู้แผนการเมื่อวานอย่างกระจ่างแจ้งเป็นที่สุด บนร่างของโจรร้ายเหล่านั้นยังมีน้ำมันผักกาดก้านขาวและแท่งจุดไฟอยู่ด้วย เหมือนกับโศกนาฏกรรมของสกุลจางเมื่อครั้งนั้นไม่มีผิด หลังจากเข่นฆ่าสังหารคนแล้วก็ค่อยจุดไฟเผาจวนให้ราบคาบ ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้นอกจากท่านอ๋องผู้เปี่ยม ‘เมตตาธรรม’ ผู้นั้นแล้ว คนที่ทำเช่นนี้ได้ไม่ต้องไปคิดหาคนอื่นอีก!

แต่หลิ่วจือหว่านรู้ดี ไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีหลักฐาน ต่อให้มีหลักฐานจริงๆ ก็เกรงว่าฮ่องเต้ผู้สูงส่งที่ชอบลำเอียงเข้าข้างบุตรชายตนเองผู้นั้นคงจะไม่สะสางคดีอย่างถูกต้องเที่ยงธรรมให้กับบุตรสาวกำพร้าเช่นนาง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะสืบสวนคดีหรือไม่ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ยามหลิ่วจือหว่านนั่งอยู่ในห้องโถงพิจารณาคดี เมื่อถูกใต้เท้าผู้ว่าการไต่ถามจึงมีท่าทางใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไรนัก

สุดท้ายนางจึงโพล่งพูดกับใต้เท้าผู้ว่าการว่าตนเองตกใจเสียขวัญเล็กน้อย ต้องกลับไปพักผ่อน หากใต้เท้าผู้ว่าการมีอันใดอยากจะถามก็ค่อยมาสอบถามในวันหลังได้

เพียงชั่วข้ามคืนเมื่อรวมกับสาวใช้ในจวนแล้วมีคนตายไปมากถึงสิบหกคน! คดีใหญ่โตน่าสะพรึงกลัวในเมืองหลวงเช่นนี้ชวนให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ

ความจริงแล้วใต้เท้าผู้ว่าการก็อยากจะกอดหมวกขุนนางร้องไห้สักคราเช่นกัน ดังนั้นตามความต้องการของเขาแล้ว เขายังอยากจะสอบปากคำหลูอีเซี่ยนจู่อย่างละเอียดอีกสักรอบ เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นจวนของนาง ต้องสอบถามให้ชัดเจนจะได้ไขคดีได้ในเร็ววัน

ทว่าคำพูดของใต้เท้าผู้ว่าการยังไม่ทันถามจบ ตำหนักบูรพาก็ส่งคนมารับตัวหลิ่วจือหว่านไป บอกว่านางถูกโจรร้ายขึ้นจวน ชายารัชทายาทเป็นห่วงเป็นใยสหายตัวน้อย ร้อนใจอยากจะพบหน้านาง ขอให้เซี่ยนจู่แวะไปที่ตำหนักบูรพาสักประเดี๋ยว

ยามหลิ่วจือหว่านพบชายารัชทายาทอีกครั้ง ชายารัชทายาทเองก็ตกใจจนต้องตบหน้าอกเช่นกัน

“ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ว่าตอนที่ญาติผู้พี่เจ้าจะออกเดินทางไปได้ขอร้องรัชทายาทเอาไว้ บอกว่าเขาไม่อยู่ที่เมืองหลวง ขอให้รัชทายาทส่งคนไปคอยดูแลสวนเซี่ยนหยวน ตอนนั้นรัชทายาทยังรู้สึกว่าเขากังวลมากเกินจำเป็น ในเมืองหลวงจะเกิดเหตุวุ่นวายอันใดได้ ตอนนี้แม้แต่รัชทายาทก็ยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมาภายหลังเช่นกัน หากตอนนั้นจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีแล้วจะแก้ตัวกับญาติผู้พี่เจ้าอย่างไรดี”

หลิ่วจือหว่านรีบเอ่ยขึ้น “ตรัสเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่าเพคะ ครั้งนี้เป็นเพราะรัชทายาททรงช่วยเหลือต่างหาก จะนับว่าญาติผู้พี่สั่งการรัชทายาทได้อย่างไรกัน เขานี่ชักจะเลยเถิดเกินไปแล้วจริงๆ”

ทันใดนั้นรัชทายาทก็เอ่ยเสียงดังขึ้นมา “ต้องนับแน่นอน! เจ้าไม่รู้ว่าก่อนจะออกเดินทางญาติผู้พี่เจ้ามีท่าทีจริงจังเพียงใด แม้แต่สัญญาปากเปล่าก็ไม่ได้ จะต้องให้ทหารรักษาพระองค์มายืนเรียงตรงหน้าให้เขาคัดเลือกด้วยตนเอง ทั้งยังจัดแจงเส้นทางและเวลาในการลาดตระเวนที่สวนอีก! แต่ถึงแม้จะกำชับอย่างละเอียดเพียงนี้แล้ว เมื่อคืนคนเหล่านี้ก็ยังเกือบจะทำงานพลาดพลั้ง หากเจ้าถูกแตะต้องจนผิวหนังหลุดไปแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าเมื่อแม่ทัพเฉิงกลับมาจะต้องใช้ไม้ฟาดเจ้าพวกไม่ได้ความเหล่านี้จนตายคาที่แน่นอน!”

หลิ่วจือหว่านเร่งรีบลุกขึ้นถวายบังคมรัชทายาท

รัชทายาทกล่าวด้วยวาจาอบอุ่นนุ่มนวลว่า “รีบลุกขึ้นเร็วเข้า เมื่อคืนนี้ช่างอันตรายเหลือเกิน ข้าได้แจ้งทางผู้ว่าการของเมืองหลวงเอาไว้แล้วว่าจะต้องหาตัวคนร้ายตัวจริงที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้”

แต่หลิ่วจือหว่านกลับคิดว่าคนเหล่านั้นกินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าหากคิดจะหาตัวคนร้ายตัวจริงให้พบก็ยิ่งยากเย็นมากขึ้นไปอีก

พวกเขาล้วนเป็นหน่วยกล้าตายที่มีการเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ยอมตายแต่ไม่ยอมซัดทอดผู้บงการเบื้องหลังออกมา สามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้บงการเบื้องหลังมิใช่โจรร้ายตามป่าเขาอย่างแน่นอน

ในใจของหลิ่วจือหว่านรู้ตัวคนร้ายตัวจริงแล้ว ฉือหนิงอ๋องไม่น้อยหน้าใครทั้งสิ้น ถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่หนึ่ง

แต่สิ่งที่หลิ่วจือหว่านขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจคือหากฉือหนิงอ๋องลงมือเหี้ยมโหดกับนางเพียงเพราะว่านางเป็นบุตรสาวของหลิ่วเฮ่อซู นี่ออกจะลงมืออย่างโจ่งแจ้งเกินไปหรือไม่

จากท่าทีของฉือหนิงอ๋องที่พยายามทำตัวให้เป็นท่านอ๋องผู้เปี่ยมคุณธรรม ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้เชิดหน้าชูตาจากการศึกที่อิ๋งโจว ไม่มีทางเดินหมากอย่างโง่เขลาเช่นนี้เป็นแน่

หากคนเหล่านั้นต้องการสังหารนางก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เหตุใดยังต้องระบุตำแหน่งเรือนพักอาศัยที่ครอบครัวท่านลุงอยู่ไว้บนแผนที่ด้วยเล่า หรือว่าเมื่อปีนั้นฉือหนิงอ๋องวางแผนปองร้ายคนสกุลจางแล้วรู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจ จึงคิดจะไล่สังหารให้หมดสิ้นจนไม่มีเหลือ

รัชทายาทเองก็รู้สึกว่าการสังหารคนอย่างรีบร้อนผลุนผลันเช่นนี้ไม่เหมือนกับเป็นการล้างแค้น ดูไปแล้วเหมือนต้องการจะสังหารปิดปากมากกว่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉือหนิงอ๋องทำเช่นนี้เพราะต้องการปกปิดเรื่องใดกันแน่

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสวนเซี่ยนหยวนจึงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ชั่วคราว

ยามหลิ่วจือหว่านเดินออกมาจากตำหนักบูรพา รถม้าของจวนสกุลเซิ่งก็รออยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งกล่าวว่าจะให้นางหนูสกุลหลิ่วกลับมาพำนักที่จวนเป็นการชั่วคราวสักระยะหนึ่ง แม้แต่ท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้จากสกุลจางของนาง รวมไปถึงบุตรสาวคนเล็กของพวกเขาก็ถูกรับตัวไปที่สกุลเซิ่งด้วยกันทั้งหมด

รัชทายาทเองก็ระดมกำลังคนมาเพิ่มเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยทั้งนอกและในจวนสกุลเซิ่ง

เมื่อคนกลุ่มใหญ่มาถึงสกุลเซิ่ง เซิ่งเซียงหลันก็ด่าทอโจรร้ายเลวทรามสามานย์เหล่านั้นอย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง

เดิมทีเซิ่งเซียงหลันตกลงกับหลิ่วจือหว่านเอาไว้แล้วว่างานเลี้ยงวันเกิดอายุครบสิบเจ็ดปีของนางจะจัดที่สวนเซี่ยนหยวน

หลิ่วจือหว่านก็รับปากนางแล้ว ทั้งยังจะตัดชุดผ้าดิ้นสูจิ่นให้นางใหม่อีกหนึ่งชุด พอถึงเวลานั้นคนที่จะเชิญมาร่วมงานเลี้ยงก็ล้วนมีแต่คุณหนูผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวง ที่สำคัญที่สุดคือยังมีบรรดาพี่ชายของพวกนางที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

บัดนี้เหนือเซิ่งเซียงหลันขึ้นไปไม่มีพี่สาวแล้ว สามารถหาบุรุษที่ตรงตามใจปรารถนาแล้วแต่งงานได้พอดี

แผนการที่ตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีกลับถูกโจรร้ายกลุ่มนี้ทำให้พังไม่เป็นท่า มีคนตายในสวนมากมายเพียงนั้น แล้วในช่วงนี้ใครจะกล้าไปเที่ยวเล่นที่สวนแห่งนั้นกันเล่า!

เฉิงเต๋อฉิงฟังพวกหนิงเยียนกับจิ้นเป่าเล่าเหตุการณ์ที่ประสบในคืนนั้น พอฟังแล้วครรภ์ก็ปวดแปลบขึ้นมา

เซิ่งกุ้ยเหนียงรีบร้อนปิดหูบุตรสาวเอาไว้ ห้ามไม่ให้นางฟังเรื่องน่าตกใจเสียขวัญเหล่านี้ พร้อมกันนั้นก็พูดกับหลิ่วจือหว่าน

“เจ้ากราบไหว้เทพเซียนอย่างเลื่อมใสไม่มากพอกระมัง ประเดี๋ยวอัญเชิญเซียนจิ้งจอกไปสักองค์ จะได้ปัดเป่ากลิ่นอายอัปมงคลบนร่างเจ้าออกไปสักหน่อย”

เซิ่งเซียงหลันรู้สึกว่าญาติผู้ใหญ่ในจวนต่างไม่พูดในประเด็นสำคัญ จึงต่อว่าหลิ่วจือหว่านด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“ในจวนเกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ เหตุใดท่านถึงไม่ปิดบังเสียบ้างเล่า ค่อยๆ ลอบลำเลียงศพออกมาจากประตูหลังเงียบๆ ไม่ดีกว่าหรือ! คราวนี้คนทั้งเมืองหลวงก็รู้กันหมดแล้วว่าในจวนท่านมีคนตายมากมายเป็นคันรถ ที่ร้ายแรงที่สุดคือคนตายทั้งคน แต่ท่านกลับยืนพูดคุยกับผู้อื่นอยู่ข้างประตูอย่างกับไม่มีใครอยู่โดยรอบ! อย่างน้อยก็ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอสักหน่อย! นี่เพิ่งจะแค่ครึ่งวันคนข้างนอกก็เล่าลือกันไปทั่วแล้ว บอกว่าท่านชะตาแข็งราวกับดาวพิฆาต พิฆาตบิดามารดาจนตาย หากพระพุทธองค์มาขัดขวางก็พิฆาตพระพุทธองค์ ปีศาจมาขัดขวางก็พิฆาตปีศาจ เป็นบุคคลที่เหมือนกับอสูรร้ายก็ไม่ปาน!”

ครั้นเซิ่งเซียงหลันพูดเช่นนี้หวังซื่อก็กระวนกระวายขึ้นมา “จะ…จะทำอย่างไรดี จือหว่านยังไม่ได้หาคู่ครอง ถูกคนเอาไปพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

แต่หลิ่วจือหว่านกลับไม่สะทกสะท้าน “หากการที่บิดามารดาเสียชีวิตเป็นเพราะข้าชะตาแข็ง ข้าก็คงเป็นเช่นนั้น คนที่คิดว่าสู้ไม่ไหวก็ควรจะหลีกหนีไปให้ไกลเสีย สตรีเราถ้าคิดจะตั้งจวนด้วยตนเอง ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง การทำให้คนกลัวสำคัญกว่าทำให้คนรัก! วันนี้ข้าแค่ต้องการให้ผู้คนเห็นศพเหล่านั้นให้ชัดเจน ต่อไปหากมีโจรร้ายคิดจะมาเอารัดเอาเปรียบสตรีกำพร้าอีกก็ต้องคิดให้ดีๆ เข้ามาในจวนข้าแล้วอย่าคิดว่าจะได้ออกไปอย่างไร้รอยขีดข่วน!”

วาจานี้ทำเอาเซิ่งซูอวิ๋นได้ยินแล้วโลหิตก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาเป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ถึงกับตบโต๊ะพูดกับหลิ่วจือหว่าน

“พี่ใหญ่ ข้าจะกลับจวนไปกับท่าน กอดกระบี่เฝ้าอารักขาท่านในยามราตรีเอง!”

เซิ่งเซียงหลันได้ยินก็โกรธจัดขึ้นมาโดยพลัน สะบัดผ้าเช็ดหน้าพร้อมเอ่ยประชดเสียดสีน้องชายว่า “เจ้านี่ก็ดีแต่ประจบ ไม่รู้จักโน้มน้าวนางเสียบ้าง! ต่อไปพอนางแต่งไม่ออกเจ้าก็จะทิ้งครอบครัวทิ้งหน้าที่การงานไปเฝ้าอารักขาหญิงทึนทึกเช่นนางใช่หรือไม่!”

ไม่ว่าอย่างไรเหตุการณ์ในสวนเซี่ยนหยวนก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการรักษาความปลอดภัยทั่วเมืองหลวงก็พลันเข้มงวดตามไปด้วย แต่ละตรอกซอกซอยล้วนมีทหารประจำเมืองเดินตรวจตราเฝ้าระวัง

ยามตกดึกแสงโคมไฟตามถนนหนทางสว่างไสวไปทั่วทั้งแถบ

ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเมืองหลวง เหตุการณ์ที่สวนเซี่ยนหยวนช่างชวนให้คนได้ยินแล้วตกใจเสียขวัญไม่น้อย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเอ่ยถามไถ่ด้วยตนเองอยู่หลายครั้ง เรียกใต้เท้าผู้ว่าการซึ่งรับผิดชอบดูแลการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงมาด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย

ในเมืองหลวงล้วนมีแต่เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ ครอบครัวคหบดีคนร่ำรวย ไม่อาจปล่อยให้โจรร้ายมากระทำการอุกอาจได้

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งเวทนาหลานสาว บอกให้นางมาพักอยู่กับตนเองสักสองสามคืน แต่ว่าหลิ่วจือหว่านกลับไม่กล้า

หากโจรร้ายพวกนั้นพุ่งเป้ามาที่นางจะไม่เป็นการทำให้ท่านย่าติดร่างแหไปด้วยหรือ ถ้ามิใช่เพราะว่าท่านย่ายืนกรานเสียงแข็ง ความจริงแล้วนางอยากจะกลับไปอยู่ที่สวนเซี่ยนหยวนมากกว่าด้วยซ้ำ

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งบอกนางว่าไม่จำเป็นต้องกังวลไป “โจรร้ายพวกนี้เสียหายหนักเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องยังสะเทือนไปถึงฝ่าบาทแล้ว พวกเขาจะกล้าก่อเหตุซ้ำอีกได้อย่างไร แต่ว่าเจ้าต้องระมัดระวังเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้ดี ของอย่างพวกอาหารทั้งหลายก็ต้องให้หมาแมวในจวนกินก่อน หากคนผู้นั้นหมายจะปองร้ายเจ้าเกรงว่าพอใช้วิธีโจ่งแจ้งไม่สำเร็จก็จะลอบลงมืออย่างลับๆ ทั้งยังมีครอบครัวท่านลุงเจ้าอีก ต้องปกป้องคุ้มครองให้ดีเช่นกัน…เทียนฟู่ไม่อยู่ ข้าต้องดูแลเจ้าแทนเขาให้ดี”

หลิ่วจือหว่านนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ท่านย่าจะเอ่ยถึงเฉิงเทียนฟู่ขึ้นมา ใบหน้าจึงพลันแดงระเรื่อ แต่ก็กลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง

เฉิงเทียนฟู่วางเดิมพันส่งเดชกับฝ่าบาทอีกแล้ว ทั้งยังมีความคิดที่จะเป็นเขยแต่งเข้าอีก ถ้าเกิดท่านย่าล่วงรู้เข้าจะต้องเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ดุด่าเขาว่าทำตัวเหลวไหลไร้สาระแน่นอน

แต่นึกไม่ถึงว่าพอท่านย่าเห็นสีหน้าท่าทางร้อนตัวของนางก็พูดออกมาก่อนด้วยตนเองว่า “เรื่องที่ญาติผู้พี่ของเจ้าทำ ก่อนจะไปเขาได้บอกเอาไว้ก่อนแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า”

หลิ่วจือหว่านเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว พยายามร้องขอความเมตตาให้ญาติผู้พี่ “เรื่องนี้จะโทษเขาไม่ได้นะเจ้าคะ…เป็นเพราะข้า…”

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งยื่นองุ่นแช่เย็นจานหนึ่งให้หลานสาวก่อนจะเอ่ยกับนางว่า “ภายหลังถ้าท่านอาหญิงเจ้าเอ่ยถามขึ้นมา เจ้าอย่าได้เอาความผิดมาไว้กับตนเองเด็ดขาด บอกแค่ว่าเจ้าไม่ถูกใจเขาสักนิด หากมิใช่เพราะฝ่าบาทพระราชทานสมรส ต่อให้ตายเจ้าก็ไม่ยอม!”

หลิ่วจือหว่านคิดไม่ถึงว่าท่านย่าจะมีอาการตอบสนองเช่นนี้ จึงมึนงงอึ้งงันไปในทันใด

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งเอ่ยด้วยจิตใจสงบนิ่งว่า “ข้าก็อายุปูนนี้แล้ว เคยผ่านภัยสงครามมา ตระกูลบิดาต้องเข้าร่วมสนามรบหมดทุกคน ทั้งยังเคยผ่านพ้นประสบการณ์ที่คนหัวขาวต้องส่งศพคนหัวดำ ยังมีอะไรที่ปลงตกไม่ได้อีกเล่า เขาเป็นหลานชายนอกตระกูลของข้า ไม่ใช่บุตรหลานสกุลเซิ่งเสียหน่อย เขาอยากจะเป็นเขยแต่งเข้าตัดตอนการสืบทอดทายาทของสกุลเฉิง อีกไม่นานก็มีคนสกุลเฉิงโกรธเกรี้ยวร้อนใจเอง ยายเฒ่าต่างแซ่อย่างข้าจะกังวลไปด้วยเพื่ออันใดกันเล่า”

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งผู้มีเส้นผมขาวโพลนเอ่ยวาจาอย่างใจจืดใจดำขึ้นมาเมื่อไร ล้วนฟังดูเอาแต่ใจและไม่แยแสใครยิ่งกว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเสียอีก

หลิ่วจือหว่านกะพริบดวงตากลมโตปริบๆ ทันที ไม่รู้ว่าจะเอ่ยต่อเช่นไรดี

แต่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งกลับเร่งเร้านางว่า “เจ้ารีบกินเร็วเข้า นี่เป็นองุ่นของสวนในจวนเราเอง ได้ยินว่าเป็นองุ่นชะมด* จากนอกด่าน เจ้ารีบชิมดู…”

หลิ่วจือหว่านกัดองุ่นอย่างเงียบๆ น้ำจากองุ่นเติมความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากสีแดงสด ผิวพรรณขาวผ่องปานหิมะ เส้นผมดำขลับ นี่เป็นรูปลักษณ์งดงามหยาดเยิ้มของสตรีวัยสาวสะพรั่ง ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายข้ารูปโฉมงามเลิศล้ำดุจบุปผาเช่นนี้ จะมีบุรุษมาเสนอตัวให้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่างญาติผู้พี่เจ้าก็เป็นคนที่เล่ห์เหลี่ยมมากราวกับเม็ดบัว ไม่ใช่คนโง่เขลาที่จะยอมเสียเปรียบอันใด เขาทำเช่นนี้ต่อไปจะได้ตัดขาดความสัมพันธ์จากสกุลเฉิงกับสกุลเถียน เช่นนี้ก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยครอบครัวภรรยาอุ้มชู อันที่จริงเมื่อเทียบกับขุนนางที่แต่งงานกับตระกูลใหญ่โตเพื่อเชื่อมสัมพันธ์แล้วกลับเอาตัวรอดได้มากกว่า ไม่ต้องมีตัวถ่วง ส่วนคำหัวเราะเยาะหยันของพวกขุนนางคนอื่นๆ ก็คงยากจะหลีกเลี่ยงได้…ในเมื่อเขาตัดสินใจเลือกเช่นนี้แล้ว ต่อไปก็ต้องเตรียมตัวรับแรงกดดันให้ได้ จะทำให้คนอื่นนับถือได้หรือไม่ก็อยู่ที่ความสามารถของเขาเองแล้ว!”

หลิ่วจือหว่านคิดไม่ถึงว่าท่านย่ากลับปล่อยวางได้มากกว่านางเสียอีก จึงได้แต่กินองุ่นอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งกินองุ่นไปกว่าครึ่งจาน จิตใจก็สงบลง ก่อนจะเม้มปากเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น

“เขาคิดการเผื่อข้าทุกอย่าง ชั่วชีวิตนี้ของจือหว่านมีแต่ต้องอยู่เคียงข้างเขาเพื่อตอบแทนบุญคุณเขา…ท่านย่าโปรดวางใจ ข้าจะไม่ยอมให้สามีในอนาคตของข้าต้องเป็นที่ขบขันของผู้อื่นแน่นอนเจ้าค่ะ!”

ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งได้ยินวาจานี้ ในที่สุดก็ยิ้มบางๆ พลางกอดนางเอาไว้พร้อมเอ่ยว่า “เจ้าเด็กหน้าเหม็นเทียนฟู่นั่น ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำให้คนเบาใจสักครา มีแต่เรื่องที่เขาตัดสินใจเลือกเจ้าที่น่าพึงพอใจที่สุด นอกจากเจ้าแล้วไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาเป็นหลานสะใภ้ของข้าทั้งสิ้น! ต่อไปสินเดิมของเจ้าข้าจะช่วยออกด้วยส่วนหนึ่ง หวานหว่านของพวกเราก็เป็นคนที่มีครอบครัวเช่นกัน!”

หลิ่วจือหว่านอิงแอบในอ้อมกอดของท่านย่า ในที่สุดก็ยิ้มน้อยๆ ออกมาจากใจจริง สินเดิมทองพันชั่งอันใดนั้นนางไม่เห็นอยู่ในสายตาสักนิด แต่ว่าหัวใจรักของท่านย่าที่มีต่อนาง ต่อให้ทองพันชั่งก็แลกไม่ได้ สำหรับนางแล้วนี่ถึงจะสำคัญที่สุด มีค่ามากที่สุด!

หากเขาอยากแต่งเข้าจะต้องก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาทั้งในจวนและนอกจวนแน่นอน แต่ว่าก็เหมือนอย่างที่เขาพูดเอาไว้ นางไม่อาจเห็นแก่คนอื่นมากกว่าเขาได้อีก ถึงแม้ปัญหาในวันข้างหน้าจะใหญ่โตเพียงใด พวกเขาทั้งสองคนก็จะเผชิญหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน

แต่ว่าในเวลานี้เขากำลังอยู่ที่ด่านเหยียนสุ่ยซึ่งไกลห่างออกไปนับพันหลี่ เรื่องที่โจรร้ายบุกลอบโจมตีก่อนหน้านี้นางต้องแบกรับเอาไว้คนเดียว

ถึงแม้ว่าอยู่สกุลเซิ่งจะดี แต่ว่ามีคนมากเกินไป กลับเป็นการเปิดช่องว่างให้พวกโจรร้ายเสียมากกว่า

บทที่ 50-2 สังหารคนปิดปาก

ด้วยเหตุนี้หลายวันให้หลังหลิ่วจือหว่านจึงเสนอว่าจะกลับไปพักที่สวนเซี่ยนหยวน เพราะอย่างไรก็ทำความสะอาดทั้งนอกและในสวนเรียบร้อยแล้ว นางยังสั่งคนก่อกำแพงจวนให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งติดตั้งตะขอลวดหนามป้องกันคนปีนเข้ามาไว้ตรงขอบกำแพงด้วย

ส่วนภายในสวนนั้นนอกจากขอให้นายท่านรองสกุลเฉินและลูกน้องของเขาประจำการคอยเฝ้าระวังอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว รัชทายาทยังเพิ่มกำลังคนให้มากขึ้น หากมีมือสังหารเข้ามาอีก รับรองว่าพวกเขาเข้ามาแล้วไม่ได้กลับออกไปแน่นอน

เดิมทีหลิ่วจือหว่านคิดว่าคราวนี้คงหมดเรื่องแล้ว แต่ว่าหลังจากท่านลุงกลับมาจากสกุลเซิ่งก็เริ่มมีไข้ตัวร้อน

ตอนที่ป้าสะใภ้เช็ดตัวให้ท่านลุงก็ต้องตกใจยกใหญ่ เพราะพบว่าจู่ๆ บนร่างกายของท่านลุงก็มีผื่นแดงมากมายผุดขึ้นมา

ป้าสะใภ้หลี่ซื่อเห็นว่าผื่นแดงเหล่านี้น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่เพราะว่าขึ้นในบริเวณที่ลับ จึงไม่กล้าเรียกหลานสาวมาดู จางอวิ้นหลี่พยายามลืมตามองดูตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไรนัก หลังจากนั้นก็ร้องออกมาเสียงต่ำเบาด้วยความตกใจ บอกว่าผื่นที่ขึ้นบนร่างกายของตนเองดูอย่างไรก็เหมือน ‘ผื่นหยางเหมย’!

นี่เป็นโรคสกปรกที่แขกประจำตามแหล่งเริงรมย์เท่านั้นถึงจะติด!

แต่จางอวิ้นหลี่ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบเกณฑ์เสมอมา ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ชนบทนอกจากดูแลพืชสวนไร่นาแล้วก็ตรวจรักษาโรคให้คนป่วย อยู่กับป้าสะใภ้แทบจะตัวติดกันเป็นเงา มีโอกาสไปหลับนอนกับหญิงคณิกาที่ใดกัน

พอจางอวิ้นหลี่เห็นสิ่งที่อยู่บนร่างกายของตนเองชัดเจนแล้ว หลังจากความตื่นตระหนกผ่านพ้นไปก็รีบร้อนบอกให้ภรรยาล้างมือด้วยสุราไฟ ห้ามสัมผัสกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เขาเพิ่งจะผลัดเปลี่ยนเมื่อครู่นี้เป็นอันขาด

หลิ่วจือหว่านรู้ว่าท่านลุงกำลังป่วยจึงรีบแวะมาเยี่ยมเยียนทันที ครั้นเข้ามาในเรือนก็เห็นป้าสะใภ้ใช้ไม้คีบถ่านคีบเสื้อผ้าของท่านลุงที่ถูกชุบน้ำจนเปียกนำไปต้มในหม้อใหญ่ใบหนึ่งซึ่งตั้งไว้ในลานบ้าน

เมื่อหลิ่วจือหว่านเห็นท่าทางของป้าสะใภ้ย่อมต้องถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น

หลี่ซื่อมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็คิดว่าในเมื่อตนเองมาอาศัยอยู่ในจวนของหลานสาว มิหนำซ้ำโรคที่สามีเป็นก็เป็นโรคสกปรกที่สามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้อีก ทำให้ไม่กล้าปิดบัง ดังนั้นจึงเล่าอาการป่วยออกมาเสียงแผ่วเบาอย่างตะกุกตะกัก

พอหลิ่วจือหว่านได้ยินก็ดวงตาเบิกกว้าง รีบร้อนเดินเข้าไปในห้องทันที

คนที่ติดโรคพรรค์นี้ล้วนไม่กล้าพบเจอผู้คน จางอวิ้นหลี่คิดว่าตนเองรักษาเกียรติในบั้นปลายเอาไว้มิได้ เศร้าโศกเสียใจจนน้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมา อธิบายกับหลานสาวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดตนเองถึงติดโรคพรรค์นี้ได้

หลิ่วจือหว่านรู้ว่าช่องทางที่โรคพรรค์นี้ติดต่อสู่คนมิได้มีแต่การร่วมหอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากบนร่างกายมีบาดแผล เมื่อสัมผัสกับโลหิตติดเชื้อของผู้ป่วยก็อาจถูกแพร่เชื้อใส่ได้เช่นกัน

ท่านลุงประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมจรรยา เป็นไปไม่ได้ที่จะไปข้องแวะกับสตรีอื่น เช่นนั้นหรือเป็นเพราะเขาสัมผัสคนป่วยที่ปิดบังอาการอย่างไม่ได้ตั้งใจเข้า…

หลิ่วจือหว่านเองก็ไม่มีเวลามาขบคิดอย่างถี่ถ้วน นางได้แต่จับชีพจรให้ท่านลุงอย่างละเอียด ทว่าโรคสกปรกจำพวกนี้ก็ไม่อาจตรวจได้จากชีพจรเช่นกัน

หลังจากปลอบประโลมท่านลุงแล้ว หลิ่วจือหว่านก็ก้าวเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ประจวบเหมาะเห็นสาวใช้ระดับล่างที่อยู่ในลานบ้านกำลังช่วยป้าสะใภ้ใช้น้ำเดือดต้มเสื้อผ้าอยู่พอดี

สาวใช้ระดับล่างผู้นั้นไม่มีอุปกรณ์เหมาะมืออันใด แต่เป็นเพราะรังเกียจโรคนี้อยู่บ้างจึงสวมปลอกแขนบุนวมที่เอาไว้ใช้ยามยกเตาถ่านแทนแล้วค่อยใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวเสื้อผ้าขึ้นมา

หลิ่วจือหว่านมองดูภาพฉากนี้ด้วยท่าทีนิ่งงัน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่ชายฉกรรจ์เหล่านั้นขนของขึ้นรถม้าที่ร้านยาเมื่อหลายวันก่อน

นางหันกายกลับไป จากนั้นก็ให้ท่านลุงยื่นขาออกมาจากผ้าห่ม ตรวจดูบริเวณที่เขาถูกมีดบาดจนได้รับบาดเจ็บ

ตามหลักการแล้วผ่านไปหลายวันเพียงนี้ปากแผลก็น่าจะตกสะเก็ดนานแล้ว แต่หลิ่วจือหว่านกลับพบว่าบริเวณรอบๆ ปากแผลกลับมีตุ่มแดงและสะเก็ดแห้งมากมายผุดขึ้นมา

ผื่นหยางเหมยนี้มักจะแสดงอาการหลังจากติดเชื้อไปแล้วประมาณสิบวัน ส่วนบาดแผลบนขาของท่านลุงก็เป็นมาได้เจ็ดแปดวันแล้ว ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร ช่วงเวลาที่ท่านลุงถูกแพร่เชื้อก็ไม่ห่างจากตอนที่ขาถูกมีดบาดที่ร้านยานานเกินไปนัก…

ในชั่วขณะนั้นหัวสมองของหลิ่วจือหว่านทำงานอย่างรวดเร็ว ส่วนท่านลุงก็ลุกขึ้นนั่งมองดูขาที่ได้รับบาดเจ็บของตนเองแล้วเอ่ยถามอย่างสับสนงุนงง

“หรือว่า…มีดที่ร้านยาใช้หั่นสมุนไพรปนเปื้อนเชื้อผื่นหยางเหมย แต่ถึงแม้ผื่นหยางเหมยนี้จะแพร่เชื้อผ่านเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ ทว่าเชื้อค่อนข้างอ่อน บนมีดนั่นจะมีเชื้อรุนแรงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ถึงกับแพร่สู่ผู้อื่นจากมีดได้…”

ไม่รอให้ท่านลุงพูดจบ หลิ่วจือหว่านก็ลุกพรวดขึ้นมา พุ่งตรงกลับไปในห้องของตนเอง

ตอนที่เฉิงเทียนฟู่แวะมาเยือนสวนเซี่ยนหยวนยามค่ำคืน หลิ่วจือหว่านเคยแลกถุงใส่ยาที่ปักเย็บด้วยตนเองกับอันที่เขาพกติดกายไว้

ในตอนนั้นดูเหมือนนางจะได้ยินเฉิงเทียนฟู่เอ่ยว่าในถุงใส่ยานั้นล้วนเป็นยาที่ปรุงขึ้นใหม่ในร้านยา

หลังจากแลกเปลี่ยนกันแล้วนางก็โยนถุงใส่ยาไปไว้ในกระจาดใส่เข็มกับด้ายอย่างส่งเดช

ตอนนี้ดูไปแล้วถุงใส่ยาผ้าฝ้ายสีขาวอมเทาที่เขานำมาแลกใบนี้คงจะเป็นข้าวของเครื่องใช้เสริมสำหรับทหารทุกคนในกองทัพ

โรคสกปรกอย่างผื่นหยางเหมยสามารถแพร่ผ่านเสื้อผ้าและบาดแผลได้ อีกทั้งมิใช่ยาพิษ แม้แต่เข็มเงินก็ไม่สามารถตรวจสอบได้

หลิ่วจือหว่านมองดูยาหลายชนิดที่อยู่เบื้องหน้าอย่างจริงจัง สายตาหยุดลงบนตลับเหล็กใบเล็กๆ ใบหนึ่ง นางเปิดตลับเหล็กใบนั้นออกมา สิ่งที่บรรจุเอาไว้ด้านในคือขี้ผึ้งเปียกสีเขียวอมดำเต็มตลับดูเหนียวหนืด นางมองดูป้ายที่แปะอยู่บนตลับเหล็ก คงจะเอาไว้ใช้สำหรับสมานปากแผล สร้างผิวเนื้อขึ้นมาใหม่ ดูแล้วเหมือนขี้ผึ้งซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของสกุลจางยิ่ง

หลิ่วจือหว่านใช้ผ้าเช็ดหน้ารองเอาไว้ จากนั้นก็หยิบตลับนี้ไปให้ท่านลุงดู ท่านลุงมองดูขี้ผึ้งเปียกสีเขียวอมดำนี้อย่างละเอียด พินิจพิเคราะห์ด้วยความฉงนสงสัยเช่นเดียวกัน จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

“นะ…นี่มันขี้ผึ้งมรกตกำเนิดผิวสูตรลับเฉพาะของสกุลจางมิใช่หรือ นี่เอาไว้ให้สตรีที่มีรอยแผลบนใบหน้าใช้โดยเฉพาะ ญาติผู้พี่ของเจ้าผู้นั้น! อยากจะได้หน้าจนตัวสั่น แม้กระทั่งสูตรลับที่บรรพบุรุษสกุลจางของข้าถ่ายทอดให้ก็ยังยกให้คนอื่น!”

จางอวิ้นหลี่ด่าทอไปมา จู่ๆ ก็นึกโยงได้ว่าวันนั้นตอนที่ตนเองกลับมาทำแผลก็มียาสีเขียวอมดำเปื้อนติดมาเช่นกัน จึงรีบเอ่ยขึ้นอีก

“นี่เหมือนกับน้ำยาที่เปื้อนติดบาดแผลของข้ายิ่ง! สมุนไพรที่ใช้ปรุงขี้ผึ้งนี้ล้วนต้องแช่น้ำให้เปียกชุ่มแล้วค่อยใช้มีดตัด หรือว่าในขี้ผึ้งนี้ปนเปื้อนเชื้อผื่นหยางเหมย แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผื่นหยางเหมยสามารถแพร่สู่คนโดยผ่านขี้ผึ้งได้ เชื้อผื่นหยางเหมยนั่นพออยู่นอกร่างกายคนแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในเลือดก็ไม่อาจอยู่ได้นานเพียงนั้น…”

หลิ่วจือหว่านจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะเช่นกัน ดังนั้นนางจึงหากระดาษมันมารองเอาไว้บนมือแล้วกอบยาที่อยู่ในถุงผ้านี้เอาไว้และเก็บให้มิดชิด

นางพลันนึกถึงเรื่องในอดีตเมื่อครั้งที่ตนเองรับช่วงดูแลร้านยาจากญาติผู้พี่เมื่อครั้งนั้น หลงจู๊ที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายผู้นั้นลักลอบใช้สมุนไพรด้อยคุณภาพ ลอบนำสมุนไพรที่ขึ้นราปะปนเข้าไปในเสบียงกรังของกองทัพ

ตอนนี้ฉือหนิงอ๋องรีบร้อนอยากจะฉวยโอกาสจากสถานการณ์วุ่นวายกลับมายิ่งใหญ่ กุมอำนาจในกรมทหารอีกครั้ง นอกจากเรื่องที่ซื้อปืนไฟจากต่างแดนแล้ว เขาคิดยังจะวางอุบายกับสมุนไพรที่เป็นเสบียงของกองทัพด้วยหรือไม่

พอนึกถึงตรงนี้นางก็ลุกขึ้นหมายจะไปเข้าเฝ้ารัชทายาทที่ตำหนักบูรพาด้วยตนเอง

 

เมื่อมาถึงหน้าประตูวัง หลิ่วจือหว่านก็เห็นจินซื่อจื่อยืนอยู่ด้านหน้าประตูวังหลวงพอดี

ระยะนี้ฮ่องเต้กลับมาเรียกใช้งานต่งฉางกงอีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมต้องให้เกียรติบุตรสาวของเขาที่เพิ่งแต่งเข้าจวนอ๋องเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ดังนั้นงานเลี้ยงน้ำชาของสนมชายาในวังล้วนขาดนางไปไม่ได้

ชายาเการู้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้บุตรชายเฉยชาใส่ต่งอิ้งจู จึงตั้งใจจะช่วยให้ลูกสะใภ้ได้มีหน้ามีตา วันนี้ได้กำชับจินซื่อจื่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องยืนรอต่งอิ้งจูออกมาที่หน้าประตูวัง เพราะฮูหยินสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างก็มองดูอยู่ จะได้ลบล้างข่าวลือที่ว่าซื่อจื่อสองสามีภรรยาไม่สมัครสมานสามัคคีกัน

เมื่อหลิ่วจือหว่านลงจากรถม้าแล้วเห็นเขาเข้าก็พลันอึ้งงันไปเล็กน้อย นางรู้ว่าซื่อจื่อผู้นี้ถูกประคบประหงมดูแลมาแต่เยาว์วัย ใช้ชีวิตตามใจตนเองอย่างยิ่ง กอปรกับจดหมายที่เขาเขียนส่งมาก่อนหน้านี้ หลิ่วจือหว่านก็กลัวว่าเขาจะเข้ามาเกาะแกะตามตอแยอีกจริงๆ

แต่ใครเล่าจะรู้ว่ายามจินซื่อจื่อมองเห็นนาง ใบหน้ากลับซีดเผือดเล็กน้อยอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปก่อนไม่ยอมหันมามองนาง

ได้ยินว่าช่วงก่อนหน้านี้เขาป่วยหนักไปรอบหนึ่ง บัดนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง สองแก้มซึ่งแต่เดิมอวบอิ่มมีน้ำมีนวลดูซูบตอบลง คนรูปร่างผ่ายผอมยืนอยู่ตรงนั้น แผ่กลิ่นอายเศร้าซึมออกมาอย่างบอกไม่ถูก

ขณะที่หลิ่วจือหว่านยืนรอแจ้งเข้าเฝ้าที่ตำหนักบูรพาอยู่หน้าประตูวังหลวง บรรดาฮูหยินที่เข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาในวังก็ทยอยเดินออกมาทีละคนสองคน

ช่วงนี้หลิ่วจือหว่านปฏิเสธการสู่ขอไปมากมายเหลือเกิน เรียกได้ว่าปฏิเสธจวนต่างๆ ในเมืองหลวงไปมากกว่าครึ่ง

ถึงแม้หลิ่วจือหว่านผู้นี้จะเป็นเศรษฐินี แต่ถ้าหากสิ่งที่เข้ากระเป๋านางไม่ใช่เงิน นางย่อมไม่เรียกสิ่งนั้นว่าทรัพย์สิน!

มิหนำซ้ำสวนเซี่ยนหยวนของนางยังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใหญ่โตถึงเพียงนั้น คนตายเต็มไปหมดทั้งสวน ไม่รู้เช่นกันว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวลือ บอกว่านางเป็นดาวพิฆาต ชะตาแข็งอย่างยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้แม้นางจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากเพียงใดก็ไม่มีใครอยากจะแต่งงานกับนางแล้ว

ฮูหยินเหล่านั้นมองเห็นนางแต่ไกล แต่กลับไม่เดินเข้ามาพูดคุยทักทาย เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น

แน่นอนว่าต่งอิ้งจูมองสถานการณ์นี้ออก จึงทำเป็นพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับฮูหยินทั้งหลายเสียงดังก้องไปพลางเชิดหน้ายืดอกเดินผ่านข้างกายหลิ่วจือหว่านไปพลาง เจตนาเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน

“เมื่อสักครู่นี้จิ่นเฟยได้ถ่ายทอดหลักปรัชญาแห่งชีวิตให้พวกเรา แต่ละถ้อยคำล้วนเยี่ยมยอดเลิศล้ำ คนบางคนภายนอกดูงดงาม ทว่าชะตาชีวิตไม่ดี แม้จะจับลิงมาสวมใส่เสื้อผ้า แสร้งทำตัวเป็นมนุษย์ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ หากเจอคนอัปมงคลนำพาเคราะห์ร้ายเช่นนี้เข้า ฮูหยินทุกท่านต้องอยู่ให้ห่างๆ เอาไว้! ครอบครัวขุนนางอย่างพวกเราล้วนแต่มีวาสนาบารมีที่สั่งสมมาหลายชาติภพ อย่าเผลอไปคบหากับดาวพิฆาต ประเดี๋ยวจะบั่นทอนอายุขัยเข้า”

จากความนัยแฝงในถ้อยคำของชายาซื่อจื่อแสดงให้เห็นชัดเจนยิ่งว่าตอนที่พวกนางดื่มชากับจิ่นเฟยในวังเมื่อครู่นี้ จิ่นเฟยเป็นตัวตั้งตัวตีเอาเรื่องของหลิ่วจือหว่านมาพูดซุบซิบนินทา

อย่างไรเสียเมื่อคิดดูอย่างจริงจังแล้ว หลังจากเซิ่งเซียงเฉียวตัวปลอมผู้นี้เข้าจวนมา สกุลเซิ่งถึงได้ประสบหายนะ ใต้เท้าเซิ่งเสียชีวิตผิดธรรมชาติ พอตรึกตรองอย่างละเอียด เรื่องดาวพิฆาตที่เล่าลือกันก็พอจะสมเหตุสมผลอยู่หลายส่วน

หลิ่วจือหว่านย่อมรู้ว่าต่งอิ้งจูกำลังเสียดสีใคร แต่ว่าครั้งนี้นางมาเข้าเฝ้ารัชทายาทเพราะมีเรื่องสำคัญ จึงคร้านจะเปลืองน้ำลายกับสตรีเรือนหลังพรรค์นี้ ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสีย

ต่งอิ้งจูมิได้มีท่าทีภาคภูมิใจต่อหน้าหลูอีเซี่ยนจู่เช่นนี้มานานแล้วจึงลำพองใจไปชั่วขณะ ต่อมาเมื่อเห็นซื่อจื่อกำลังยืนอยู่หน้ารถม้าเพื่อรอรับนางกลับจวน ในใจก็ยิ่งยินดีปรีดาเข้าไปใหญ่

ชายาเกาบอกนางว่าท่านอ๋องได้ตำหนิซื่อจื่อแล้ว บอกให้เขาสำรวมตนรีบให้กำเนิดทายาทสืบทอดโดยเร็ว

แม้ก่อนหน้านี้เขาจะถูกรูปโฉมอันงดงามล่อลวงให้ลุ่มหลง ถึงกับคลั่งไคล้หลงใหลในรูปลักษณ์ของหลิ่วจือหว่าน ตอนนี้หลังจากได้ยินข่าวลือว่าหลิ่วจือหว่านพิฆาตบิดามารดาแล้วก็คงจะหมดใจกับนางเช่นกันกระมัง

ดังนั้นหลังจากจินซื่อจื่อประคองนางขึ้นรถม้าแล้ว ต่งอิ้งจูก็ยังคึกคักจนหุบปากไม่อยู่ เอ่ยอย่างชอบใจว่า “ซื่อจื่อ ท่านไม่รู้ว่างานเลี้ยงน้ำชาวันนี้ครึกครื้นเพียงใด เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่าความเป็นมาของหลิ่วจือหว่านจะน่าสะพรึงกลัวปานนั้น แม้กระทั่งครอบครัวทางท่านยายนางทั้งตระกูลก็ยังเสียชีวิตจากเหตุไม่คาดฝัน…เหตุใดถึงชะตาแข็งเช่นนี้ เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งถึงยังกล้ารับเลี้ยงเอาไว้อีก ท่านว่าครั้งนั้นใต้เท้าเซิ่งเสียชีวิตอย่างน่าอนาถเพียงนั้นเป็นเพราะถูกบุตรสาวตัวปลอมผู้นี้พิฆาตเช่นกันใช่หรือไม่”

ต่งอิ้งจูยังไม่ทันพูดจบ จินซื่อจื่อก็ยกแขนขึ้นสูง ฟาดใส่แก้มของนางหนึ่งฉาดอย่างแรง

“สตรีโง่เขลาเบาปัญญา ปั้นเรื่องโป้ปดมดเท็จหน้าประตูวัง! ชาติที่แล้วข้าก่อกรรมทำเข็ญอันใดถึงต้องแต่งสตรีต่ำทรามที่ปากพล่อยเช่นเจ้าเป็นภรรยา!”

ชายาเกาซึ่งอยู่ด้านข้างตกตะลึง นางรู้จักบุตรชายของตนเองดี ถึงแม้จะเสเพลรักสนุก ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามิใช่บุรุษกักขฬะที่จะลงไม้ลงมือกับสตรี

แล้ววันนี้เขาเกิดเสียสติอันใดขึ้นมา ถึงได้รีบร้อนอยากจะสั่งสอนภรรยาทั้งๆ ที่ยังไม่ทันกลับถึงจวน

ฝ่ามือของจินซื่อจื่อตบเสียงดังยิ่ง เสียงตะคอกก็ดังสนั่นราวกับอสนีบาตด้วยความโกรธแค้นเดือดดาล

บรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่โดยรอบยังไม่ทันเดินแยกย้ายจากไป ย่อมได้ยินชัดเจนเต็มสองหูเป็นธรรมดา ต่อมาเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของต่งอิ้งจูผู้นั้นก็ดังลอยออกมาจากในรถม้า

ทุกคนหันไปมองตามเสียง จากนั้นก็เห็นจินซื่อจื่อกระโดดลงมาจากรถม้าด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว พาบ่าวรับใช้ของตนเองเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง

หลิ่วจือหว่านเองก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในรถม้าซึ่งอยู่ห่างจากนางไปไม่ไกลเช่นกัน

นางพอจะเดาได้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดจินซื่อจื่อถึงได้โกรธจัดเช่นนั้น

เพราะจินซื่อจื่อรู้ดีว่าสาเหตุที่นายท่านสกุลเซิ่งถูกสังหารในปีนั้น…เป็นเพราะเขาถูกลิ่วล้อของจวนฉือหนิงอ๋องปองร้ายจนถึงแก่ความตาย!

ส่วนการกระทำทั้งหลายของท่านอ๋องในระยะนี้ จินซื่อจื่อที่มิใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปก็คงจะพอรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่บ้างเช่นกัน

อันที่จริงในจดหมายเหล่านั้นที่เขาเขียนถึงนาง หากบอกว่าในแต่ละประโยคแต่ละบรรทัดล้วนพร่ำพรรณนาถึงความถวิลหา มิสู้บอกว่าเป็นการระบายความรู้สึกผิดที่มีต่อนางเสียมากกว่า

วังวนของจวนฉือหนิงอ๋องนั้นดำมืดมากเกินไป จินซื่อจื่อที่ค่อยๆ เริ่มจะรู้เรื่องรู้ราวดูเหมือนมิอาจทนรับได้เท่าไรนัก เขาอาลัยอาวรณ์ในความสบายใจไร้กังวลที่ได้จากการเที่ยวเตร่ตามเรือสำราญและร้านหนังสือของกวีปัญญาชนมาเนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ต้องถูกโลกแห่งความเป็นจริงทุบตีจนแตกสลาย

ตัวอยู่บนเรือลำใหญ่อย่างจวนฉือหนิงอ๋องที่กำลังขับเคลื่อนมุ่งหน้าสู่หุบเหวลึก ทำให้จินซื่อจื่อผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยทำอะไรตามใจตนเองไม่ได้เช่นกัน…

กระทั่งหลิ่วจือหว่านได้เข้าตำหนักไปเข้าเฝ้ารัชทายาทก็เล่าเหตุการณ์น่าสงสัยที่ท่านลุงติดโรคออกมา หลังจากรัชทายาทขมวดคิ้วฟังจนจบก็สั่งให้คนสนิทนำยาหลายชนิดที่หลิ่วจือหว่านนำติดตัวมาด้วยไปทาลงบนร่างของนักโทษประหารที่อยู่ในคุก เปรียบเทียบตรวจสอบดูว่ายาเหล่านี้มีปัญหาหรือไม่

แต่กว่าผื่นหยางเหมยจะออกอาการต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันทีทันใด

หลิ่วจือหว่านเอ่ยกับรัชทายาทว่า “รัชทายาทเพคะ ตอนนี้พระองค์ต้องวางแผนรองรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พิจารณาดูว่าจะต้องรวบรวมสมุนไพรใหม่อีกครั้งแล้วนำไปสับเปลี่ยนกับยาที่ลำเลียงไปยังแนวหน้าหรือไม่”

รัชทายาทขมวดคิ้วกล่าว “ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำเช่นนี้จะไม่รีบร้อนเกินไปหรือไร”

บัดนี้ในสมองของหลิ่วจือหว่านได้เรียบเรียงเหตุไม่คาดฝันต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันมานี้มาแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นนางก็คุกเข่าแล้วเอ่ยขึ้น

“รัชทายาท สถานการณ์เร่งด่วนฉุกเฉิน ยอมเชื่อดีกว่าไม่เชื่อนะเพคะ พระองค์ยังทรงจำเรื่องที่โจรร้ายลอบโจมตีสวนเซี่ยนหยวนของหม่อมฉันได้หรือไม่ หม่อมฉันคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก ไม่รู้ว่าเหตุใดโจรร้ายจะต้องปองร้ายหม่อมฉันด้วย แต่ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านลุงของหม่อมฉันถูกมีดบาดพอดี สังหารหม่อมฉันก็เป็นแค่อุบายตบตาเท่านั้น คนที่พวกเขาอยากสังหารจริงๆ น่าจะเป็นท่านลุงของหม่อมฉันที่ถูกมีดบาดจนได้รับบาดเจ็บถึงจะถูกเพคะ!”

มีแต่ต้องสังหารจางอวิ้นหลี่ถึงจะสามารถเลี่ยงมิให้ผื่นหยางเหมยของเขาออกอาการได้ จะได้อำพรางเรื่องที่ของมีคมจากร้านยาแปดเปื้อนเชื้อสกปรกของผื่นหยางเหมย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการปิดบังความจริงที่สมุนไพรเหล่านั้นปนเปื้อนอีกด้วย

คนที่ทำเรื่องนี้จิตใจอำมหิตเหลือเกิน! สมุนไพรที่เปื้อนเชื้อโรคเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผงยาที่เอาไว้รักษาบาดแผลภายนอก ไม่จำเป็นต้องต้มน้ำ สามารถเทใส่บนปากแผลได้โดยตรง

พอถึงตอนนั้นเชื้อก็จะเข้ามาทางปากแผล พลทหารทุกคนที่ใช้ยานี้ก็จะติดโรคกันหมด ในค่ายทหารเหล่าทหารหาญล้วนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดทั้งกลางวันกลางคืน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ปะปนอยู่ด้วยกัน ถาดอาหารก็ผลัดกันใช้ เกรงว่าคงจะมีคนติดเชื้อไม่น้อย

หากเป็นโรคอื่นก็ยังไม่เท่าไร แต่ถ้าเกิดเหล่าทหารติดโรคสกปรกพรรค์นี้เข้าจะรายงานราชสำนักได้อย่างไร เกรงว่าคงจะถูกคนที่มีเจตนาร้ายจับมาใส่สีตีไข่ให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต บอกว่าทหารที่ด่านเหยียนสุ่ยคงคิดแต่จะเที่ยวเตร่หาความสุขสำราญในขณะที่แนวหน้าต่อกรอยู่กับศัตรู หลับนอนกับสตรีที่ติดโรคสกปรกถึงได้ทำให้โรคนี้แพร่ระบาดในกองทัพเป็นวงกว้าง

รัชทายาทขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “คนรับหน้าที่หลักในการดูแลร้านยาก็คือหมอหลวงเจิ้งที่มีประสบการณ์ยาวนาน ข้าจะสั่งให้คนไปกุมตัวเขาเอาไว้แล้วสอบถามอย่างละเอียด เจ้าเองก็บอกแล้วว่าวันนั้นมีคนเก็บของมีคมไปแล้ว สมุนไพรที่เหลือคงจะถูกทำลายทิ้งไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ อาศัยเพียงท่านลุงของเจ้าที่ติดโรคกับถุงใส่ยาที่เจ้าถือไว้ในมือยังไม่พอจะทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้ ถ้าหากไม่มีคำสารภาพของหมอหลวงเจิ้งจะถูกคนย้อนกลับมาพูดว่าเจ้าใส่ร้ายป้ายสีขุนนางผู้จงรักภักดีได้”

หลิ่วจือหว่านเอ่ยด้วยความเข้าใจว่า “ครั้งนี้ผู้ที่รับผิดชอบดูแลสมุนไพรและเสบียงกองทัพก็คือรัชทายาท แม้แต่หมอหลวงเจิ้งผู้นั้นพระองค์ก็เป็นคนมอบหมายหน้าที่ให้เอง หากบัดนี้หมอหลวงเจิ้งเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ ทำให้สมุนไพรมากมายแปดเปื้อนเชื้อโรค เช่นนั้นรัชทายาทก็ยากจะปัดความรับผิดชอบได้เช่นกัน ดูท่าคนที่วางอุบายนี้คงจะเตรียมการมาอย่างพร้อมสรรพ คิดใคร่ครวญมาหมดแล้วทุกด้าน หลังจากใช้อุบายนี้จะได้ผลลัพธ์เพียงสองอย่างเท่านั้น ประการแรกคือแม่ทัพเฉินเสวียนแห่งด่านเหยียนสุ่ยปกครองกองทัพไม่เข้มงวดกวดขัน ปล่อยปละละเลยให้เหล่าทหารไปเที่ยวหอคณิกาก่อนออกรบ ทำให้ทหารจำนวนมากติดโรคสกปรกจนล้มป่วย…”

รัชทายาทพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อจากถ้อยคำของหลิ่วจือหว่านอย่างช้าๆ “เกรงว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้บงการเบื้องหลังคือพอเรื่องที่สมุนไพรถูกปนเปื้อนถูกเปิดเผยออกมา ข้าซึ่งรับหน้าที่ดูแลเสบียงกองทัพก็จะถูกฝ่าบาทลงโทษเพราะสะเพร่าในการปฏิบัติหน้าที่จนกระทบต่อสถานการณ์การศึก ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรล้วนเป็นไปตามเป้าหมายของผู้บงการเบื้องหลังทั้งสิ้น”

รัชทายาทอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี เดิมทีคิดว่าตนเคยชินกับการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบเหล่านี้แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังคงส่งเสียงทอดถอนใจออกมา

เภทภัยของบ้านเมืองอยู่ตรงหน้า แต่กลับมีคนถูกอำนาจมัวเมาจิตใจ มิหนำซ้ำยังจะทำเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนให้พวกพ้องของตนเองเช่นนี้อีก ช่างชวนให้คนโกรธแค้นเข้ากระดูกจริงๆ ทว่าตอนนี้กลับไม่อาจทำอันใดได้!

แต่เขากลับประหลาดใจที่แม่นางน้อยตรงหน้าสามารถขบคิดได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ไม่ด้อยไปกว่าที่ปรึกษาของเขาเหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว

ดังนั้นเขาจึงมองไปทางหลิ่วจือหว่าน เอ่ยชมเชยว่า “เมื่อก่อนรู้แค่ว่าเจ้ามีวิชาแพทย์เป็นเลิศ เป็นคนไม่ยึดติด แต่นึกไม่ถึงว่าแม่นางน้อยอย่างเจ้าจะมองสถานการณ์บ้านเมืองได้ทะลุปรุโปร่งมากเช่นกัน หากเป็นบุรุษเจ้าคงเป็นขุนนางได้ มีความฉลาดปราดเปรื่องอย่างหาได้ยากยิ่ง!”

ครั้นหลิ่วจือหว่านได้ยินคำชมเชยของรัชทายาทก็ยิ้มฝืดเฝื่อนพลางกล่าวว่า “รัชทายาทตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันก็แค่รู้วิชาแพทย์ที่สืบทอดต่อกันมาในครอบครัวเท่านั้น สิ่งที่สามารถทำได้มีเพียงรีบมุ่งหน้าไปรักษาโรคสั่งยาที่ชายแดนด้วยตนเอง และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือหายาที่มีปัญหาให้พบแล้วสับเปลี่ยนให้เร็วที่สุด เพื่อเลี่ยงมิให้เหล่าทหารต้องล้มป่วย นอกจากนี้ยังต้องขอให้รัชทายาททรงเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ พอถึงเวลานั้นจะได้ไม่จนมุมมากจนเกินไป”

รัชทายาทพยักหน้าเบาๆ ผู้สืบทอดบัลลังก์ซึ่งสุขุมเยือกเย็น ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้ามาโดยตลอด บัดนี้ก็ถูกความใจกล้าบ้าระห่ำของคนเบื้องหลังผู้นั้นยั่วโทสะขึ้นมาแล้วเช่นกัน

สาวกลัทธิผู่ฮว่าอาละวาดแผลงฤทธิ์ไปทั่ว หากเกิดความผิดพลาดเพียงนิดเดียวในการศึกที่อิ๋งโจวก็จะส่งผลต่อเมืองหลวง ในช่วงเวลาสำคัญของเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้กลับมีคนคิดจะแย่งอำนาจชิงผลประโยชน์ สร้างความเสียหายให้พวกเดียวกันอีก! นี่จะทำให้คนที่หลั่งเลือดเข่นฆ่าศัตรูปกป้องบ้านเมืองอย่างแท้จริงเหล่านั้นขมขื่นใจเพียงใดกันหนอ

หากเรื่องที่ยาสมุนไพรในเสบียงกองทัพถูกแพร่กระจายออกไปจะต้องสั่นคลอนขวัญกำลังใจของกองทัพแน่นอน ไม่แน่อาจทำให้กองทัพเกิดความวุ่นวายภายในขึ้นมาก็เป็นได้

แผนรับมือเฉพาะหน้าในตอนนี้ก็เป็นเหมือนอย่างที่หลิ่วจือหว่านว่าจริงๆ ต้องยับยั้งหายนะที่ด่านเหยียนสุ่ยก่อนแล้วค่อยว่ากัน

บทที่ 50-3 สังหารคนปิดปาก

ในวันนั้นหมอหลวงเจิ้งซึ่งเป็นผู้ดูแลร้านยาเพิ่งออกจากจวนไปได้ไม่นานก็ถูกจับกุมตัวกลับมาพร้อมรถม้า

ยามที่เขาถูกคนคลุมถุงผ้าสีดำกุมตัวมายังคฤหาสน์ลับแห่งหนึ่ง หมอหลวงเจิ้งตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง คิดว่าตนเองพบโจรร้ายเข้าแล้ว

เพราะเรื่องของสวนเซี่ยนหยวนกลายเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมใหญ่โต ใครจะไปรู้ว่าโจรร้ายกลุ่มนั้นยังมีพรรคพวกอยู่อีกหรือไม่

สุดท้ายเขาถูกชายฉกรรจ์ใบหน้าถมึงทึงผู้หนึ่งสอบสวน ไต่ถามเขาว่าได้ทำอันใดใส่ยาสมุนไพรของกองทัพหรือไม่ หมอหลวงเจิ้งถูกถามจนงงงัน เอ่ยพลางร้องไห้โหยหวน

“นั่นล้วนเป็นยาของทหารแนวหน้า ใครกันกินใจหมีดีเสือเข้าไปถึงได้กล้าทำเรื่องไม่ดีใส่”

“พูดเหลวไหลอันใด ทหารที่แนวหน้ามีคนทาขี้ผึ้งของเจ้าแล้วเกิดผดผื่นขึ้นบนผิวหนัง ติดโรคสกปรก! เจ้ายังไม่ยอมรับอีก”

หมอหลวงเจิ้งร้อนใจจนใช้ศีรษะกระแทกกับพื้น “พูดเลอะเทอะอันใดกัน อาจมีคนที่ผิวบอบบางจนมีผดผื่นขึ้นก็เป็นได้!”

ในตอนนี้เองชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ชักดาบออกมาโดยพลัน กรีดลงบนแขนหมอหลวงเจิ้งจนกลายเป็นแผลหนึ่งรอย จากนั้นก็หยิบขี้ผึ้งสีเขียวอมดำตลับหนึ่งออกมาแล้วสั่งให้เขาป้ายลงบนปากแผลของตนเอง

ในทีแรกหมอหลวงเจิ้งเจ็บจนร้องครวญคราง จากนั้นก็ลองดมกลิ่นด้วยความตื่นตระหนกเสียขวัญ เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา

“นี่มัน…ขี้ผึ้งมรกตห้ามเลือดที่ร้านยาของพวกเราปรุงขึ้นมิใช่หรือ”

พอพูดจบเขาก็ใช้นิ้วแตะเบาๆ มิหนำซ้ำยังนำมาจ่อตรงปลายจมูกแล้วสูดดมเพื่อความแน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกลับเอ่ยด้วยสีหน้าดุร้าย

“รีบทาเสีย!”

หมอหลวงเจิ้งรีบเร่งปาดขี้ผึ้งออกมาหนึ่งก้อน จากนั้นก็ทาลงบนบาดแผลที่ถูกกรีดพลางสะอึกสะอื้น

หลิ่วจือหว่านซึ่งยืนดูสถานการณ์ภายในห้องผ่านช่องผนังที่ห้องข้างๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรงด้วยความผิดหวัง แล้วเอ่ยกับรัชทายาทที่อยู่ด้านข้าง

“หมอหลวงเจิ้งไม่รู้เรื่อง หรือต้องบอกว่าเขาไม่รู้ว่าขี้ผึ้งนี้มีปัญหาอันใด”

ต่อให้หมอหลวงเจิ้งเป็นคนชั่วช้ากลับกลอก แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะแสดงละครเป็น เมื่อครู่ยามที่เขาเห็นขี้ผึ้งนั้น แม้แต่สีหน้าแววตารังเกียจเดียดฉันท์สักนิดก็ยังไม่มี บนใบหน้ามีแต่ความหวาดกลัวต่อคนที่สอบสวนเขาเท่านั้น

เท่านี้ก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่รู้เรื่องขี้ผึ้งแม้แต่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนี้เบาะแสก็ขาดตอนลงอีกแล้ว รัชทายาทไม่อยากให้ข่าวคราวเล็ดลอดออกไปจึงกักตัวหมอหลวงเจิ้งเอาไว้ก่อนชั่วคราว

 

เมื่อหลิ่วจือหว่านกลับมาถึงจวน ป้าสะใภ้หลี่ซื่อก็ยืนรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ พอเห็นนางกลับมาก็รีบเอ่ยขึ้น

“เจ้ากลับมาเสียที รีบไปดูท่านลุงเจ้าเร็วเข้า ขะ…เขาดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว!”

ครั้นหลิ่วจือหว่านได้ยินก็รีบวิ่งไปที่เรือนของท่านลุงโดยเร็ว เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่าบนใบหน้าของท่านลุงเต็มไปด้วยผื่นแดง ทั้งยังหมดสติไปแล้ว

หมอที่รับหน้าที่ดูแลเขาอยู่ด้านข้างก็อับจนปัญญาเช่นกัน

หมอผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่น่าอับอายในเมืองหลวง แต่เขาไม่เคยเห็นโรคที่ออกอาการเร็วเช่นนี้มาก่อน ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนกับคนป่วยด้วยโรคผื่นหยางเหมยที่เมื่อก่อนเขาเคยรักษาสักเท่าไร ดูเหมือนว่ายิ่งรักษาอาการจะยิ่งรุนแรงขึ้น

หลังจากหลิ่วจือหว่านสอบถามจนรู้ว่าหลังจากท่านลุงดื่มน้ำแกงยาที่ปรุงให้ลงไป จู่ๆ ถึงได้เกิดอาการชักอย่างรุนแรง จึงรีบตัดสินใจให้คนเอาตะเกียบมาง้างปากของท่านลุงแล้วเริ่มกระตุ้นให้เขาอาเจียนออกมา

หลังจากเขาอาเจียนน้ำแกงยาออกมามากกว่าครึ่ง ถึงแม้จะยังไม่ได้สติแต่ก็ดูแล้วดีขึ้นกว่าเดิมมากโข

หลิ่วจือหว่านตรวจชีพจรให้อย่างละเอียด แต่กลับพบว่าชีพจรของอีกฝ่ายดูอ่อนแรงจากการถูกพิษอยู่รางๆ นางจึงใช้เข็มเงินฝังลงบริเวณคอของเขา เมื่อดึงออกมาที่ปลายเข็มก็ปรากฏสีดำเล็กน้อยเหมือนดั่งที่คาดคิดไว้

หลิ่วจือหว่านเงยหน้าเอ่ยถามหมอว่าน้ำแกงยาที่ให้ท่านลุงดื่มคือยาอะไร หมอผู้นั้นตอบว่า “คือยาเทียนเจียงส่าน แก้พิษที่เอาไว้ใช้รักษาผื่นหยางเหมยกันทั่วไป”

หลิ่วจือหว่านเอ่ยถามอีกครา “ปกติผื่นหยางเหมยออกอาการเร็วเพียงนี้หรือไม่”

หมอผู้นั้นส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เป็นโรคที่ออกอาการช้า หาไม่แล้วเหตุใดสตรีที่ติดโรคในแหล่งเริงรมย์เหล่านั้นถึงยังคงรับแขกต่อไปเล่า พอติดโรคนี้แรกเริ่มนอกจากร่างกายไม่ค่อยสบายเล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่มีปัญหาทั้งสิ้น แต่พอถึงช่วงท้ายป่วยหนักไร้หนทางเยียวยาแล้วถึงจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต”

ในเวลานี้เองจางอวิ้นหลี่ก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ตัวเขาเองก็เป็นหมอ หลังจากผ่านความเจ็บปวดทรมานครานี้มาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติขึ้นมาเช่นกัน จึงฝืนผ่อนลมหายใจเอ่ยกับหลิ่วจือหว่าน

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ผื่นหยางเหมย”

หลิ่วจือหว่านเองก็รู้สึกว่าไม่ใช่เช่นกัน ถึงแม้ผื่นหยางเหมยจะสามารถทำลายชื่อเสียงของกองทัพป้องกันด่านเหยียนสุ่ยได้ แต่ว่าโรคออกอาการช้าเกินไป ไม่สามารถทำให้แม่ทัพถูกเปลี่ยนตัวระหว่างการศึกหรือเห็นผลลัพธ์อย่างทันทีทันใดได้

ผื่นหยางเหมยส่วนมากจะติดต่อจากคนสู่คน แต่ว่าแม่ทัพเฉินเสวียนปกครองกองทัพอย่างเคร่งครัดยิ่ง ไม่มีทางปล่อยให้พลทหารภายใต้บังคับบัญชาไปเที่ยวเตร่จนติดโรคภัยที่น่าอับอายแน่นอน

แต่ถ้าหากเป็นยาบางชนิดที่หลังจากทาไปแล้วอาการที่ปรากฏออกมามีความคล้ายคลึงกับผื่นหยางเหมย สร้างความเข้าใจผิดให้หมอทหารของกองทัพจนสั่งผงยารักษาผื่นหยางเหมยให้ ทว่ายาที่แพร่เชื้อนี้กับผงยารักษามีฤทธิ์ต่อต้านกัน เช่นนั้นทหารที่แนวหน้าก็มีโอกาสสลบไสลไม่ได้สติเหมือนกับท่านลุงเมื่อครู่นี้ ในขณะเดียวกันอาจเกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

พอเป็นเช่นนี้ความผิดโทษฐานทหารกองทัพป้องกันด่านเหยียนสุ่ยติดโรคผื่นหยางเหมย ทำให้กระทบต่อสถานการณ์การศึกก็จะกลายเป็นจริง

ราชสำนักถามแต่ผลการศึกเป็นเช่นไร มีใครบ้างจะไปไล่ตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงของโรค

เมื่อถึงเวลานั้นขุนพลป้องกันด่านเหยียนสุ่ยก็จะไม่มีใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว นับจากนี้ไปต้องแบกรับคำด่าทอว่าไปหลับนอนกับหญิงคณิกาในช่วงศึกสงคราม ถึงจะไม่ตายเพราะโรค แต่แม่ทัพทั้งหมดและบุตรหลานในตระกูลของพวกเขาจะต้องอับอายขายหน้า ไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากอีก!

 

ทางด้านต่งอิ้งจูที่ร่ำไห้สะอึกสะอื้นกลับจวน นางรู้สึกว่าตนเองเสียหน้าต่อหน้าผู้คน จึงเป็นธรรมดาที่จะอาละวาดโวยวายรอบหนึ่ง

ชายาเกาฟังคำระบายพร่ำบ่นฟูมฟายของต่งอิ้งจูมาตลอดทาง กระทั่งกลับมาถึงจวนนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เงื้อมือขึ้นตบลูกสะใภ้ซ้ำอีกหนึ่งฉาด

“เจ้าคิดว่าแต่งเข้าสกุลจินของพวกเราและบิดาเจ้ากลับมาได้รับความสำคัญอีกครั้งแล้วเจ้าก็ไม่ต้องยำเกรงสิ่งใดทั้งสิ้นหรือ หากมิใช่เพราะวันนี้เจ้าพูดมาก จะถึงขั้นยั่วโทสะซื่อจื่อจนโกรธ ทำให้เขาตบหน้าเจ้าต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร ไป! กลับเรือนเจ้าไปสำนึกให้ดี หากคิดว่าสกุลจินของข้าไม่ดีพอจะรองรับเจ้า เจ้าจะกลับบ้านเดิมไปก็ได้!”

ต่งอิ้งจูเงียบเสียงในฉับพลัน นับตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลจินก็ถูกจินซื่อจื่อทำตัวเย็นชาใส่มาโดยตลอด เขาถึงกับพูดต่อหน้านางว่านางดีไปหมดทุกอย่าง แต่ว่าถูกผู้อื่นยัดเยียดให้เขา ดังนั้นเขาจึงรักนางไม่ลง

คำพูดเช่นนี้ใครจะรับได้บ้าง ต่งอิ้งจูเองก็เก็บกดเอาไว้ในหัวใจเช่นกัน ถึงได้เผลอลืมตัวต่อหน้ามารดาสามี

ชายาเการะงับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของนางเอาไว้ได้ในที่สุด จึงผ่อนคลายความเย็นชาประหนึ่งเกล็ดน้ำแข็งบนใบหน้าลง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“เจ้าเองก็รู้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องกับบิดาเจ้ากำลังจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง สตรีเรือนหลังอย่างพวกเราก็ควรจะช่วยให้พวกเขาเบาใจ หลิ่วจือหว่านผู้นั้นเป็นสตรีอัปมงคล เจ้าเอาแต่พูดถึงนางต่อหน้าซื่อจื่อไปเพื่ออันใดกันเล่า ไปเถิด กลับไปล้างหน้าล้างตา แต่งตัวประทินโฉมเสียใหม่ ประเดี๋ยวพอซื่อจื่อกลับมาข้าจะต่อว่าเขาให้เจ้าเอง”

หลังจากถูกตบต่งอิ้งจูก็นึกถึงอุปนิสัยใจคอของมารดาสามีขึ้นมาได้ จึงไม่กล้าโวยวายอีก กลับเรือนของตนเองไปแต่โดยดี

นางเดินไปพลางย้อนนึกถึงบทสนทนาของท่านอ๋องกับจินซื่อจื่อที่นางได้ยินจากนอกห้องหนังสือเมื่อหลายวันก่อนไปพลาง ในใจมีแต่ความเคียดแค้น

ดูเหมือนว่าเพื่อเกลี้ยกล่อมให้บุตรชายมีกะจิตกะใจขึ้นมา ท่านอ๋องถึงขนาดพูดกับจินซื่อจื่อว่า ‘หากอำนาจอยู่ในมือเสียอย่าง บุรุษไยต้องกลัวจะไร้ภรรยาด้วยเล่า ฮ่องเต้เกาจงของราชวงศ์ก่อนสังหารครอบครัวทั้งหมดของฉินอี้ขุนนางทุจริต เหลือไว้เพียงบุตรสาวคนสุดท้องของสกุลฉิน สตรีสกุลฉินผู้นั้นก็กลายเป็นสนมรักของพระโอรสฮ่องเต้เกาจง ให้กำเนิดบุตรแก่เขาถึงสามคนมิใช่หรือ หากเจ้าชอบหลิ่วจือหว่านผู้นั้นก็ต้องสร้างความสำเร็จให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องกลายเป็นบุรุษทรงอำนาจที่นางปฏิเสธไม่ได้! พอถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะรับนางเป็นชายารอง นางจะกล้าปฏิเสธเจ้าหรือ’

ในตอนนั้นต่งอิ้งจูได้ยินถ้อยคำนี้จากด้านนอก ในใจพลันหงุดหงิดขึ้นมาในทันใด

หลายวันหลังจากนั้นยามเห็นจินซื่อจื่อออกไปปฏิบัติงานยังที่ทำการของทางการ ท่าทางดูเหมือนจะฮึกเหิมมีกำลังใจขึ้นมา นางก็ยิ่งอึดอัดทรมานมากกว่าเดิม รู้สึกว่าเขาเอาการเอางานก็เพื่อที่วันข้างหน้าจะสามารถแต่งชายารองที่พึงใจได้ตามที่ตนเองปรารถนา

เพราะเหตุนี้เองนางถึงก้าวข้ามปราการนี้ไปไม่ได้ ชังน้ำหน้าหลิ่วจือหว่านผู้นั้นมาโดยตลอด

ก่อนที่บิดาจะยกทัพ พอได้ยินคำพูดของนางแล้วเขากลับไม่ใคร่ใส่ใจนัก บอกแค่ว่าท่านอ๋องก็แค่พูดกระตุ้นให้ซื่อจื่อร่าเริงขึ้นมาเท่านั้น ไฉนเลยจะมีเจตนารับหลิ่วจือหว่านเป็นชายารองจริงๆ

ตอนนั้นบิดายังเอ่ยอย่างมีความนัยลึกซึ้งว่า ‘หลิ่วจือหว่านผู้นั้นเป็นแค่เด็กสาวกำพร้าตัวคนเดียว แทบจะไม่มีญาติพี่น้องที่ใด แต่ว่าญาติผู้พี่สองคนรับใช้กองทัพ หากด่านเหยียนสุ่ยแตกพ่าย เจ้าว่านางยังจะมีที่พึ่งพิงอันใดอีก วางใจเถิด นางก็เป็นแค่ตั๊กแตนหลังสารทฤดู ปล่อยให้นางกระโดดโลดเต้นไปอีกสักสองสามวัน…’

ถึงแม้ว่าต่งอิ้งจูจะไม่รู้ความหมายแฝงในคำพูดของบิดา แต่ก็คิดว่าวาจาของบิดาไม่มีทางพูดออกมาอย่างสูญเปล่าแน่นอน

เมื่อขบคิดอย่างถี่ถ้วน หลิ่วจือหว่านผู้นี้เป็นดาวพิฆาตอย่างแท้จริง! ข่าวลือที่ว่าหลูอีเซี่ยนจู่ชะตาแข็งพิฆาตคนทั้งครอบครัวจนตายซึ่งกำลังแพร่ลือกันไปทั่วเมืองหลวงในตอนนี้ก็เป็นเพราะต่งอิ้งจูจ่ายเงินป่าวประกาศออกไป!

เดิมทีนางคิดว่าพอจินซื่อจื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ในใจน่าจะบังเกิดความระแวดระวังต่อสตรีผู้นั้น แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขากลับตบหน้าตนเองต่อหน้าผู้คน!

ต่งอิ้งจูมองดูใบหน้าที่บวมแดงอยู่หน้าคันฉ่อง ในใจอาฆาตแค้นอย่างถึงที่สุด หลิ่วจือหว่าน ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างสบายแน่!

 

ทางด้านหลิ่วจือหว่าน หลังจากศึกษาน้ำแกงยาที่ท่านลุงดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็จ่ายขี้ผึ้งทาภายนอกที่ใช้รักษาผดผื่นบนผิวหนังตามปกติให้ท่านลุง ต่อมาก็ยังให้เขาดื่มน้ำแกงยาช่วยขับปัสสาวะ โดยหลีกเลี่ยงตัวยาที่มีฤทธิ์ต่อต้านกัน

น้ำอุ่นอยู่บนเตาอย่างไม่ขาดช่วง จำเป็นต้องให้ท่านลุงดื่มน้ำในปริมาณมาก

ภายใต้สภาวะที่ไม่ได้กินยาใดๆ ทั้งสิ้น ผ่านไปไม่กี่วันพิษในร่างของท่านลุงก็หมดฤทธิ์ลง อาการก็ทุเลาลงมาก ผื่นแดงบนร่างกายก็ค่อยๆ เลือนหายไป เพียงแค่แขนขายังคงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าใดนัก

ส่วนหมอหลวงเจิ้งที่ถูกควบคุมตัวผู้นั้นก็เริ่มมีไข้ บนแขนที่ถูกบาดเป็นแผลมีผื่นแดงผุดขึ้นมา ปรากฏอาการของผื่นหยางเหมย ทำให้หมอหลวงเจิ้งร้องโวยวายด้วยความตกใจ ตะโกนเสียงดังให้ปล่อยเขาออกไป

เมื่อนำทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันแล้วก็สามารถยืนยันการคาดเดาของหลิ่วจือหว่านได้อีกครั้งว่าขี้ผึ้งเขียวนั่นมีปัญหาจริงๆ ทำให้คนเป็นไข้อ่อนเพลีย ปรากฏอาการของโรคที่ใกล้เคียงกับผื่นหยางเหมย

แต่สิ่งที่สามารถทำให้คนตายได้จริงๆ ก็คือน้ำแกงยารักษาผื่นหยางเหมยที่หมอผู้ทำการรักษาสั่งให้ด้วยความเข้าใจผิด ถ้าเกิดคนป่วยกินเข้าไปจะก่อให้เกิดพิษที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าหมอที่อยู่แนวหน้าคงจะต้องแบกรับความผิดไป

หลิ่วจือหว่านนับถือแผนการที่คิดมาเป็นอย่างดีทีละชั้นของผู้บงการเบื้องหลังคนนั้นจริงๆ เพราะอย่างไรเสียขี้ผึ้งเขียวนี่ก็เป็นสูตรลับเฉพาะของสกุลจาง ญาติผู้พี่จางซีเหวินเป็นคนกำกับการปรุงยาเพราะอยากสร้างคุณงามความชอบ แต่ความจริงแล้วผู้ที่จะทำให้คนตายก็คือหมอทหารแนวหน้าที่สั่งยาผิด หากมีการสืบสวนอย่างละเอียดจริงๆ นั่นก็เป็นเพราะหมอด้อยวิชาความรู้อย่างพวกเขาวินิจฉัยโรคผิด ทำให้ทหารกล้าจำนวนมากที่แนวหน้าต้องเสียชีวิต

ส่วนคนที่วางแผนวางยาพิษอย่างต่อเนื่องตัวจริงกลับสามารถเอาตัวรอดไปได้โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้

พอถึงตอนนั้นญาติผู้พี่ซึ่งรักษาคนอยู่ที่แนวหน้าก็มิอาจหนีความผิดได้ เพราะว่าขี้ผึ้งที่มีปัญหาเป็นสูตรลับเฉพาะของสกุลจาง แน่นอนว่าต้องให้คนที่ปรุงยามารับโทษทัณฑ์!

แผนการหลายชั้นเช่นนี้ไม่เพียงแต่เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการทหารมาจากแม่ทัพเฉินเสวียนเท่านั้น ทว่ายังต้องการจะเล่นงานครอบครัวของท่านลุงอีกด้วย และผู้บงการเบื้องหลังก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แม้เพียงสักนิด

เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจหลิ่วจือหว่านก็เริ่มมีแผนการขึ้นมาบ้างแล้ว

นางรักษาหมอหลวงเจิ้งด้วยวิธีที่ใช้รักษาท่านลุงอีกครั้ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าวิธีรักษาด้วยน้ำของตนเองได้ผล นางก็ตัดสินใจออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังด่านเหยียนสุ่ยทันที

เพียงแต่รัชทายาทยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมให้สตรีอ่อนแอเปราะบางอย่างหลูอีเซี่ยนจู่เดินทางไปยังสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายพรรค์นั้น

ในตอนนั้นหลิ่วจือหว่านมิได้ส่งเสียงโต้ตอบ คล้ายกับว่าถูกรัชทายาทเกลี้ยกล่อมจนยอมฟัง แต่คิดไม่ถึงว่าวันถัดมาหลิ่วจือหว่านได้ไหว้วานให้คนนำข่าวไปแจ้งแก่รัชทายาทว่านางได้ออกเดินทางอย่างลับๆ แล้ว ตรงไปยังด่านเหยียนสุ่ยโดยมีนายท่านรองสกุลเฉินคุ้มกันไปส่ง

รัชทายาทรู้ว่าเมื่อครั้งนั้นนางหนูสกุลหลิ่วผู้นี้เคยมุ่งหน้าไปยังอำเภอก้งเซี่ยนอย่างลับๆ ให้ความช่วยเหลือเฉิงเทียนฟู่ริบอำนาจบ่อเกลือกลับคืนมาได้

สตรีที่มีความกล้าหาญและมีสติปัญญาผู้นี้หาใช่คุณหนูที่ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอไม่

ไม่ว่านางจะทำอะไรล้วนเด็ดขาดฉับไวทั้งสิ้น ไม่มีชักช้าร่ำไร ทั้งยังไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น รัชทายาทรู้ดีแก่ใจว่าตนเองก็ห้ามนางไม่ได้เช่นกัน ทำได้แค่ปกปิดเรื่องที่หลิ่วจือหว่านเดินทางออกจากเมืองหลวงไปแล้วเอาไว้อย่างสุดความสามารถเท่านั้น

ขอแค่ทำให้คนเชื่อว่านางยังอยู่ในเมืองหลวง เช่นนั้นตลอดการเดินทางของนางก็จะปลอดภัยมากขึ้น

แต่เรื่องสำคัญอันดับแรกของรัชทายาทในตอนนี้ก็คือรวบรวมสมุนไพรใหม่อีกครั้ง จะได้นำไปสับเปลี่ยนกับยาของด่านเหยียนสุ่ยที่ปนเปื้อนเหล่านั้น และไม่รู้ว่าผู้บงการเบื้องหลังจะทำอันใดกับสมุนไพรอีกหรือไม่ ดังนั้นสมุนไพรที่มาจากร้านยาของหมอหลวงเจิ้งจึงมิอาจใช้ได้อีก

เมื่อนึกถึงตรงนี้รัชทายาทก็ก้มดูรายการที่หลิ่วจือหว่านสั่งให้คนนำมาส่งให้…ในนี้ล้วนแต่เป็นรายชื่อร้านยาขายส่งสมุนไพรชนิดต่างๆ รวมไปถึงสมุนไพรที่ไม่ตรงตามฤดูกาลสามารถใช้สมุนไพรราคาถูกชนิดใดแทนได้บ้าง

นางดูแลร้านยามานานหลายปีย่อมรู้จักช่องทางซื้อสมุนไพรชนิดต่างๆ เป็นอย่างดี

หลูอีเซี่ยนจู่คงจะเร่งเขียนรายการเหล่านี้ตลอดทั้งคืน ทุกด้านล้วนพิจารณาไตร่ตรองแทนรัชทายาทอย่างรอบคอบ ยกตัวอย่างเช่นสามารถรับซื้อสมุนไพรในนามร้านยาจากหยางโจว นอกเหนือจากนั้นสมุนไพรชนิดเดียวกันให้กระจายซื้อจากต่างเมือง เพื่อมิให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้คนวางอุบายกับสมุนไพรได้อีก

เหล่าที่ปรึกษาส่งรายการฉบับนี้ให้คนอื่นดูต่อ ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เด็กสาวอายุยังน้อยอย่างนางเชื่อใจได้หรือ รัชทายาทต้องทรงตรึกตรองให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”

แต่รัชทายาทกลับเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เด็กสาวอายุน้อยผู้นี้เองที่ช่วยให้ทรัพย์สินของเทียนฟู่เพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามปี หากพูดถึงกลอุบายในการปกครองบ้านเมืองนางอาจเทียบชั้นทุกคนในที่นี้ไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงการคัดเลือกสมุนไพรกักตุนสินค้า ทุกท่านรวมกันก็ยังสู้แม่นางน้อยผู้ฉลาดเป็นกรดคนนี้ไม่ได้!”

ยามนี้เขาดูออกแล้วว่าคนที่ฉลาดล้ำเลิศที่สุดก็คือเฉิงเทียนฟู่ ถ้าพูดถึงการเลือกภรรยาแล้วสายตาของอีกฝ่ายเฉียบคมมากจริงๆ! มิน่าเล่า ต่อให้ต้องเป็นเขยแต่งเข้า เฉิงเทียนฟู่ก็ต้องคว้านางหนูสกุลหลิ่วเอาไว้ให้ได้!

ภรรยาที่แสนประเสริฐผู้นี้ต่อให้มีทองพันชั่งก็แลกไม่ได้! ขอให้นางแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดการเดินทาง ไปถึงด่านเหยียนสุ่ยอย่างราบรื่นด้วยเถิด

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.ย. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: