บทที่ 4
หลิ่วเหมียนถังปรายตาเหยียดมอง เห็นเป็นคุณชายเสเพลสวมผ้าโพกศีรษะ เสื้อสีเขียวหลุดลุ่ย ดูแล้วน่าจะเป็นลูกคนมีฐานะประจำท้องถิ่น ข้างหลังมีบ่าวรับใช้ที่ทำหน้ายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยติดตามอยู่สองคน
ครั้นถูกหลิ่วเหมียนถังมองเหยียดใส่เช่นนี้ กระดูกเส้นเอ็นของคุณชายเสเพลผู้นั้นก็แทบชาวาบ บ่าวชายข้างกายช่วยเจ้านายเกี้ยวพาราสีใส่หญิงสาวมาจนคุ้นชินจึงยิ้มพรายเอ่ย “แม่นางมีนามว่าอันใดหรือ คุณชายพวกเราเป็นหลานแท้ๆ ของหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตำบลหลิงเฉวียน หากแม่นางสนิทสนมกับคุณชายพวกเรา วันหน้าย่อมมีผลดีมากมายนัก!”
หลิ่วเหมียนถังไม่ตอบคำ ขณะที่หลี่มามาคล้ายตกใจไปแล้ว เพียงก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างหลังเงียบๆ พวกนักเลงเหล่านี้ช่างตอแยยิ่งนัก หากหลิ่วเหมียนถังไม่ขึ้นเกี้ยว ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้วคงไม่มีทางเลิกราอย่างแน่นอน
ในใจหลิ่วเหมียนถังกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด รูปโฉมของนางโดดเด่นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกนักเลงเช่นนี้นางเจอมาจนชินชา
เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านสกุลเดิม มีบ้างที่หลิ่วเหมียนถังจะแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกับสาวใช้ เวลาเจอพวกผึ้งภมรเสียสติเหล่านี้ ปกติก็จะกระชากคอเสื้อคนพาลากเข้าไปในตรอกมืด ยืดเส้นยืดสายด้วยการเหวี่ยงมือเหวี่ยงเท้า ต่อยตีจนบิดามารดาอีกฝ่ายยังจดจำไม่ได้
ทว่าหลังนางป่วยหนักมามือเท้าล้วนไร้กำลัง กระบวนท่าสั่งสอนมากมายพวกนั้นไม่อาจแสดงออกมาได้
แต่หากปล่อยให้นักเลงพวกนี้แทะโลมก็ออกจะขัดต่อหลักการของนางจริงๆ…ดังนั้นนางจึงยกมือขึ้นทัดผม เม้มริมฝีปากน้อยๆ แล้วหันร่างเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ด้านข้างโดยไม่พูดอะไร
หลานหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์เห็นดังนั้นก็ลอบลิงโลดขึ้นในใจทันที ด้วยเขารู้ดีว่าตรอกนี้เป็นทางตัน หญิงงามเข้าไปในตรอก คิดอยากออกมาก็ต้องดูก่อนว่าข้าจะอนุญาตหรือไม่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็หันกลับไปส่งสายตาให้พวกบ่าวรับใช้ พวกบ่าวรับใช้เข้าใจดี ให้คนยกเกี้ยวมาเฝ้าอยู่ที่ปากตรอกทันที จากนั้นพวกช่างประจบประแจงสองคนก็ตามเจ้านายเข้าไปในตรอกด้วย
แม่นางผู้นั้นดูแล้วนิสัยดื้อรั้น ประเดี๋ยวถ้าไม่ยอมว่าง่ายๆ พวกเขายังต้องช่วยเจ้านายกดมือกดเท้านางไว้อีก ประโยชน์ดีๆ ที่จะได้รับมีมากมายยิ่ง…
คุณชายเสเพลผู้นั้นยินดีจนดวงตาวาววับ ทันทีที่เข้าไปในตรอกก็ต้องการจะกอดหญิงงามจากข้างหลังอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่จู่ๆ หลิ่วเหมียนถังก็หันขวับกลับมา ประกายสีเงินในมือสว่างวาบ ของแหลมคมชิ้นหนึ่งแทงใส่คอของเขาในฉับพลัน
รอทุกคนมองเห็นชัดถึงพบว่าของชิ้นนั้นคือปิ่นเงินบนศีรษะหญิงงาม
หลิ่วเหมียนถังนับว่าใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในกระบวนท่านี้ โชคดีที่เจ้าคนผู้นี้หลงสตรีจนไม่ทันระวังตัว นางจึงโจมตีเข้าเป้าในครั้งเดียว
บ่าวรับใช้สองคนเห็นดังนั้นก็จะกระโจนเข้าใส่ทันที แต่หญิงสาวที่ดูบอบบางกลับเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเล็งตรงจุดตายบนลำคอเขา หากพวกเจ้ากล้าเดินเข้ามาอีกก้าว ข้าจะเอาชีวิตสุนัขอย่างเขาทันที ถึงตอนนั้นดูซิว่าพวกเจ้าจะกลับไปแจ้งข่าวอย่างไร!”
แล้วมิใช่หรือ! คุณชายของพวกเขาแค่ถูกปิ่นเงินด้ามเล็กแทงเพียงเล็กน้อยก็เข่าทรุดฮวบลงพื้น หน้าเบี้ยว ปากพ่นน้ำลาย ตาเหลือกไปแล้ว น่าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง!
พอหญิงสาวจับปิ่นกดลงไปลึกกว่าเดิม คุณชายของพวกเขาก็เริ่มหลั่งเลือดพร้อมกับชักกระตุกไปทั้งร่าง
บ่าวชายสองคนเป็นแค่บ่าวรับใช้ ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชายที่พวกเขาติดตามจริงๆ ตนเองก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบแน่นอน เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็มีแต่ตกใจจนไม่กล้าขยับตัว
หนึ่งในนั้นรวบรวมความกล้าเอ่ย “นะ…นางตัวแสบขวัญกล้า หากเจ้ากล้าแตะต้องคุณชายพวกเราแม้แต่ขนเส้นเดียว เจ้าได้เจอดีแน่!”
ทว่าหลิ่วเหมียนถังไม่กลัวคำขู่ประเภทนี้ ระหว่างทางที่เดินทางมาตำบลหลิงเฉวียน บางครั้งพวกนางจะค้างคืนบนเรือ เคยได้ยินนักสัญจรริมฝั่งนั่งพูดคุยรอบกองไฟ บอกว่าตำบลหลิงเฉวียนอยู่ในการดูแลของเจินโจว และผู้ปกครองคนใหม่ที่ได้รับแต่งตั้งมาประจำการเจินโจวก็คือไหวหยางอ๋องซึ่งสืบบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา
เขาเป็นคนอายุน้อยที่มีความสามารถ ดูแลกองทัพอย่างเข้มงวด และกวาดล้างกองโจรกบฏบนภูเขาหยั่งซาน มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่นับได้ว่าชื่อเสียงขจรไกล ระยะนี้กำลังจัดระเบียบขุนนางท้องถิ่นที่เน่าเฟะ ครองใจราษฎรอย่างมาก
หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ของตำบลหลิงเฉวียนปล่อยให้หลานชายแทะโลมหญิงชาวบ้านกลางถนน รอดูเถิดว่ากลับไปแล้วข้าจะไปแจ้งความฟ้องร้องหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ที่จวนไหวหยางอ๋องหรือไม่!
ตอนนี้บ่าวชายสองคนเห็นคุณชายของตนถูกแม่นางผู้แสนบอบบางจับตัวไว้ได้ด้วยปิ่นแค่อันเดียวแล้ว ก็เอ่ยคำพูดดุดันเพิ่มเติมไม่ออกอีก ได้แต่วิงวอนหน้าเศร้าขอให้นางเลิกแทง ยกมือสูงศักดิ์ออก ปล่อยคุณชายของพวกเขาไปเถอะ
ขณะนั้นหลี่มามาที่นิ่งเงียบอยู่ด้านหลังหลิ่วเหมียนถังมาโดยตลอดก็เอ่ยปาก “ฮูหยิน นายท่านยังต้องทำการค้า อย่าให้เกิดเรื่องถึงแก่ชีวิตคนเลยเจ้าค่ะ”
ดวงตาของหลิ่วเหมียนถังกลับกลอกหมุนไปรอบหนึ่ง ก่อนมองไปทางมุมตรอกแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับบ่าวชายที่ช่วยกันทำชั่วสองคนนั้น “ให้ปล่อยคุณชายพวกเจ้านั้นง่ายมาก อยู่ที่ว่าพวกเจ้าทำได้ดีมากพอหรือไม่…”
เมื่อพูดถึงสามีของหลิ่วเหมียนถัง…ชุยจิ่ว เวลานี้เขาไม่ได้นั่งก้มหน้าก้มตาจัดการบัญชีอยู่ที่ร้านสักนิด กลับนั่งพิงพนักอยู่ในศาลาบนภูเขา ดื่มสุรากับสหายให้สาแก่ใจต่อหน้าทัศนียภาพคลื่นแม่น้ำโถมซัด
ยามนี้เกลียวคลื่นม้วนหอบ ห่างออกไปมีเรือแล่นผ่านไปมาไม่ขาดสาย เป็นทิวทัศน์อันสงบสุขและครึกครื้นยิ่งยวด
สหายข้างกายเขา…เจิ้นหนานโหวจ้าวเฉวียนเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เมื่อสองปีก่อนที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยโจรสลัดที่เหล่าพ่อค้าได้ยินแล้วต่างนึกหวาดกลัว ทุกวันนี้กลับสงบสุข เรื่องนี้ไม่อาจขาดความดีความชอบของท่านไปได้!”
ชุยจิ่วดื่มลงไปอีกจอกอย่างเอ้อระเหยแล้วก็ไม่ตอบคำ
จ้าวเฉวียนรู้ดีว่าสหายกำลังหงุดหงิดกับเรื่องที่พวกขุนนางเก่าแก่ไม่รู้จักตายในเมืองหลวงยื่นฎีกาหาว่าเขาจัดตั้งกองทัพแบบผิดกฎอยู่แน่นอน
ดังนั้นจ้าวเฉวียนจึงเอ่ยปากปลอบ “สิงโจว ท่านไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดกับคำพูดของขุนนางพวกนั้น ฝ่าบาททรงตระหนักว่าปัญหาโจรที่เจินโจวยังไม่สงบ หากไม่ตั้งทัพไว้กองทัพกบฏนั่นก็ตีฝ่าไปถึงเมืองหลวงนานแล้ว หากนำเรื่องนี้มาลงโทษย่อมไม่ชอบธรรม ยากจะทำให้ผู้คนยอมรับได้!”
ทว่าชุยจิ่วยังคงไม่พูดอะไร เขาลูบไล้จอกสุราช้าๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ขณะนั้นเองหญิงวัยกลางคนหน้าดำคล้ำรูปร่างผอมผู้หนึ่งก็ถูกองครักษ์พาเข้ามา นางหยุดยืนอยู่ข้างศาลาบนภูเขาแล้วคุกเข่าเอ่ย “ท่านอ๋อง บ่าวมีเรื่องจะรายงานเจ้าค่ะ”
ชุยจิ่ว…พูดให้ถูกต้องกว่านั้นคือ ‘ชุยสิงโจว’ หรือไหวหยางอ๋องที่เพิ่งรับตำแหน่งต่อจากบิดา เมื่อเขาได้ยินแล้วก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ “วันนี้เจ้าไปเดินเล่นในเมืองเป็นเพื่อนนาง มีอะไรผิดปกติหรือไม่”
หญิงวัยกลางคนหน้าดำคล้ำก็คือหลี่มามา ผู้ที่เดิมควรตามฮูหยินกลับไปหุงหาอาหารที่บ้านบนถนนสายเหนือ
หลังเกิดเรื่องในตรอกเล็กๆ นั่นหลิ่วเหมียนถังก็ไม่นึกอยากไปเลือกซื้อผ้าอีก จึงพาหลี่มามากลับมาบ้านเร็วหน่อย
ตลอดทางที่เดินมาหลิ่วเหมียนถังเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ร่างกายที่เจ็บป่วยมานานของนางจึงทนไม่ไหว นอนหลับไปตามความเคยชินแล้ว
หลี่มามาเห็นว่านางนอนหลับไม่มีทางตื่นขึ้นมาในเวลาสั้นๆ จึงออกจากบ้านขึ้นรถม้า เดินทางมารายงานผู้เป็นนาย
เมื่อนางได้ยินท่านอ๋องถามก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม “เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น บ่าวจึงตั้งใจมารายงานท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
จากนั้นจึงเล่าเรื่องนักเลงบนถนนที่เจอรวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมดออกมา
ชุยสิงโจวปลายคิ้วไม่ขยับ ใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ความรู้สึก เพียงรับฟังประสบการณ์ในตรอกเล็กๆ ที่นางเล่าอยู่เงียบๆ
จ้าวเฉวียนที่อยู่ด้านข้างกลับนึกปวดใจแทนหญิงสาวที่ต้องพยายามปกป้องตนเองจนสุดกำลัง แต่ตอนที่เขาได้ยินเรื่องหลิ่วเหมียนถังใช้ปิ่นเงินจัดการนักเลงในตรอกก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจพร้อมซักถามต่ออย่างอดใจไม่อยู่ “เช่นนั้นตอนหลังนางปล่อยพวกนักเลงไปหรือไม่”
หลี่มามาย้อนนึกภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นแล้วก็อดไม่ไหวที่จะอาเจียนแห้งออกมา ก่อนจะรีบข่มกลั้นไว้ทันควัน “ปล่อยเจ้าค่ะ…”
“นางทำอะไรกับพวกเขา?” ไหวหยางอ๋องชุยสิงโจวที่เงียบมาโดยตลอดเปิดปากถามขึ้นกะทันหัน
หลี่มามามีสีหน้าแปลกพิกลเหมือนอยากจะอาเจียนอีกครั้ง บนใบหน้าคล้ำผุดสีม่วงขึ้นมาก่อนฝืนใจเอ่ย “นางให้บ่าวชายสองคนนั้นกินอุจจาระสุนัขในตรอก…”
นึกถึงภาพบ่าวชายสองคนนั้นประคองคุณชายวิ่งหนีออกไปจากตรอก ก่อนร้องหาน้ำกลั้วปาก หลี่มามาก็รู้สึกว่าปีนี้นางไม่มีทางกินอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อยอีกต่อไป
คำตอบเช่นนี้เรียกว่าเหนือความคาดหมาย ชวนให้คนไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ
เดิมจ้าวเฉวียนกำลังคีบกับข้าว หลังได้ยินคำตอบของหญิงวัยกลางคนเขาก็หมดความอยากอาหารทันควัน วางตะเกียบลงทันที
ชุยสิงโจวฟังรายงานจากหลี่มามาจบแล้วโบกมือบอกให้นางออกไป
แต่หลี่มามากลับยังมีอีกเรื่องให้รายงานจึงรีบเอ่ย “นางชอบซักไซ้บ่าวว่าร้านค้าของนายท่านอยู่ที่ใด ดูท่าทางแล้วจะต้องการไปดูกับตาตนเอง…ตอนนี้ดูแล้วหญิงสาวผู้นี้อันตรายเกินไป บ่าวว่าท่านอ๋องเปิดเผยเรื่องราวออกไปตรงๆ เลิกเล่นสนุกเป็นเพื่อนนาง แล้วก็อย่าให้นางได้เข้าใกล้ท่านอีก…”
ชุยสิงโจวเงยหน้ามองหลี่มามา สีหน้านิ่งเฉย น้ำเสียงราบเรียบ “หลี่มามา ทำตามที่ข้าสั่งเจ้าไว้ให้ดีก็พอ”
เสียงของเขาไม่ดัง แต่หลี่มามาได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี รีบหมอบลงไปทันทีทันใด แม้นางจะดูแลท่านอ๋องให้เติบโตมา แต่ก็รู้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตท่านอ๋องไม่เคยยอมให้คนนอกมาเจ้ากี้เจ้าการ นางในฐานะบ่าวรับใช้นับว่าพูดมากจนล่วงเกินแล้วจริงๆ
ชั่วขณะนั้นชุยสิงโจวเอ่ยกำชับองครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง “ไปซื้อร้านแห่งหนึ่งในตำบล เอาพวกเครื่องเคลือบดินเผาไปวางไว้ เสร็จแล้วบอกสถานที่ให้หลี่มามารู้ด้วย”
หลังผู้ใต้บังคับบัญชาได้ยินคำสั่งจากท่านอ๋องก็รับคำสั่งลงจากภูเขาไปทันที ส่วนหลี่มามาเองก็เดินทางตามกลับไปที่ถนนสายเหนือของตำบล
จ้าวเฉวียนยิ้มขื่นกล่าว “สิงโจว นางสูญเสียความทรงจำทั้งหมด จดจำโจรกบฏลู่เหวินผู้นั้นไม่ได้แล้ว ท่านนำหญิงสาวอ่อนแออย่างนางมาเป็นเหยื่อล่อ จะผิดต่อหลักวิญญูชนเกินไปหรือไม่”
ชุยสิงโจวไม่แม้แต่มองจ้าวเฉวียนสหายสนิทสักครั้ง แค่ยกจอกสุราขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเย็น “ตัวการแรกที่ทำให้นางหลงคิดว่าข้าเป็นสามีของนางคือเจ้าจริงหรือไม่”
จ้าวเฉวียนไฉนเลยจะรู้ว่าคำพูดเย้าเล่นในตอนแรกจะก่อให้เกิดสถานการณ์ในปัจจุบัน!
เขาได้แต่เอ่ยกับสหายสนิทอย่างจนใจ “ท่านเก้าของข้า ตอนนั้นท่านรีบร้อนส่งคนมาเรียกข้าไปรักษานาง พอถามว่านางเป็นใครท่านก็ไม่ยอมตอบ ข้าเห็นนางรูปโฉมงดงามเลยหลงคิดว่าเป็นหญิงงามที่ท่านไปทำความรู้จักที่ใดเข้า ตอนหลังพอนางพูดได้ท่านก็ดันไม่อยู่ นางได้ยินข้าเรียกท่านว่า ‘ท่านชุยจิ่ว’ จึงถามว่าท่านชุยจิ่วมีความสัมพันธ์ใดกับนาง ข้าเลยตอบไปส่งๆ ว่าเป็นคนในใจของแม่นาง…เรื่องราวหลังจากนั้นท่านเองก็ไม่ได้ปฏิเสธนี่?”
ชุยสิงโจวมองฟ้าแล้ววางจอกสุราเตรียมลงจากภูเขาไปขึ้นเรือ หลายวันมานี้ศึกทลายรังโจรกำลังดุเดือด เขาจำเป็นต้องกลับกระโจมบัญชาการไปควบคุมสถานการณ์ ครั้งนี้ที่มาตำบลหลิงเฉวียน นอกจากมาเพื่อเลือกซื้อเครื่องเคลือบดินเผาสำหรับถวายให้ไทเฮาแทนมารดาแล้ว ก็เพื่อพาหลิ่วเหมียนถังภรรยาโจรที่สูญเสียความทรงจำมาลงหลักปักฐานเป็นหลักแหล่งด้วย
ตอนแรกที่จับตัวหญิงสาวซึ่งบาดเจ็บหนักผู้นี้ได้โดยไม่ตั้งใจ เพื่อเป็นการปิดบังหูตาผู้คนชุยสิงโจวจึงไม่เคลื่อนย้ายสถานที่ แต่เรียกตัวจ้าวเฉวียนเจ้าคนว่างงานผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ซึ่งแวะมาเยี่ยมเยียนพอดีมารับมือฉุกเฉิน
ไฉนเลยจะรู้ว่าหลังหญิงสาวผู้นั้นฟื้น กลับเป็นเพราะเขาห้อยถุงพกใบหนึ่งกับตัว ร่วมกับการชักนำผิดๆ ของจ้าวเฉวียน นางจึงเข้าใจผิดว่าเขาเป็น ‘ชุยจิ่ว’ สามีพ่อค้าที่ตอนแรกนางควรจะแต่งงานด้วย
ส่วนเรื่องราวภายหลังจากนั้นเป็นการปล่อยเลยตามเลย เขาไม่เคยพูดว่าเขาเป็นสามีของนาง แต่เป็นเพราะหญิงสาวผู้นี้ศีรษะกระแทกสมองมีปัญหา เข้าใจผิดไปเองอย่างโง่งมเท่านั้น
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสตรีของศัตรูคนหนึ่ง แม้ว่ามือจะไร้กำลังเชือดไก่ ยากจะก่อให้เกิดปัญหาแทรกแซงได้ แต่มิสู้ให้นางหลงเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นภรรยาของพ่อค้าสกุลชุย การจะพาย้ายมาตำบลหลิงเฉวียนก็เป็นเรื่องง่ายดายแล้ว
ได้ยินว่าโจรกบฏลู่เหวินรักใคร่ในตัวหญิงสาวผู้นี้มาก หากนางปรากฏตัวขึ้นที่ตำบลหลิงเฉวียนซึ่งไม่ไกลจากรังโจรจะต้องล่องูออกจากถ้ำได้แน่ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้จะยังซุกซ่อนฝีมือเอาไว้ด้วย วิชาสกัดจุดเช่นนี้ต้องใช้เวลาศึกษาฝึกฝนนานกี่ปีกันหนอ
นึกถึงท่วงท่านอบน้อมอ่อนหวานยามอยู่ต่อหน้าตนของหญิงสาวนามหลิ่วเหมียนถังผู้นั้น มองไม่ออกสักนิดว่าจะเป็นบุปผาบอบบางที่มีหนามแหลมคม
รอยยิ้มเย็นตรงมุมปากไหวหยางอ๋องชุยสิงโจวลึกซึ้งยิ่งขึ้น จ้าวเฉวียนเห็นสีหน้ายิ้มเย็นของชุยสิงโจวแล้วก็ลอบปาดเหงื่อเย็นแทนหญิงสาวที่สูญเสียความทรงจำผู้น่าสงสารคนนั้นเงียบๆ
บทที่ 5
เพราะความรู้สึกผิดจ้าวเฉวียนจึงลองพยายามเป็นวีรบุรุษปกป้องบุปผาดู “สิงโจว ท่านไม่ได้ส่งคนไปตรวจสอบภูมิหลังของนางแต่แรกแล้วหรอกหรือ นางก็แค่หญิงสาวจากครอบครัวดีๆ แม้จะเรียนวิชาหมัดมวยเตะถีบมาจากมารดาบ้าง แต่อย่างไรก็เป็นหญิงสาวบอบบาง ไม่มีความสามารถอะไรทั้งนั้น เมื่อแรกนางแต่งงานเข้าเมืองหลวง ระหว่างทางถูกโจรลักพาตัวไปถึงได้กลายเป็นภรรยาหัวหน้าโจรกบฏ เดิมก็น่าสงสาร…ทุกวันนี้เส้นลมปราณนางไม่มั่นคง เป็นลักษณะของอาการขาดเลือดสูญเสียความทรงจำจริงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรในอดีตแม้แต่น้อย…พอจับโจรได้ ท่านจะจัดการกับนางอย่างไร”
ชุยสิงโจวคล้ายไม่อยากจะพูดอะไรมากกับปัญหาข้อนี้ เขาเพียงลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยเรียบๆ “บุตรสาวของนักโทษผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นภรรยาของโจรกบฏ เจ้าจะคิดมากเพื่อนางไปไย”
หลังพูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน บอกลาจากไปก่อน
จ้าวเฉวียนถอนหายใจพลางมองแผ่นหลังของชุยสิงโจวที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนนึกทอดถอนใจขึ้นอีกครั้ง สตรีโฉมงามแท้ๆ เหตุใดชะตาชีวิตถึงได้เล่นตลก เริ่มแรกถูกโจรลักพาตัวไปให้เสียชื่อเสียง ต่อมายังตกอยู่ในกำมือของไหวหยางอ๋องผู้ไม่รู้จักความรัก นิสัยเหี้ยมหาญ ไม่รู้วิธีรักหยกถนอมบุปผา* อีก…
เขาแหงนหน้าถอนหายใจคราหนึ่ง รู้สึกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคของหญิงงามมีความผิดของตนอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง
ต้องรอดูว่าหลังชุยสิงโจวทลายรังโจรเรียบร้อยจะอารมณ์ดีเกิดใจเมตตาขึ้นหรือไม่ ถึงเวลานั้นเขาจะต้องขอรับตัวหลิ่วเหมียนถังมาเป็นอนุ ดูแลชีวิตที่เหลืออยู่ของนางอย่างเหมาะสมให้ได้
จ้าวเฉวียนโล่งใจขึ้นหลังคิดถึงตรงนี้ หยิบจอกสุราขึ้นดื่มเอง เขาไม่เหมือนกับคานหลักของราชวงศ์อย่างชุยสิงโจว ท่านโหวว่างงานอย่างเขานอกจากศึกษาการแพทย์ก็ชอบของในจอกนี้ที่สุดแล้ว
บัดนี้จันทร์เสี้ยวลอยเด่นกลางนภา คลื่นทะเลซัดสาด ในมือมีสุราเลิศรส ขาดก็แต่หญิงงามเคียงข้าง ช่างน่าเสียดายจริงๆ!
เมื่อพูดถึงไหวหยางอ๋องชุยสิงโจวที่ลงจากภูเขาไปถึงยังท่าเรือ ตอนที่จะขึ้นเรือพลันชะงักฝีเท้าอีกครั้ง มองผิวน้ำนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับบ่าวชาย “สั่งให้คนเตรียมรถม้าเดินทางกลับตำบลหลิงเฉวียน”
กว่ารถม้าจะกลับไปถึงตำบลหลิงเฉวียนก็เป็นช่วงต้นยามหนึ่ง* แล้ว แสงจันทร์นวลเด่น ดวงดาราบางตา หน้าบ้านมุงหลังคากระเบื้องบนถนนสายเหนือหลังนั้นก็แขวนโคมไฟไว้
ตอนที่โม่หรู บ่าวชายของชุยสิงโจวเคาะห่วงประตูทำเอาหลี่มามาตกใจไปยกหนึ่ง
นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้เป็นนายจะย้อนกลับมาอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไรภายในบ้านก็มีเสียงของหลิ่วเหมียนถังดังลอยออกมา “หลี่มามา ใช่ท่านพี่กลับมาหรือไม่”
ช่วยไม่ได้ ลานบ้านไม่ใหญ่ เสียงที่ประตูหน้าสามารถได้ยินไปถึงในบ้านอย่างชัดเจน หลี่มามามองสีหน้าของท่านอ๋องแล้วได้แต่ตอบกลับอย่างจนใจ “เป็นนายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ในขณะนั้นได้ยินเสียงดังสวบสาบออกมาจากด้านในบ้าน ตามด้วยเสียงค่อนข้างร้อนรนของหลิ่วเหมียนถัง “สามีรอก่อนสักครู่ ภายในห้องรกมาก ให้ข้าได้เก็บกวาดก่อน…”
น่าเสียดายที่หลิ่วเหมียนถังยังพูดไม่ทันจบ ชุยสิงโจวก็เลิกม่านผลักประตูเดินเข้ามาแล้ว
หลิ่วเหมียนถังกำลังแช่เท้าในอ่างไม้ เรือนผมเองก็ปล่อยสยายลงมา สวมชุดนอนตัวหลวมโพรก สภาพไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก
เมื่อครู่นี้นางได้ยินเสียงจากประตูบ้านก็จะรีบเช็ดเท้า แต่งตัวให้เรียบร้อยต้อนรับสามี ไฉนเลยจะรู้ว่าสามีขายาวก้าวกว้าง แค่ไม่กี่ก้าวก็เดินเข้ามาแล้ว
ก่อนที่ชุยสิงโจวจะเข้าไปในห้อง ตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะสอบสวนหญิงสาวผู้นี้โดยละเอียด เพราะนึกไม่ถึงว่านางจะจดจำวิชาสกัดจุดได้ หมายความว่าความทรงจำบางส่วนฟื้นคืนมาบ้างแล้วใช่หรือไม่
และหากหลิ่วเหมียนถังจดจำขึ้นมาได้แต่ไม่คิดหนี เช่นนั้นก็คงตั้งใจจะแฝงตัวอยู่ข้างกายเขาด้วยเจตนาร้าย
หากเป็นเช่นนี้ก็ดี ขอเพียงนางคิดหนีก็จะสามารถไล่ตามสืบเสาะขึ้นไป แอบส่งคนสะกดรอยตามนางไปได้
แต่หากนางคิดลอบสังหาร เขาก็จะมอบโอกาสที่มากพอให้นาง จับนางให้ได้คาหนังคาเขา ถึงเวลานั้นต่างฝ่ายจะได้ข้ามรายละเอียดไร้สาระ สะดวกเวลาไต่สวนเรื่องโจรกบฏจากปากนางมากยิ่งขึ้น…
ชุยสิงโจวเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาด จะสอบสวนหญิงสาวผู้นี้อย่างไร ในใจเขาคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ทว่าหลังกวาดสายตาเย็นชาเข้าไปในห้องกลับต้องหยุดชะงัก
โฉมงามตรงหน้าดั่งหยกเนื้อเนียน อยู่ในชุดคลุมตัวหลวมสีขาวเรียบ เรือนผมสีดำขลับปล่อยสยาย ส่งผลให้ดวงหน้าแลเล็กลงอีกหลายส่วน โดยเฉพาะท่อนขาที่แช่อยู่ในอ่างไม้ซึ่งเผยออกมา นวลผ่องจนคนไม่อาจละสายตา…
คราวนี้หลิ่วเหมียนถังไม่มีเวลาไปสนใจเช็ดเท้าแล้ว ได้แต่รีบสวมรองเท้า รวบผมยาวเดินเข้าหา ก่อนย่อตัวลงคารวะแล้วเอ่ย “ไม่ทราบว่าสามีจะกลับมาคืนนี้จึงไม่ได้ให้มามาเตรียมอาหารไว้ด้วย ไม่ทราบว่าสามีได้กินอะไรรองท้องมาจากข้างนอกหรือไม่เจ้าคะ”
ท่วงท่าต้อนรับของนางนับว่าเหมาะสม แต่ก็มองออกว่าเพราะขาอ่อนแรงจึงดูงกๆ เงิ่นๆ ไปบ้าง
หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมามือเท้าล้วนพิการ คิดอยากคล่องแคล่วเหมือนคนทั่วไปนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อตอนกลางวันนางจัดการบุรุษตัวโตสามคนให้อยู่หมัดได้อย่างไร
พอหลิ่วเหมียนถังคารวะเสร็จ สามีที่อยู่ตรงหน้ากลับนิ่งเงียบอยู่นาน ด้วยเมื่อกลางวันนางสร้างปัญหาเอาไว้ มีความร้อนตัวอยู่ จึงรีบเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของสามี
ชุยสิงโจวมองสภาพยิ่งปกปิดยิ่งเด่นชัดของนางก่อนปลดเสื้อคลุมออก ดึงเก้าอี้ด้านข้างตัวหนึ่งมานั่งลงแล้วถามเสียงเรียบ “วันนี้ออกไปข้างนอกสนุกหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังคิดว่าคนเรากล้าทำก็ต้องกล้ารับ นับประสาอะไรกับที่นางแทงคนในตรอกเล็กๆ ไปอย่างสาแก่ใจ ทว่ากลับทิ้งปัญหาไว้ให้สามี หลังใจเย็นลงก็เห็นว่านางเป็นคนผิดจริงๆ
ดังนั้นนางจึงเม้มปาก หลังประคองชาถ้วยหนึ่งยื่นให้เขา จึงเล่าเรื่องวันนี้ออกมาอย่างซื่อสัตย์
แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนที่นางบังคับให้คนกินอุจจาระอย่างโหดร้ายถูกปล่อยผ่านไป เพื่อไม่ให้สามีเข้าใจผิดว่านางเป็นสตรีใจคอร้ายกาจ
แต่หลังหลิ่วเหมียนถังเล่าจบสีหน้าของชุยสิงโจวยังคงเรียบเฉย ขณะหลุบตาลงเป่าใบชาในถ้วย รูปโฉมหล่อเหลาประหนึ่งน้ำนิ่ง มองไม่ออกถึงคลื่นอารมณ์ใดๆ แลดูลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้ง
หลิ่วเหมียนถังเห็นว่าสามีไม่ได้อารมณ์เสียความมั่นใจก็เพิ่มพูนขึ้น รู้สึกว่าปัญหาที่ตนเองก่อไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่
ดังนั้นนางจึงเขยิบเข้าใกล้อีกเล็กน้อย เดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วหยิบกระดาษคำฟ้องร้องที่กัดพู่กันเค้นความคิดเขียนด้วยตนเองหลังตื่นตอนบ่ายมายื่นให้สามีอ่าน
หากเจ้านั่นรู้ตัวว่าตนเองผิด กล้ำกลืนไม่พูดอะไรก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าอาศัยบารมีผู้อื่นมาหาเรื่องข้าอีก ก็จำต้องให้สามียื่นคำฟ้องร้องไปที่ที่ว่าการ ป้องกันไม่ให้หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์มากล่าวโทษก่อน
ชุยสิงโจวคาดไม่ถึงว่าหลังหญิงสาวตกอับนางนี้ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นจะยังรู้สึกอยากเขียนคำฟ้องร้องอีก เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในที่สุดก็ยื่นนิ้วออกไปคีบจดหมายมาอ่าน
พูดกันตามตรงลายมือนั้นช่าง…อัปลักษณ์เสียจริง ไม่รู้ว่าตอนหญิงสาวผู้นี้ยังไม่ออกเรือนสรุปแล้วชำนาญในด้านใดกันแน่ ทั้งงานเย็บปักถักร้อย เขียนอักษร หรือแม้แต่วาดภาพก็เหมือนนางจะไม่ถนัดเลยสักอย่างเดียว
แต่หากตั้งใจอ่านดูก็จะพบว่าลายมือที่ยึกยือไม่ชวนมองพวกนี้เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนในทุกๆ คำ แต่ละคำคว้าจับจุดอ่อนของหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตำบล ตั้งแต่ผ่อนปรนให้คนในครอบครัวแทะโลมหญิงชาวบ้านกลางถนน ลากยาวไปจนถึงความน่าเกรงขามของไหวหยางอ๋อง แต่ละคำล้วนเขียนว่าเป็นห่วงถึงบ้านเมืองและราษฎร
หลิ่วเหมียนถังอาศัยโอกาสช่วงสามีอ่านจดหมายไปหยิบพู่กันและแท่นฝนหมึก จากนั้นหลังกางกระดาษออกเรียบร้อยก็กล่าว “ลายมือของข้าไม่น่ามอง ส่งไปยังที่ว่าการไม่ได้ รบกวนสามีเปลืองแรงช่วยข้าเขียนด้วยลายมือที่งดงามจะได้ยื่นส่งไปให้ทางที่ว่าการได้ด้วยเจ้าค่ะ”
ชุยสิงโจวเลื่อนสายตาออกจากจดหมาย มองดูกระดาษกับพู่กันที่วางเรียงกันอยู่ รู้สึกว่าแม้หญิงสาวนางนี้จะสูญเสียความทรงจำ ทว่าท้ายที่สุดยังคงหลงเหลือกลิ่นอายของโจรเฉกเช่นสามีของนาง
ไม่รู้ว่าเจ้าโจรลู่เหวินนั่นโดนตัณหาบดบังสติปัญญาอย่างไรกันแน่ ถึงได้โปรดปรานหญิงสาวผู้นี้ถึงขั้นทำให้นางเอาตนเองเป็นใหญ่ แสดงท่าทีไร้กฎไร้ระเบียบเช่นนี้
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็วางจดหมายลงเบาๆ พร้อมเอ่ย “เจ้าไม่ได้ทำร้ายหลานชายของหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ผู้นั้นหรอกหรือ หากถกกันโดยละเอียด เกรงว่าเจ้าต้องจ่ายค่ายาให้คุณชายท่านนั้นด้วยซ้ำ…”
ทันทีที่ได้ยินว่าต้องใช้เงินหลิ่วเหมียนถังก็ย่นคิ้ว เอ่ยเสียงเบา “แม้จะได้ยินว่าไหวหยางอ๋องผู้นั้นเป็นคนยุติธรรม รักใคร่ราษฎร แต่ให้ราษฎรฟ้องร้องขุนนางก็ออกจะเสียเปรียบอยู่บ้างจริงๆ เงินที่บ้านเหลือไม่มากแล้ว หากถูกเจ้าสารเลวนั่นขู่กรรโชกจนหมดตัวก็แย่สิ…ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว ขอให้ท่านพี่ลงโทษด้วย…”
พูดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ ขอบตาแดงระเรื่อ มองไปที่ชุยสิงโจวอย่างหวั่นเกรงเสมือนเด็กน้อยทำความผิด
ทว่าชุยสิงโจวที่รีบเดินทางมาทั้งคืนไม่ได้ตั้งใจมาเล่นงิ้วกับนาง เพียงแค่ยกประเด็นสำคัญขึ้นมาถามเสียงอ่อนโยน “วิชาที่เจ้าจัดการคุณชายท่านนั้นไม่ธรรมดา ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้ากัน”
คนที่ไม่รู้จักชุยสิงโจวล้วนรู้สึกว่าเขาเป็นคนใจกว้างพูดน้อย ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ก็ไม่แสดงออกมา เป็นสุภาพชนที่อ่อนน้อมอย่างมาก
นับตั้งแต่หลิ่วเหมียนถังกลับมาก็เป็นกังวลมาโดยตลอดว่าความสาแก่ใจชั่วครู่ชั่วคราวของตนจะสร้างปัญหา ทว่าสามีชุยจิ่วกลับไม่แสดงท่าทีหงุดหงิด ทั้งไม่ได้ตวาดตำหนิเสียงดังแต่อย่างใด
นางแอบรู้สึกดีใจอีกครั้งที่ตนเองได้แต่งให้กับสามีที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนปานนี้
ตอนนี้ได้ยินเขาถามขึ้นหลิ่วเหมียนถังจึงตอบกลับอย่างซื่อสัตย์ “ท่านหมอเทวดาจ้าวทิ้งตำรากดจุดลมปราณเล่มหนึ่งไว้ให้ข้า จุดลมปราณในตำราจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน วันนี้ข้าเองก็โชคดีถึงได้โจมตีถูกจุดในครั้งเดียว นับว่าไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง…”
นางล้วนพูดความจริง ช่วงแรกที่นางเพิ่งฟื้นได้แต่นอนอยู่บนเตียงทุกวัน คิดอยากหาใครมาพูดคุยฆ่าเวลาก็ดันมาเจอช่วงเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในสกุลชุยเข้า ช่วงเวลาที่เห็นหน้าพวกบ่าวรับใช้ลดน้อยลง บางครั้งคิดอยากดื่มน้ำยังเรียกหาใครไม่เจอด้วยซ้ำ
โชคดีที่ท่านหมอเทวดาจ้าวนิสัยไม่เลว เมื่อเห็นนางเบื่อหน่ายจึงนำตำราอ่านฆ่าเวลามาให้ รวมถึงมอบตำราแพทย์ที่สอนวิธีนวดกระตุ้นการไหลเวียนเลือดด้วยตนเองมาให้ด้วย
เพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูด หลิ่วเหมียนถังจึงไปหยิบตำราที่ท่านหมอเทวดาจ้าวมอบให้จากหัวเตียงมาให้สามีดู เพราะคอยอ่านอยู่ตลอดในช่วงการเดินทาง นางจึงให้หลี่มามาช่วยห่อปกผ้าให้ ทะนุถนอมมันอย่างยิ่ง
คำตอบของนางอยู่เหนือความคาดหมายของชุยสิงโจวไปไกล เมื่อเขาพลิกเปิดตำราดูก็เห็นว่าในนั้นมีข้อความกำกับของสหายสนิทจ้าวเฉวียนอยู่จริงๆ พวกจุดลมปราณอันตรายบริเวณลำคอถึงกับใช้ชาดเขียนกำกับไว้ด้วยซ้ำ
หลิ่วเหมียนถังตั้งใจเขยิบเข้าใกล้สามี ใช้นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังตัวอักษรเล็กๆ เหล่านั้น “ข้อความเหล่านี้ข้าเป็นคนขอร้องให้ท่านหมอเทวดาจ้าวเขียนกำกับไว้ให้ข้า แรกเริ่มก็เพียงอ่านฆ่าเวลาด้วยความเบื่อหน่าย นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์ คำโบราณกล่าวไว้ว่าแค่เปิดตำราอ่านก็มีประโยชน์ เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย!”
นางเพิ่งล้างหน้าล้างตัวเสร็จ พออยู่ใกล้ๆ กลิ่นสะอาดของเจ้าเจี่ยว* ก็ลอยวนเวียนอยู่แถวจมูก ทว่ากลับกระตุ้นเพลิงโทสะอันแปลกประหลาดขึ้นมาในใจชุยสิงโจว
นี่ใช่ตำราแพทย์ที่ใดกัน หลังจ้าวเฉวียนเขียนกำกับไว้โดยละเอียดเช่นนี้ก็ได้กลายเป็นตำราสังหารคนไปแล้ว! หญิงสาวบอบบางผู้หนึ่งสามารถใช้ปิ่นฆ่าคนตามจุดในภาพวาดได้แล้วด้วยซ้ำ!
แม้เขาจะรู้ว่าจ้าวเฉวียนเป็นคนไม่คิดมาก แต่ยังคงเกิดความคิดหุนหันอยากจะจับตัวสหายสารเลวยัดเข้าคุกแล้วใช้คีมเหล็กเผามาปรนนิบัติดีๆ สักรอบหนึ่ง ดูว่าจะทะลวงจุดสติปัญญาของจ้าวเฉวียนได้หรือไม่
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็อดมองดูหลิ่วเหมียนถังที่กำลังช่วยพลิกหน้าตำราให้เขาด้วยสายตาเย็นชาไม่ได้
ยามนี้แสงเทียนอ่อนสลัว ใต้แสงสว่างพร่ามัวใบหน้าใต้การขับเน้นของเรือนผมดกดำของหลิ่วเหมียนถังเสมือนทอประกายเย้ายวนคน ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง** มองเขายิ้มๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูน่าสงสาร
มิน่าจ้าวเฉวียนถึงโดนความงามมอมเมาสติปัญญา เสียสติไปโดยสมบูรณ์
แต่หลิ่วเหมียนถังไม่รู้ถึงคำค่อนขอดในใจชุยจิ่ว ยังคงเอ่ยถามอย่างขยันขันแข็ง “ท่านพี่หิวหรือไม่ ให้หลี่มามาทำบะหมี่ให้ท่านกินสักชามดีหรือไม่”
บทที่ 6
แม้ชุยสิงโจวจะดื่มสุราตอนอยู่ที่ศาลาบนภูเขา แต่เขาไม่ได้กินอาหารรองท้อง เดินทางลงจากภูเขามาจนตอนนี้ก็รู้สึกหิวแล้วจริงๆ
ดังนั้นเขาไม่รอให้หลิ่วเหมียนถังไปสั่งก็ตะโกนขึ้นเอง “หลี่มามา ยกอาหารเข้ามาหน่อย!”
น่าเสียดายที่เจ้านายย้อนกลับมากะทันหัน หลี่มามาไม่ได้เตรียมการอันใดไว้ เมื่อต้องการอย่างเร่งด่วนกะทันหันในห้องครัวจึงปราศจากวัตถุดิบ นางได้แต่ยกกับข้าวที่เมื่อเย็นทำให้หลิ่วเหมียนถังกินมาวาง
อาหารเย็นวันนี้คือหัวไช้เท้าแห้งที่ซื้อมาจากข้างทาง หลังแช่น้ำก็โรยเกลือคลุก นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้รา*** อันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอีกก้อนหนึ่ง เพียงราดน้ำมันร้อนก็กินได้แล้ว
แม้ชุยสิงโจวจะไม่เลือกกิน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอาหารที่หลี่มามายกมาวางจะสะเพร่าขอไปทีเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีข้าวถ้วยหนึ่งให้กินคู่ด้วยก็แทบจะกลายเป็นอาหารนักโทษในคุกแล้วจริงๆ
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับทำตัวเป็นธรรมชาติมาก ในสายตานางแล้วเพื่อประคับประคองครอบครัว หากประหยัดได้ย่อมประหยัด แต่เมื่อเห็นสามีย่นคิ้วน้อยๆ นางจึงตะโกนบอกให้หลี่มามาเอาน้ำมันงามา พร้อมเอ่ยปลอบสามีผู้เลือกกินไปด้วย “ท่านพี่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนต้องใช้เงิน ปกติจึงต้องประหยัดมัธยัสถ์บ้าง วันนี้ดึกเกินไป หากกินมากจะไม่ดีต่อกระเพาะอาหาร ท่านพี่กินรองท้องไปก่อน เต้าหู้ราราดน้ำมันงาอร่อยมาก ถ้าหากไม่คุ้นปากวันพรุ่งนี้ข้าจะบอกให้หลี่มามาไปซื้อไก่ข้าวเหนียว**** มาให้ท่านกิน…”
ชุยสิงโจวจะฟังน้ำเสียงปลอบเด็กน้อยกินข้าวของหญิงสาวผู้นี้ไม่ออกได้อย่างไร เขาหัวเราะเสียงเย็นในใจ ทว่ากลับยกชามข้าวขึ้นมากินคู่กับหัวไช้เท้าแห้งไปเงียบๆ
ส่วนหลิ่วเหมียนถังก็คลุกเต้าหู้รากับน้ำมันงาอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังช่วยรินชาร้อนให้ชุยสิงโจว
หลังกินอาหารเสร็จก็ดึกมากแล้ว ชุยสิงโจวรู้ว่าหากเวลานี้ยังบอกว่าจะไปตรวจบัญชีที่ร้านค้าอีก ต่อให้นางล้มศีรษะกระแทกมีปัญหามาก็ไม่มีทางเชื่อแน่
ครั้งนี้เขามาที่นี่ด้วยเจตนาจะจับจุดอ่อนนาง ในเมื่อต้องการดูว่านางมีความคิดจะลอบสังหารเขาหรือไม่ ก็ต้องเปิดโอกาสให้นางจึงจะถูก
ดังนั้นหลังกินอาหารเสร็จและเก็บจานชามตะเกียบไปเรียบร้อย ในห้องกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ‘ท่านชุยจิ่ว’ ก็เอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “วันนี้เหนื่อยแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ”
แม้หลิ่วเหมียนถังจะเดาได้แต่แรกว่าวันนี้สามีจะนอนในห้องนาง แต่พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้จริงๆ ก็ยังรู้สึกใจเต้นตึกตักๆ ขึ้นมาอยู่ดี
โชคดีที่หนึ่งปีมานี้หลังป่วยหนักนางยอมรับความจริงว่าตนเองเป็นภรรยาของชุยจิ่วมานานแล้ว แม้จะเคอะเขินแต่ก็ไม่สะดวกจะผลักไสสามีออกไปข้างนอก
นางเม้มปากพลางรีบเดินไปข้างเตียง จัดผ้าห่มแล้วหันกลับไปถาม “ท่านพี่ชอบนอนฝั่งใดหรือ”
ชุยสิงโจวดื่มชาก่อนตอบเรียบๆ “ข้านอนข้างนอก”
เพราะว่าในบ้านไม่มีชุดของชุยสิงโจว เขาจึงไม่อาจผลัดเปลี่ยนชุดแล้วนอนตามปกติได้ หลังล้างหน้าล้างตาง่ายๆ ถอดเสื้อนอกออกก็นอนลงบนเตียงโดยสวมแค่เสื้อตัวใน
แม้จะอยู่ห่างกันโดยมีผ้าห่มหนึ่งผืนกั้นไว้ แต่เขายังคงสัมผัสได้ว่าเรือนกายที่กรุ่นกลิ่นหอมของหญิงสาวข้างกายเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะไม่คุ้นชินหรือกำลังคิดว่าจะลอบโจมตีเขาเมื่อใดกันแน่…
ความจริงตอนนี้ในสมองของหลิ่วเหมียนถังเต็มไปด้วยความเสียใจภายหลัง เหตุใดเมื่อครู่นี้จะต้องเอ่ยปากถามเขาด้วย ให้เขานอนข้างในไปเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว
ตอนเย็นเมื่อครู่นี้เพราะว่าหัวไช้เท้าแห้งที่หลี่มามาคลุกมาเค็มเกินไป หลังกินข้าวเสร็จนางจึงดื่มน้ำไปหนึ่งกา คิดว่าตอนกลางคืนจะต้องลุกขึ้นมาแน่ๆ หากคลานเข้าออกไปมาเช่นนี้ มิใช่เป็นการรบกวนการนอนของสามีหรอกหรือ
คิดมาถึงตรงนี้นางก็อดทนไม่ไหว ตะแคงตัวเล็กน้อยมองสำรวจความเคลื่อนไหวของสามี
ยามนี้ภายในห้องมีแสงจันทร์กระจ่างส่องเข้ามาผ่านบานหน้าต่าง ตกกระทบลงบนปลายจมูกของชุยจิ่ว
สามีอยู่ใกล้กับนางเพียงนี้ แค่ยื่นนิ้วออกไปก็สัมผัสถึง…หลิ่วเหมียนถังฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขา ในหัวใจพลันผุดความหวานล้ำขึ้นมา
นับตั้งแต่นางป่วยหนัก แม้สามีจะดูแลนางอย่างละเอียดรอบคอบ ทว่าไม่เคยนอนร่วมห้องกับนางมาก่อน เริ่มแรกนางลอบรู้สึกสบายใจ ไม่คิดอยากนอนหลับร่วมกับสามีที่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง แต่พอนานวันเข้านางก็เริ่มจมลงสู่ห้วงแห่งความกังวลอันลึกล้ำ
ชุยจิ่วเป็นพ่อค้า มักจะออกไปทำการค้าข้างนอก จำเป็นต้องไปกินเลี้ยงในสถานที่ที่มีนางโลม รวมกับที่ชุยจิ่วมีรูปโฉมหล่อเหลา หญิงสาวข้างนอกเห็นแล้วมิต่างจากได้เห็นเนื้อโอชาหรอกหรือ
หากเขาติดนิสัยไม่ดีอะไรมา มิใช่จะทำให้ระหว่างสามีภรรยาหมางใจกันหรอกหรือ
โชคดีที่ตอนนี้พวกเขาลงหลักปักฐานอยู่ตำบลหลิงเฉวียน ในที่สุดสามีก็ไม่ต้องออกเดินทางตะลอนไปทั่ว นางก็สงบใจจากสภาพเคว้งคว้างหลังสูญเสียความทรงจำ ตั้งใจเป็นภรรยาของเขาได้แล้ว อีกอย่างอายุอย่างสามีก็ควรมีลูกแล้วด้วย…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้พวงแก้มของหลิ่วเหมียนถังพลันร้อนวูบวาบขึ้นมา นางค่อยๆ ยื่นมือไปลูบมือของชุยจิ่ว
นี่ต่างไปจากมือเรียวของนาง ฝ่ามือของเขาแบ่งแยกข้อกระดูกกับเส้นเอ็นชัดเจน สามารถกุมมือนางได้จนหมด…
สามีไม่ได้ขยับ คล้ายว่าเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปจึงหลับสนิทไปแล้ว
หลิ่วเหมียนถังโล่งอก วางมือไว้ในฝ่ามือของเขาอย่างสบายใจ
หนึ่งปีที่ผ่านมามีเพียงชั่วขณะนี้ที่นางเกิดความรู้สึกเฉกเช่นชีวิตคู่สามีภรรยาขึ้นมาจริงๆ
นอกจากแอบดีใจแล้ว ในสมองของภรรยาอย่างนางก็เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย…พรุ่งนี้จะต้องตื่นเช้ามาปรนนิบัติท่านพี่ล้างหน้า ที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าให้เขาผลัดเปลี่ยนจะต้องอุ่นด้วยเตารีดแทน ทาบเสื้อนอกของเขาเสียหน่อยถึงจะเหมาะสม ที่สำคัญคือต้องกำชับให้หลี่มามาไปซื้อไก่ข้าวเหนียวมาให้ท่านพี่กิน…คิดไปคิดมา หลิ่วเหมียนถังก็หลับตานอนหลับสนิทไปทั้งที่วางมือไว้ในฝ่ามือของเขาเช่นนี้
หลังหลิ่วเหมียนถังนอนชิดสามีของนางแล้วหลับสนิทไป ผู้เป็นสามีก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เขาไม่ค่อยรู้สึกเสียใจภายหลังกับเรื่องใดนัก แต่เวลานี้เขารู้สึกจริงๆ ว่าตนไม่ควรมาที่นี่ตอนกลางดึก เดิมหลงคิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะอาศัยโอกาสที่ตนหลับสนิทลงมือเคลื่อนไหว วางแผนชั่วร้าย ทว่านางกลับแค่วางมือนุ่มลงบนฝ่ามือของตนแล้วหลับไปทั้งอย่างนี้
เขาตะแคงหน้าไปมอง อาศัยแสงจันทร์มองโฉมงามอายุสิบแปดปีที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ นางในยามนี้ปล่อยเรือนผมยาวสยายบนหมอน ลมหายใจทอดยาว นอนหลับอย่างอ่อนหวานและไม่รู้สึกตัว…
ชุยสิงโจวมองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าจะหยุดการหยั่งเชิงไว้เท่านี้ แม้จะดึกแล้วแต่หากออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังไปทันการฝึกทหารช่วงเช้าได้ ทว่าเมื่อเขาคิดดึงมือออก หญิงสาวข้างกายกลับเปล่งเสียงครางคล้ายลูกแมวออกมา จากนั้นกอดแขนเขาไว้พร้อมถูไถก่อนหลับสนิทไปตามเดิม
ชุยสิงโจวนอนตะแคงมองไปข้างนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดอยู่สักพักพลันเกิดความเกียจคร้านขึ้นมา จึงหลับตาลงไปอีกครั้ง ในเมื่อมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยเดินทางตอนกลางคืนหรอก รอพรุ่งนี้ค่อยวางแผนอีกทีแล้วกัน
ช่วงครึ่งคืนแรกมีดวงจันทร์คู่ดาราบางตา ครึ่งคืนหลังฝนโปรยปรายลงมาตกกระทบลงบนกรอบหน้าต่าง ทำให้คนนอนหลับสนิทเป็นพิเศษ
เพียงแต่เพราะในใจมีเรื่องราว หรืออาจเพราะตอนบ่ายเมื่อวานนอนหลับนานเกินไป หลิ่วเหมียนถังจึงตื่นมาแต่เช้าพร้อมสายฝนพรำ
ช่วงดึกหลิ่วเหมียนถังตื่นขึ้นมากลางดึกหนหนึ่งจริงๆ แต่เพราะสามีอยู่ในห้อง นางไม่สะดวกจะใช้กระโถน จึงหยิบร่มวิ่งไปเข้าห้องน้ำที่ข้างนอกโดยเฉพาะ
นึกไม่ถึงว่าหลี่มามาจะยังไม่กลับห้องนอน แต่เอาเก้าอี้เตี้ยมานั่งอยู่ใต้ชายคา มองเห็นเป็นเงาดำขมุกขมัว ช่างน่าตกใจยิ่ง
เมื่อนางถามอย่างแปลกใจ หลี่มามาก็ตอบด้วยดวงตาแดงๆ ว่านายท่านกลับมาจำเป็นต้องมีคนคอยรอปรนนิบัติ กลัวว่านายท่านกับฮูหยินต้องการใช้น้ำกลางดึกแล้วจะเรียกหาใครไม่ได้
บ่าวเก่าแก่จงรักภักดีเยี่ยงนี้ ไม่อาจหาข้อตำหนิได้จริงๆ
เพียงแต่คำว่า ‘ต้องการใช้น้ำกลางดึก’ นี้คล้ายจะมีความนัยซ่อนอยู่ ทำเอาหลิ่วเหมียนถังหน้าแดงเรื่อขึ้นมา
เทียบกับความวุ่นวายไปๆ มาๆ ของนาง ท่าการนอนของชุยจิ่วกลับเรียบร้อยกว่ามาก เหมือนบุคลิกอันอบอุ่นของเขา ตลอดทั้งคืนแทบจะอยู่ในท่าเดียว เสื้อตัวในไม่มีรอยยับย่นเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่เขาขี้เกียจตื่น หลังหลิ่วเหมียนถังตื่นขึ้นแล้ว เขายังนอนต่ออีกหนึ่งชั่วยาม* เต็มๆ ถึงค่อยลุกขึ้น
ตอนที่ตื่นขึ้นมาในดวงตาคมกริบยังมีเส้นเลือดฝอย มองไม่ออกถึงสภาพนอนหลับเต็มอิ่มเลยสักนิด
ยามปรนนิบัติสามีล้างหน้า หลิ่วเหมียนถังเห็นแล้วให้ปวดใจขึ้นมา นับแต่สกุลชุยตกต่ำสามีจะต้องเหน็ดเหนื่อยตะลอนไปทั่วเพื่อทำการค้า ไม่ได้นอนหลับสนิทเลยใช่หรือไม่
ถึงกระนั้นพอสามีตื่นมาแล้วกลับไร้ซึ่งคำบ่นตัดพ้อใดๆ ต่อให้สวมแค่เสื้อตัวใน แต่ท่าทางยามวักน้ำล้างหน้ากลั้วปากยังคงดูสง่างามดั่งสวมชุดบัณฑิตอย่างไรอย่างนั้น
หลิ่วเหมียนถังอิจฉากลิ่นอายอ่อนโยนสง่างามที่ออกมาจากกระดูกของชุยจิ่วนี้มาก ดังนั้นจึงหยิบเสื้อที่พาดบนฉากบังลมของสามีมา ตั้งใจจะรีดเสื้อด้วยตนเอง อยากให้สามีออกไปข้างนอกอย่างดูดีกว่านี้สักหน่อย
เพียงแต่หลังเตารีดใส่ถ่านเข้าไปก็ค่อนข้างหนัก หลิ่วเหมียนถังข้อมือไร้กำลัง จับเตารีดไม่ค่อยมั่นคง ชวนให้หลี่มามาที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วหวาดหวั่น กลัวว่านางจะทำเตารีดคว่ำเผาเสื้อนอกของเจ้านาย ทำให้เขาไม่อาจออกไปข้างนอกอย่างมีหน้ามีตาได้ ดังนั้นจึงแย่งงานของหลิ่วเหมียนถังมาทำเสียเอง
อาศัยช่วงที่หลี่มามารีดเสื้อผ้า หลิ่วเหมียนถังช่วยตักข้าวต้มร้อนที่เพิ่งต้มเสร็จให้สามีก่อน จากนั้นจัดวางกับข้าวอันประณีตที่บ่าวหญิงใบ้ยกมาแล้วเอ่ยถามสามี “ร้านค้าของสามีอยู่ที่ใดหรือ เมื่อคืนท่านไม่ได้กินข้าวเต็มอิ่ม เที่ยงวันนี้ข้าจะให้หลี่มามาผัดเนื้อแล้วข้าจะเอาไปส่งให้ท่าน”
แม้เมื่อวานชุยสิงโจวจะสั่งให้บ่าวไปซื้อร้านไว้แล้ว แต่ตอนนี้ยังคงไม่ได้รับรายงานกลับมา เขาจะไปพูดถึงร้านที่ไม่มีอยู่จริงออกมาได้อย่างไร
บางทีอาจเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท ความอ่อนโยนบนใบหน้าอันหล่อเหลาของชุยสิงโจวจึงอึมครึมลง เมื่อได้ยินนางถามเขาก็คร้านจะเปลืองสมองหลอกนาง จึงเอ่ยอย่างตัดปัญหาว่า “ร้านที่ก่อนหน้านี้จองไว้ เจ้าของเดิมเปลี่ยนใจคืนเงินมัดจำมาให้แล้ว ตอนนี้…ยังไม่มีร้าน”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วโมโห วางตะเกียบลงแรงๆ พร้อมกล่าว “ร้านใดกัน เหตุใดจึงพูดไม่เป็นคำพูดเช่นนี้!”
ชุยสิงโจวไม่ได้ตอบกลับ แค่ตั้งใจกินข้าวต้มในชามตนเอง
หลิ่วเหมียนถังรู้ตัวว่าเสียกิริยา นางรีบปรับท่านั่งแล้วเอ่ยอย่างอ่อนหวาน “ท่านพี่อย่าได้โมโหเป็นอันขาด ดั่งคำที่ว่าเรื่องดีๆ ต้องขัดเกลา บางทีการที่เขาคืนเงินมัดจำอาจเป็นเรื่องดีก็ได้!”
นางพูดออกมาจากใจ ในสายตานางแม้สามีจะอุปนิสัยดีมาก ทว่ามีความใสซื่อแบบพวกลูกหลานคนรวยอยู่บ้าง กระทั่งร้านค้าที่จองไว้ยังโดนคนบังคับให้คืนเงินมัดจำได้ก็พอจะดูออกแล้ว
นางในฐานะภรรยาของเขาไม่อาจยืนชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ควรจะทุ่มเทแรงใจช่วยเหลือเขาถึงจะคู่ควรกับคำว่าศีลธรรม
ดังนั้นหลิ่วเหมียนถังจึงเอ่ยต่อ “ท่านพี่ เพื่อนบ้านข้างหน้าล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ สามารถสืบข่าวจากพวกเขาได้ การซื้อร้านเป็นเรื่องใหญ่ไม่อาจรีบร้อนเกินไป ในเมื่อเจ้าของร้านนั้นเปลี่ยนใจไปแล้ว มิสู้ค่อยๆ เลือกดีๆ อีกทีค่อยซื้อใหม่”
เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ชุยสิงโจวเองก็ตัดปัญหาว่าจะหลอกนางให้ออกจากบ้านได้อย่างไร จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าต้องไปกินเลี้ยงที่อำเภอข้างๆ ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรทำ เรื่องซื้อร้านยกให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินคำพูดตรงใจแล้วก็ยังคงกะพริบดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ปริบๆ ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “ก่อนหน้านี้ข้าป่วยหนัก เรื่องราวมากมายล้วนจดจำไม่ได้ หากทำไม่สำเร็จจะทำอย่างไรเล่า”
ชุยจิ่วยิ้มน้อยๆ “ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางแย่ไปกว่าทำร้ายคนในตรอกหรอก แค่เลือกซื้อร้านค้าเท่านั้น ซื้อที่ถูกใจมาก็พอ”
หลิ่วเหมียนถังทำเป็นไม่ได้ยินประโยคค่อนขอดครึ่งแรกของสามี ซ้ำรู้สึกว่าประโยคครึ่งหลังที่ฟังดูโอหังอย่างต่อให้ใช้เงินไปจนหมดก็ยังหาใหม่ได้เช่นนี้มีความเป็นบุรุษอย่างมาก
แม้ครอบครัวจะตกต่ำ แต่ถึงอย่างไรสามีก็เติบโตมาในกลุ่มคนชั้นสูง สายตากับประสบการณ์ล้วนไม่ใช่อย่างพวกชาวบ้านทั่วไปเช่นนั้น
ดังนั้นตอนที่หลิ่วเหมียนถังมองใบหน้าหล่อเหลาที่เผยความสุขุมของสามีนางอีกครั้ง แววตานางก็อ่อนโยนลงอย่างห้ามไม่ได้
นางตัดสินใจว่าจะต้องไม่ผิดต่อความไว้ใจของสามี หาซื้อร้านดีๆ ที่ทำเงินมาให้ได้
* รักหยกถนอมบุปผา เป็นสำนวน หมายถึงความห่วงใยของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิง การดูแลเอาใจใส่ของผู้ชาย
* ชาวจีนสมัยโบราณแบ่งเวลาตอนกลางคืนออกเป็น 5 ยาม โดยยามหนึ่งเรียกว่ายามซวี คือช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. ถึง 21.00 น.
* เจ้าเจี่ยว เป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง กิ่งมีหนาม ใบซ้อนรูปนก ช่อดอกเป็นพวง ดอกสีเหลืองอ่อน ผลเป็นฝักแบนสีน้ำตาล ใช้ซักเสื้อผ้าและทำความสะอาดร่างกายต่างสบู่ได้
** ซิ่ง คือแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (ต้นบ๊วย) มักใช้เปรียบความงามของดวงตาหญิงสาวว่ากลมโตเหมือนเมล็ดซิ่ง
*** เต้าหู้รา คือการนำก้อนเต้าหู้ขาวหั่นเป็นชิ้นเล็กเท่าๆ กัน แล้วใส่บนจานหรือถาดปิดฝาวางไว้ราวหนึ่งอาทิตย์จนกระทั่งขึ้นรา บางท้องที่จะนำเต้าหู้ราไปคลุกเคล้ากับพริกไทยป่น พริกฮวาเจียวป่น และเครื่องเทศก่อนนำไปบรรจุใส่ในโถ สามารถเก็บได้นาน
**** ไก่ข้าวเหนียว คือข้าวเหนียวนึ่งยัดใส้ไก่ ถั่วลิสง ไข่แดงเค็ม และเห็ดหอม คลุกเคล้ากับซีอิ๊ว แล้วห่อด้วยใบบัว
* ชั่วยาม เป็นหน่วยเวลาโบราณของจีน หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.