บทที่ 1
ตำบลหลิงเฉวียนเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการผลิตเครื่องเคลือบดินเผาแห่งราชวงศ์ต้าเยี่ยน ทุกๆ วันต่างมีพ่อค้าจากทั่วทุกสารทิศนำสินค้าเข้ามาไม่เคยขาด
ราคาที่ดินในท้องที่ก็สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่ายังคงไม่อาจหยุดยั้งคนต่างถิ่นให้เลิกเข้ามาพำนักอยู่ที่นี่ได้
นี่มิใช่ว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิเดือนสองที่ต้นหญ้าโบกไหว นกโผบิน บนถนนหินทางเหนือของตำบลหลิงเฉวียนก็มีรถม้ามาเยือนอีกแล้วหรอกหรือ
บรรดาหญิงออกเรือนที่จับกลุ่มทำงานเย็บปักกันอยู่บนถนนพากันชะเง้อชะแง้คอมอง ใคร่รู้ว่าบ้านหลังคามุงกระเบื้องที่ว่างเว้นมานานหลังนี้มีครอบครัวเช่นไรย้ายเข้ามาอยู่
รถม้าคันนั้นหยุดลงหน้าประตูบ้านที่ออกจะเก่าไปบ้าง บ่าวหญิงวัยกลางคนหน้าดำคล้ำรูปร่างผอมผู้หนึ่งยกเก้าอี้ทรงดอกเหมยตัวเล็กลงมาจากด้านหลังรถม้า จากนั้นยื่นมือไปช่วยประคองหญิงสาวอายุราวสิบแปดปีในชุดผ้าแพรสีเทาอ่อนผู้หนึ่งออกมาจากม่านรถม้า
ไม่รู้เหตุใดหญิงสาวผู้นั้นจึงถือไม้เท้าไม้ไผ่ที่ใช้สำหรับปีนเขาเอาไว้ด้วย ค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้าภายใต้ความช่วยเหลือจากบ่าวหญิงวัยกลางคน
เมื่อหญิงสาวผู้นั้นลงมาจากรถม้าก็กวาดตามองไปรอบๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนได้เห็นคิ้วโก่งดั่งภูผาไกลของนางอย่างชัดเจน
ทันทีที่ได้เห็นก็ชวนให้คนแอบร้องในใจว่า มารดาเอ๋ย! นึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีหญิงสาวที่งามผุดผาดดั่งภาพวาดเช่นนี้อยู่ด้วย!
ตำบลหลิงเฉวียนตั้งอยู่ที่เจียงหนาน* เป็นสถานที่สรรค์สร้างหญิงงามมานับแต่โบราณ แต่ความงามของหญิงสาวผู้นี้กลับไม่งามยวนตาดั่งทิวทัศน์ของเจียงหนาน กลับมีเอวคอดกิ่ว ขายาว หุ่นสะโอดสะอง โดยเฉพาะจอนผมสีดำขลับที่ขับเน้นนัยน์ตาให้งามพิศยิ่งขึ้น
เพียงแต่ดูจากทรงผมที่เกล้าขึ้นเช่นนี้ นางน่าจะแต่งงานแล้ว
หญิงงามนั้นงามอยู่ ทว่าเห็นแล้วไม่ชวนให้รู้สึกน่าคบหา รู้สึกว่าความงามจับตาเพียงนี้ควรจะเลี้ยงดูอยู่แต่ในวังลึก ตำหนักหยกหลังคาทองคำจึงจะถูก เหตุใดจึงระหกระเหินมาอยู่ในตำบลเช่นนี้ได้เล่า
ป้าอิ่นที่ชะเง้อหน้ามองอยู่ครึ่งวัน หลังเห็นหญิงสาวผู้นั้นเดินนำบ่าวหญิงสองคนกับคนบังคับรถเข้าไปในบ้านก็ยังไม่เลิกสนใจ กระซิบกระซาบกับบรรดาหญิงออกเรือนที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างอดไม่ได้ “มารดาเถอะ อยู่มานานเพียงนี้กลับเพิ่งเคยเห็นคนงามปานนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าสามีของนางทำมาหากินอันใดถึงมีความสามารถแต่งกับหญิงงามเยี่ยงนี้ได้!”
ภรรยาของบ้านสกุลจางเอ่ยต่ออย่างไม่ยี่หระ “จะทำอันใดได้เล่า! คนต่างถิ่นที่มาซื้อบ้านที่นี่ เก้าในสิบส่วนล้วนเป็นพ่อค้าขายเครื่องเคลือบดินเผา ช่างฝีมือทั่วไปซื้อบ้านบนถนนสายนี้ไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้บางคนที่หัวสมองฉับไวก็หรี่ตาลงพูดโพล่งออกมาทันที “ถ้าสามีผู้นั้นเป็นพ่อค้าก็ต้องเป็นพวกสายตาสั้น พอหาเงินได้แล้วกลับไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงได้กล้าแต่งภรรยาที่งามเพียงนี้ ถ้าเกิดออกไปทำมาค้าขายข้างนอกอยู่บ่อยๆ ทิ้งภรรยาคนงามไว้ที่บ้านตามลำพัง กำแพงเตี้ยประตูต่ำเช่นนี้ จะ…จะป้องกันได้อย่างไร!”
ประโยคนี้ของนางมีที่มาที่ไป บริเวณถนนสายเหนือของตำบลหลิงเฉวียนมีครอบครัวพ่อค้าอยู่มากมายนัก ส่วนมากบรรดาบุรุษมักจะออกเดินทางไกลไปค้าขายทั่วเหนือจรดใต้ ซ้ำบรรดาพ่อค้าเหล่านั้นยังชอบแต่งหญิงนางโลมเป็นอนุ ส่วนใหญ่ที่พามาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ด้วยล้วนไม่ใช่ภรรยาเอก
ในแต่ละครอบครัวมีบ้างที่หลังสตรีแต่งงานแล้วทนความเหงาเปล่าเปลี่ยวไม่ไหว เปลี่ยนใจให้บุรุษอื่น
ดังนั้นเวลาพวกหลายใจถูกใจใครเข้า เรื่องอย่างตอนกลางคืนเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ แอบนัดพบกับชายเสเพลในท้องที่จึงเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
เรื่องราวที่ซ่อนเร้นอยู่ในยามค่ำคืนเหล่านี้ ยากจะหนีพ้นจากสายตาของบรรดาหญิงออกเรือนที่ชอบเกาะกลุ่มนินทาในตรอกซอกซอยเหล่านี้ เวลามารวมตัวอยู่ด้วยกันตอนกลางวันช่วงทำงานเย็บปักก็จะพากันพูดคุยเรื่องจริงเรื่องเท็จ ชีวิตประจำวันจุกจิก ความสัมพันธ์กรุ้มกริ่มของเพื่อนบ้านข้างๆ ตนเอง
พอเวลาผ่านไปนานเข้าสายตาของบรรดาหญิงออกเรือนยิ่งเฉียบคม ดูคนแม่นยำเหลือเกิน!
และหญิงออกเรือนคนงามที่เพิ่งมาใหม่วันนี้ ไม่รู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ดูจากสภาพแล้วน่าจะเป็นตัวปัญหาที่ดึงดูดบุรุษเช่นกัน เหลือแค่รอดูว่าชายเสเพลคนใดของตำบลหลิงเฉวียนจะสามารถเปิดประตูหลังของบ้านหลังคามุงกระเบื้องบนถนนสายเหนือหลังนี้ได้…
ณ ช่วงเวลาหนึ่งบรรดาหญิงออกเรือนท้องถิ่นเหล่านี้เริ่มพากันเกาะกลุ่มนินทา ประณามสมาชิกในครอบครัวของพ่อค้าต่างถิ่นที่จะมาทำให้ถนนสายเหนือเสียชื่อ ทั้งยังพากันยกยอบุรุษบ้านตนเอง ดีใจที่บุรุษของตนตามีแวว แต่งกับภรรยามีคุณธรรมอย่างตน ในช่วงเวลานั้นทุกคนต่างสนทนาพาทีกันอย่างครื้นเครง
ยามนี้เลิกพูดถึงเหล่าหญิงออกเรือนปากมากช่างนินทาด้านหน้าประตู แล้วมองเข้ามาภายในบ้านมุงหลังคากระเบื้องที่ผ่านการตกแต่งใหม่แทน หลังหญิงงามผู้นั้นก้าวเข้ามาหลังประตูก็ขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัยอยู่ตลอด
ดูเหมือนว่าบ้านหลังนี้จะมีแค่กำแพงกับประตูใหญ่ที่กระดำกระด่างไม่ได้ผ่านการซ่อมบำรุงเท่านั้น เพราะพอเข้ามาภายในบ้านก็พบกับสระน้ำเล็กๆ คู่แปลงดอกไม้ เครื่องเรือนไม้จันทน์ ทุกอย่างล้วนประณีตพิถีพิถัน
หลิ่วเหมียนถังเงยหน้ามองสำรวจบ้านหลังเล็กหลังคามุงกระเบื้องที่มีประตูทางเข้าออกเดียวหลังนี้อีกครั้งพลางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอย่างลังเล “มิใช่สามีขาดทุนการค้าไปไม่น้อยจนจำเป็นต้องย้ายออกจากเมืองหลวงหรอกหรือ เหตุใดย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วยังซื้อบ้านที่ดูใช้ได้เพียงนี้ เขา…”
หลิ่วเหมียนถังยังไม่ทันพูดจบ บ่าวหญิงหน้าดำคล้ำที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขัดคำพูดนางอย่างแข็งกระด้าง “ครอบครัวของนายท่านเป็นคหบดีมาหลายรุ่น อูฐที่ป่วยตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* บ้านหลังเล็กเพียงนี้ยังคงมีเงินซื้อไหว ฮูหยินคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้นิ้วเรียวยาวลูบไม้เท้าในมือตนเองเบาๆ
หลี่มามา* ผู้นี้ชอบพูดขัดตนเองมาหลายครั้งแล้ว นางไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่ตนจะล้มป่วยเคยจัดการดูแลบ้านมาอย่างไร แต่รู้สึกว่าตนเองไม่น่าจะทนคนเช่นนี้ได้
ทว่าหลังล้มป่วยหนัก ไม่ใช่เพียงสูบพลังในร่างนางไปจนหมด ซ้ำยังมอดไหม้ความทรงจำในสมองนางไปเกือบหมดด้วย
นางจำหลายๆ เรื่องราวไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าตนเองชื่อ ‘หลิ่วเหมียนถัง’ เป็นบุตรสาวคนเล็กของสกุลหลิ่ว อดีตตระกูลสูงศักดิ์แห่งเพ่ยซาน มารดาเสียไปตอนอายุสิบขวบ มีพี่ชายอายุมากกว่านางห้าปีหนึ่งคน เพราะสกุลหลิ่วใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมาหลายรุ่น ตอนหลังขาดแคลนเงินทอง บิดาจึงหมั้นหมายการแต่งงานที่ไกลถึงเมืองหลวงกับพ่อค้าสกุลชุยให้นางเพื่อค่าสินสอดก้อนโต
ยังจำได้ว่าตอนที่นางจะต้องออกเรือนนั้นมีความไม่เต็มใจมากเพียงใด รู้สึกเหมือนตนเองถูกบิดาแท้ๆ ขายทิ้ง
ทุกวันนี้ห่างบ้านมาไกล ทว่าเรื่องราวหลังแต่งงานกลับจดจำไม่ได้เลยสักอย่าง ความทรงจำในช่วงนั้นคล้ายโดนพันไว้ด้วยใยไหมหนาชั้น หายไปซ่อนอยู่ที่ใดสักที่
โชคดีที่สามีของนางนิสัยดี ไม่ได้ทอดทิ้งนางไปเพราะอาการหวาดกลัวในช่วงแรกหลังนางฟื้นขึ้นมา ทั้งยังเชิญท่านหมอมารักษา ยาสมุนไพรชั้นเลิศก็มีให้ไม่เคยขาด ยอมจ่ายเงินทองที่มีไปกว่าครึ่งจึงยื้อชีวิตของนางกลับมาจากหน้าประตูผีได้ในที่สุด
แต่นางป่วยซมมานาน สิ้นเปลืองเงินทองอย่างมาก พอผ่านไปหนึ่งปีทรัพย์สินของครอบครัวสามีเองก็ไม่มากเท่าแต่ก่อนแล้ว
สามีที่ออกไปทำงานไกลได้ฝากคนมาบอกนางว่าเขาขายร้านค้าในเมืองหลวงให้คนอื่นไปแล้ว ปัจจุบันกิจการของครอบครัวย้ายไปที่เจียงหนานแทน นางจำเป็นต้องเก็บสัมภาระย้ายมาตั้งรกรากยังตำบลหลิงเฉวียน
นับแต่ล้มป่วยความทรงจำเสื่อม ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมามากพอให้หลิ่วเหมียนถังหายหวาดผวาทำอะไรไม่ถูกจากอาการสูญเสียความทรงจำไปได้แล้ว
สามีเคยเล่าให้ฟังว่าสกุลหลิ่วโดนลูกหลงจากคดีสำนักศึกษาไต้ซานเมื่อสามปีก่อน บิดาถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ส่วนพี่ชายเข้าคุก ภายหลังโดนเนรเทศส่งไปยังหลิ่งหนาน
ทั้งที่ได้ยินข่าวร้าย แต่ลึกๆ ในใจนางกลับไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ความเน่าเฟะของสกุลหลิ่วแสดงให้เห็นตั้งแต่ก่อนที่นางจะออกเรือนแล้ว บิดาเย็นชาละเลยนาง ทว่ารักใคร่ให้ท้ายจ่ายเงินซื้อตำแหน่งให้พี่ชาย กลบฝังปัญหาของสกุลหลิ่วจนกลายเป็นภัยแฝง
แม้จะเป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แต่นางที่สูญเสียความทรงจำช่วงนั้นไปยังคงได้รับความสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง หลังได้ยินข่าวบิดาตายอย่างอเนจอนาถ และสิ่งที่พี่ชายประสบพบเจอ นางก็เสียใจจนกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน
สุดท้ายเป็นสามีที่บังคับบีบคางนางกรอกน้ำแกงลงไปครึ่งชาม จากนั้นเอ่ยเสียงเย็นว่า ‘เรื่องเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เจ้าก็แค่สูญเสียความทรงจำถึงได้เสียใจอีกครั้ง ผู้ตายจากไปแล้ว มีเหตุผลอย่างให้คนเป็นตายตามไปเสียที่ใดกัน บรรดาคนในครอบครัวของบัณฑิตที่ถูกพ่อลูกสกุลหลิ่วของเจ้าฆ่าตายยังไม่ได้คิดสั้นตามเลย เจ้าอดอาหารตายเช่นนี้ต้องการจะรับผิดแทนบิดาของเจ้าหรือไรกัน’
ประโยคนี้เปรียบดั่งมีดคมกริบที่นางไม่อาจทนรับได้ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้กระจ่างแจ้ง กระชากตัวนางออกมาจากความโศกเศร้าที่ไม่อาจควบคุม
สกุลหลิ่วสูงศักดิ์หายไปตั้งนานแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
สามีเป็นคนพูดไม่เก่ง ปกติอยู่กับนางก็ไม่พูดมาก แต่เขาเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้ ไม่ได้รังเกียจนางเพราะบ้านสกุลเดิมของนางตกอับ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่อาจอ้างว่าป่วยแล้วเป็นภาระให้สามีนางเสียสมาธิ
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินหลี่มามาบอกว่าเพื่อทำการรักษานางแล้ว ทำให้สามีไม่มีสมาธิดูแลกิจการ สูญเสียเงินทองไปก้อนใหญ่ หลิ่วเหมียนถังยิ่งรู้สึกผิดยากจะทน ตั้งปณิธานว่าจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีให้สามีสามารถทำการค้าได้อย่างสบายใจ ไม่ถึงขั้นขาดทุนทรัพย์ที่มีไปจนหมด
ในที่สุดวันนี้นางก็มาตั้งรกรากอยู่ตำบลหลิงเฉวียน นับจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของนาง เพียงแต่หลี่มามาผู้นี้ดูเหมือนจะชอบปฏิบัติตัวไม่ดีกับนาง คล้ายว่านางเคยทำผิดต่อสามีอย่างไรอย่างนั้น
แม้บ่าวอาวุโสจะทำตัวไม่ดี แต่หลิ่วเหมียนถังก็ไม่ได้โวยวาย ตอนนี้สกุลชุยไม่ได้ใหญ่โตเหมือนแต่ก่อน คนที่ยอมอยู่ต่อล้วนเป็นบ่าวอาวุโสที่ซื่อสัตย์ นางเพิ่งมาถึงย่อมไม่สะดวกวางท่าเป็นนายหญิงของบ้านจัดการกับหลี่มามา ทำให้บ่าวรับใช้คนอื่นพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตักเตือนอ้อมๆ บ้าง
ถ้าไม่ได้จริงๆ ส่งหลี่มามาไปทำงานที่ร้านค้าของสามีแทนก็ได้
เมื่อคิดเช่นนี้หลิ่วเหมียนถังก็รู้สึกสบายใจขึ้น วันเวลาในอนาคตอาจเป็นเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสองของตำบลหลิงเฉวียน หลังผ่านความหนาวไปก็คือความอบอุ่นอันไร้ที่สิ้นสุด
แม้หลิ่วเหมียนถังจะเพิ่งมาถึงที่นี่ แต่หีบเสื้อผ้าล้วนถูกส่งล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ทว่าพวกเสื้อผ้ากับผ้าห่มต่างพับเก็บไม่เรียบร้อย อยู่ในสภาพโยนใส่ไว้ในหีบเสื้อผ้าส่งๆ ทั้งสิ้น
หลิ่วเหมียนถังตะโกนเรียกหลี่มามาให้เข้ามาจัดเก็บหีบเสื้อผ้า แต่เสียงของหลี่มามากลับดังจากห้องครัวที่อยู่ไม่ไกลว่า “ประเดี๋ยวนายท่านจะมาที่นี่ บ่าวจำเป็นต้องทำอาหารเอาไว้ก่อน เสื้อผ้าเหล่านั้นไว้ค่อยเก็บพรุ่งนี้เจ้าค่ะ!”
หลี่มามาขัดคำพูดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเหตุผล จะให้สามีกลับมาแล้วหิ้วท้องรอกินข้าวคงไม่ได้
ข้างกายหลิ่วเหมียนถังมีเพียงบ่าวหญิงวัยกลางคนสองคน คนหนึ่งคือหลี่มามา อีกคนเป็นคนใบ้ทำงานจิปาถะ ตอนนี้บ่าวหญิงทั้งสองต่างผ่าฟืนทำอาหารอยู่ในห้องครัว งานในห้องนี้จึงจำเป็นต้องให้นางลงมือทำเองแล้ว
หลังล้มป่วยขาของนางไม่อาจทนยืนได้นาน ดังนั้นจึงย้ายเก้าอี้มานั่งข้างหน้าต่างเสียเลย พร้อมกับทยอยพับเสื้อผ้าไปทีละตัว
เสื้อผ้าเหล่านี้ซักจนเริ่มดูซีดเก่า ส่วนใหญ่เป็นของที่เมื่อหนึ่งปีก่อนสามีสั่งคนไปซื้อมาเติมให้นาง หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีเสื้อผ้าใหม่อีก
เพียงแต่ตอนนี้กิจการของสามีไม่สู้ดี มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ก็พอแล้ว นางไม่ได้เรื่องมากเรื่องพวกนี้
ทว่า…เสื้อผ้าในหีบล้วนเป็นของนาง ไม่มีเสื้อผ้าของสามีชุยจิ่วอยู่แม้แต่ตัวเดียว
หรือยังไม่ได้ขนย้ายสัมภาระของสามีมา? หลิ่วเหมียนถังอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
ในตอนที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นด้านหน้าประตูบ้านก็มีเสียงล้อรถม้าบดถนนหินดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูบ้าน
หลิ่วเหมียนถังกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อชะโงกหน้ามองไปก็ได้เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินอ้อมกำแพงบังตาด้านหน้าก้าวยาวๆ เข้ามา
บทที่ 2
ยามนี้เป็นเวลาใกล้ช่วงย่ำค่ำแล้ว รัศมีสีทองส่องกระทบลงบนใบหน้างามสง่าของบุรุษ ส่งผลให้คิ้วของเขาดูคมเข้มมากขึ้น ดวงตาใต้คิ้วดั่งกระบี่คมกริบน่าเกรงขาม
นี่เป็นบุรุษที่หล่อเหลาผู้หนึ่ง จมูกโด่ง ริมฝีปากบางนั้นแทบจะอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา มักจะหยักยกอยู่เสมอ ช่วยสลายกลิ่นอายโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากนัยน์ตาของเขาได้หลายส่วน
หลิ่วเหมียนถังยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ตนฟื้นจากอาการป่วยหนักขึ้นมาเห็นเขา ความคิดแรกที่วาบผ่านมาในใจคือ…ถึงแม้จะรูปโฉมหล่อเหลาคมคาย แต่ดูแล้วไม่น่าผ่อนคลายสบายใจ รูปหน้ามีลักษณ์ดอกท้อ* อยู่บางส่วน ใครเป็นภรรยาของเขาจะต้องเหนื่อยใจเป็นแน่
คนโบราณว่าไว้ไม่อาจมองคนแต่ภายนอก มิฉะนั้นจะโดนสวรรค์ลงโทษ!
นางที่นอนป่วยบนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราวโดนกรรมตามสนองหลังค่อนขอดผู้อื่นไปอย่างรวดเร็ว…เพราะถุงหอมที่ตนเตรียมไว้ให้ว่าที่สามีก่อนออกเรือนห้อยอยู่บนร่างของคุณชายรูปงานสง่าแฝงลักษณ์ดอกท้อผู้นี้
รวมกับที่ได้ยินท่านหมออายุน้อยซึ่งตรวจชีพจรให้นางเรียกเขาว่า ‘ท่านชุยจิ่ว’ นางถึงลอบคาดเดาได้ว่าที่แท้นางก็คือภรรยาดวงซวยที่จะต้องเหนื่อยใจผู้นั้น
ในตอนที่ได้รับคำยืนยันจากท่านหมอ ความรู้สึกนางพลันสลับซับซ้อนยิ่ง ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับสามีแปลกหน้าผู้นี้อย่างไรดี
ตัวนางในเวลานั้นยังคงไม่อาจขยับปากพูดได้มาก ทำได้เพียงนอนไร้กำลังมองดูชุยจิ่วที่นั่งอยู่ด้านข้างถามท่านหมออย่างใส่ใจว่า ‘อาการป่วยของนางเป็นอย่างไรบ้าง จะพูดได้เมื่อใด’
น้ำเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมเสน่ห์ช่างชวนให้คนรู้สึกสบายใจขึ้นมาแปลกๆ…
ในตอนที่หลิ่วเหมียนถังกำลังใจลอย ชุยจิ่วก็เลิกม่านประตูเดินก้าวยาวๆ เข้ามาแล้ว เมื่อเห็นนางกำลังมองมาที่ตนเองอย่างงงงันฝีเท้าจึงชะงักลง เงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ข้ากลับมาแล้ว”
เมื่อนับดูนางกับเขาไม่ได้เจอหน้าราวหนึ่งเดือนกว่าได้แล้ว
น่าเสียดายที่แม้นางกับชุยจิ่วแต่งงานกันมาหลายปี แต่ทุกวันนี้ในสมองของนางยังคงไม่มีเค้าลางว่าจะจดจำสิ่งใดๆ ได้ รวมถึงไม่มีทางเกิดความรู้สึกคะนึงหาตัดพ้อหลังสามีจากจรไกลไม่กลับมานาน
แต่นางก็พอจะได้ยินเรื่องราวในอดีตบางอย่างจากปากผู้อื่น รู้แค่ว่าหลังแต่งงานมาคู่สามีภรรยารักใคร่กันดี
แม้จะเหินห่างแต่เมื่อนึกถึงความช่วยเหลือและความเหน็ดเหนื่อยที่สามีชุยจิ่วมีต่อสกุลหลิ่วกับตนเอง หลิ่วเหมียนถังพลันหลุดจากภวังค์แล้วลุกเดินเข้าไปหา เตรียมจะช่วยเขาถอดเสื้อคลุมมาสะบัดฝุ่นผงทิ้งให้
ทว่ายังไม่ทันให้นางได้เข้าใกล้ นิ้วยาวของชุยจิ่วก็แก้ปมสายรัดด้วยตนเองพร้อมโยนเสื้อคลุมผ้าแพรต่วนทิ้งไปบนเก้าอี้ยาวด้านข้างก่อนแล้ว
หลิ่วเหมียนถังเห็นเขานั่งลงจึงเดินไปหยิบถ้วยบนโต๊ะขึ้นมารินน้ำให้พลางเอ่ย “หลี่มามากำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ยังไม่ทันต้มน้ำร้อนมาให้ น้ำในกานี้มิอาจต้มชา ท่านพี่ดื่มดับกระหายไปก่อนนะเจ้าคะ”
พูดจบก็อิงตามขนบธรรมเนียมที่เรียนรู้มาจากอาจารย์หญิงซึ่งสอนหลักจรรยาของภรรยาให้นางก่อนออกเรือน ย่อตัวลงยกถ้วยขึ้นตรงกับหน้าผาก ยื่นให้สามีดื่ม
นี่เรียกว่า ‘ยกถาดเสมอคิ้ว’ เป็นธรรมเนียมที่สตรีซึ่งเคารพสามีพึงมี
ดวงตาเว้าลึกคู่นั้นของชุยจิ่วหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ได้รับถ้วยที่นางยื่นให้ แต่หยิบตำราที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาพลิกเปิด ขณะที่ปากก็เอ่ยคำพูดห่วงใย “ท่านหมอเทวดาของเจ้าเคยบอกเอาไว้ เจ้าป่วยหนักมา ต้องหลีกเลี่ยงไอเย็นมากที่สุด ไม่ควรดื่มน้ำเย็นเช่นนี้” เขาพูดจบก็ตะโกนออกไปข้างนอก “หลี่มามา ยกน้ำชาร้อนเข้ามา!”
หลี่มามาผู้นั้นนับว่ากระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว รอไม่นานก็ยกกาน้ำชาร้อนเดินเข้ามา
ชุยจิ่วรับถ้วยชาที่หลี่มามายื่นให้ จากนั้นพับแขนเสื้อส่งๆ แล้วใช้ฝาถ้วยปาดใบชาบนผิวน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยๆ จิบดื่มน้ำชาด้วยท่วงท่าสง่างาม
สมัยก่อนตอนที่หลิ่วเหมียนถังเรียนวิถีแห่งชากับอาจารย์หญิง เคยได้ยินอาจารย์สอนเรื่องศาสตร์แห่งการดื่มชาอย่างยกฝาถ้วย ปาดใบชา และลูบถ้วยมาก่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นวิถีให้ศึกษา
ในตอนนั้นที่นางได้เห็นอาจารย์ทำให้ดูอย่างคล่องแคล่วเป็นตัวอย่างยังแอบชื่นชมในใจ ทว่าบัดนี้เมื่อมองดูท่วงท่าสง่างามในการดื่มชาของชุยจิ่วแล้ว ราวกับว่าภาพอาจารย์หญิงเมื่อครานั้นจะดูต่ำชั้นและจอมปลอมขึ้นมาทันที
นางจำได้แค่ว่าสกุลชุยเป็นคหบดีของเมืองหลวงที่ร่ำรวยเทียบเคียงกับบ้านเมือง ทว่าชาติกำเนิดเป็นเพียงลูกเรือของกลุ่มขนส่งทางน้ำที่ลักลอบค้าเกลือ นึกไม่ถึงว่าลูกหลานของตระกูลพ่อค้าอย่างชุยจิ่วจะมีบุคลิกของตระกูลสูงศักดิ์อยู่
เทียบกันแล้วบุตรสาวของขุนนางตกอับครึ่งๆ กลางๆ อย่างนาง ดูไปกันไม่ค่อยได้กับคุณชายดั่งหยกตรงหน้าท่านนี้สักเท่าไร…
หลังหลี่มามายกน้ำชาร้อนมาวางก็ล่าถอยออกไปอย่างนอบน้อม ทิ้งให้หลิ่วเหมียนถังกับชุยจิ่วคู่สามีภรรยานั่งอยู่ด้วยกัน
ความจริงช่วงเวลาอยู่กันตามลำพังเช่นนี้ไม่ได้มีอยู่บ่อยครั้ง ตอนที่นางยังป่วยหนักนอนซมบนเตียง มีสาวใช้กับบ่าวหญิงคอยปรนนิบัติอยู่ตลอดเวลา และเมื่อนางสุขภาพดีขึ้นชุยจิ่วก็ออกไปทำการค้าข้างนอกอีก
ตอนนี้ภายในห้องเงียบๆ มีคนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน นางถึงนึกได้ว่าหน้าที่ของภรรยาไม่ได้ทำแค่ยกถาดเสมอคิ้ว แต่ยังต้องยวนยางโบยบินคู่…
คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังก็ตื่นเต้นขึ้นมา ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แต่เหมือนตนจะยังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมสักเท่าใด
หลังชุยจิ่ววางถ้วยชาลงก็ถามอย่างอ่อนโยนว่าระยะนี้ร่างกายของนางดีขึ้นบ้างหรือไม่
เมื่อเห็นว่าสามีแค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับตนเอง หลิ่วเหมียนถังจึงลอบโล่งอก จากนั้นตอบกลับไปทุกคำถาม
หลังถามเรื่องทั่วไปสักพักหนึ่ง จู่ๆ ชุยจิ่วก็ถามอย่างไม่คล้ายเจตนาว่า “เจ้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้หาเวลาไปเดินเล่นในตำบลดูเถอะ ถ้ามีของสิ่งใดอยากซื้อเข้ามาเพิ่มก็ซื้อมาได้เลย”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ข้าไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด บนถนนมีผู้คนไปมาขวักไขว่วุ่นวาย มิสู้อยู่เก็บกวาดทำความสะอาดบ้านดีๆ อย่างไรก็สงบกว่า”
ทุกวันนี้สกุลชุยเริ่มตกอับ กิจการทำเงินในเมืองหลวงต่างขายทิ้งไปหมดแล้ว บัดนี้มาทำการค้าเครื่องเคลือบดินเผาที่ตำบลหลิงเฉวียน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนยากตอนเริ่มต้น คิดว่าคงจำเป็นต้องใช้เงินในหลายเรื่อง หากไม่มัธยัสถ์เสียบ้าง ยังคงใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อเหมือนแต่ก่อน นั่นมิใช่เป็นการกินสมบัติเก่าหรอกหรือ
ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่อยากทำลายศักดิ์ศรีของสามี ดังนั้นจึงไม่พูดประโยคประเภทกลัวการออกไปใช้เงินเช่นนั้น
เพียงแต่เมื่อพูดจบนางกลับลุกขึ้นหยิบกล่องเครื่องประดับของตนออกมาจากหีบสัมภาระ
ข้างในนั้นมีตั๋วเงินสองใบที่ท่านตาฝากคนนำมามอบให้ตอนนางออกเรือน
หลังนางฟื้นขึ้นมาสินเจ้าสาวอื่นๆ ได้หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงเครื่องประดับศีรษะที่สืบทอดมาจากมารดาของนางและกล่องเงินใบนี้ที่อยู่ใต้ฟูกของนางตามเดิม ภายหลังครอบครัวสามีลำบาก ชุยจิ่วก็ไม่เคยปริปากขอกล่องเครื่องประดับของนางมาก่อน
ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งยื่นให้เขาอย่างไม่ลังเล “ได้ยินหลี่มามาบอกว่าท่านเพิ่งซื้อร้านค้าแห่งหนึ่งในตำบล บุกเบิกกิจการใหม่ คาดว่าในไม่ช้าจะสำเร็จรุ่งเรือง สินเจ้าสาวของข้ามีไม่มาก พวกนี้ถือว่าข้าร่วมหุ้นด้วย เมื่อร้านเปิดข้าเองก็สามารถแบ่งกำไรบางส่วนกับท่านพี่ได้”
นางเอ่ยเช่นนี้นับเป็นการไว้หน้าชุยจิ่ว ก็คงดีกว่าพูดตรงๆ ว่า ‘ท่านพี่ ทุกวันนี้ท่านใช้เงินไปกับการจ่ายหนี้สินจนหมด ข้ากลัวท่านจะไม่มีเงินทุนเลยจ่ายโปะให้ท่านด้วย’
ชุยจิ่วคล้ายคาดไม่ถึงว่านางจะทำเช่นนี้ เพียงมองนางอยู่สักพัก เขาไม่ได้รับมา เพียงเอ่ยถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าการค้าจะขาดทุน แล้วเจ้าจะไม่ได้สินเจ้าสาวกลับมาหรือ”
หลิ่วเหมียนถังเห็นเขาไม่รับจึงวางตั๋วเงินลงบนโต๊ะพลางยิ้มเอ่ย “ทำการค้าย่อมมีกำไรและขาดทุน เงินทั้งหมดในใต้หล้าจะตกอยู่ในมือคนผู้เดียวได้อย่างไรเล่า ท่านเอาไปใช้ย่อมดีกว่าข้าหลับหูหลับตาใช้อยู่แล้ว” พูดจบก็มองเขาด้วยสีหน้าคาดหวังว่าเขาจะรับไว้
เดิมหลิ่วเหมียนถังก็งดงาม แต่หากหญิงงามไร้ชีวิตชีวาก็เป็นเพียงหยกแกะสลักชิ้นหนึ่งที่ปราศจากจิตวิญญาณ ทว่าเมื่อนางยิ้มน้อยๆ บรรยากาศเหินห่างไม่น่าเข้าใกล้ดั่งภูเขาหิมะที่มีอยู่เดิมจะสลายหายวับไปกับรอยยิ้มสดใสดั่งบุปผาในทันที บนแก้มขาวนวลสองข้างมีลักยิ้มจางๆ ดูแล้วอ่อนหวานยิ่ง พาให้บรรยากาศคล้ายแม่นางน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ออกมา
ชุยจิ่วหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ยื่นมือไปหยิบตั๋วเงินมาพร้อมเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะเก็บไว้แทนเจ้าก่อน…แต่เจ้าก็ยังต้องออกไปเดินเล่นในตำบลอยู่ดี ข้าสั่งจองผ้าสำหรับตัดชุดจำนวนหนึ่งไว้ให้เจ้าที่ร้านผ้า เจ้าลองไปดู หากไม่ถูกใจก็เปลี่ยนเป็นแบบที่ชอบเสีย…”
ในเมื่อเป็นความเอาใจใส่ของสามี หลิ่วเหมียนถังจึงไม่อาจปฏิเสธอีก ผงกศีรษะรับปากแทน
ตอนนั้นเองหลี่มามาเข้ามาถามว่านายท่านจะกินอาหารหรือไม่ หลังได้ยินคำตอบให้จัดโต๊ะจึงถือถาดไม้เคลือบยกอาหารเข้ามาวาง
อาหารในวันนี้ล้วนมีกลิ่นอายของเจียงหนาน รากบัวยัดไส้เนื้อผัดที่มีสีเหลืองกรอบ และ ‘ไก่ขอทาน’* ซึ่งแผ่กลิ่นใบบัวใสกระจ่าง แล้วยังมีน้ำแกงเต้าหู้ข้างบนโรยไข่ปู รสชาติเอร็ดอร่อยมิสามัญ
บางทีอาจเพราะนายท่านกลับมาบ้าน วันนี้หลี่มามาที่ปกติทำอาหารลวกๆ จึงตั้งใจเป็นพิเศษ
ตลอดทางที่หลิ่วเหมียนถังเดินทางมาได้กินแต่ข้าวต้มกับผักเป็นหลัก ตอนที่ไม่เห็นเนื้อก็ยังดี แต่พอได้เห็นถึงรู้สึกตัวว่าตนเองกระหายเนื้อสัตว์แล้วจริงๆ จึงตั้งอกตั้งใจกินอย่างมาก
หลังเนื้อรสอร่อยตกถึงท้อง นอกจากช่วยแก้กระหายทางลิ้น นางยังรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่นี้ตอนตนกินข้าวเหมือนจะเสียมารยาทไป ดังนั้นจึงยกถ้วยเล็กไปตักน้ำแกงเต้าหู้มา เก็บมารยาทที่ฝึกฝนก่อนออกเรือนกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก่อนยื่นถ้วยเสมอคิ้วให้สามีทันที
นางจะลืมตัวเกินไปแล้ว สมัยก่อนตอนอยู่บ้านเดิมก็เคยโดนบิดาตำหนิเพราะกินข้าวไม่เรียบร้อย นับจากนั้นมาทุกครั้งเวลากินข้าวต่อหน้าผู้อื่นนางก็จะสงบเสงี่ยมลงเจ็ดส่วน
และตอนนี้การที่นางเอาแต่สนใจตนเองก็นับว่าไม่สมควรจริงๆ ทุกวันนี้เงินในครอบครัวร่อยหรอ ช่วงเวลามีกับข้าวเต็มโต๊ะเช่นนี้จะพบเห็นได้ไม่มากแล้ว สามียุ่งกับการทำการค้าทุกวัน ต้องการการบำรุง ตนเองอยู่บ้านว่างๆ จะกินมากได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้นางจึงรีบเก็บตะเกียบ เอาแต่กินคำเล็กๆ คู่กับข้าวเท่านั้น
ชุยจิ่วกินไม่มาก แค่ยื่นมือออกไปคีบกับข้าวเป็นบางครั้ง เวลาส่วนใหญ่ล้วนมองดูหลิ่วเหมียนถังที่อยู่ตรงหน้ากินอย่างตะกละตะกลาม
เวลาหญิงงามกินอาหารจะพิถีพิถันที่ท่วงท่าสง่างาม อย่างเช่นเคี้ยวไม่เห็นฟัน ดื่มน้ำแกงไม่มีเสียง น่าเสียดายภรรยาผู้นี้ของเขาเรื่องความงามนั้นก็งามอยู่ ทว่ายามกินกลับเบิกตากว้าง แก้มพองป่อง มีสมาธิผิดปกติ
เพียงแต่ท่าทางตั้งใจกินเต็มที่เช่นนั้นกลับไม่ชวนให้คนรู้สึกดูถูก ซ้ำยังชักจูงให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นแทน
โดยไม่ทันระวังเขาที่เดิมทีไม่คิดจะกินเยอะกลับกินเพิ่มขึ้นตามไปหลายคำ เพียงแต่ตอนหลังอาจเพราะนางอิ่มแล้วจึงไม่เห็นนางรีบขยับตะเกียบคีบอีก
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน ซ้ำความคิดยังไม่ได้อยู่ที่การกินอาหารทั้งคู่ บรรยากาศจึงดูเย็นเยือกเงียบงันไปบ้าง
รอหลังกินอาหารเสร็จชุยจิ่วดื่มชาล้างปากเรียบร้อยก็เอ่ยกับนางว่า “ที่ท่าเรือมีสินค้าชุดหนึ่งเข้ามาใหม่ ข้าจำเป็นต้องไปตรวจดู คงไม่กลับบ้านในคืนนี้ เจ้าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ประเดี๋ยวก็พักผ่อนเลยเถอะ”
เดิมทีหลิ่วเหมียนถังรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องที่คืนนี้ทั้งสองคนจะได้นอนด้วยกันหรือไม่ เมื่อได้ยินชุยจิ่วกล่าวเช่นนี้ก็พลันโล่งอกขึ้นมายกใหญ่ น้ำเสียงฟังดูสบายใจขึ้น “แม้จะอยู่เจียงหนาน แต่ตอนกลางคืนอากาศก็หนาวเช่นกัน ท่านพี่จะต้องแต่งตัวหนาๆ หน่อยนะเจ้าคะ…”
พูดจบนางก็หยิบเสื้อนวมที่ตนเองนั่งเย็บตลอดหลายวันมานี้ยื่นให้สามี
บทที่ 3
หลักจรรยาของภรรยา…จะต้องคอยระวังความอบอุ่นร้อนหนาวของสามี เพิ่มเติมชุดตามฤดูกาล
หลายวันมานี้สุขภาพหลิ่วเหมียนถังดีขึ้น เมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงนำวิชาเย็บปักถักร้อยที่เคยเล่าเรียนมาเดือนกว่าตอนอยู่สกุลเดิม อิงตามสัดส่วนที่ถามจากหลี่มามา ใส่ปุยนุ่นเพิ่มเข้าไปในผ้าที่เหลือจากการนำมาตัดเสื้อตัวในให้นาง ในที่สุดก็ทำเสร็จออกมาตัวหนึ่ง
ยามนี้ชุยจิ่วมองดูรอยเย็บที่ค่อนข้างหยาบกระด้างบนเสื้อนวมเงียบๆ แววตานั้นแฝงความนัยบางอย่างที่ชวนให้คนใคร่ครวญ มองจนหลิ่วเหมียนถังรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา คนเราไม่ควรแสดงข้อด้อยของตนเองให้ผู้อื่นเห็นจริงๆ ด้วย หากสามีนึกรังเกียจขึ้นมา เช่นนั้นก็ขายหน้าแล้วจริงๆ
ทว่าหลังสามีมองอยู่สักพัก ท้ายที่สุดยังคงรับไปแล้วถอดเสื้อนอกตนเองออกเตรียมลองสวม
แววตาหลิ่วเหมียนถังเป็นประกายระยิบระยับกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นางช่วยสามีสวมเสื้อนวมอย่างกระตือรือร้น โชคดีที่ขนาดยังใช้ได้ นับว่าพอดีตัว ภายใต้การขับเน้นด้วยรูปร่างองอาจผึ่งผายของชุยจิ่ว เสื้อจึงแลดูเป็นรูปเป็นทรงขึ้นมาก รอยเย็บหยาบกระด้างก็ไม่ได้ดูสะดุดตาเพียงนั้นอีก
จากนั้นชุยจิ่วจึงสวมเสื้อนอกให้เรียบร้อยอีกครั้งภายใต้การปรนนิบัติจากภรรยาแสนดีอย่างหลิ่วเหมียนถัง ตามด้วยสวมเสื้อคลุมกันลมทับ
เพียงแต่ตอนที่หลิ่วเหมียนถังผูกสายรัดข้างหน้า นิ้วเรียวสวยของนางออกจะงุ่มง่ามไปบ้าง ผูกอยู่หลายครั้งก็ยังทำได้ไม่ดี สุดท้ายออกแรงมากเกินไปจนกลายเป็นผูกเงื่อนตายเข้าเสียอย่างนั้น
ชุยจิ่วรู้สึกคอถูกรัดเล็กน้อย เขาวางฝ่ามือใหญ่กุมท้ายทอยของนางเบาๆ มุมปากหยักยกเอ่ย “เจ้าตั้งใจจะรัดคอข้าให้ตายหรือ”
เมื่อถูกเขากุมท้ายทอยเอาไว้ ร่างนางก็คล้ายถูกโอบล้อมไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ แปลกๆ ซึ่งแผ่กำจายออกจากตัวเขา นางอยู่ใกล้เขามากเพียงนี้สามารถมองเห็นขนตาดำงอน รวมถึงนัยน์ตาที่รอยยิ้มไปไม่ถึงของเขาได้อย่างชัดเจน
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าแรงมือของเขาออกจะมากเกินไปอยู่บ้าง จึงคิดใช้กระบวนท่ามือคว้าจับพลิกฝ่ามือเขาออกในทันที
นี่ไม่ใช่การไม่เคารพต่อสามี แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น!
ทว่ากระบวนท่าที่คุ้นเคยกระจ่างแจ้งในอดีต มาบัดนี้เพียงเพราะข้อมือไร้กำลังจึงปราศจากความน่ากลัวโดยสิ้นเชิง ร่างกายนางกลายเป็นยืนได้ไม่มั่นคงล้มฟุบใส่อ้อมกอดของชุยจิ่วแทน
นางเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจเล็กน้อย “ท่านหมอเทวดาจ้าวไม่ได้บอกว่าข้าหายดีแล้วหรอกหรือ เหตุใดมือจึงยังไม่มีแรงอีกเล่า!”
มารดาที่เสียไปของหลิ่วเหมียนถังคือบุตรสาวของประมุขสำนักคุ้มภัยเสินเวยที่มีชื่อเสียงโด่งดังของต้าเยี่ยน ดังนั้นนางจึงฝึกวรยุทธ์กับมารดาตั้งแต่อายุสามขวบ แม้มารดาจะตายไปตอนนางอายุสิบขวบ แต่นางยังคงรักษาความเคยชินในการฝึกยุทธ์ทุกวัน
ตอนนี้ดูแล้วอาจเพราะอาการป่วยหนัก มือเท้านางจึงไร้เรี่ยวแรงมาโดยตลอด คาดว่าจะรักษาความสามารถที่มารดาถ่ายทอดให้นางไว้ไม่ได้แล้ว
ชุยจิ่วก้มหน้าลง เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของหลิ่วเหมียนถังก็ยอมคลายแรงมือแล้วพยุงนางขึ้นมาช้าๆ ก่อนหลุบตาลงมองแก้มซีดขาวและสีหน้าอารมณ์เสียของนางพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ไม่ใช่ว่าดีขึ้นมากแล้วหรือ ออกไปข้างนอกให้มากๆ เคลื่อนไหวร่างกายเสียหน่อย บางทีอาจจะดีขึ้นเร็วกว่านี้”
พูดมาถึงตรงนี้เขาหยุดคิดก่อนหยิบกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ ใบเล็กออกมาจากสาบเสื้อ “นี่เป็นแป้งชาดตำรับของหอหานเซียงแห่งเจียงหนาน มีกลิ่นหอม พรุ่งนี้ตอนเจ้าแต่งตัวสามารถประทินโฉมเพิ่มสีสันได้บ้าง”
หลิ่วเหมียนถังรับกล่องที่ดูประณีตเป็นพิเศษใบนั้นมา หอหานเซียงนี้น่าจะสำหรับคนรวยโดยเฉพาะ ตลับกระเบื้องเคลือบที่ใช้บรรจุผงชาดกับแป้งผัดหน้าต่างไปจากปกติ เป็นรูปแบบหรูหราฝังหินลวี่ซง* ลงลายทองแทน
ในเมื่อเป็นความตั้งใจของสามี นางย่อมยิ้มแย้มรับไว้ แต่ในใจก็อดทอดถอนใจมิได้ ดั่งคำที่ว่า ‘คนรวยกลายเป็นคนจนนั้นยาก’ คาดว่าคงเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น สามีใช้จ่ายมือเติบจนเคยชิน ยังคงจ่ายเงินเหมือนสายน้ำไหล แต่ทุกวันนี้ครอบครัวไม่อาจใช้เงินเหมือนกับตอนอยู่เมืองหลวงได้อีกแล้ว
ไว้วันหน้านางจะต้องพูดกับสามีอ้อมๆ สักครั้ง พวกของสิ้นเปลืองเงินทองเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อมาให้นางแล้ว กระนั้นตอนที่นางรับตลับกระเบื้องเคลือบก็ยังคงส่งยิ้มขอบคุณให้เขา
รอยยิ้มดั่งบุปผามอมเมาคนจนไม่อาจละสายตา ชุยจิ่วมองนิ่งๆ ครู่หนึ่งจึงกลับหลังหันเดินจากไปเงียบๆ
หลิ่วเหมียนถังมองส่งเงาร่างสูงใหญ่ของสามีจวบจนหายลับไปหลังกำแพงบังตา ในใจนึกขึ้นว่า บุคลิกของสามีดูเป็นบัณฑิตก็จริง แต่แรงมือกลับมากนัก รูปร่างเองก็กำยำองอาจ ดูแล้วเหมือนจะเคยฝึกวรยุทธ์เช่นกัน
ตอนอยู่เมืองหลวงส่วนใหญ่นางอยู่แต่ในเรือน ไม่ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกมานานแล้ว เมื่อคิดถึงว่าพรุ่งนี้จะได้ออกไปเดินเล่นและชมดูทิวทัศน์ของตำบลหลิงเฉวียน ในใจก็พลอยลิงโลดอยู่ไม่น้อย
รุ่งเช้าวันต่อมาไม่ทันรอให้หลิ่วเหมียนถังตื่น หลี่มามาก็ยกน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้าเข้าห้องมาปลุกแล้ว “ฮูหยิน ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังผลุบออกมาจากผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน ในใจคิดว่าปกติแล้วนางเรียกใช้ไม่ขยับ วันนี้กลับขยันขันแข็งน่าดู ไม่ต้องให้เรียกก็เข้ามาปรนนิบัติเองแล้ว เห็นได้ว่าสาเหตุมาจากสามีกลับมาบ้าน ทำให้บ่าวอาวุโสที่เกียจคร้านเป็นนิจกลับมามีมารยาท ตั้งใจทำงานมากขึ้น
ในเมื่อยกน้ำอุ่นเข้ามาแล้วนางจึงไม่สะดวกจะนอนต่ออีก ได้แต่ลุกขึ้นมาล้างหน้า แต่งกายเกล้าผม
ปกติหลิ่วเหมียนถังไม่ชอบพวกผงชาดแป้งผัดหน้า เพียงแต่นางไม่อาจเอาเปรียบความปรารถนาดีของสามีเมื่อวานนี้ ดังนั้นจึงผัดแป้งบางๆ และแต้มริมฝีปากเล็กน้อย
หลี่มามามองผ่านคันฉ่องสำริดก็รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างงามพริ้งมอมเมาสายตาผู้คนจริงๆ ทว่าความงามนี้ซ่อนแฝงกลิ่นอายเย้ายวนผู้คนเอาไว้ด้วย อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นออกมาเล็กน้อย
หลิ่วเหมียนถังคุ้นชินกับท่าทางประหลาดพิกลของหลี่มามาแล้ว นางจึงอาศัยโอกาสช่วงประทินโฉมเอ่ยถามขึ้นคล้ายไม่เจตนา “หลี่มามา ก่อนที่ข้าจะสูญเสียความทรงจำเคยลงโทษบ่าวรับใช้หนักๆ หรือ”
หลี่มามาช่วยนางสวมกำไลเงินขณะตอบ “ฮูหยินจิตใจมีเมตตา ไม่เคยลงโทษบ่าวรับใช้หนักๆ มาก่อนเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินก็หันกลับไปยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย “ในเมื่อไม่เคย เหตุใดหลี่มามาจึงมักจะหงุดหงิดข้าคล้ายมีเรื่องไม่พอใจเล่า”
คล้ายหลี่มามาจะคาดไม่ถึงว่าหลิ่วเหมียนถังจะเอ่ยปากตรงๆ เช่นนี้ หลังนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็กัดฟันคุกเข่าลงเอ่ย “บ่าวชาติกำเนิดต้อยต่ำ คำพูดคำจาจึงแฝงความป่าเถื่อนเอาไว้ หากบ่าวมีสิ่งใดไม่เหมาะสม ขอฮูหยินโปรดอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ”
ครั้นเห็นหลี่มามายอมรับผิด หลิ่วเหมียนถังเองก็ไม่ต้องการตำหนิต่อ เพียงบอกให้นางลุกขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ถึงอย่างไรนางก็อายุยังน้อย ทั้งเคยป่วยหนักมาแล้วหนหนึ่ง ช่วงก่อนหน้านี้แม้แต่จะลุกขึ้นนั่งด้วยตนเองยังทำมิได้ นางจึงไม่คิดโทษที่บรรดาบ่าวรับใช้จะบกพร่องมารยาท ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาอีก
หลี่มามาเป็นคนเก่าแก่ของสกุลชุย ได้ยินว่าเฝ้าดูชุยจิ่วเติบโตมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อเห็นแก่หน้าของสามีก็ไม่อาจตำหนิอีกฝ่ายหนักเกินไปเช่นเดียวกัน
อย่างไรเสียหลังตักเตือนไปอ้อมๆ รอบหนึ่งหลี่มามาก็แสดงท่าทีว่าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้จบลงที่ตรงนี้เถิด
หลังประทินโฉมเสร็จนางก็กินข้าวต้ม จากนั้นเลือกชุดกระโปรงสีขาวลายดอกไม้ทึบที่สีตกไม่ร้ายแรงนักจากในหีบเสื้อผ้าออกมาสวม เตรียมจะออกจากบ้านไปขึ้นรถม้า
แต่หลี่มามากลับพูดว่า “เมื่อวานก่อนนายท่านจะกลับได้กำชับบ่าวว่าวันนี้ให้ฮูหยินเดินเล่นบนถนน ท่านหมอเทวดาจ้าวก็กล่าวไว้ว่าท่านควรเดินให้มากๆ มือเท้าถึงจะฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น”
คำพูดนี้มีเหตุผลยิ่ง แสงแดดข้างนอกก็กำลังดี อาศัยช่วงที่ดวงอาทิตย์ยังไม่แสบร้อนผิวเดินเล่นท่ามกลางกลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลินับเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายมากจริงๆ
ดังนั้นหลิ่วเหมียนถังจึงพาหลี่มามาเดินออกจากบ้านหลังคามุงกระเบื้อง
เวลานี้พ้นช่วงอาหารเช้าไปแล้ว เหล่าบุรุษบนถนนสายเหนือต่างออกไปทำงานกันแต่เช้า เหล่าหญิงออกเรือนที่ทำงานเย็บปักก็มารวมตัวกันนั่งอาบแดดอยู่ด้านหน้าประตูบ้านบนถนนสายเหนือ
ทันทีที่ป้าอิ่นจอมนินทาได้เห็นหญิงสาวคนงามจากบ้านหลังคามุงกระเบื้องเดินออกมาก็รีบเอ่ยทักทายอย่างคนสนิทสนมขึ้นมาเองก่อนทันที “ไม่ทราบว่าแม่นางผู้นี้มีนามว่าอะไรหรือ”
หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนบ้าน ต่อให้สกุลชุยไม่ตกอับก็เป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น ไม่อาจวางท่าใหญ่โตทำให้บรรดาเพื่อนบ้านรังเกียจรังงอนได้ นางจึงหยุดเดินพลางอมยิ้มตอบ “สามีสกุลชุย เรียกข้าว่าชุยฮูหยินก็พอแล้ว”
ทว่าป้าอิ่นคล้ายยังไม่หายสงสัย เอ่ยถามต่อว่า “สามีของชุยฮูหยินทำงานอะไร ย้ายมาจากที่ใดกัน”
หลิ่วเหมียนถังอมยิ้มตอบ “สามีเป็นพ่อค้า ย้ายมาจากเมืองหลวง” เอ่ยจบก็ขยับเท้าเตรียมเดินต่อ
แต่ป้าอิ่นกลับลุกขึ้นถามว่า “ในเมื่อเป็นพ่อค้า ร้านค้าตั้งอยู่ที่ใดหรือ”
เรื่องนี้หลิ่วเหมียนถังตอบไม่ถูกแล้ว นางอดหันไปมองหลี่มามาไม่ได้
จะว่าไปเรื่องนี้นางก็เคยถามหลี่มามา ยามนั้นหลี่มามาแค่ตอบอย่างคลุมเครือว่าอยู่ในตัวตำบล ทว่าอยู่ตรงที่ใดก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจน
ตอนนี้ได้ยินเพื่อนบ้านถามถึง ย่อมต้องให้หลี่มามาเป็นผู้ตอบ
คาดว่าหลี่มามาโดนนางตำหนิตอนเช้าไปหนหนึ่ง สภาพอารมณ์จึงไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ตอนนี้มาถูกบรรดาหญิงออกเรือนช่างสงสัยขวางไว้ในตรอกอีก ใบหน้าที่เดิมทีก็คล้ำอยู่แล้วยิ่งดูเขียวคล้ำมากขึ้น ถลึงตาวูบหนึ่งเอ่ยว่า “บ่าวอยู่กับฮูหยินทั้งวัน ร้านแห่งนั้นตั้งอยู่ที่ใดก็ไม่ค่อยแน่ใจเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจถามให้รู้ตื้นลึกหนาบางของครอบครัวเพื่อนบ้านใหม่ได้ ป้าอิ่นจึงยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ กระนั้นยังคงเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “แม่นางอย่ารังเกียจว่าข้าถามมากเลย เป็นเพราะว่าป้าๆ อย่างพวกเราต่างเป็นผู้อาวุโสในตำบล ตำแหน่งที่ตั้งของร้านค้าใดเป็นอย่างไร เคยผ่านมากี่คนแล้ว พวกเราต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีทั้งนั้น วันหน้าหากแม่นางมีคำถามใดก็มาถามข้าได้ ข้าจะต้องบอกทุกอย่างที่รู้แน่นอน…”
หลังบอกลากับสหายใหม่ผู้กระตือรือร้น ในที่สุดหลิ่วเหมียนถังก็ได้เดินออกจากถนนสายเหนืออย่างราบรื่น
ถึงแม้หลิงเฉวียนจะเป็นตำบลเล็กๆ แต่เพราะมีนักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันจึงยังครึกครื้นอย่างมาก
เพียงแต่ความสนใจของหลิ่วเหมียนถังกลับไม่ได้อยู่ที่สินค้าละลานตาบนแผงขายของ กลับเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพื่อนบ้านซึ่งเพิ่งได้รู้จักกันสอบถามเรื่องที่ฮูหยินอย่างนางควรรู้กระจ่างชัด ทว่านางกลับตอบอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว นี่ช่างชวนให้คนละอายใจจริงๆ
“หลี่มามา ถ้าเกิดวันนี้บ่าวรับใช้ของท่านพี่กลับมาเอาอาหาร อย่าลืมถามให้ชัดเจนด้วยว่าร้านค้าอยู่ที่ใด ท่านพี่เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน คิดว่าอาหารสามมื้อคงกินไม่ตรงเวลา เย็นวันนี้เจ้าทำอาหารอร่อยๆ สักสองสามอย่าง ข้าจะเอาไปส่งให้ท่านพี่ด้วยตนเอง”
เมื่อได้ยินฮูหยินพูดเช่นนี้บนใบหน้าดำคล้ำของหลี่มามาคล้ายว่ามีซีอิ๊วหกราดลงไปอีกไห ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “นายท่านงานยุ่ง ช่วงนี้คงไม่ได้กลับมาสักวัน ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรอก บ่าวรับใช้ข้างกายนายท่านต่างละเอียดอ่อนรู้จักดูแลคนกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรอีก ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
ต้าเยี่ยนมีวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง สตรีส่วนใหญ่เวลาออกไปเดินข้างนอกต่างไม่สวมหมวก โดยเฉพาะที่เจียงหนานยิ่งสวมเสื้อแขนสั้นกระโปรงยาว เผยลำคอขาวผ่องสู่สายตาผู้คน
หลิ่วเหมียนถังเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ย่อมปฏิบัติตัวเช่นเดียวกัน แต่นางตัวสูง องคาพยพงดงาม วันนี้ยังผัดแป้งบางๆ บนถนนเส้นนี้นางจึงดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างมาก ทำเอาผู้คนที่เดินผ่านและเจ้าของแผงรอบข้างต่างหันกลับมามองบ่อยครั้ง กระซิบกระซาบกันว่าเป็นภรรยาของบ้านใด หรือจะเป็นเทพธิดาจุติลงมากัน?
อีกทั้งร้านผ้าที่สามีสั่งจองไว้ก็ตั้งอยู่บริเวณที่ครึกครื้นที่สุดของตำบลหลิงเฉวียน ดังนั้นปริมาณคนที่ติดตามมาข้างหลังหลิ่วเหมียนถังจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่งผลให้หลี่มามาที่คอยปกป้องคุ้มกันนางเพียงคนเดียวค่อนข้างจะลำบาก
ภายในตำบลหลิงเฉวียนมีพ่อค้าอยู่มาก หญิงนางโลมก็เช่นกัน พวกชายเกกมะเหรกเสเพลยิ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นหญิงงามแปลกหน้าอยู่ตามลำพัง ข้างกายไม่มีบ่าวชายติดตาม จะต้องไม่ใช่ฮูหยินหรือคุณหนูของตระกูลใหญ่ตระกูลใดแน่นอน จึงขวัญกล้าเข้ามาแทะโลม
“ไม่ทราบแม่นางตั้งใจจะไปที่ใดกัน อย่าได้ให้เท้าที่งามดั่งหน่อไม้หยกเดินจนปวดบวมเลย ข้ามีเกี้ยวอยู่หลังหนึ่ง หากไม่รังเกียจสามารถนั่งเบียดไปกับข้าได้!”
* เจียงหนาน คือคำเรียกที่ราบลุ่มแม่น้ำทางด้านใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง
* อูฐที่ป่วยตายยังตัวใหญ่กว่าม้า เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงผู้ที่มีอำนาจบารมีมาก แม้จะกำลังประสบปัญหา แต่ก็ยังมีอำนาจจัดการเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าคนอื่น
* มามา เป็นคำเรียกหญิงสูงวัยและหญิงรับใช้อาวุโสด้วยความยกย่อง
* รูปหน้ามีลักษณ์ดอกท้อ หมายถึง คนที่ใครพบเห็นก็ชื่นชอบ
* ไก่ขอทาน คือไก่อบห่อด้วยใบบัว ตำนานว่าในสมัยโบราณบ้านเมืองอยู่ในช่วงศึกสงคราม มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านที่รอดชีวิตจากไฟสงครามมาได้ส่วนมากกลายเป็นขอทาน อยู่มาวันหนึ่งมีขอทานคนหนึ่งจับไก่ได้ตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ประกอบอาหาร อีกทั้งเพราะความหิวขอทานคนนั้นจึงใช้วิธีเดียวกับการเผามันเผา คือการนำหินมาก่อเป็นเตาไฟคลุมไก่แล้วจุดไฟเพื่อเผาไก่ให้สุก ซึ่งวิธีการทำอาหารจานนี้ได้แพร่หลายไปถึงโรงสุรา ร้านอาหารซึ่งมีการพัฒนารสชาติอาหารได้นำใบบัวมาห่อเพื่อให้ไก่มีกลิ่นหอมของใบบัว ปัจจุบันเป็นอาหารขึ้นชื่อของมณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียง
* หินลวี่ซง หมายถึงหินเทอร์ควอยซ์หรือพลอยขี้นกการเวก เป็นอัญมณีสีฟ้าอมเขียวและมีริ้วลายสีเขม่าแซม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.