X
    Categories: ซ่อนกลิ่นทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 51.1-51.3

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 51-1 กอบกู้สถานการณ์แนวหน้า

หนิงเยียนนึกไม่ถึงว่านางจะมีวันที่ได้ ‘ลอบหนี’ ออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับคุณหนู

รถม้ารีบเร่งเดินทางติดต่อกันหลายวัน ตอนที่หนิงเยียนลงจากรถไปตักน้ำจากริมแม่น้ำ ยามเหยียบพื้นดินยังรู้สึกเท้าอ่อนยวบอยู่บ้าง

หลายวันมานี้แม้จะล่วงเข้าสู่ยามราตรี แต่พวกเขาก็ไม่หยุดเดินทาง เพียงแต่เปลี่ยนรถม้าคันใหม่ที่จุดพักม้าเท่านั้น สารถีสี่คนผลัดกันขับเคลื่อนรถม้าสองคันมุ่งหน้าเดินทาง

ส่วนพวกนายท่านรองสกุลเฉินนั้นเก่งกาจยิ่งกว่าเสียอีก เปลี่ยนแค่อาชา ไม่เห็นพวกเขาได้หลับได้นอน ไม่รู้เช่นกันว่าแต่ละคนงีบหลับบนหลังอาชาที่กำลังห้อตะบึงอยู่ได้อย่างไร

เมื่อเทียบกันแล้วในรถม้านี้หนิงเยียนกลับดูเหมือนเป็นคุณหนูมากกว่าเสียอีก เพราะว่าทนรับการรีบเร่งเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่ไหว จึงวิงเวียนศีรษะจนอาเจียนไปสองรอบ

หลิ่วจือหว่านป้อนพิมเสนแก้วิงเวียนที่ตนเองปรุงไว้ใส่เข้าไปในปากหนิงเยียน เอ่ยปลอบโยนนางว่า “อดทนอีกนิด พอข้ามเขาลูกนี้ไปได้ถนนก็จะราบเรียบเดินทางสะดวกแล้ว”

บัดนี้ในที่สุดหนิงเยียนก็ประจักษ์ว่าสาวใช้ตัวดำจิ้นเป่าผู้นั้นเก่งกาจสามารถกว่านางมากจริงๆ ในสภาพที่ยากลำบากเช่นนี้ ต่อให้เรียนรู้กฎระเบียบตระกูลใหญ่ได้มากมายเพียงใดก็มีประโยชน์ไม่เท่าจิ้นเป่าที่แค่ถือท่อนไม้แห้งขยับหมุนกลางฝ่ามือก็สามารถก่อกองไฟได้

จนกระทั่งข้ามผ่านเขาสูงชัน เส้นทางที่เหลือก็แปรเปลี่ยนเป็นสะดวกราบเรียบ

นายท่านรองสกุลเฉินชี้ไปยังทางแยกทางหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แม่นางหลิ่ว เห็นหรือไม่ เดินทางไปตามถนนใหญ่ทางซ้าย อีกไม่กี่วันก็ถึงด่านเหยียนสุ่ยแล้ว”

หลิ่วจือหว่านพยักหน้า แต่กลับมองไปยังถนนใหญ่ทางขวาพลางถามว่า “สายนี้ทะลุไปที่ใดหรือ”

นายท่านรองสกุลเฉินเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน จึงอาศัยจังหวะที่ซื้อขนมเปี๊ยะไปสอบถามแผงขายอาหารข้างทาง เพียงไม่นานก็กลับมาบอก

“ถนนสายนั้นทะลุไปยังด่านจวินกวนที่กองทัพสกุลต่งประจำการอยู่”

ด่านจวินกวนอยู่ไม่ไกลจากด่านเหยียนสุ่ย ดูไปแล้วต่งฉางกงคงอยากจะรับช่วงต่อจากแม่ทัพเฉินเสวียนจนอดใจรอแทบไม่ไหว ถึงตั้งค่ายประจำการอยู่ใกล้ๆ เพื่อเตรียมพร้อมจะรับตำแหน่งแทนได้ตลอดเวลา

กำลังทหารของกองทัพสกุลต่งมีไม่มาก แต่ถ้ารับช่วงดูแลด่านเหยียนสุ่ยต่อเมื่อไรก็จะได้กองทัพใหญ่ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพเฉินเสวียนไปด้วย นับวันรอที่จะกลับมากุมอำนาจในกรมทหารอีกครั้งได้ทันที

หลิ่วจือหว่านมองไปยังทิศทางของด่านจวินกวนอยู่สักพัก แต่ก็มิได้เอ่ยวาจาใด เพียงรีบออกเดินทางอีกครั้ง ที่นี่ไม่มีจุดพักม้าให้ผลัดเปลี่ยนอาชา อาชาหลายตัวเหนื่อยล้าจนน้ำลายแทบจะฟูมปากอยู่แล้ว คนไม่ต้องหยุดพักก็ได้ แต่อาชานั้นไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกเลี่ยงถนนใหญ่ที่ฝูงชนพลุกพล่าน หาพื้นที่กว้างๆ สักแห่งตั้งกระโจมค้างแรมชั่วคราว ให้อาชาพักผ่อนสักเล็กน้อย

คนกลุ่มใหญ่ซึ่งเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงมาหลายวันตั้งกระโจมขึ้น คิดว่าหลังจากนอนหลับพักผ่อนสักครู่หนึ่งแล้วก็จะออกเดินทางต่อ

ไม่นานนักจุดตั้งกระโจมด้านข้างก็มีรถม้าเคลื่อนเข้ามาหลายคัน คนที่ลงมาล้วนแต่เป็นสตรี แต่ละคนหัวเราะคิกคักเสียงจอแจ

หลิ่วจือหว่านมองดูสตรีที่อยู่ตรงข้ามจุดตั้งกระโจมเหล่านั้นผ่านรอยแยกของกระโจม

หนิงเยียนเองก็มองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน “เหตุใดถึงมีสตรีเร่งรีบเดินทางมามากมายเพียงนี้”

จิ้นเป่าอยู่ที่ท่าเรือหลายปี มักพบเจอเรื่องชั้นต่ำพรรค์นี้เป็นประจำ ดังนั้นจึงเหลือบมองคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “คนพวกนี้ล้วนเป็นหญิงคณิกาทั้งสิ้น มาเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันเช่นนี้เกรงว่าคงจะย้ายหอคณิกากระมัง”

หลิ่วจือหว่านมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางกับสาวใช้ทั้งสองก็เข้านอนก่อนในกระโจมหลังเดียวกัน นอนหลับยาวตั้งแต่พลบค่ำจนถึงยามฟ้าสางเล็กน้อยในวันถัดมากว่าจะค่อยๆ ตื่นขึ้น

ทว่านางยังไม่ทันได้ออกจากกระโจมก็ได้ยินเสียงพูดคุยของสตรีดังขึ้นบริเวณที่อยู่ห่างออกไปจากกระโจมไม่ไกลนัก

“นายท่านผู้นี้เดินทางคนเดียวรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายยากจะข่มตาหลับบ้างหรือไม่ อยากให้ข้าน้อยพูดคุยฟังดนตรีเป็นเพื่อนนายท่านยามราตรีหรือไม่เจ้าคะ”

หลิ่วจือหว่านสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง จึงลุกขึ้นเลิกผ้าม่านแล้วเดินออกไป

ครั้นแล้วก็เห็นว่าบนถนนหลวงซึ่งอยู่อีกด้านมีนักเดินทางจำนวนหนึ่งที่เพิ่งจะลงจากหลังอาชาปรากฏตัวขึ้น

พวกเขายังไม่ทันยืนได้มั่นคง สตรีที่ผัดแป้งทาชาดประทินโฉม คอเสื้อเปิดกว้างผู้หนึ่งก็พาสตรีที่แต่งตัวเปิดเนื้อหนังมังสาเช่นเดียวกันอีกสองคนเดินเข้ามาต้อนรับ ทักทายบุรุษที่เป็นผู้นำอย่างกระตือรือร้น

บุรุษผู้นั้นหันหลังให้ทางจุดตั้งกระโจมของพวกหลิ่วจือหว่าน จึงเห็นแค่เพียงรูปร่างสูงใหญ่ ดูจากด้านหลังก็มองออกว่าเขามีไหล่กว้างเอวสอบ ชุดคลุมตัวยาวสีดำทั้งร่างขับเน้นรูปร่างกำยำล่ำสันของเขาให้เด่นชัดขึ้น

อาจเป็นเพราะว่าบุรุษผู้นี้รูปโฉมไม่เลว สตรีที่พูดคุยกับเขาจึงมีสีหน้าหลงใหลเคลิบเคลิ้ม อีกนิดเดียวก็จะแนบใบหน้าลงไปชิดเขาอยู่แล้ว

“นายท่านผู้นี้อย่าทำหน้าบึ้งตึงไม่สนใจผู้อื่นได้หรือไม่เจ้าคะ หากท่านเงินทองฝืดเคือง ข้าน้อยไม่เอาเงินของท่านก็ได้ ขอแค่ท่านทำให้ข้าน้อยสุขสันต์ ข้าน้อยก็จะให้ท่านหลับนอนด้วยโดยไม่คิดเงิน…โอ๊ย!”

บุรุษผู้นั้นก็ไม่คล้อยตามบรรยากาศเอาเสียเลย กลับยื่นมือออกไปผลักสตรีที่เสนอตัวให้ผู้นี้ออกไป

สตรีผู้นั้นยืนไม่มั่นคง ถอยหลังติดๆ กันจนล้มลงกับพื้น

คราวนี้หลิ่วจือหว่านก็ได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่หันกายมาผู้นั้นอย่างชัดเจน…คิ้วเข้ม ดวงตาใสกระจ่าง จมูกตั้งโด่ง ริมฝีปากบางเฉียบนั่นชวนให้คนเห็นแล้วมิอาจตัดใจเบนสายตาหนีไปได้จริงๆ…

แต่ว่าในขณะนี้เองสตรีอีกสองคนก็เข้ามาเกาะแกะรบเร้าเขาอย่างไม่ยอมเลิกรา ปากก็พร่ำบ่นว่า “ท่านกล้าเสียมารยาทกับพี่สาวข้ารึ! ถ้าไม่จ่ายค่ายารักษามาก็อย่าคิดหนี! ใครก็ได้ มีบุรุษทำร้ายสตรี!”

คำโบราณกล่าวไว้ว่าบุรุษยากจะต่อกรกับสตรีปากร้าย เวลาเพียงไม่นานบุรุษผู้หล่อเหลาดุจหยกก็ถูกสตรีที่ผัดแป้งทาชาดราคาถูกกลิ่นฉุนจมูกกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา

หนิงเยียนที่เพิ่งจะมุดออกมาจากกระโจมยังไม่ทันจะหาวเสร็จก็เห็นคุณหนูของนางสาวเท้าไปทางถนนด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียมอย่างฉับพลัน ตอนที่เดินผ่านหม้อหุงอาหารยังถือโอกาสหยิบมีดทำครัวข้างๆ กองไฟที่เมื่อวานใช้หั่นผักขึ้นมา พุ่งตรงไปยังกลุ่มหญิงคณิกาอย่างขาดสติ

“ปล่อยมือเสีย! ใครกล้าแตะต้องเขาก็ลองดู!”

เมื่อมาถึงด้านข้างกลุ่มคน หลิ่วจือหว่านก็ตะคอกเสียงดังลั่น กวัดแกว่งมีดทำครัวแล้วพุ่งเข้าใส่ทันที

สตรีเหล่านั้นหันหน้ามาเห็นมีดทำครัวที่น่าครั่นคร้ามก็ตื่นตกใจจนกรีดร้อง ถอยหนีแตกฮือกันไปหมด

บุรุษรูปโฉมหล่อเหลาซึ่งเดิมทีบริเวณหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความรำคาญใจ หลังจากเห็นสีหน้าที่กำลังเดือดดาลของหลิ่วจือหว่านชัดเต็มสองตาก็อึ้งงันไปเช่นกัน

“หวานหว่าน…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

หลิ่วจือหว่านมองแผ่นอกของเขาอย่างเยียบเย็น…แม้จะมองผ่านเสื้อผ้าขวางกั้นก็ยังดูกำยำน่าลูบคลำยิ่ง หากเมื่อครู่นางมองไม่ผิด สตรีคนนั้นได้ลูบแผงอกของเขาไปไม่น้อย!

ในเวลานี้สตรีที่เป็นผู้นำคนนั้นก็ปัดฝุ่นบนร่างกายออกแล้วเดินเข้ามา นางอาศัยว่าตนเองมีคนมากกว่า ไม่เห็นสตรีที่กำลังถือมีดทำครัวผู้นี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เพียงเลิกคิ้วพร้อมกับหัวเราะเสียงแหลมเอ่ยขึ้น

“โอ้ ที่แท้ก็พาสตรีคนรักมาด้วยนี่เอง ใบหน้าเล็กๆ นี่งดงามไม่เลว แต่ว่าปรนนิบัติบุรุษเก่งเท่าข้าหรือไม่ ว่าอย่างไร ทำร้ายคนแล้วก็คิดจะหนีรึ ข้าจะบอกเจ้าให้ เมื่อครู่นี้เขาแตะต้องตัวข้า! ถ้าไม่จ่ายเงินมาก็อย่าคิดที่จะหนี!”

เฉิงเทียนฟู่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบหลิ่วจือหว่านที่นี่ มิหนำซ้ำนางยังเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่ตนเองถูกหญิงคณิกาข้างถนนกลุ่มนี้ตามตอแยอีก ขณะที่เขากำลังจะอธิบายกลับถูกหลิ่วจือหว่านผลักไปอยู่ข้างหลังอย่างแรง จากนั้นก็เห็นญาติผู้น้องซึ่งยามปกติถือว่าเป็นคนสุภาพนุ่มนวลของเขาใช้สันมีดทำครัวตบๆ แก้มสตรีคนนั้นพร้อมเอ่ยด้วยท่าทีเย็นชา

“เขาเป็นสามีแต่งเข้าของข้า ข้าใช้เงินทองซื้อตัวเขามา เจ้าเป็นตัวอันใดถึงได้มาลูบคลำเขาโดยไม่แม้แต่จะถามสักคำเดียว”

สตรีคนนั้นอึ้งงันไปพักหนึ่ง ไม่คาดคิดสักนิดว่าบุรุษที่ดูผึ่งผายองอาจเช่นนี้จะเป็นเขยแต่งเข้าของผู้อื่น นางพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็ส่งเสียงร้องแหลมราวกับแม่ไก่ออกมา

“แล้วอย่างไรเล่า ชายหญิงชั่วช้าอย่างพวกเจ้าวางแผนกันหลอกข้า ข้ายังต้องจ่ายเงินให้พวกเจ้าด้วยรึ”

หลิ่วจือหว่านพูดต่อไปอย่างเย็นเยียบ “อยู่ให้ห่างๆ จากเขาเสีย หาไม่แล้วถ้ามือข้างใดของพวกเจ้าแตะต้องเขา ข้าก็จะสับมือข้างนั้น!”

สตรีที่มาจากแหล่งเริงรมย์เหล่านี้ล้วนเป็นมือฉมังในการทะเลาะตบตีทั้งสิ้น แต่ละคนต่างก็ฝึกปรือฝีมือมาจากบ่าวรับใช้ชายในหอคณิการวมไปถึงลูกค้าที่มาใช้บริการ ไฉนเลยจะตกใจกลัวเด็กสาวตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งได้

พอพวกนางเปิดปากด่าทอก็สกปรกหยาบคายจนคนทนฟังเข้าหูไม่ได้

เฉิงเทียนฟู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาดึงร่างหลิ่วจือหว่านไว้ ในขณะที่เตรียมจะปกป้องนางเอาไว้ข้างหลัง จิ้นเป่าก็ปรี่ถลาเข้ามา กระชากสตรีที่เป็นตัวตั้งตัวตีเอาไว้แล้วถลึงตาเอ่ยขึ้น

“กล้าด่าทอคุณหนูของข้ารึ นางชั้นต่ำ!”

พอจิ้นเป่าโมโหขึ้นมานางก็เอาภาษาสำหรับด่าคนที่เรียนรู้จากอำเภอก้งเซี่ยนออกมาใช้จนหมด ต่อมาก็กระชากผมของสตรีคนนั้นแล้วกดร่างลงกับพื้น

คราวนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้ว ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำที่บังคับรถม้าให้หญิงคณิกาเหล่านี้ซึ่งอยู่ว่างๆ กำลังดื่มสุรามองดูเหตุการณ์อยู่อีกด้านหนึ่งก็ค่อยๆ พากันลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา

จิ้นเป่ารู้ว่าด้วยฐานะของแม่ทัพเฉิงกับคุณหนูแล้ว ไม่ว่าใครก้าวออกมาทะเลาะเบาะแว้งกับสตรีต่ำทรามเหล่านี้ก็ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น

ดังนั้นนางจึงขึ้นคร่อมร่างสตรีคนนั้นพร้อมตบตีอีกฝ่ายไปพลางหันหน้าเอ่ยกับหลิ่วจือหว่านไปพลางว่า “คุณหนู พวกท่านกลับไปกินอาหารเช้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าก็ตบเสร็จแล้ว”

ตอนนี้เองพวกนายท่านรองสกุลเฉินก็เดินเข้ามา พอเห็นเฉิงเทียนฟู่ก็มีสีหน้ายินดีเช่นเดียวกัน

พวกนายท่านรองสกุลเฉินเป็นคนมีประสบการณ์มาก เหตุโกลาหลวุ่นวายตรงหน้าก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย หลังจากไกล่เกลี่ยระคนข่มขู่ไปหนึ่งยก พร้อมทั้งให้เงินสตรีที่ถูกทำร้ายไปสองสามตำลึง ในที่สุดก็หยุดเหตุทะเลาะวิวาทลงได้

เฉิงเทียนฟู่เองก็ไม่สนใจเหตุการณ์ยุ่งเหยิงที่อยู่ด้านหลังเช่นกัน เขาเพียงแต่จูงมือของหลิ่วจือหว่านเอาไว้ เดินกลับไปที่จุดตั้งกระโจมพลางถาม

“เจ้ามาได้อย่างไรกัน”

หลิ่วจือหว่านล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดเศษฝุ่นที่มองไม่เห็นตรงอกของเขาเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้ามึนตึงว่า “ปกติไม่เห็นท่านจะยิ้มให้ใคร แต่พออยู่ข้างนอกกลับทำตัวดึงดูดคนเช่นนี้ อีกนิดเดียวสตรีคนนั้นจะจ่ายเงินเลี้ยงดูท่านแล้ว”

ที่ผ่านมาเฉิงเทียนฟู่ไม่เคยเห็นหลิ่วจือหว่านหึงหวงเช่นนี้มาก่อน

เมื่อก่อนตอนอยู่ที่อำเภอก้งเซี่ยน ถึงแม้นางจะดีกับเขาเช่นกัน แต่ท่าทีดูเหมือนเป็นเพราะไมตรีจิตล้นพ้นยากจะปฏิเสธและอยากจะตอบแทนบุญคุณมากกว่า ทำให้เขาไม่อาจแน่ใจได้ในทันทีว่านางรักใคร่เขาจริงๆ หรือว่าเป็นเพราะความผูกพันฉันพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัยถึงได้อยู่กับเขาด้วยความเคยชิน

ในช่วงที่อารมณ์สิเน่หาคุกรุ่น เขาก็ได้รับรู้ว่านางกำลังยับยั้งตนเองอยู่เช่นกัน

แต่ว่าในยามนี้เด็กสาวที่สีหน้าแววตามีแต่ความหึงหวงช่างชวนให้คนรู้สึกอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน

หลิ่วจือหว่านกำลังพูดอย่างโมโห แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับเห็นญาติผู้พี่สกุลเฉิงของนางยิ้มอย่างเบิกบานไปแล้ว ภาพที่เขาสุขสันต์เปรมปรีดิ์แย้มยิ้มระรื่นเช่นนี้ หากสตรีเหล่านั้นเห็นเข้าเกรงว่าคงจะโยนเงินใส่หน้าเขาแน่นอน!

นางโมโหจนคำพูดติดอยู่ในลำคอ ได้แต่ถลึงตาใส่เขา เฉิงเทียนฟู่อุ้มนางขึ้นมาทันใด หมุนตัวหนึ่งรอบอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะจุมพิตลงบนพวงแก้มงามของนางหนึ่งครา

กลิ่นหอมชื่นใจลอยเข้ามาแตะจมูก เฉิงเทียนฟู่รู้สึกว่าทั่วทั้งสรรพางค์กายล้วนรู้สึกร้อนรุ่มอย่างมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้

ในยามเช้าตรู่ที่แสงแรกอรุณค่อยๆ โผล่พ้นขอบนภานี้ หวานหว่านของเขาคือน้ำค้างหวานล้ำที่เจิดจ้าสะดุดตาที่สุดในใต้หล้านี้ เขาอยากจะอมเอาไว้ที่ปลายลิ้น หลอมละลายเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจจนใจจะขาดอยู่แล้ว

หลิ่วจือหว่านออกแรงดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด พอถูกเขาจับแกว่งไปมา สุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ทว่าจู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ดังนั้นจึงเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “ท่านได้รับจดหมายนกพิราบจากรัชทายาทถึงได้มาที่นี่หรือ”

เฉิงเทียนฟู่ส่ายหน้า “ข้าปฏิบัติงานอยู่ข้างนอกมาตลอด ไม่ได้กลับไปที่ด่านเหยียนสุ่ย ทางเมืองหลวงมีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือ”

เขาผ่านมาที่นี่ระหว่างที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ พอเห็นสตรีที่แต่งตัวงดงามเพริศพริ้งกลุ่มใหญ่อยู่ข้างทางก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจถึงได้ลงมาสอบถาม แต่ไม่คิดว่าจะพบกับพวกหลิ่วจือหว่านเข้าพอดี

หลังจากหลิ่วจือหว่านเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ในเมืองหลวงให้ฟังอย่างสั้นกระชับแล้ว เฉิงเทียนฟู่ขมวดคิ้วฟัง จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำเบา

“น่าแปลก…”

หลิ่วจือหว่านเอ่ยถาม “แปลกอันใดหรือ”

เฉิงเทียนฟู่ชี้ไปยังหญิงคณิกาที่วิ่งกลับไปยังจุดตั้งกระโจมของตนเองเรียบร้อยแล้วกลุ่มนั้น เปิดปากพูดว่า “เจ้าเองก็เห็นสตรีกลุ่มนั้นแล้ว เมื่อครู่ข้าถามพวกนาง พวกนางจะมุ่งหน้าไปทางด่านเหยียนสุ่ย ในพื้นที่ที่กำลังเกิดการสู้รบเช่นนี้ยังมีหญิงคณิกามาเรียกลูกค้าหารายได้อีก ไม่แปลกหรือ”

ในตอนนี้เองพวกนายท่านรองสกุลเฉินกับจิ้นเป่าก็กลับมาแล้วเช่นกัน

พอจิ้นเป่าได้ยินก็พูดแทรกว่า “เพราะสถานที่ที่มีค่ายทหารถึงจะมีลูกค้าเจ้าค่ะ! ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ที่จากบ้านมา พวกนางไม่ต้องเรียกลูกค้าก็โผล่มาด้วยตนเอง เมื่อก่อนตอนข้าอยู่ที่ท่าเรือ ถ้าที่ใดรับสมัครทหาร ไม่นานก็จะมีมามารวบรวมสตรีกลุ่มหนึ่งนั่งเรือไปตั้งกระโจมที่นั่น ดูท่าทางพวกนางแล้วคงจะไปที่ด่านเหยียนสุ่ยกระมัง”

หลิ่วจือหว่านส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของจิ้นเป่า เพราะด่านเหยียนสุ่ยในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนที่เพียงรวบรวมระดมกำลังทหารเท่านั้น หากแผ่นดินสงบสุขไร้สงคราม มีหญิงคณิกาไปทำงานเลี้ยงชีพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

ทว่าสถานการณ์ที่ด่านเหยียนสุ่ยในตอนนี้ตึงเครียดรุนแรงถึงเพียงนั้น ปืนใหญ่ดังขึ้นไม่ขาดระยะ แต่กลับยังมีสตรีหลายคันรถมุ่งหน้าไปที่นั่นอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลิ่วจือหว่านรู้สึกสับสนงุนงงจนเมื่อวานต้องคอยจับตาดูสตรีเหล่านี้เอาไว้ตลอดเวลา

นางรู้ว่ามีคนวางอุบายกับขี้ผึ้งที่พลทหารพกติดกายไว้ อยากจะทำลายชื่อเสียงของขุนพลผู้ปกป้องด่านเหยียนสุ่ย จึงสงสัยว่าเหตุใดถึงมีหญิงคณิกาหลายคันรถเดินทางไปที่ด่านเหยียนสุ่ย เป็นเพราะมีคนจงใจวางแผนเอาไว้เช่นกันใช่หรือไม่

พอเฉิงเทียนฟู่ได้ยินวาจาของนางก็พูดว่าอีกไม่กี่วันผู้สังเกตการณ์กองทัพที่ฝ่าบาทส่งมาก็จะมาตรวจสอบสถานการณ์การศึกที่ด่านเหยียนสุ่ย

ถ้าหากใต้เท้าผู้สังเกตการณ์กองทัพเห็นว่าระหว่างทางมีกระโจมหลังน้อยของหญิงคณิกา มิหนำซ้ำยังมีหญิงคณิกากระจายกันเกาะกลุ่มเต็มไปหมดจะรู้สึกเช่นไรเล่า

เขาย่อมคิดว่าพลทหารของด่านเหยียนสุ่ยมักจะออกจากด่านไปหลับนอนกับสตรีเหล่านี้เป็นประจำ ถึงได้ทำให้สตรีมากมายเช่นนี้มาปักหลักรออยู่ที่นี่โดยไม่กลัวเกรงภัยสงคราม

พอถึงเวลานั้นในกองทัพมีโรคที่ดูคล้ายกับผื่นหยางเหมยปรากฏขึ้นก็จะเป็นการยืนยันว่าแม่ทัพเฉินเสวียนปกครองกองทัพไม่เข้มงวดกวดขันจริงๆ มิใช่หรือ

หลิ่วจือหว่านพูดเสียงต่ำ “ต้องส่งคนไปขับไล่พวกนางหรือไม่”

เฉิงเทียนฟู่มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย เขามีรูปลักษณ์หล่อเหลาน่ามอง ยามเขายิ้มบางๆ ก็ราวกับมีท่าทีสุภาพงามสง่าแฝงอยู่ในตัว

แต่รอยยิ้มเมื่อครู่นั้นหลิ่วจือหว่านกลับมองออกว่ามีความชั่วร้ายแฝงอยู่หลายส่วน “แม่นางเหล่านี้ล้วนลำบากดั้นด้นตามมาถึงที่นี่ หากปล่อยให้พวกนางกลับไปโดยที่ไม่ได้เงินจะไม่เสียเที่ยวแย่หรือ”

หลังจากนั้นเขาก็โบกมือเรียกนายท่านรองสกุลเฉินเข้ามา กระซิบกับอีกฝ่ายเสียงเบาหนึ่งรอบ

นายท่านรองสกุลเฉินพยักหน้า จากนั้นก็พาลูกน้องสองคนถือสุราขาวที่พกติดกายมาสองกาพร้อมด้วยเนื้อตากแห้งชิ้นหนึ่งเดินไปยังจุดตั้งกระโจมของหญิงคณิกา

บทที่ 51-2 กอบกู้สถานการณ์แนวหน้า

ทางด้านสตรีที่พาคนอื่นๆ มาคนนั้นเดิมทีคิดว่าจะได้ประเดิมการค้าขายครั้งแรกระหว่างทาง อุตส่าห์ได้พบกับคุณชายที่หล่อเหลางามล้ำเพียงนั้น ช่างทำให้คนเห็นแล้วจิตใจหวั่นไหวโดยแท้

นึกไม่ถึงว่าในขณะที่นางกำลังใช้จริตยั่วยวนเขาอยู่ แรกเริ่มคุณชายรูปงามผู้นั้นทำตัวเหมือนตาแก่คร่ำครึ ต่อมาก็มีสตรีโฉมงามกวัดแกว่งมีดทำครัวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาอีก

เสียดายรูปโฉมของแม่นางน้อยผู้นั้น หน้าตางดงามปานนั้นแต่กลับเป็นพวกชอบหึงหวง! ทั้งยังมีสาวใช้ตัวดำที่ตามมาตบตีคนอื่นนั่นอีก ยิ่งเป็นนางปีศาจร้ายอย่างเห็นได้ชัด!

นึกไม่ถึงว่าบุรุษรูปงามปานนั้นจะพาสตรีในครอบครัวมาด้วย! และถึงแม้บุรุษร่างใหญ่มีหนวดเคราซึ่งตามมาทีหลังผู้นั้นจะเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะผู้หนึ่ง แต่ก็แค่มอบเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้เพื่อจบเรื่องไปก็เท่านั้น!

หากมิใช่เห็นแก่คนที่จ่ายเงินให้พวกนาง ทั้งยังบอกว่าพอไปถึงด่านเหยียนสุ่ยแล้วอยู่แถวนั้นสักหลายๆ วันโดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปในด่านก็จะได้รับค่าตอบแทนก้อนโต นางก็ไม่อยากจะมาสถานที่ที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้…

นางรู้สึกหมดอารมณ์ ขณะที่กำลังตะโกนบอกเพื่อนร่วมทางให้เตรียมตัวกินโจ๊กกันสักครู่แล้วก็รีบออกเดินทางนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินคนเอ่ยเสียงดังก้องกังวาน

“รุ่งอรุณเช่นนี้จะดื่มสุราแต่ก็หาอันใดน่าสนุกทำไม่ได้สักนิด ไม่รู้ว่าแม่นางคนใดยินดีจะมาดื่มสุราในกระโจมของข้าสักสองสามคำบ้าง หากดื่มจนสาแก่ใจแล้วข้ามีเงินให้พวกเจ้าแน่นอน!”

สตรีผู้นั้นรีบหันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงบุรุษร่างสูงใหญ่มีหนวดเคราเมื่อครู่นี้กำลังถือสุราและเนื้อพลางตะโกนพูด พวกชายฉกรรจ์ที่คุ้มกันสตรีเหล่านี้มาส่งนึกว่านายท่านรองสกุลเฉินมาหาเรื่องอีกจึงจะเข้าไปพูดคุยกับเขา

แต่นายท่านรองสกุลเฉินกลับยื่นสุราและเนื้อในมือให้ชายฉกรรจ์พวกนั้น มิหนำซ้ำยังแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ทะเลาะคงไม่รู้จักกัน พวกเจ้าดื่มสุรากินอาหารสักหน่อยเถิด หากข้าเล่นสนุกกับแม่นางเหล่านี้เสร็จแล้วจะพามาส่งให้พวกเจ้า!”

เดินทางมาครานี้อาหารที่พวกนักเดินทางกินล้วนจืดชืดไร้รสชาติเป็นที่สุด ชายฉกรรจ์เหล่านี้มองดูสุราและเนื้อซึ่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากพยักหน้าเล็กน้อยบอกใบ้ให้รีบๆ เข้า อย่าให้พวกเขาเสียเวลาเดินทางแล้วก็พากันเดินออกไปดื่มสุรา

สตรีที่ประทินโฉมฉูดฉาดหนาเตอะคนนั้นเห็นว่ามีลูกค้ามา ดวงตาก็พลันลุกวาว รีบเดินบิดเอวเข้าไปหาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มระรื่น

“พวกเราสามคนไม่ทราบว่านายท่านถูกใจคนใดหรือ”

นายท่านรองสกุลเฉินโบกมืออย่างตรงไปตรงมา “ทั้งหมด!”

ครั้นสตรีคนนั้นได้ยินก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด บิดเอวที่อ่อนพลิ้วราวกับงูน้ำพร้อมกับพาสตรีทั้งสองนางเดินหัวเราะตามนายท่านรองสกุลเฉินเข้าไปในกระโจม

ส่วนชายฉกรรจ์ที่คอยดูแลพวกนางเหล่านั้นก็เริ่มหั่นเนื้อดื่มสุรากันอย่างสนุกสนาน

พวกเขาแค่รับหน้าที่ส่งคนไปให้ถึงด่านเหยียนสุ่ยก็ถือว่าเสร็จงาน ส่วนการที่สตรีเหล่านั้นเรียกลูกค้าระหว่างทาง ขอแค่ไม่ทำให้การเดินทางล่าช้า พวกเขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

หลังสตรีทั้งสามเข้าไปในกระโจมแล้วก็เห็นบุรุษหล่อเหลาองอาจผู้นั้นกับสาวใช้ตัวดำยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ทั้งสองยื่นมือใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากพวกนางเอาไว้ทันที

ส่วนนายท่านรองสกุลเฉินก็จับพวกนางทั้งสามมัดเอาไว้อย่างรวดเร็วว่องไว

ในยามนี้หลิ่วจือหว่านซึ่งยืนอยู่ในกระโจมเช่นกันก็เดินเข้าไปใกล้ ยื่นมือออกไปจับชีพจรของพวกนาง หลังจากนั้นก็มองดูตามแขนของพวกนาง ครั้นแล้วก็เห็นว่าบนแขนมีผื่นแดงเป็นจุดๆ กระจายไปทั่วเช่นกัน

นางเดาไม่ผิดจริงๆ สตรีสามคนนี้ล้วนติดโรคผื่นหยางเหมยกันถ้วนหน้า!

หลิ่วจือหว่านนับถือผู้บงการเบื้องหลังคนนั้นโดยแท้ ช่างคิดการรัดกุมรอบคอบ แม้แต่ต้นตอการติดโรคของเหล่าทหารที่ด่านเหยียนสุ่ยก็เตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี

หากหญิงคณิกาที่ติดโรคสกปรกสามคันรถใหญ่นี้ไปปักหลักตั้งกระโจมอยู่นอกด่านเหยียนสุ่ย คนส่งจดหมายที่เดินทางไปกลับนำข่าวมาแจ้ง รวมไปถึงชาวบ้านในพื้นที่ต่างก็เห็นอยู่ในสายตา ปากย่อมต่อว่าด่าทอทั้งสิ้น

และขุนนางที่เดินทางมาตรวจตราก็จะถูกภาพแห่งความสำราญเริงรมย์นี้บดบังดวงตาไว้

พอถึงตอนนั้นเมื่อมีพลทหารติดโรคสกปรกอีก ต่อให้แม่ทัพเฉินเสวียนมีปากเต็มทั่วร่างก็แก้ตัวไม่ได้!

เฉิงเทียนฟู่นั่งอยู่ในกระโจม โบกมือบอกให้พวกนางนั่งลง จากนั้นถึงเอาผ้าอุดปากสตรีที่เป็นผู้นำคนนั้นออกแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบราบเรียบว่าเหตุใดพวกนางถึงเดินทางมาที่ด่านเหยียนสุ่ยในช่วงสงครามเช่นนี้

สตรีคนนั้นถูกกริชจ่อคอเอาไว้ เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “แม้จะเป็นช่วงสงคราม แต่บุรุษก็ต้องหลับนอนกับสตรีเช่นกันมิใช่หรือ…มะ…มีคนให้เงินพวกเรามาแล้วให้พวกเราไปที่นั่น บอกว่าไปที่นั่นแล้วจะได้เงินก้อนโต”

เฉิงเทียนฟู่พยักหน้าเบาๆ เอ่ยถามอีกว่า “คนที่ให้เงินพวกเจ้าคือใคร”

สตรีทั้งสามรีบส่ายหน้า เฉิงเทียนฟู่ล้วงถุงเงินหนักอึ้งหนึ่งถุงออกมาจากในอกเสื้อ บอกพวกนางอีก

“เหมือนอย่างที่พวกเจ้าว่าไว้ ในช่วงสงครามวุ่นวายมิได้หาเงินทองได้ง่ายๆ ข้าจะชี้แนะหนทางที่ทำเงินได้มากกว่าให้พวกเจ้าก็แล้วกัน!”

เมื่อใช้เงินเบิกทางก็พูดคุยกันได้สบายและรวดเร็วขึ้นเป็นพิเศษ

พอแก้มัดแล้วหลิ่วจือหว่านยังควักทองคำแผ่นที่อยู่ในอกเสื้อออกมา ทำลายความหวาดระแวงของพวกนางลงได้อย่างสิ้นเชิง

หลังจากตกลงกับสตรีทั้งสามเสร็จสรรพ เฉิงเทียนฟู่ก็เปิดกระโจมออกมาอีกครั้ง พาคนถือดาบเดินตรงเข้าไปฟันเหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังดื่มสุราอย่างครื้นเครงจนล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็ใช้เชือกมัดพวกเขาเอาไว้

ต่อมาเฉิงเทียนฟู่ก็สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนหนึ่งของตนเองอย่างละเอียด ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะออกเดินทางในชุดลำลอง คุ้มกันสตรีเหล่านั้นย้อนกลับไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังถนนใหญ่ทางขวา

ก่อนหน้านี้หลิ่วจือหว่านได้ยินนายท่านรองสกุลเฉินบอกว่านี่เป็นเส้นทางทะลุไปยังค่ายทหารของต่งฉางกง

นางมองดูหญิงคณิกาคันรถแล้วคันรถเล่าพยายามโบกมือให้เฉิงเทียนฟู่อย่างสุดชีวิตก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเฉิงเทียนฟู่ซึ่งอยู่ด้านข้าง

“ท่านอุตส่าห์ควักเงินตนเองเช่นนี้ ถ้าแม่ทัพต่งไม่ยอมดื่มด่ำสำราญจะทำอย่างไรเล่า”

เฉิงเทียนฟู่รวบเอวนางเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว เลิกคิ้วเอ่ยว่า “รับของกำนัลจากผู้อื่นมาแต่ไม่สนองกลับนับว่าเสียมารยาท ฉือหนิงอ๋องโอบอ้อมอารีมีเมตตา คิดไตร่ตรองแทนพวกเราทุกขั้นตอนแล้ว แค่ทำตามนั้นไปก็พอ ครั้งนี้ผู้สังเกตการณ์กองทัพเดินทางมาตรวจตราสองที่ คงจะไปที่ค่ายใหญ่ของกองทัพสกุลต่งก่อน ถ้าพวกเราไม่ช่วยเตรียมการแทนแม่ทัพต่งให้เรียบร้อยจะไม่เสียมารยาทแย่หรือ”

หญิงคณิกาที่มีคนเจตนาเรียกมาเหล่านี้จะต้องไปอยู่ประจำตำแหน่งในตอนที่ใต้เท้าผู้สังเกตการณ์กองทัพเดินทางมาตรวจตราค่ายทหารของสกุลต่งอย่างไม่ช้าไม่เร็วภายใต้การตระเตรียมของเขาอย่างแน่นอน

แล้วเหตุใดเฉิงเทียนฟู่ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ปืนไฟที่กองทัพกบฏได้รับมาเหล่านั้น

แม้ปืนไฟจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ต้องคอยเติมดินระเบิด หากไม่รู้ว่าปืนไฟมีที่มาที่ไปเช่นไรย่อมทำให้คนไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงที่ใดเป็นธรรมดา

แต่ในเมื่อเฉิงเทียนฟู่รู้เบาะแสอย่างสำนักซานชิงแล้ว เช่นนั้นก็สามารถไล่สืบสาวย้อนไปเรื่อยๆ ได้ กำจัดเสบียงเสริมที่สำนักซานชิงลอบลำเลียงมาให้สิ้นซากในคราวเดียว พอถึงเวลานั้นถึงแม้ปืนไฟจะร้ายกาจเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ครั้งนี้เขาเดินทางไปก่อการใหญ่ที่สำนักซานชิงพอดี เพิ่งจะรีบกลับมาจากท่าเรือของที่นั่น ระหว่างทางก็บังเอิญพบกับพวกหลิ่วจือหว่านเข้า

คราวนี้หลิ่วจือหว่านตัดสินใจไม่นั่งรถม้าแล้ว แต่ว่าขี่อาชาตัวเดียวกับเฉิงเทียนฟู่แทน จะได้รีบห้อตะบึงเร่งเดินทางไปยังด่านเหยียนสุ่ยให้เร็วขึ้นหน่อย

ยาที่มีปัญหาเหล่านั้นถูกส่งไปถึงด่านเหยียนสุ่ยนานแล้ว เกรงว่าคงจะมีคนเคราะห์ร้ายไปแล้ว

บทที่ 51-3 กอบกู้สถานการณ์แนวหน้า

เมื่อมาถึงด่านเหยียนสุ่ย เฉิงเทียนฟู่ก็ใช้ผ้าคลุมกันลมคลุมร่างหลิ่วจือหว่านอย่างมิดชิดแล้วค่อยพานางไปพบแม่ทัพเฉินเสวียน

เมื่อพวกเขาไปถึง ในกระโจมแม่ทัพเต็มไปด้วยหมอทหารที่คุกเข่าลงกับพื้น ท่าทางคล้ายกำลังถูกแม่ทัพเฉินเสวียนสั่งสอนอยู่ แต่ละคนล้วนมีท่าทางกล้ำกลืนจนปัญญา

ญาติผู้พี่สกุลจางก็นั่งรวมกลุ่มอยู่ในแถวเช่นนั้น ทั้งยังถูกลากมาตรงแถวหน้าสุดอีกด้วย

ที่แท้เมื่อหลายวันก่อนหลังจากประจัญบานกับกองทัพกบฏ จู่ๆ ทหารหลายนายก็มีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่อาการรุนแรง ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอก็มีไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด

หลังจากหมอทหารหลายคนในกองทัพมาดูอาการให้ก็ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือผื่นหยางเหมย ดังนั้นจึงสั่งยาให้แก่พลทหารที่ล้มป่วย

บุรุษอกสามศอกในกองทัพเหตุใดถึงติดโรคสกปรกพรรค์นี้ได้ ทันใดนั้นก็ชวนให้คนตั้งข้อสงสัยว่าพวกเขาออกไปเที่ยวหญิงคณิกามา แม่ทัพเฉินเสวียนจึงจับพลทหารหลายนายที่ติดโรคมาสอบสวนทันที

สุดท้ายแม้พวกเขาจะถูกโบยตามกฎระเบียบของกองทัพ แต่ก็ยังยืนกรานว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ตัวอยู่ที่ชายแดน แม้แต่เงาสตรีสักคนก็ยังไม่เห็น แล้วจะไปติดโรคสกปรกเช่นนี้ได้อย่างไร

กลายเป็นว่าตอนที่พลทหารนายหนึ่งกำลังถูกโบยกลับมีอาการชัก หากมิใช่เพราะหมอชรามือเร็วตาไวใช้ไม้กดลิ้นง้างปากเขา ตอนนั้นเขาก็คงกัดลิ้นขาดใจตายจนเสียชีวิตเพราะอาการชักไปแล้ว

ต่อมาภายหลังพลทหารที่กินยาเข้าไปก็ปรากฏอาการหมดสติ แม่ทัพเฉินเสวียนทำได้เพียงจับตัวหมอที่สั่งยาเหล่านี้มาสอบปากคำ

ใต้เท้าผู้สังเกตการณ์กองทัพจวนจะเดินทางมาถึงแล้ว แต่ในค่ายทหารกลับมีพลทหารติดโรคผื่นหยางเหมยเกือบร้อยนาย มิหนำซ้ำแต่ละนายยังลมหายใจรวยริน ทหารนายอื่นๆ ที่ไม่ได้ติดโรคล้วนหลีกเลี่ยงอยู่ห่างๆ จุดตั้งค่ายที่ใช้รองรับผู้ป่วย แต่ละคนต่างหวาดระแวงกันและกัน คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าใครเป็นคนนำโรคที่น่าอับอายเข้ามาแพร่ในค่ายทหาร

แม่ทัพเฉินเสวียนเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว หากไร้ซึ่งขวัญกำลังใจของกองทัพแล้วการศึกต่อจากนี้จะสู้รบอย่างไรเล่า!

ขณะที่แม่ทัพเฉินเสวียนกำลังระเบิดโทสะอย่างเดือดดาลอยู่นั้นเฉิงเทียนฟู่ก็เข้ามาในกระโจม เขาไม่มีเวลาอธิบายมากนัก บอกเพียงว่าเชิญหมอเลื่องชื่อมาผู้หนึ่ง รู้ว่าที่ด่านเหยียนสุ่ยมีทหารเจ็บไข้ได้ป่วย ดังนั้นจึงเดินทางมาช่วยตรวจรักษาโดยเฉพาะ

แม่ทัพเฉินเสวียนงงงันอยู่บ้าง เฉิงเทียนฟู่จึงเชิญเขาไปอีกด้านหนึ่งแล้วกระซิบบอกเสียงเบาอีกครา แม่ทัพเฉินเสวียนอายุใกล้ล่วงหกสิบปีแล้ว นับว่าเคยพบเจอคลื่นลมมามากมาย แต่เมื่อได้ยินต้นสายปลายเหตุของแผนการร้ายเบื้องหลังที่เฉิงเทียนฟู่เล่าให้ฟังก็โกรธแค้นเสียจนชักกระบี่ออกมาฟันโต๊ะเขียนหนังสือตรงหน้าจนแยกออกจากกัน

“คนบัดซบเช่นนี้อันตรายยิ่งกว่าโจรกบฏเสียอีก!”

เพียงแต่เฉิงเทียนฟู่เองก็สงสัยอยู่เล็กน้อย “รัชทายาทอยู่ที่เมืองหลวงได้ส่งจดหมายนกพิราบถึงท่านแม่ทัพแล้ว เหตุใดท่านแม่ทัพจึงไม่เตรียมการป้องกันใดๆ เล่า”

แม่ทัพเฉินเสวียนขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าออกไปนานเกินไปจึงไม่รู้สถานการณ์ที่ด่านในตอนนี้ ในช่วงหลายวันมานี้ปืนใหญ่ระดมยิงติดต่อกันหลายวัน เสียงปืนใหญ่ที่ดังสะเทือนฟ้าทำให้แม้แต่นกกระจอกแถวนี้ก็ยังไม่สามารถบินลงได้ ต่อให้มีนกพิราบสื่อสารก็ไม่รู้ว่าบินไปที่ใดแล้ว จึงมิได้รับจดหมายเป็นธรรมดา”

ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็มีแต่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เฉิงเทียนฟู่จึงเล่าเรื่องที่หลูอีเซี่ยนจู่รีบเดินทางมาช่วยรักษาให้เขาฟัง

เมื่อได้ยินว่าหลูอีเซี่ยนจู่มาที่นี่ แม่ทัพเฉินเสวียนก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก แม่นางคนหนึ่งเข้าออกค่ายทหารมิเพียงแต่จะทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศของนางเสื่อมเสีย สำหรับกองทัพปกป้องด่านเหยียนสุ่ยแล้วก็กระทบต่อศักดิ์ศรีของกองทัพเช่นเดียวกัน…

ทว่าในตอนนี้เองหลิ่วจือหว่านซึ่งใช้ผ้าคลุมกันลมปกปิดใบหน้าก็ได้เดินเข้ามาทำความเคารพแม่ทัพเฉินเสวียนแล้ว จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

“ท่านแม่ทัพ ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิดพลทหารที่ดื่มน้ำแกงยาเข้าไปเหล่านั้นชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย ท่านแม่ทัพโปรดอนุญาตให้ข้าถอนพิษให้พวกเขาก่อนเถิด ส่วนเรื่องราวจริงเท็จประการใดเอาไว้ตรวจสอบกันทีหลัง”

แม่ทัพเฉินเสวียนถอนหายใจออกมาในที่สุด “ตายไปสามคนแล้ว…”

เขาเองก็รู้ว่าสถานการณ์คับขัน ถึงแม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในฝีมือการรักษาของแม่นางน้อยผู้นี้ แต่ก็ทำได้แค่รักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็นแล้ว อันดับแรกเขาสั่งให้คนไปแจ้งทั้งกองทัพ เรียกถุงใส่ยาพกติดกายทั้งหมดกลับคืนมา จากนั้นก็จัดเตรียมหมอทหารจำนวนหนึ่งให้ตามหลิ่วจือหว่านเข้าไปในกระโจมรักษา

หลิ่วจือหว่านยังคงใช้ผ้าคลุมกันลมปิดบังใบหน้าเอาไว้แล้วเดินตามแม่ทัพเฉินเสวียนมาที่กระโจมรักษา

เพราะว่ากลัวโรคจะแพร่กระจาย กระโจมรักษาจึงถูกย้ายไปไว้ตรงหัวมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของค่าย อยู่ห่างไกลจากกระโจมทหารหลังอื่นๆ หลังจากหลิ่วจือหว่านเดินเข้าไปในกระโจมแล้วก็เริ่มตรวจดูอาการคนเหล่านี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกกรอกน้ำแกงยาให้ดื่มไปหลายครั้ง อาการจึงร้ายแรงยิ่งกว่าท่านลุงมาก

เนื่องจากพวกเขาดื่มน้ำแกงยามากเกินไป หลิ่วจือหว่านจึงรีบสั่งให้คนหยิบผงอี๋จื่อ* มาทันที หลังจากละลายน้ำแล้วก็กรอกผ่านไส้แกะลงไป กระตุ้นให้คนป่วยเหล่านี้อาเจียนออกมา

ญาติผู้พี่จางซีเหวินที่เพิ่งถูกโบยมาเอามือกุมก้นพร้อมกับเดินเข้ามาช่วยเหลือหลิ่วจือหว่าน ละลายผงอี๋จื่อไปพลางเอ่ยถามเสียงสั่นเครือไปพลาง

“เมื่อครู่แม่ทัพเฉิงพาคนมาริบขี้ผึ้งมรกตกำเนิดผิวทั้งหมดไป…ยาที่ข้าปรุงขึ้นมีปัญหาจริงๆ หรือ”

หลิ่วจือหว่านสั่งให้จิ้นเป่ายกร่างคนป่วยขึ้นมา ด้านหนึ่งทุบหลังกระตุ้นให้คนป่วยอาเจียน อีกด้านหนึ่งก็พูดกับญาติผู้พี่

“ท่านอย่าเพิ่งถาม ตอนนี้การช่วยคนสำคัญที่สุด อีกไม่กี่วันใต้เท้าผู้สังเกตการณ์กองทัพก็จะมาตรวจตราค่ายทหารแล้ว ด่านเหยียนสุ่ยจะมีคนตายอีกไม่ได้!”

ถ้อยคำฮึกเหิมเปี่ยมปณิธานที่บอกว่าบุรุษต้องสร้างคุณงามความชอบของจางซีเหวินถูกตีแตกกระเจิงไปหมดแล้ว ตอนนี้สูญเสียไปสามชีวิต ในที่สุดเขาก็ฟังคำตักเตือนด้วยความปรารถนาดีของบิดาเข้าสมองบ้างเล็กน้อย

การเป็นหมอช่วยชีวิตคนบางครั้งก็ห่างจากการที่ศีรษะจะหลุดจากบ่าเพียงนิดเดียวจริงๆ!

ก่อนที่ญาติผู้น้องจะมาแม่ทัพเฉินเสวียนก็เดือดดาลปานอสนีบาตแล้ว หากพลทหารจำนวนมากเสียชีวิตเพราะเหตุนี้ แต่กลับไม่มีคนกอบกู้สถานการณ์ได้ หมอทหารอย่างพวกเขาก็คงไม่มีใครหนีรอด ต้องถูกตัดศีรษะสังเวยธงทัพกันหมดทุกคน

หมอคนอื่นๆ ก็หวาดกลัวเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้ในใจจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแม่นางน้อยวัยเยาว์ผู้นี้ แต่ก็ยังคงทำตามที่นางสั่ง

หลังจากพลทหารหลายสิบนายถูกล้างลำไส้แล้วก็เริ่มให้ดื่มน้ำแกงยาที่ต้มเสร็จเรียบร้อยเพื่อช่วยขับปัสสาวะและเพิ่มน้ำในร่างกาย

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้จักฤทธิ์ยา หลิ่วจือหว่านเองก็ไม่มียาวิเศษเลิศเลออันใด ทำได้เพียงให้พวกเขาดื่มน้ำในปริมาณมาก เจือจางพิษที่อยู่ในร่างกายให้อ่อนลงเท่านั้น

 

หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา แม้จะยังไม่เห็นผลในฉับพลันทันใด แต่เหล่าพลทหารก็ไม่ได้หมดสติหรือชักอีก เห็นได้ชัดว่ามาถูกทางแล้ว

นับตั้งแต่หลิ่วจือหว่านมาถึงด่านเหยียนสุ่ยก็ยังไม่ได้หยุดพักผ่อน สั่งการคนที่อยู่ในค่ายทหารยุ่งวุ่นวายจนถึงกลางดึก

หลังจากนางกำชับเรื่องที่ต้องระมัดระวังกับญาติผู้พี่และหมอทหารคนอื่นๆ อย่างละเอียดเสร็จก็เป็นเวลายามจื่อแล้ว เส้นผมยาวตรงจอนผมมีแต่เหงื่อไหลออกมา

หลิ่วจือหว่านยังไม่ได้กินอาหาร เพราะนางเอาแต่ดูคนอาเจียนและช่วยล้างลำไส้คนป่วยอยู่ตลอด จึงไม่มีความอยากอาหารสักเท่าไรนัก

เมื่อเดินออกมาจากกระโจม นางถึงได้พบว่าเฉิงเทียนฟู่มาเฝ้าอยู่หน้าประตูกระโจมรักษาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ ครั้นเฉิงเทียนฟู่เห็นนางเดินออกมาก็พูดขึ้น

“เหนื่อยแย่แล้วกระมัง เจ้าพาสาวใช้ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาในกระโจมของข้าเถิด ข้าสั่งให้ชิงเยี่ยนหาถังอาบน้ำมาให้ น้ำร้อนก็ต้มเอาไว้แล้ว เจ้าอาบน้ำเสีย จากนั้นค่อยกินอาหาร”

พอพูดเสร็จเขาก็เอ่ยกับทหารเฝ้ากระโจมรักษาว่า “คนที่เข้าไปในกระโจมรักษาแล้วห้ามให้พวกเขาออกมาอีก พวกหมอก็ให้กินดื่มอยู่แต่ในกระโจมรักษาทั้งหมด!”

หลิ่วจือหว่านใช้ผ้าคลุมกันลมห่อกายอย่างมิดชิดแน่นหนา รู้ว่าเฉิงเทียนฟู่ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องที่นางรักษาคนป่วยในกระโจมรักษาเล็ดลอดออกไป ก่อนที่นางจะจากไปไม่อาจปล่อยให้มีคนรู้ว่ามีสตรีปรากฏตัวขึ้นที่ด่านเหยียนสุ่ยมากเกินไปได้ นี่ไม่เพียงเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของนางเท่านั้น ทว่ายังเกี่ยวข้องกับเกียรติยศของทหารหาญที่ด่านเหยียนสุ่ยอีกด้วย

บัดนี้ในที่สุดหลิ่วจือหว่านก็นับว่าโล่งใจไปได้เล็กน้อย จึงเดินตามเฉิงเทียนฟู่ไปที่กระโจมของเขา ด้านในมีน้ำร้อนหนึ่งถังวางอยู่จริงๆ

เสื้อผ้าของหลิ่วจือหว่านเปียกเหงื่อชุ่มโชกไปหมด จำเป็นต้องแช่น้ำร้อนเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิตกลับคืนมา ขจัดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้หมดไป

หลังจากหนิงเยียนปรนนิบัตินางปลดเปลื้องอาภรณ์แช่น้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนมาใส่ชุดตัวในสะอาดสะอ้านที่นำมาด้วย ต่อมาก็สวมชุดคลุมตัวนอกทับอีกชั้น

ยามนี้เองเฉิงเทียนฟู่ได้ยกโจ๊กร้อนๆ เข้ามา เอ่ยกับหนิงเยียนและจิ้นเป่าเพียงว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนที่กระโจมหลังเล็กด้านข้างเถิด”

หนิงเยียนเห็นว่าหลิ่วจือหว่านมิได้เอ่ยวาจาอันใด จึงได้แต่เดินออกไปจากกระโจมแม่ทัพตามจิ้นเป่าไป

ที่นี่อากาศเย็นเยียบหนาวเหน็บ เฉิงเทียนฟู่เห็นว่าหลิ่วจือหว่านเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ บนร่างก็สวมใส่เสื้อผ้าไม่มากจึงเปิดผ้าห่มออกแล้วให้นางเอนกายกินโจ๊กอยู่ในผ้าห่ม

หลิ่วจือหว่านเองก็เหนื่อยเพลียมากเหลือเกิน แช่น้ำแล้วก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เมื่อก่อนตอนอยู่ที่สกุลเซิ่งการได้นอนกินอาหารอยู่ในผ้าห่มเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นสิทธิ์ที่ได้รับเฉพาะตอนไม่สบายเท่านั้น

นางยื่นมือออกไปหมายจะรับถ้วยมา แต่เฉิงเทียนฟู่กลับยกมือขึ้นสูงจะป้อนให้นางด้วยตนเอง

ตอนนี้นางถูกผ้าห่มห่อร่างเอาไว้ เส้นผมแผ่สยายปล่อยให้เฉิงเทียนฟู่ป้อนโจ๊กนาง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม

นางมิใช่เด็กน้อยแล้ว เขาป้อนอาหารผู้อื่นราวกับเป็นบิดาเช่นนี้ช่างดูไม่ได้จริงๆ!

แต่ว่าเฉิงเทียนฟู่ป้อนอย่างพึงพอใจยิ่ง ได้เห็นหลิ่วจือหว่านกินอาหารราวกับลูกแมว คิ้วของเขาก็คลายออกจากกันเล็กน้อยในที่สุด

เมื่อครู่นี้เนื่องจากเร่งรีบช่วยคน เขาจึงทำได้เพียงปล่อยให้นางยุ่งวุ่นวายอยู่ในกระโจมรักษา แต่เมื่อได้เห็นแม่นางน้อยผู้งามหยาดเยิ้มอย่างนางไป ‘ปรนนิบัติ’ บุรุษกักขฬะเหล่านั้น ในใจก็ไม่สบอารมณ์มากนัก

ตอนที่เขาไม่สบายก็ไม่เห็นนางจะเฝ้าดูแลเอาใจใส่ไม่ห่าง พอคิดเช่นนี้ขึ้นมาก็เจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน

จนกระทั่งหลิ่วจือหว่านกินโจ๊กหมดไปหนึ่งถ้วย แสดงท่าทีบอกว่าไม่อยากกินอีกแล้ว เฉิงเทียนฟู่ถึงค่อยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้นาง ต่อมาก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามนาง

“เหนื่อยหรือไม่ อยากให้ข้าช่วยคลายเส้นเอ็นให้หรือไม่”

น้ำเสียงของเขาปกติดีอยู่ แต่ว่าตอนก้มหน้าลงมองนาง สายตากลับแฝงแววเย้าหยอกเกี้ยวพานราวกับจิ้งจอกหนุ่มจอมชั่วร้ายไม่มีผิด

หลิ่วจือหว่านหัวเราะออกมาเสียงดัง

เฉิงเทียนฟู่จึงนอนตะแคงลงข้างกายนาง ใช้มือข้างหนึ่งยันศีรษะเอาไว้พลางเอ่ยถาม “เจ้าหัวเราะอันใดกัน”

หลิ่วจือหว่านกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าหัวเราะที่ท่านดูเหมือนหญิงคณิกาที่เรียกลูกค้าข้างทางเจ้าค่ะ รีบร้อนจะชวนลูกค้าเข้ากระโจมให้ได้เชียว”

เฉิงเทียนฟู่เห็นว่านางเอาเขาไปเปรียบเทียบกับพวกหญิงคณิกาเหล่านั้นจึงยื่นมือไปจักจี้รักแร้ของนาง ยามนางหัวเราะคิกคักพร้อมกับเอ่ยอ้อนวอนขอชีวิต เขาถึงค่อยรวบร่างนางเอาไว้ จากนั้นกดลงบนตั่งเตียง เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ก้มมองนางจากตำแหน่งที่สูงกว่าพลางเอ่ยเสียงต่ำเบา

“หวานหว่าน พอกลับไปแล้วพวกเราแต่งงานกันดีหรือไม่”

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: