บทที่ 61
หลังได้ยินเฮ่อเฉวียนเซิ่งพูดใส่เช่นนี้คนสูงอายุเหล่านั้นล้วนไม่ยินยอม แต่ละคนตะโกนหน้าแดงคอโป่งว่าถูกใส่ความ พากันเข้าไปล้อมเฮ่อเฉวียนเซิ่งไว้
ดูจากเจตนา เห็นได้ว่าต้องการจะรุมอัดเจ้าเด็กปากเปราะผู้นี้
ความจริงคำพูดเหล่านี้ที่เฮ่อเฉวียนเซิ่งพูดออกไปมีหลิ่วเหมียนถังเป็นผู้สอน ไม่อย่างนั้นคนหนุ่มซื่อๆ จะพูดจาจี้ใจดำเพียงนั้นได้อย่างไร
หลิ่วเหมียนถังเดาได้ว่าท่านเฉาจะมาหาตนเอง ทว่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าด้านกล้าคว่ำโต๊ะ ถึงขั้นจะทำร้ายคนอีกต่างหาก
สีหน้านางบึ้งตึงลงขณะเอ่ยกับท่านเฉาอีกครั้ง “ข้าไว้หน้าท่านแต่ท่านไม่รับไว้! จะต้องให้ข้าพูดออกมาว่าเจ้าของเบื้องหลังกิจการขนส่งทางเรือสกุลเฉาคือท่านใช่หรือไม่ สมัยนั้นท่านอาศัยโอกาสที่ท่านตาข้าป่วยหนักไม่ได้ดูแลกิจการ แอบแยกการขนส่งทางเรือสกุลลู่ออกมา! ท่านกำการค้าไว้มือหนึ่ง อีกมือกลับยังแบขอรับเบี้ยรายเดือนจากสกุลลู่ของพวกเรา ช่างเป็นคนต่ำช้าหน้าด้านเห็นแก่เงิน! ท่านตาข้ายอมให้ท่าน แต่ข้าไม่มีทางยอม! ในเมื่อท่านท้องใหญ่กินผลประโยชน์สกุลลู่ไปมากเพียงนั้น ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะให้ท่านคายของออกมาทีละนิดๆ! ลองกล้าแตะต้องคนของข้าดูสิ!”
พูดกันตามตรงว่ากับหญิงสาวอายุสิบเก้าปีผู้หนึ่ง ซ้ำปกติเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสยังมีท่าทีอ่อนน้อมอ่อนหวาน บรรดาคนเก่าแก่เหล่านี้ไม่เคยเห็นหลิ่วเหมียนถังอยู่ในสายตาจริงๆ
แต่ในตอนนี้เมื่อหญิงสาวตีหน้าเคร่งเอ่ยเสียงกร้าว กลับให้กลิ่นอายกดดันคนอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาบรรดาคนเก่าแก่เหล่านั้นต่างชะงักงันกันไป
ท่านเฉาโดนพูดใส่จนหน้าตึง หลังได้สติกลับมากลายเป็นอับอายจนพาลโกรธ ยกมือขึ้นทำลายข้าวของต่อ
แม้หลิ่วเหมียนถังจะพูดจาหาเรื่องท่านเฉา ทว่าไม่ได้คิดจะลงมือ พอเห็นลูกจ้างด้านหลังนางทำท่าจะพุ่งเข้าไปดึงตัวคน ก็ถูกหลิ่วเหมียนถังห้ามปรามเอาไว้
ขณะนั้นเองมีคนตะโกนขึ้นมาเสียงดังกังวาน “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนเหลียวหน้ามองไป ล้วนนึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นลู่อู่เดินเข้ามาในสำนักคุ้มภัยด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ
ทันทีที่ท่านเฉาเห็นเขาก็ประหนึ่งเห็นดาวช่วยชีวิต คุกเข่าลงตรงหน้าลู่อู่พลางร่ำไห้ปาดน้ำตา ฟ้องว่ายายหนูเหมียนถังน่าโมโหเพียงใด
แต่ลู่อู่ไม่รอให้เขาพูดจบก็ยกไม้เท้าในมือฟาดใส่ใบหน้าอีกฝ่ายแรงๆ ไปหนหนึ่ง
วรยุทธ์ของลู่อู่ยังคงอยู่ เพียงแค่เจ็บป่วยมาหลายปีจึงส่งผลให้ไม่ค่อยมีแรงนัก แต่วันนี้เขาโมโหเลือดขึ้นหน้า เรี่ยวแรงที่ใช้ออกไปเองก็เต็มเปี่ยม
ท่านเฉาผู้นั้นยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นทำตัวเป็นนายท่าน แต่อยู่ต่อหน้าลู่อู่ไม่ใช่กระทั่งผายลม โดนฟาดจนเซเสียหลักล้มไปนั่งแปะบนพื้น
พวกที่เหลือที่ร่วมด้วยช่วยกันพอเห็นลู่อู่ปรากฏตัวต่างพากันเงียบกริบเป็นจักจั่นจำศีล พูดอะไรไม่ออก
ลู่อู่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพจริงๆ แต่เขาเองก็เป็นคนลำเอียง! หลานสาวก็คือเกล็ดย้อนของเขาลู่อู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้อง!
ตอนแรกที่เขาได้ยินว่าหลิ่วเหมียนถังรับสำนักคุ้มภัยไปทำต่อก็นึกว่านางแค่อยากเล่นสนุก แล้วก็หาวิธีทำเงินให้กับที่บ้านไปในตัว
แม้เขาจะด่าทอบุตรชายสองคน ทว่าตัดใจต่อว่าหลิ่วเหมียนถังไม่ลงสักคำ เพียงคิดว่าจะหาเจ้าของที่เหมาะสมขายคฤหาสน์ให้ จากนั้นเอาเงินคืนให้หลิ่วเหมียนถังอีกที
นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับมีลูกจ้างสำนักคุ้มภัยมาตามหาเขา บอกว่ามีคนไปก่อเรื่องที่สำนักคุ้มภัย คุณหนูหลิ่วคุมสถานการณ์ไม่ค่อยอยู่แล้ว
ดังนั้นลู่อู่ถึงได้พาบ่าวอาวุโสกับบ่าวรับใช้ที่บ้านรีบเร่งเดินทางมา ไม่คาดว่าจะได้เห็นภาพบรรดาคนเก่าแก่ใช้ความอาวุโสมารังแกหลิ่วเหมียนถังเข้าให้เต็มๆ ตา
เขายังได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเฮ่อเฉวียนเซิ่งกับหลิ่วเหมียนถังอย่างครบถ้วน ความจริงเรื่องที่เฉาอู่ขโมยลูกค้าของกิจการทางน้ำของสำนักคุ้มภัยโดยแยกไปเปิดกิจการสกุลเฉาเอง เรื่องนี้ก็มีคนเคยบอกกับเขามานานแล้ว แต่เฉาอู่อ้างว่ากิจการขนส่งทางเรือนั้นเปิดให้หลานชายของตน
ตอนนั้นสุขภาพลู่อู่ไม่สู้ดี มองดูลูกน้องในวันวานร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าบอกว่าตนถูกใส่ความ ย่อมต้องเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย
ประโยคที่เขาได้ยินในวันนี้หากบุตรชายคนโตพูดให้เขาฟัง เขาจะไม่เต็มใจฟังอย่างยิ่ง เพราะรู้สึกว่าบุตรชายคนโตไม่พอใจว่าคนเก่าแก่กลุ่มนี้เป็นภาระ หาข้ออ้างปล่อยปละไม่สนใจ
แต่พอประโยคนั้นออกมาจากปากทายาทที่หลงเหลืออยู่ของสกุลเฮ่อ กลับฟังดูเป็นความจริงอย่างมาก
มิหนำซ้ำตาเฒ่าเฉาอู่ผู้นี้เวลาอยู่ต่อหน้าตนเองดูซื่อสัตย์ภักดี เวลาอยู่ลับหลังกลับผยองอวดดีถึงเพียงนี้!
ดวงตาที่ถูกปิดมานานของลู่อู่ ในที่สุดก็ค่อยๆ เปิดกว้างขึ้นแล้ว!
เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ของเฉาอู่ ท่านผู้เฒ่าลู่เองก็โมโห เอ่ยเสียงดังกังวาน “เฉาอู่ เจ้าเก่งนักก็ไปทำตัวเป็นนายท่านที่อื่นเสีย แต่ว่าภายในห้องโถงนี้ไม่ว่าจะโต๊ะตัวใดก็ไม่ใช่ของเจ้า! หลานสาวข้ามีความสามารถแย่งงานจากปากเจ้าได้ หากเจ้าไม่พอใจก็ไปแสดงฝีมือออกมา อย่ามาก่อเรื่องโวยวายที่นี่! ดูจากพฤติกรรมของ ‘ท่านเฉา’ อย่างเจ้า บวกกับหลานชายที่มีความสามารถของเจ้าแล้ว เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องให้สกุลลู่ของข้าคอยช่วยเหลืออยู่แล้วนี่ นับจากนี้ไปสกุลลู่กับท่านเฉานับว่าหมดหนี้บุญคุณกัน ขอให้วันหน้าท่านเฉาอย่าได้อ้างชื่อข้าลู่อู่อีก!”
ลู่อู่ทำงานมาหลายสิบปี เส้นสายที่สะสมไว้มีมากจนน่าตกใจ กิจการขนส่งทางเรือของท่านเฉาดำเนินกิจการได้ราบรื่นเพียงนี้เป็นเพราะอ้างชื่อว่าเป็นลูกจ้างเก่าแก่ที่ภักดีของสกุลลู่ ยืมชื่อเสียงของผู้คุ้มภัยอาวุโสมาใช้
แต่วันนี้ลู่อู่ประกาศเจตนาตัดขาดกับตาเฒ่าเฉาอู่ออกมาที่นี่ รอบข้างมีคนอยู่มากมายเพียงนี้ เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังอยู่ เพียงไม่นานก็จะแพร่กระจายไปทั่ว
ใบหน้าของเฉาอู่ประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดง แม้แต่ฝันยังนึกไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าลู่ที่ป่วยซมไม่เคยออกจากบ้านมานานจะมาปรากฏตัวที่นี่ ทุกวันนี้กิจการของเขาไม่ดี ยังจำเป็นต้องอ้างชื่อสกุลลู่เพื่อใช้เส้นสาย ไม่อาจแตกหักในตอนนี้ได้จริงๆ ดังนั้นจึงเริ่มร้องไห้ บอกว่าตนเองเพียงเลอะเลือนไปชั่ววูบด้วยความโมโห
หลิ่วเหมียนถังกลับเติมน้ำมันใส่ไฟอย่างไม่หนักไม่เบาอยู่ด้านข้าง “อย่างท่านเฉาไม่เรียกเลอะเลือนหรอก ท่านวางอำนาจใส่คนอื่นได้ร้ายกาจจะตาย! พวกลูกเรือที่ท่านแอบซื้อตัวที่ท่าเรือ ให้พวกเขาลอบสับเปลี่ยนลังสินค้าของเรือพวกเราก่อนหน้านี้ถูกคนจับตัวส่งไปที่ว่าการแล้ว พวกเขาสารภาพแล้วว่าหลานชายท่านเป็นคนจ้างวาน ข้าคิดว่าในอีกไม่กี่วันนี้คนของที่ว่าการก็น่าจะไปจับตัวคนแล้ว มิสู้…ท่านเฉากลับไปจัดการธุระก่อนดีกว่า”
ตาเฒ่าเฉาอู่ได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี บวกกับความขายขี้หน้า จึงไม่มีเวลามาสนใจรำลึกอดีต เกาะมิตรภาพกับลู่อู่อีก เพียงรีบร้อนกลับไปทันที
และบรรดาคนเก่าแก่ที่เหลือต่างรู้จักปรับหางเสือตามลม* พากันบอกว่าตนเองถูกเฉาอู่ยุแยง ไม่รู้ว่าเบื้องหลังมีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ จากนั้นแต่ละคนก็รีบกระเจิงหนีไป
ในห้องโถงใหญ่โตท่ามกลางข้าวของที่ถูกพังเละเทะ ลู่อู่ยืนอยู่อย่างหดหู่ แผ่นหลังที่เหยียดตรงมาโดยตลอดคล้ายค้อมลงเล็กน้อย เขาเดินออกไปจากห้องโถง เงยหน้ามองแผ่นป้าย ‘สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน’ ป้ายนั้น คล้ายเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในชื่อที่หลานสาวตั้งขึ้นมา
เขาหันกลับไปมองหลานสาวที่ตามออกมาช่วยประคองตัวเขา ก่อนถอนหายใจเอ่ย “เจ้ารู้สึกว่าท่านตาเจ้าใช้การไม่ได้ เลอะเลือนเหลือเกินใช่หรือไม่!”
หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ เอ่ย “หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์อำเภอข้างเคียงดูเหมือนจะอายุมากกว่าท่านตาหนึ่งปี ก่อนหน้านี้เพิ่งรับอนุคนใหม่ไป ผ่านไปไม่กี่เดือนก็ตั้งครรภ์แล้ว ท่านตาแข็งแรงกว่าเขามากนัก หากยินยอมเป็นบิดาก็เพิ่มท่านอาน้อยให้ข้าได้อีกคน จะแก่ชราไปได้อย่างไร”
ลู่อู่เห็นนางทำตัวไม่จริงจังก็ถลึงตาใส่ “มีแต่คำพูดเหลวไหล ดูว่าข้าจะลงโทษให้เจ้าคุกเข่าที่ศาลบรรพชนหรือไม่!”
แต่เพราะความไม่จริงจังของหลิ่วเหมียนถังกลับช่วยให้เขาลดทอนความเศร้าหมองในใจได้ชั่วขณะ เพียงมองป้ายชื่ออีกสักพักแล้วเอ่ย “ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยขอยืมสมุดรายชื่อไปคัดลอกรายชื่อผู้ที่รับเบี้ยรายเดือน บอกว่าจะซื้อของให้พวกท่านลุงท่านปู่ แต่ว่าสุดท้ายเจ้าไม่ได้ส่งมอบของออกไปสักส่วนเดียว…ข้าแก่แล้ว เรื่องบางอย่างไม่ได้มองล่วงหน้าไกลเหมือนเด็กอายุน้อย หลายสิบปีมานี้ก็นับว่าข้าทำดีต่อบรรดาลูกจ้างเก่าอย่างเต็มที่ น้ำใจที่ควรให้ก็ให้ไปหมดแล้ว พวกที่ไม่รู้จักรับน้ำใจล้วนเป็นสุนัขป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง วันพรุ่งนี้ข้าจะเอากุญแจห้องบัญชีให้เจ้า เจ้าก็ลองคำนวณดู วันหน้าควรจะจ่ายให้หรือไม่ เจ้าตัดสินเอาเองเถอะ”
ลู่อู่จะไม่รู้สถานการณ์ยากลำบากในปัจจุบันของสกุลลู่ได้อย่างไร เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเขาผ่านด่าน ‘คุณธรรม’ ไปไม่ได้ มิหนำซ้ำบุตรชายสองคนที่บ้านเองก็ควบคุมพวกคนเก่าแก่เหล่านั้นไม่อยู่
แต่ตอนนี้ให้หลิ่วเหมียนถังมาจัดการเรื่องเหล่านี้ เขากลับวางใจเป็นอย่างมาก
ยายหนูคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวและความสามารถ แล้วยังเป็นคนมีมโนธรรม รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวต่อบรรดาเด็กกำพร้าและผู้อาวุโสอย่างไร หากสามารถปลดภาระหนักอึ้งของสกุลลู่ได้นับแต่นี้ วันเวลาของทุกคนในครอบครัวก็จะดีขึ้นมาบ้าง
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับรู้สึกว่าตนไม่อาจหลงลำพอง สมควรทำตัวเกรงใจเสียหน่อย จึงเอ่ยอย่างถ่อมตนว่าตนความรู้โง่เขลา ขอเชิญท่านลุงใหญ่เป็นคนจัดการจะดีกว่า
ลู่อู่ถลึงตาใส่นางพลางเอ่ย “ตอนลูกจ้างมาเรียกตัวข้า พวกที่หาเรื่องน่าจะเพิ่งก้าวเข้าธรณีประตูมากระมัง เจ้าวางแผนล่วงหน้าไว้รอบคอบเพียงนี้ พูดจายุแยงให้เฉาอู่ทำลายข้าวของ ให้ท่านตาเจ้าได้เห็นงิ้วรื่นเริง ไฉนเลยจะความรู้โง่เขลา? ท่านลุงใหญ่เจ้าเป็นคนซื่อๆ ข้าว่าอย่าให้เขาเรียนรู้อะไรผิดๆ จากเจ้าจะดีกว่า!”
หลิ่วเหมียนถังนึกไม่ถึงว่าแผนการของตนเองจะถูกท่านตาจับได้เช่นนี้ นางรีบดึงตัวท่านตามาออดอ้อนอย่างรู้สึกผิดทันที
ลู่อู่ถลึงตาใส่นางพลางเอ่ย “เจ้าเปลืองแรงเพียงนี้ไม่ใช่รอให้คนแก่หัวรั้นอย่างข้ายอมโอนอ่อนหรือไร ตอนนี้เจ้าสมปรารถนาแล้วก็อย่ามัวแต่อยู่นอกบ้านทั้งวัน ควรกลับบ้านไปกินข้าวดีๆ ได้แล้ว”
หลิ่วเหมียนถังย่อมยิ้มรับปาก จากนั้นเรียกรถม้ามา หลังประคองท่านตาขึ้นไปบนรถม้าก็ตามเขากลับบ้านสกุลลู่ไปกินข้าวด้วยกัน
ตอนที่รถม้าจอดหยุดหน้าประตู พวกนางเจอกับท่านป้าสะใภ้รองจูงมือหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งออกจากบ้านมาอย่างสนิทสนมพอดี
หลิ่วเหมียนถังช้อนสายตามอง ที่แท้เป็นซูฮูหยิน แขกสูงศักดิ์ของบ้านท่านลุงรองนี่เอง
ฟังจากคำพูดของท่านป้าสะใภ้รองแล้ว นางตั้งใจจะพาซูฮูหยินกับคุณชายซูไปจุดธูปไหว้พระที่วัดฉานอินอันมีชื่อเสียงของซีโจว
และด้านหลังฮูหยินทั้งสองคนนอกจากญาติผู้น้องลู่ชิงอิง ยังมีคุณชายหน้าตาสุภาพผู้หนึ่งอีกด้วย
หลายวันมานี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้ร่วมกินอาหารกับคนในครอบครัวเลย วันๆ ออกจากบ้านแต่เช้ากลับมามืดค่ำ ย่อมไม่เคยทักทายคนสกุลซูอย่างเป็นทางการ
แต่นางก็เดาออกว่านี่น่าจะเป็นคุณชายซูที่ญาติผู้น้องต้องตา
ยามนี้ซูเหมียนเองก็กำลังมองตรงไปยังหญิงสาวรูปโฉมงดงามที่เพิ่งลงมาจากรถม้าผู้นี้เช่นกัน
เขามาพักอยู่ที่บ้านสกุลลู่ได้สักพักแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไม่เคยเจอหญิงสาวงามผุดผาดสวยสะพรั่งเช่นนี้มาก่อน
นาง…นางเป็นคุณหนูสกุลลู่เหมือนกันหรือ
แต่ว่าซูฮูหยินยังคงทักทายท่านผู้เฒ่าลู่ก่อน หลังฟังคำแนะนำของเฉวียนซื่อเสร็จจึงมีอาการตอบสนอง อมยิ้มมองประเมินหลิ่วเหมียนถังพลางเอ่ย “ได้ยินมานานว่าท่านผู้เฒ่าลู่มีหลานสาวมากความสามารถ…จริงสิ สำนักคุ้มภัยที่นางเปิดชื่อว่าอะไรหรือ”
เฉวียนซื่อเอ่ยกลั้วหัวเราะ “สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน ชื่อนี้ตั้งได้…”
ซูฮูหยินกลับยิ้มเอ่ยต่อ “ตั้งได้ดีนัก ร้านผ้าซึ่งเป็นสินเจ้าสาวของข้าก็ขนส่งผ่านเส้นทางซีโจว ได้ยินลูกจ้างบอกว่าพอเปลี่ยนมาใช้สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน ทั้งประหยัดเงินและรวดเร็วกว่าเดิม”
เฉวียนซื่อฟังมาถึงตรงนี้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม นางได้ยินจากบิดาของตนแต่แรกแล้วว่าบ้านสกุลเดิมของซูฮูหยินผู้นี้ร่ำรวยเงินทอง ตอนที่แต่งเข้าสกุลซูก็มีร้านค้าเป็นสินเจ้าสาวติดไปด้วยจำนวนมาก
นางมีบุตรชายอย่างซูเหมียนคนเดียว ถ้าอย่างนั้นกิจการในอนาคตจะไม่ใช่ของลูกสะใภ้ทั้งหมดหรอกหรือ
ยามนี้กลับได้ยินซูฮูหยินเอ่ยต่อว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ บุตรชายข้าชื่อพยางค์เดียวว่า ‘เหมียน’ ในชื่อของคุณหนูหลิ่วเองก็มีคำว่า ‘เหมียน’ เห็นได้ว่าตอนแรกที่ตั้งชื่อคนเป็นพ่อแม่มีความคิดอย่างเดียวกัน ต่างหวังให้ลูกๆ ของตนเองไม่มีความกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม สามารถนอนหลับสนิท…”
เฉวียนซื่อรู้สึกระคายหูกับประโยคนี้ คุณชายซูมาดูตัวกับลู่ชิงอิงของบ้านนาง แต่ซูฮูหยินกลับยกเรื่องที่บุตรชายตนเองชื่อเหมือนกับหลิ่วเหมียนถังขึ้นมาพูด ถึงแม้ตอนท้ายจะเบี่ยงไปพูดถึงความปรารถนาของบิดามารดาอย่างดูดี แต่ยังคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก
มิหนำซ้ำ…คุณชายซูผู้นั้นยังเอาแต่มองหลิ่วเหมียนถังคล้ายตกตะลึงไปกับความงามของนาง
เฉวียนซื่อรู้ว่ารูปโฉมของบุตรสาวตนเองเมื่อเทียบกับความงามพริ้มเพราของหลิ่วเหมียนถังนั้นเรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว หากคุณชายซูต้องตารูปโฉมของหลิ่วเหมียนถังเข้าจะแย่เอา…
แต่เฉวียนซื่อคิดต่อว่าอดีตของหลิ่วเหมียนถังซับซ้อนเกินไป ซ้ำยังไม่มีบิดามารดา ตรงจุดนี้ไม่อาจเทียบกับลู่ชิงอิงได้
พอคิดเช่นนี้เฉวียนซื่อก็สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
ในเมื่อพวกเขาจะไปไหว้พระขอพร หลิ่วเหมียนถังเพียงยิ้มน้อยๆ คารวะบรรดาแขกเสร็จก็ตามท่านตาเข้าไปในบ้าน
ช่วงแรกที่นางกลับมาอยู่บ้านสกุลลู่ จู่ๆ ก็มีเวลาว่างเพิ่มขึ้นกะทันหัน ตกดึกเลยมักนอนไม่หลับ รวมกับที่ห้องครัวสกุลลู่ทำอาหารไม่ค่อยถูกปาก นางกินได้น้อยลงจึงซูบผอมไป
จวบจนตอนหลังไม่รู้ว่าห้องครัวทำอย่างไรกันแน่อาหารถึงเริ่มมีรสชาติขึ้นมา หลิ่วเหมียนถังถึงกินได้เยอะขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ว่าโรคขี้หนาวเวลากลางคืนยังคงอยู่ บางครั้งจะนอนไม่หลับไปจนฟ้าสาง
หลายวันมานี้อากาศหนาวเย็น หลิ่วเหมียนถังนึกถึงขาหมูตุ๋นขิงที่หลี่มามาต้มขับไล่ไอหนาวให้นางขึ้นมา จึงให้ฟางเซียไปบอกห้องครัวให้อิงตามตำรับเฉพาะของหลี่มามาแล้วต้มออกมาเข้มข้นหนึ่งหม้อดิน ขาหมู ไข่ กับขิงแก่หนึ่งหม้อถูกต้มเอาไว้หลายวัน ตอนที่เนื้อเข้ารส ฟางเซียวางหม้อดินลงบนเตาอุ่นภายในห้องให้อุ่นร้อนก็กินได้แล้ว
หลิ่วเหมียนถังกินไปคำหนึ่ง ในรสชาติของน้ำขิงกับน้ำส้มดำเต็มไปด้วยไขมันของขาหมูผสมอยู่ เมื่อกินไข่ใบหนึ่งคู่กับน้ำแกงอุ่นร้อนแล้วพลันอบอุ่นไปทั่วทั้งร่าง
ทุกวันนี้กิจการขนส่งทางเรือของนางเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แม้ช่วงแรกจะทำกำไรได้ไม่ค่อยมาก แต่รอเบียดกิจการของสกุลเฉาจนเงียบเหงาลงได้เมื่อไร ผลกำไรของกิจการขนส่งทางเรือก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน รอกิจการดีขึ้นจริงๆ เมื่อไร นางก็จะเปลี่ยนมือให้ท่านลุงใหญ่มาจัดการแทน ป้ายเก่าหลายสิบปีของสำนักคุ้มภัยเสินเวยก็ต้องแขวนกลับขึ้นไปใหม่
ส่วนท่านลุงรองหากเขามีหนทางหาเงินของตนเองก็ไปงมเอาเองเถอะ แต่จะให้บ้านรองมาดูแลครอบครัวออกจะไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ…
หลิ่วเหมียนถังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ ก่อนเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน “ฟางเซีย เจ้าไปซื้อน้ำส้มดำรสหวานที่ใส่ในขาหมูตุ๋นขิงหม้อนี้มาจากที่ใด”
ฟางเซียตอบทันที “ออกจากบ้านไปเจอพ่อค้าหาบเร่ตะโกนขายน้ำส้มดำรสหวานของแท้จากหลิ่งหนานเลยซื้อกลับมาเจ้าค่ะ…มีอะไรหรือเจ้าคะ รสชาติไม่ถูกต้องหรือ”
หลิ่วเหมียนถังมองขาหมูตุ๋นขิงในมือก่อนยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร พอดีอาหารที่ทำออกมารสชาติเหมือนหลี่มามาทำไม่มีผิด ข้าเลยลองถามดู…”
แต่ก่อนนางไม่รู้ว่าเหตุใดอาหารที่หลี่มามาทำจึงมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ต่างไปจากคนอื่น
ภายหลังถึงรู้ว่านั่นเป็นเพราะเครื่องปรุงรสหลายอย่างที่หลี่มามาใช้ต่างมีที่มาพิถีพิถัน ยกตัวอย่างเช่นน้ำส้มดำรสหวานสำหรับใช้ทำขาหมูตุ๋นขิง เป็นน้ำส้มดำตำรับของร้านเก่าแก่ที่หลิ่งหนาน หมักผ่านกรรมวิธีพิเศษ ในหนึ่งปีมีเพียงยี่สิบไหเท่านั้น นอกจากถวายให้ราชวงศ์ ส่วนที่เหลือจะนำเข้าจวนของอ๋อง โหว และอัครเสนาบดีเป็นหลัก
กระทั่งซีอิ๊วที่ใช้ตามปกติยังหมักมาจากปลากับกุ้งชั้นดี อาหารที่ทำออกมาจะไม่มีรสชาติเอร็ดอร่อยได้หรือ ดังนั้นรสชาติโอชาเช่นนี้จึงเป็นสิทธิพิเศษของจวนอ๋อง ไม่ใช่สินค้าที่พ่อค้าเร่ในตรอกจะขายได้
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังจึงฝากฝังห้องครัวโดยไม่เจตนาอีกว่านางอยากกินตับห่านสีชาด ต้องการให้ห้องครัวไปซื้อห่านหิมะตอนเหนือตัวหนึ่งเอาตับมาทำ
ทางห้องครัวบอกด้วยสีหน้าอมทุกข์ว่าหาไปทั่วตลาดก็ยังไม่เจอห่านหิมะตอนเหนือ เอาห่านอื่นมาทำแทนได้หรือไม่
แต่พอผ่านไปสองสามวันในตอนที่บ่าวหญิงผู้รับหน้าที่ซื้อของเข้าบ้านออกไปจากบ้าน กลับได้ยินพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่งบอกว่ามีห่านหิมะตอนเหนือมาขาย
ทว่าครั้งนี้บ่าวหญิงผู้นั้นไม่ได้ซื้อ แต่ทำตามที่คุณหนูหลิ่วสั่ง นำเรื่องนี้ไปแจ้งนางก่อนว่ามีห่านหิมะตอนเหนือมาขาย
ไม่นานจากนั้นหลิ่วเหมียนถังก็คลุมเสื้อขนจิ้งจอกตัวหนาปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าประตู
พ่อค้าขายห่านผู้นั้นเร่งร้อนหันตัวกลับจากไป ทว่าหลิ่วเหมียนถังกลับเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ห่านยังไม่ทันขายก็จะไปแล้วหรือ กลับไปจะไปรายงานผลอย่างไร”
แม้ผู้ที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าหาบเร่ผู้นั้นจะติดหนวดเครา ทั้งยังสวมหมวกผ้าสักหลาดกดต่ำ แต่หลิ่วเหมียนถังยังคงจดจำได้ในทันทีว่าเขาคือลูกจ้างที่เมื่อก่อนทำงานจิปาถะในร้านตนเอง แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของฟั่นหู่ด้วย
พอองครักษ์ลับผู้นั้นเห็นว่าหลิ่วเหมียนถังจำตนเองได้ก็ทำตัวสง่าผ่าเผยแทนเสียเลย หันกลับมาวางหาบลงแล้วดึงห่านหิมะ ขาหมูป่า รวมถึงสัตว์ป่านานาชนิดออกมาจนหมด
หลิ่วเหมียนถังถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากกินของพวกนี้ วางสายลับไว้ในบ้านสกุลลู่มากเพียงใด อีกอย่าง…ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ยอมไปอีก!”
เรื่องพวกนี้องครักษ์ลับผู้นั้นตอบไม่ได้ ได้แต่กัดริมฝีปากมองไปทางตรอกด้านหลัง ไม่นานจากนั้นก็เห็นฟั่นหู่เดินถูมือมาหา
“ฮูหยิน…อ่า ไม่สิ คุณหนูหลิ่ว นายท่านของพวกเราสั่งมาแล้วว่าให้คอยดูแลความเป็นอยู่ของท่าน แต่ช่วงก่อนหน้านี้ท่านดูจะไม่คุ้นชินกับอาหารที่บ้านสกุลลู่ หลังพวกเราส่งนกพิราบไปรายงานท่านอ๋อง ท่านอ๋องเลยให้หลี่มามาเขียนรายการออกมา ให้คนซื้อของเข้าจวนอ๋อง แล้วส่งของที่ท่านชอบมาตามในรายการ”
หลิ่วเหมียนถังกลับไม่นึกประทับใจ “พวกเจ้าซื้อตัวบ่าวรับใช้คนใดให้คอยส่งข่าวให้”
ฟั่นหู่โบกมือเอ่ย “คุณหนูหลิ่ว ท่านเองก็รู้ว่าพวกเราแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ที่จริงยังเป็นความปรารถนาดี ไม่ได้วางยาพิษสร้างปัญหาให้ท่าน…หากท่านเลอะเลือนกว่านี้สักหน่อย ห่านหิมะตัวนี้ก็ลงไปตุ๋นในหม้อนานแล้ว ขอคุณหนูได้โปรดเมตตา อย่าถามต่ออีกเลย…รอท่านอ๋องกลับมาพร้อมชัยชนะ พวกข้าน้อยก็จบภารกิจได้แล้ว…”
หากเร็วกว่านี้สักนิด ไม่แน่ว่าหลิ่วเหมียนถังอาจพอรู้สึกประทับใจบ้าง แต่ตอนนี้นางทำใจแข็งได้แล้ว จึงเอ่ยเสียงเย็น “สมแล้วที่ใกล้จะได้เป็นบุตรเขยของไทเฮา เวลาเอาใจใส่ขึ้นมาช่างชวนให้ผู้คนชื่นชม แต่ว่าระหว่างข้ากับเขาไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันแล้ว เขาทำเช่นนี้มิใช่จะให้คนเข้าใจผิดหรือ เจ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร เรื่องสกปรกในบ้านข้า ข้าจะทำความสะอาดเอง แต่ก็ขอให้ท่านฟั่นอย่าได้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ต้องใช้เงินซื้อตัวบ่าวรับใช้สกุลลู่แล้ว…”
ฟั่นหู่โดนตอกกลับจนสะอึก หากเป็นไปได้เขาอยากจะไปบีบคอคุณหนูเฮ่อเจินผู้ปากมากเสียจริงๆ
พระราชโองการนั้นยังไปไม่ถึงซีเป่ยเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าบุตรสาวพ่อค้าหลวงผู้นั้นไปได้ยินข่าวมาจากที่ใด ซ้ำยังมาบอกต่อให้หลิ่วเหมียนถังฟังอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ประโยคที่เขาจะพูดต่อไปก็ดูไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว…
แต่คำสั่งของท่านอ๋องเขาจะไม่ทำก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่บากหน้าเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง พวกเราไม่อาจไม่ทำ…มิหนำซ้ำท่านอ๋องยังพูดว่าให้ท่านรอเขา”
หลิ่วเหมียนถังถามอย่างไม่เข้าใจ “รอเขา? รอเขาไปเพื่ออะไร”
ฟั่นหู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่พูดออกไปตามที่ได้ยินมา “ความหมายของท่านอ๋องคือให้คุณหนูหลิ่วใจเย็นๆ อย่ารีบร้อนแต่งงานขอรับ”
เดิมหลิ่วเหมียนถังนึกว่าก่อนหน้านี้ที่ได้ยินคำพูดต่ำช้าของท่านเฉาก็เหลวไหลมากพอแล้ว แต่เทียบกับไหวหยางอ๋องแห่งซีเป่ยนั้นเรียกว่าเทียบกันไม่ได้เลย!
รอเขา? ไม่ต้องรีบร้อนแต่งงาน? นั่นนับเป็นอะไรกัน!
หลิ่วเหมียนถังถึงขั้นสงสัยว่าฟั่นหู่แต่งประโยคนี้ออกมาเอง เพราะนางนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคนเย่อหยิ่งอย่างชุยสิงโจวจะพูดจาไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมา
แต่ว่าฟั่นหู่กลับยื่นจดหมายฉบับหนึ่งที่ท่านอ๋องเขียนด้วยตนเองให้หลิ่วเหมียนถังอย่างหนักแน่น
หลิ่วเหมียนถังมองลายมือที่คุ้นเคยบนซองจดหมายก็ไม่แม้แต่จะรับมา นางหันหลังกลับเข้าเรือนตนเองไปทันที
ปี้เฉ่ารินน้ำชาให้หลิ่วเหมียนถัง จากนั้นถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู อยากให้บ่าวไปตรวจสอบบ่าวรับใช้ในบ้านหรือไม่เจ้าคะ”
หลิ่วเหมียนถังสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ย “ไม่จำเป็น จากความสามารถของไหวหยางอ๋อง หากเขาตั้งใจจริงๆ บ้านสกุลลู่เล็กๆ ย่อมอยู่ในการควบคุมของเขาได้เช่นกัน…เจ้าไปถามจากบ่าวหญิงในบ้านมาว่าแม่สื่อคนใดของซีโจวที่พึ่งพาได้มากที่สุด พรุ่งนี้เชิญมาคนหนึ่ง”
ปี้เฉ่ากับฟางเซียมองสบตากัน เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานจะทำตามอารมณ์ได้หรือ
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับเอ่ยว่า “เขาพูดถึงเพียงนี้ หากบ้านสกุลลู่ไม่มีแม่สื่อมาเยือนเพื่อสืบข่าวเรื่องข้า มิใช่ว่าจะดูเงียบเหงาไปหรือ”
นางอยากให้ชุยสิงโจวเข้าใจตรงจุดหนึ่งว่านางจะแต่งงานหรือไม่ ผู้อาวุโสสกุลลู่จะเตรียมการเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือขึ้นอยู่กับความต้องการของนาง คนที่ใกล้จะเป็นบุตรเขยไทเฮาอย่างเขาไม่จำเป็นต้องมาเป็นห่วง!
แม้จะตัดสินใจเช่นนี้แต่หลิ่วเหมียนถังยังคงถูกความโอหังของชุยสิงโจวทำให้โมโหจนนอนไม่หลับ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นยังนอนกลิ้งไปมาอยู่ในผ้าห่ม
นางรู้ว่าตนเองไม่ควรขี้เกียจลุก คนในบ้านสกุลลู่ที่เอาแต่รับเงินไปเปล่าๆ มีมากเกินไป นางจำเป็นต้องตั้งใจจัดการดีๆ สักรอบ แต่จนใจที่หลายวันมานี้เหน็ดเหนื่อยเกินไป วันนี้จึงเกียจคร้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งนางรู้สึกคอแห้ง อยากหยิบน้ำบนโต๊ะเล็กข้างเตียงดื่ม ทว่าเมื่อมองผ่านมุ้งที่เลิกขึ้นครึ่งหนึ่งออกไป กลับเห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็ก
ต้องเป็นเพราะเมื่อวานฟั่นหู่เห็นนางไม่ยอมรับ เลยมอบจดหมายให้กับสาวใช้สองคนข้างหลังนางแน่ๆ
หลิ่วเหมียนถังตั้งใจจะไม่อ่าน คิดว่าประเดี๋ยวบอกให้ปี้เฉ่านำจดหมายไปเผา แต่หลังกลิ้งไปมาอยู่ในผ้าห่มสักพัก นางก็ยังยื่นแขนเสลาออกมาหยิบซองจดหมายฉบับนั้น ดึงกระดาษออกมากางอ่านช้าๆ
ตอนที่กระดาษจดหมายถูกดึงออกมา ดอกเฟิงเหยาตากแห้งดอกหนึ่งก็ร่วงหล่นมาจากในซองด้วย
หลิ่วเหมียนถังหยิบดอกไม้แห้งขึ้นมาแล้วระลึกถึงเรื่องราวเลือนรางบางอย่างออก…นางเห็นดอกไม้สีฟ้าอ่อนรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ดอกนี้ในหุบเขาที่ชุยสิงโจวสั่งให้คนสร้างบ่อน้ำพุร้อนไว้ ดอกไม้นั้นมีกลิ่นหอมกว่าดอกไม้ปกติ หลิ่วเหมียนถังชอบดมมาก น่าเสียดายที่บานเพียงแค่กระจุกเล็กๆ
ตอนนั้นชุยสิงโจวบอกว่าวันหน้าจะปลูกทะเลดอกเฟิงเหยาให้นาง ถึงเวลาให้นางได้ดมจนสาแก่ใจทีเดียว
หลิ่วเหมียนถังวางดอกไม้ไว้ข้างหมอน จากนั้นกางจดหมายออกอ่านช้าๆ
กระดาษจดหมายหนามาก นึกไม่ถึงว่าจะมีถึงเจ็ดแปดหน้า แต่ต่อให้หลิ่วเหมียนถังอ่านซ้ำไปสามรอบก็ยังไม่เจอเนื้อหาสาระสำคัญอะไร
เนื้อหาในนั้นเป็นพวกกิจวัตรประจำวันหลังนางจากไป
ยกตัวอย่างเช่นแมวที่นางเลี้ยงไว้ในลานบ้านคลอดลูกออกมาหนึ่งครอก เขาเลือกแมวสีขาวหางมีจุดสีดำตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้ในกระโจมผู้บัญชาการเพราะว่ามันชอบนอนไม่ลุกเหมือนนาง ดังนั้นเลยตั้งชื่อให้ว่า ‘ซุ่ยเซียน’ ที่มีความหมายว่าเทพแห่งการนอน ชื่อรองว่า ‘เหมียนเอ๋อร์’
เสื้อผ้าที่นางเย็บให้เขาถูกโม่หรูที่มือหยาบกระด้างซักขาดไปแล้ว แต่พอเขาสวมชุดอื่นก็รู้สึกว่าไม่สบายตัวเท่าเสื้อตัวเก่า
ตอนนี้ในหุบเขาปลูกดอกเฟิงเหยาเต็มไปหมดแล้ว แต่ว่าดอกไม้ชนิดนี้ล่อผึ้งอย่างมาก เวลาชมดอกไม้ต้องสวมหมวกม่านแพร มิหนำซ้ำภายในหุบเขายังเต็มไปด้วยเสียงดังหึ่งๆ ทำเอาคนแช่น้ำอย่างสบายใจไม่ได้
หากไม่มีการแตกหักบอกลากัน อ่านเพียงเนื้อหาจากในจดหมาย นั่นคือสามีที่แยกจากกับภรรยารักมานานกำลังเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันให้ฟังต่างหาก
หลิ่วเหมียนถังถามตนเองว่าตนเป็นภรรยาเช่นใดของเขา คงไม่ใช่ว่าก่อนออกรบไหวหยางอ๋องว่างจนนอนไม่หลับ แล้วนึกเบื่อหน่ายถึงขั้นเขียนจดหมายหานางแก้เบื่อหรอกกระมัง
บทที่ 62
หลังหลิ่วเหมียนถังอ่านจดหมายจบ นางนั่งดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่โชยรื่นจากบนกระดาษอยู่สักพัก ข้างหูประหนึ่งได้ยินเสียงผึ้งดังหึ่งๆ ลอยมา
คนผู้นั้นก็ช่างเสียสติ ในเมื่อมีแต่ผึ้งเหตุใดถึงยังไปแช่น้ำอีก เขาบอกว่าถูกผึ้งต่อยอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าอาการหนักหรือไม่…
รอหลิ่วเหมียนถังรู้สึกตัวว่ามุมปากของตนเองหยักยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว หัวใจก็เย็นวาบ จึงรีบหุบยิ้มลง จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นจ่อจดหมายเผาในเตาอุ่น
แต่สำหรับดอกเฟิงเหยาแห้งดอกนั้น เดิมนางถือไว้เหนือเตาแล้ว แต่หลังใคร่ครวญยังคงเสียบไว้ในตำราเล่มหนึ่งที่ปกติชอบอ่าน กลิ่นดอกไม้นั้นหอมเกินไป สามารถรมให้หน้าตำราหอมขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หลังผ่านเรื่องนี้ความเกียจคร้านก่อนหน้านี้ของนางก็ลดลงไปบ้าง หลิ่วเหมียนถังหวีผมเกล้าผมเรียบร้อย เตรียมจะกินข้าวก่อนค่อยเปลี่ยนชุด
นางตื่นสาย ดังนั้นอาหารเช้าที่กินจึงดูไม่เหมาะสมจะเป็นอาหารเช้าแล้ว นอกจากข้าวต้มหม้อดินหนึ่งชาม ยังมีตับห่านสีชาดหนึ่งจาน ดูท่าสุดท้ายฟั่นหู่ยังคงคิดหาวิธียัดเยียดห่านหิมะเข้าไปในห้องครัวของบ้านสกุลลู่ได้อยู่ดี
หลิ่วเหมียนถังไม่อยากกิน แต่คิดถึงว่าไม่อาจสิ้นเปลืองอาหาร สุดท้ายจึงยังคีบใส่ปาก เป็นรสชาติอร่อยเหมือนเดิมกับในความทรงจำ
หลังรีบกินข้าวต้มหมดไปชามหนึ่ง นางก็ไปตรวจดูบัญชีที่ห้องบัญชีต่อ
แต่ตอนที่เดินไปได้ครึ่งทาง บังเอิญเจอกับท่านป้าสะใภ้รองเฉวียนซื่อที่จะไปตรวจสอบเงินส่วนกลางพอดี เลยเดินไปพร้อมกันกับหลิ่วเหมียนถัง
หลิ่วเหมียนถังมองใบหน้าท่านป้าสะใภ้รองที่โดนไอเย็นกัดจนแดงราวกับยืนหนาวอยู่ในสวนมานานแล้ว
แต่ท่านป้าสะใภ้รองบอกว่า ‘บังเอิญ’ เจอกัน นางเองก็ไม่สะดวกถามว่าท่านป้าสะใภ้รองจงใจมารอตนเองแต่เช้าใช่หรือไม่
เส้นทางไปยังห้องบัญชีไม่นับว่ายาวมาก แต่เฉวียนซื่อคล้ายมีคำถามไม่จบไม่สิ้น เริ่มจากถามว่าหลิ่วเหมียนถังจะไปทำอะไรที่ห้องบัญชี
หลิ่วเหมียนถังตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ บอกเพียงว่าไปช่วยท่านตาดูบัญชีรายจ่ายที่หลายปีมานี้จ่ายให้บรรดาคนเก่าแก่ของสำนักคุ้มภัย ช่วยเรียบเรียงแทนท่านผู้เฒ่าเสียหน่อย
ต่อมาเฉวียนซื่อถามอย่างคลุมเครือต่อว่าหลิ่วเหมียนถังอยากได้บ้านสามีเช่นใด นางมีหลานชายห่างๆ อยู่คนหนึ่ง ฐานะครอบครัวนับว่ามั่นคง นิสัยเองก็ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ แค่ว่าก่อนหน้านี้เคยมีภรรยาเอกที่เสียชีวิตไป ดังนั้นคนที่มาเป็นภรรยาเอกคนใหม่จะใช่คุณหนูหรือไม่ เขาไม่ถือสานัก ที่ผ่านมายังไม่เจอใครตรงใจ หากหลิ่วเหมียนถังสนใจสามารถลองพูดกับท่านตานางขึ้นมาได้
หลิ่วเหมียนถังได้ยินเรื่องนี้แล้วหันไปมองท่านป้าสะใภ้รองหนหนึ่ง
เฉวียนซื่อเองก็กำลังยิ้มแย้มมองนาง เพียงแต่สายตาคล้ายแฝงความนัยลึกซึ้ง หลิ่วเหมียนถังไม่ถือสาหากท่านป้าสะใภ้รองจะรู้เรื่องที่ตนเองเคยเป็นสามีภรรยากับใครที่ซีเป่ย แต่ท่านป้าสะใภ้รองยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดสะกิดนาง เช่นนั้นก็ออกจะน่าขันแล้ว
ดังนั้นนางจึงหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ขอบคุณที่ท่านป้าสะใภ้รองนึกถึงข้า เลือกหาคนที่เหมาะสมเพียงนี้ให้ แต่ข้าไม่อยากรีบแต่งงานจริงๆ ถึงห้องบัญชีแล้ว ข้าขอตัวไปตรวจสอบบัญชีก่อน เชิญท่านป้าสะใภ้รองตามสบายเจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็เดินเข้าไปในห้องบัญชี บนโต๊ะเล็กในห้องมีสมุดบัญชีวางรอไว้ให้หลิ่วเหมียนถังตรวจดู
เฉวียนซื่อเห็นหลิ่วเหมียนถังเดินเข้าห้องบัญชีไปโดยไม่แม้แต่หันหน้ากลับมา สีหน้าก็บึ้งตึงไม่น่ามองทันควัน นางพูดจาดีๆ กับยายเด็กนี่ ยายเด็กน่าตายนี่กลับวางท่าทางขึ้นมา!
มิหนำซ้ำทั้งๆ ที่บ้านรองเป็นคนดูแลครอบครัว แต่ตอนนี้พ่อสามีกลับเอ่ยปากบอกให้หลิ่วเหมียนถังเป็นคนดูแลบัญชีแยกของนอกบ้าน นี่นับเป็นเรื่องประเภทใดกัน!
ที่น่าตายที่สุดคือเมื่อวานตอนไปจุดธูปไหว้พระที่วัด ตอนหลังเสิ่นซื่อจากบ้านใหญ่เองก็มาด้วย ซูฮูหยินผู้นั้นเอาแต่คอยสืบข่าวเรื่องหลิ่วเหมียนถังจากเสิ่นซื่อทั้งแบบโจ่งแจ้งและเป็นนัยๆ ทำเอาเฉวียนซื่อได้ยินแล้วอึดอัดใจมาก
ด้วยสาเหตุที่สกุลซูมาหาตนเองนั้นเป็นเพราะได้รับการไหว้วานจากบิดานางให้เอาหีบใบหนึ่งมาให้เฉวียนซื่อด้วย ดังนั้นถึงได้รั้งอยู่ที่นี่หลายวัน
ตอนแรกบิดาเองก็ไม่ได้ตกลงเรื่องหมั้นหมายกับสกุลซูอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แค่เปิดเผยเจตนาเล็กน้อย ต่อมาก็ต้องดูว่าตอนที่สกุลซูมาเที่ยวซีโจว บุตรสาวของเฉวียนซื่อมีความสามารถพอจะจับบุตรชายสกุลซูได้หรือไม่แล้ว
ในเมื่อไม่ได้พูดจากันแน่ชัด หากซูฮูหยินเปลี่ยนใจไปถูกใจหลิ่วเหมียนถังแทน นั่นเรียกว่าเป็นเรื่องราวประเภทใดกัน!
เมื่อคืนวานเฉวียนซื่อเล่าเรื่องซูฮูหยินให้สามีลู่มู่ฟังอย่างร้อนใจ แต่ลู่มู่กลับไม่แยแส เอ่ยแค่นเสียงว่า ‘นั่นเป็นเพราะนางไม่รู้เรื่องที่หลิ่วเหมียนถังทำ จะต้องขวัญกล้าเพียงใดถึงกล้ารับสะใภ้เช่นนี้เข้าบ้าน!’
เฉวียนซื่อรู้สึกว่าในคำพูดของลู่มู่แฝงความนัยบางอย่าง รีบลุกขึ้นมาสะกิดถามทันที
ลู่มู่รู้ตัวว่าพลั้งปาก แต่เรื่องบนภูเขาหยั่งซานไม่อาจพูดออกไป ดังนั้นเลยเลือกเรื่องที่ไม่สลักสำคัญมาเล่า บอกเพียงว่าตอนที่หลิ่วเหมียนถังสูญเสียความทรงจำเคยถูกคนหลอกไปเป็นสามีภรรยาอยู่สองปี
แต่ตอนที่ลู่เซี่ยนเล่าให้น้องชายฟังก็ไม่ได้บอกว่าฝ่ายบุรุษเป็นใคร ดังนั้นลู่มู่เลยคิดว่าก็แค่ทหารเสเพลในกองทัพนายหนึ่งจึงไม่ได้ติดใจ แค่รู้สึกโมโหแทนหลานสาว รู้สึกว่าเด็กสาวในบ้านถูกผู้อื่นเอาเปรียบ
กระนั้นทุกวันนี้ลู่มู่ยังแอบดีใจที่หลิ่วเหมียนถังมีความลับเช่นนี้ซ่อนอยู่ ยากจะแต่งให้ตระกูลดีๆ ได้ ก็นับว่าช่วยป้องกันไม่ให้ลู่ชิงอิงบุตรสาวของตนเองสูญเสียบุพเพแต่งงานดีๆ ไป
ดังนั้นเขาเลยหลีกเลี่ยงเรื่องหนัก เลือกเล่าเพียงเรื่องที่หลิ่วเหมียนถังสูญเสียความทรงจำแล้วอยู่กินกับทหารนายหนึ่งที่ซีเป่ยเรื่องนี้ให้เฉวียนซื่อฟัง
เฉวียนซื่อได้ยินแล้วอ้าปากกว้าง ผ่านไปค่อนวันถึงพูดอะไรออก ‘ท่านลุงทั้งสองคนอย่างพวกท่านช่างมีความสามารถนัก! ทำเหมียนถังหายไปได้อย่างไร ทั้งยังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หาก…หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ไม่ต้องพูดว่านางจะอยู่ไม่ได้ มิใช่ว่าคุณหนูบ้านพวกเราจะเสียชื่อเสียงไปด้วยเหมือนกันหรือ’
ลู่มู่ถลึงตาเอ่ย ‘เรื่องนี้โทษลุงอย่างพวกเราได้หรือไร เป็นเพราะนาง…โธ่เอ๊ย บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าเจ้ารู้ความร้ายแรงของเรื่องไว้ก็พอ ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด แต่อาศัยตรงจุดนี้นางก็ไม่มีทางแย่งบุพเพแต่งงานกับสกุลซูจากชิงอิงของพวกเราได้แล้ว นอกจากนี้บิดาของเหมียนถังเองก็ไม่ได้ความ ซูฮูหยินไม่น่าถึงขั้นแต่งทายาทขุนนางต้องโทษให้บุตรชายตนเองหรอก!’
เฉวียนซื่อพอจะวางใจลง ถึงได้อาศัยโอกาสในวันนี้มาดักรอหลิ่วเหมียนถังเพื่อเอ่ยเตือนนางอ้อมๆ ด้วย ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรนางก็มีรูปโฉมงดงาม หากอาศัยหน้าตามาหลอกล่อคุณชายซู ถึงเวลานั้นมิใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่น่ามองขึ้นมาในครอบครัวหรือ
นึกไม่ถึงว่ายายเด็กนี่จะวางท่าเมินเฉยใส่นาง ไม่คิดเสียบ้างว่าหากความจริงอันน่าขายหน้าพวกนั้นถูกผู้อื่นล่วงรู้เข้า นางจะยังแต่งงานออกไปได้อีกหรือไม่!
เฉวียนซื่อหยิบสมุดบัญชีสองสามเล่มมาอย่างประดักประเดิดแล้วกลับเรือนตนเองไปอย่างหงุดหงิด
ช่วงเวลาต่อจากนั้นหลิ่วเหมียนถังรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย
บางทีอาจเพราะถูกหลิ่วเหมียนถังจับได้ ฟั่นหู่จึงเปลี่ยนมาทำตัวเปิดเผย มักจะยืนเฝ้าอยู่ประตูหลังรอให้ฟางเซียหรือปี้เฉ่าออกมา แล้วฝากของบางอย่างกับพวกนางมาให้คุณหนูหลิ่ว
หลิ่วเหมียนถังสั่งสอนสองสาวใช้ไปรอบหนึ่งพวกนางจึงไม่กล้ารับอีก ส่วนจดหมายหนึ่งฉบับทุกต้นเดือน หลิ่วเหมียนถังก็ไม่เคยรับอีกเช่นกัน
หลิ่วเหมียนถังตระหนักว่านางกับชุยสิงโจวเดิมทีชีวิตนี้ไม่มีกระทั่งวาสนาต่อกัน เพียงจับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรจะรู้สึกเสียดายอะไร
เขาในฐานะอ๋องต่างสกุลผู้มากความดีความชอบ ฐานะสูงส่ง เป็นตัวเลือกบุตรเขยของไทเฮา ขณะที่นางเป็นเพียงบุตรสาวของนักโทษ อย่าได้พูดว่าเทียบกับผู้เป็นถึงองค์หญิงเลย แค่เทียบกับหญิงสาวครอบครัวธรรมดาทั่วไปยังเทียบไม่ได้
บางทีตอนที่ชุยสิงโจวคบหากับนางอาจเกิดความรู้สึกแท้จริงขึ้นมา ลืมนางไม่ลง แต่แล้วอย่างไร เขาจะเสี่ยงผิดต่อศีลธรรมของใต้หล้า ใช้ชีวิตอยู่กับนางจริงๆ หรือ
หากคนที่นางเผชิญหน้าด้วยคือชุยจิ่วแห่งถนนสายเหนือ นางจะรักษาการแต่งงานนี้ไว้ด้วยความมั่นใจถึงที่สุด แต่เขาเป็นไหวหยางอ๋องชุยสิงโจว ความรู้สึกที่เขามีให้นางผสมผเสระหว่างจริงกับเท็จ บางทีกระทั่งตัวเขาเองยังบอกไม่ถูกว่ามีความจริงอยู่มากเพียงใด
แทนที่จะเป็นเช่นนี้ มิสู้รีบตัดขาดอย่างหมดจด หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัดบัวยังเหลือใยต่อกัน
พอถูกปิดประตูใส่หน้าบ่อยครั้งเข้า ฟั่นหู่ก็ไม่ส่งของมาให้อีก ถึงแม้หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด แต่ก็ไม่เคยโผล่ออกมารบกวนนางอีก
ความสามารถในการทำงานของปี้เฉ่าเองก็นับว่าสูง หลายวันมานี้มีแม่สื่อมาเยี่ยมเยือนสอบถามถึงสถานการณ์ของหลานสาวครอบครัวสกุลลู่อยู่บ่อยๆ
ส่วนซูฮูหยินท่านนั้น เดิมอยู่ค้างเพียงไม่กี่วันก็จะกลับ แต่ไม่รู้เหตุใดจึงยังอยู่ต่ออีกหลายวันเพราะงานบางอย่าง
หลิ่วเหมียนถังเคยพบนางในสวนดอกไม้อยู่หลายครั้ง ทุกครั้งซูฮูหยินจะมาสอบถามพวกเรื่องกิจการในมือนางอย่างกระตือรือร้น
แต่หลังสืบข่าวอย่างคลุมเครือแล้วได้ความว่ากิจการในมือหลิ่วเหมียนถังเพียงช่วยดูแลแทนสกุลลู่ ซ้ำบิดาของนางยังเป็นนักโทษประหาร ความเป็นมิตรของซูฮูหยินก็ลดต่ำลง กลับมาชื่นชมคุณหนูลู่ชิงอิงอีกครั้ง
ทว่าหลิ่วเหมียนถังยังคงช่วยเอ่ยเตือนท่านป้าสะใภ้รองเฉวียนซื่อกับญาติผู้น้องชิงอิงอย่างปรารถนาดี นางหวังว่าหากท่านลุงรองจะหมั้นหมายกับสกุลซูจริงๆ อย่าได้ฟังคำแนะนำจากปากผู้อื่น แต่ควรไปตรวจสอบดูละแวกรอบๆ สกุลซูด้วยตนเองสักครั้งจะดีกว่า
เพราะนางรู้สึกว่าสกุลซูไม่เหมือนกับที่ท่านผู้เฒ่าเฉวียนแนะนำว่าเป็นตระกูลใหญ่โตหรือดีอะไรเช่นนั้น
บางทีอาจเพราะเป็นคู่สามีภรรยาปลอมๆ กับชุยสิงโจวมานาน หลิ่วเหมียนถังเลยได้เรียนรู้ความพิถีพิถันมาหลายอย่าง พวกท่าทางการแสดงออกของคนเองก็พอจะมีความเข้าใจผิวเผิน รายละเอียดเล็กน้อยหลายอย่างที่คู่แม่ลูกสกุลซูแสดงออกมาล้วนยกมาโอ้อวดไม่ได้
จากที่นางเห็นพวกเขาไม่ได้แตกต่างอะไรกับครอบครัวขุนนางครึ่งๆ กลางๆ อย่างท่านป้าสะใภ้รองเท่าไร
แต่สองแม่ลูกคู่นั้นฟังคำแนะนำของหลิ่วเหมียนถังไม่เข้าหู โดยเฉพาะลู่ชิงอิง มั่นใจว่าหลิ่วเหมียนถังไม่ได้กินองุ่นจึงหาว่าองุ่นเปรี้ยว คงเพราะซูฮูหยินไม่ถูกใจนางถึงได้แอบมายุแยงตะแคงรั่วลับหลังเช่นนี้
ความจริงหลิ่วเหมียนถังยังมีข่าวอีกเรื่องหนึ่งของคุณชายซูที่ไม่ได้ยกขึ้นมาพูด เช่นระยะนี้คุณชายซูมักบังเอิญมาเจอนางในสวนดอกไม้ ท่องบทกวีอยู่ด้านหลังนาง ลูกเล่นแพรวพราว
พูดกันตามตรงหลิ่วเหมียนถังหลงนึกมาโดยตลอดว่าตนเองอาจชื่นชมบุรุษจำพวกสุภาพสง่างามอย่างบัณฑิต ในเมื่อคุณชายจื่ออวี๋คนก่อนเป็นเช่นนี้ ชุยสิงโจวในตอนหลังก็เหมือนกัน
นิสัยของสองคนนี้หากไม่ต้องไปสนว่าดีหรือเลว พวกเขาต่างก็ไม่ใช่คนที่ทำตัวโอ้อวดเกินจริง ไม่ว่าจะหยิบใครขึ้นมาก็ล้วนเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่มีเสน่ห์ต่างกันไป
นอกจากทำให้หลิ่วเหมียนถังสงสัยว่าตนเองมองบุรุษได้ตามืดบอดก็มีความภาคภูมิใจแปลกๆ ต่อความชื่นชอบชั้นสูงของตนเองอยู่ด้วย
แต่พอมาถึงคุณชายซู นางแอบเบื่อหน่ายกับ ‘ท่าทางสุภาพสง่างาม’ เช่นนี้บ้างแล้วจริงๆ หากไม่ติดที่คุณชายซูเป็นสมบัติล้ำค่าบนฝ่ามือของครอบครัวท่านลุงรอง ตอนที่ถูกเขาตามหลังมา หลิ่วเหมียนถังยังอยากจะหันกลับไปถีบให้สักหนึ่งฝ่าเท้าจริงๆ
ถึงอย่างไรเรื่องที่ควรพูดนางล้วนพูดให้ครอบครัวท่านลุงรองฟังแล้ว หากพวกเขาคิดว่านางอิจฉาจริงๆ นางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ได้แต่แอบไปคุยกับท่านตาลับหลัง ให้ท่านผู้เฒ่าเตรียมตัวที่จะช่วยดูแลครอบครัวท่านลุงรองอีกทอด
แต่วันนี้เฉวียนซื่อพูดเรื่องหนึ่งออกมาอย่างปลาบปลื้ม เสมือนเป็นการยืนยันว่าหลิ่วเหมียนถังมองผิดไป ดูถูกครอบครัวสกุลซู
ที่แท้ก่อนหน้านี้เฉวียนซื่อก็นัดซูฮูหยินไปชิมเป็ดย่างหนังกรอบขึ้นชื่อของซีโจวที่หอชุ่ยฮวา
นึกไม่ถึงว่าซูฮูหยินกลับพูดว่าหลานชายห่างๆ คนหนึ่งของนางมาที่ซีโจวเช่นกัน ดังนั้นคุณชายซูเหมียนจึงทำตัวเป็นเจ้าบ้าน ต้องการเชิญญาติผู้พี่ของตนเองมากินเลี้ยงที่หอชุ่ยฮวาด้วย ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว จึงได้แต่ยกเลิกนัดกับเฉวียนซื่อแล้ว
เฉวียนซื่อสืบข่าวดูเล็กน้อย จึงได้รู้ว่าหลานชายที่ซูฮูหยินพูดถึงเป็นท่านโหวบรรดาศักดิ์ผู้หนึ่ง
นางได้ยินบิดาพูดถึงมานานแล้วว่าสกุลซูมีญาติสูงศักดิ์คอยช่วยสนับสนุน อนาคตของคุณชายซูเหมียนกว้างไกลไร้ขอบเขต ตอนนี้ดูท่าแล้วจะเป็นความจริง!
ซูฮูหยินแค่มาเที่ยวเล่นที่ซีโจว ท่านโหวผู้เป็นญาติกลับตามมาด้วย เห็นได้ว่าระหว่างลูกพี่ลูกน้องสนิทสนมกันอย่างยิ่ง
ทุกวันนี้เฉวียนซื่อคิดแต่อยากยกบุตรสาวให้แต่งกับสกุลซู ย่อมมองท่านโหวผู้นั้นเป็นญาติของตนเองไปด้วย
แต่ตอนนี้พวกเขากินเลี้ยงกันอยู่ที่หอชุ่ยฮวา ตนเองกลับไร้วาสนาได้พบหน้า ช่างน่าหงุดหงิดใจเสียจริง เฉวียนซื่อเอาแต่คิดว่าวันพรุ่งนี้จะหาเหตุผลอะไรให้คุณชายซูช่วยแนะนำ นายท่านรองของบ้านตนเองจะได้คารวะท่านโหวผู้นั้นเหมือนกัน
อาจเพราะสวรรค์ได้ยินคำภาวนาของนาง ประมาณช่วงบ่ายตอนที่แม่ลูกสกุลซูซึ่งฝากตัวพักอยู่ที่บ้านสกุลลู่กลับมา ได้พาแขกผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งมาด้วย
รถม้าหรูหราเจ็ดแปดคันจอดหยุดหน้าประตูบ้านสกุลลู่ ดึงดูดสายตาคนบนท้องถนนให้ชะเง้อชะแง้คอมอง
มารดาเถอะ กระทั่งล้อรถเหล็กยังฝังอัญมณีเอาไว้ ชวนให้เห็นแล้วตาร้อนใจเต้นแรงนัก
บ่าวเฝ้าประตูวิ่งเข้าไปรายงานลู่อู่ “ท่าน…ท่านผู้เฒ่า ที่ประตูมีแขกสูงศักดิ์มาขอรับ! คุณชายซูบอกว่าเป็นเจิ้นหนานโหวจากเจินโจวมาเที่ยวเล่นที่นี่ ได้ยินว่าในบ้านพวกเรามีดอกเหมยหิมะเพิ่งบานเต็มสวน ตั้งใจมาเยี่ยมชมดูดอกเหมยพร้อมคุณชายซูเสียหน่อย!”
ลู่อู่ได้ยินแล้วไม่ได้ลนลานเหมือนบ่าวเฝ้าประตู เขาตะลอนไปทั่วเหนือจรดใต้มาหลายปีเพียงนี้ พบเจอผู้สูงศักดิ์มาแล้วมากมาย
นอกจากนี้ที่บ้านของพวกเขามีต้นเหมยเพียงต้นเดียวแย้มบานเมื่อสองวันก่อน ไม่มีกระทั่งกลิ่นอาย ‘ป่าเหมย’ อย่างแถบชานเมือง ท่านโหวผู้นี้จะต้องมาดูที่บ้านสกุลลู่ให้ได้เช่นนี้เป็นเรื่องอันใดกัน
ลู่อู่ขมวดคิ้ว สั่งให้บ่าวอาวุโสช่วยเขาเปลี่ยนชุด จากนั้นออกไปต้อนรับ
ตอนที่เขาเดินถือไม้เท้ามาถึงประตู ครอบครัวบ้านรองมาถึงนานแล้ว สีหน้าต่างมีความสุข พาบุตรชายบุตรสาวตนเองมาคุกเข่าต้อนรับหน้าประตู ส่วนทางบ้านใหญ่ลู่เซี่ยนออกไปทำธุระไม่อยู่บ้าน มีเพียงสะใภ้คนโตเสิ่นซื่อเพิ่งเดินพาหลิ่วเหมียนถังออกมาจากประตูวงเดือน จากนั้นคุกเข่าต้อนรับอยู่ด้านข้างประตู
ลู่อู่ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็ตาแหลมเห็นว่าเจิ้นหนานโหวผู้นั้นมองผ่านทุกคนไปจ้องหลิ่วเหมียนถัง คล้ายร้อนรนอยากเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมาเต็มที
ส่วนหลิ่วเหมียนถังหลานสาวของเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ชำเลืองตาถลึงมองเจิ้นหนานโหวไปหนหนึ่ง ในดวงตาคู่นั้นกลับมีรังสีสังหาร สภาพหากเขากล้าเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวก็จะทุ่มสุดชีวิตกับเขาแล้ว…
ที่ประหลาดที่สุดคือคนเป็นถึงท่านโหวผู้นั้นกลับตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ทักทายกับลู่มู่อย่างเป็นการเป็นงานก่อน ค่อยเชิญบรรดาสตรีในครอบครัวลุกขึ้น
ขณะนั้นลู่อู่ก็เดินมาถึง ย่อมต้องคารวะท่านโหวผู้นี้เช่นกัน แต่ร่างกายยังไม่ทันลงไปทั้งหมดก็ถูกเจิ้นหนานโหวจับประคองไว้ พร้อมเอ่ยอย่างเป็นมิตรผิดปกติ “ท่านคือท่านผู้เฒ่าลู่ ผู้คุ้มภัยอาวุโสแห่งสำนักคุ้มภัยเสินเวยชื่อดังใช่หรือไม่ ท่านอายุมากเพียงนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้าหรอก เข้าไปดื่มชาพูดคุยกันข้างในดีกว่า!”
ท่านโหวนามจ้าวจยาอวี๋ผู้นี้ช่างเป็นคนมีนิสัยโผงผาง หลังพูดจบก็ไม่รอให้เจ้าบ้านตอบรับ ตนเองเดินนำก้าวปราดไปก่อน พาทุกคนตามเขาเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า
เมื่อมาถึงห้องโถงเขาเอ่ยปฏิเสธเกรงใจกับลู่อู่ตามมารยาทแล้วก็นั่งลงบนตำแหน่งประธานอย่างไม่เกรงใจอีก ก่อนให้บรรดาบุรุษ สตรี คนแก่ และเด็กทั้งหมดนั่งลงตาม ทั้งให้ทำตัวตามสบายสักหน่อย ไม่ต้องมาคอยระมัดระวัง มองว่าเขาเป็นญาติมิตรสหายเก่าก็พอแล้ว
เพียงแต่ส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ต่างไม่ถนัดเรื่องคบค้าสมาคม ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศนิ่งเงียบจนน่าอึดอัด ไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับท่านโหวที่โผล่มากะทันหันท่านนี้อย่างไร
โชคดีที่บ้านรองมีลู่มู่ผู้ช่างจำนรรจา จึงต้อนรับท่านโหวจ้าวอย่างรอบคอบทุกด้าน สนทนากันไปมาถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนเป็นผู้รู้ใจที่เจอกันช้าไป
หลิ่วเหมียนถังนั่งอยู่สักพัก รอจนท่านโหวจ้าวเอ่ยชื่นชมว่าท่านผู้เฒ่าลู่อู่เป็นคนมีวาสนา บุตรชายหลานชายต่างเป็นคนมีความสามารถ หลานสาวก็ดูอ่อนหวาน นางก็ลุกขึ้นอย่างเหมาะสม บอกว่าตนจะไปเปลี่ยนชุด จากนั้นออกไปจากห้องโถงอย่างเป็นธรรมชาติแล้วไม่กลับไปอีก
นางกลับเรือนตนเองไปเปลี่ยนชุดจริงๆ จากนั้นนั่งรถม้าจากประตูหลังไปที่สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน
สองวันมานี้กิจการสำนักคุ้มภัยดำเนินไปด้วยดี นางจึงอาศัยโอกาสช่วงบ่ายมาตรวจสอบดู
หลังนางมาถึงสำนักคุ้มภัยประมาณครึ่งชั่วยาม รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดหยุดหน้าประตูสำนักคุ้มภัย ก่อนเห็นท่านโหวจ้าวเฉวียนที่เดิมควรอยู่ที่บ้านสกุลลู่เดินโบกพัดกลางฤดูหนาวเข้ามาในสำนักคุ้มภัย
หลิ่วเหมียนถังกำลังดีดลูกคิด เห็นเขาเข้ามาก็ถอนหายใจน้อยๆ จากนั้นเดินอ้อมโต๊ะเก็บเงินออกมา ถามท่านโหวจ้าวอย่างมีมารยาทว่ามีสินค้าอะไรจะฝากส่งหรือไม่
เสียเวลาจนป่านนี้จ้าวจยาอวี๋ถึงหาเวลาว่างคุยกับหลิ่วเหมียนถังได้ เขารีบเอ่ยอย่างอดทนรอไม่ไหวทันที “คุณหนูหลิ่ว เจ้ายังหงุดหงิดข้าอยู่หรือ ตอนนั้นข้าโดนชุยจิ่วบังคับถึงได้จำเป็นต้องโกหก เจ้าอย่าได้โทษข้า ครั้งนี้ข้าเดินทางไปซีเป่ยถึงได้รู้ว่าเจ้าจากไปนานแล้ว เลยตามมาขอโทษเจ้าอย่างอดรนทนไม่ไหว…”
หลิ่วเหมียนถังหลุบตาลงเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเพิ่งเจอท่านโหวเป็นครั้งแรกที่บ้านเมื่อครู่นี้ ท่านชุยจิ่วที่ท่านพูดถึงนั้นข้าไม่รู้จัก อีกอย่างท่านจะต้องมาขอโทษชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งอย่างข้าไปไย ช่างกล่าวให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูกจริงๆ”
จ้าวเฉวียนเข้าใจขึ้นมาทันควัน “ใช่ๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบคุณหนู…ไม่สิ คุณหนูยังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าเคยมาถามหายากับข้า หากเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย แกล้งทำเป็นไม่รู้จักข้า ข้าไม่ยอมหรอกนะ”
จ้าวเฉวียนเองก็มีไหวพริบ จะต้องให้หลิ่วเหมียนถัง ‘จำ’ เรื่องราวเก่าๆ บางอย่างระหว่างพวกเขาให้ได้ ข้ออ้างว่าหลิ่วเหมียนถังเคยคิดว่าเขาเป็นหมอ เคยถามเกี่ยวกับเทียบยานั้นดีที่สุด ทั้งไม่ทำลายชื่อเสียงของหญิงสาว ทั้งให้ทั้งสองคนทำความรู้จักกันอย่างมีเหตุมีผล
หลิ่วเหมียนถังมองการต่อรองของจ้าวเฉวียนแล้ว รู้สึกว่ากวนใจอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้นางก็รู้แล้วว่าคนที่จะมาเป็นสหายกับไหวหยางอ๋องได้จะต้องไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแน่นอน ที่แท้ท่านหมอจ้าวผู้กะล่อนเสเพลคือเจิ้นหนานโหวนี่เอง
ชาวบ้านธรรมดาอย่างนางทุกสามวันห้าวันต้องมารับมือกับพวกบุรุษอ๋องโหวเหล่านี้ ช่างบั่นทอนอายุขัยกันเสียจริง!
เมื่อครู่นี้ตอนอยู่บ้านสกุลลู่ จู่ๆ ได้เห็นเขาลงจากรถม้า เดินมาทางตนเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลิ่วเหมียนถังก็ร้อนใจจนหลั่งเหงื่อเย็นแล้วจริงๆ
นางไม่ได้กลัวชื่อเสียงตนเองเสียหาย แต่เรื่องราวเหลวไหลพวกนั้นไม่อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบรรดาสตรีสกุลลู่ได้
โชคดีที่จ้าวเฉวียนหยุดเท้าได้ทัน ละเว้นไม่ต้องให้นางอธิบายอะไรมากมายต่อหน้าคนที่บ้าน มาตอนนี้จ้าวเฉวียนกลับไม่สนใจอะไร จะต้องให้ทั้งสองคนกลายมาเป็นคนรู้จักเก่ากันให้ได้ หากไม่คล้อยตามเขา ไม่รู้ว่าท่านโหวผู้เอ้อระเหยลอยชายท่านนี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก
หลิ่วเหมียนถังเลยได้แต่ผงกศีรษะอย่างจนใจ มองสำรวจจ้าวเฉวียนอีกทีก่อนเอ่ย “อ้อ พอท่านพูดเช่นนี้ข้าก็นึกออกแล้ว เหมือนว่าตอนที่ไม่สบายจากการเร่งรีบเดินทางเคยได้เทียบยาจากท่าน…แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเป็นถึงท่านเจิ้นหนานโหวแห่งเจินโจว แต่ก่อนหากเคยล่วงเกินไป ขอท่านโหวอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ”
เห็นหลิ่วเหมียนถังยอมรับในที่สุด จ้าวเฉวียนเองก็ผ่อนลมหายใจยาว กดเสียงต่ำเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราไม่ถือโทษกันอีกดีหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าแม้ชุยสิงโจวจะเคยใส่ร้ายจ้าวเฉวียนต่อหน้านาง แต่วิธีพูดจากะล่อนปลิ้นปล้อนของจ้าวเฉวียนตรงจุดนี้ไม่มีอะไรให้สงสัยจริงๆ
ดังนั้นนางจึงไม่สนใจคำพูดสนิทสนมฝ่ายเดียวของจ้าวเฉวียน ยังคงถามอย่างห่างเหินเกรงใจว่า “ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่มีสินค้าอยากฝากส่งหรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวเฉวียนคุ้นชินกับท่าทีเย็นชาของหลิ่วเหมียนถังแล้ว จึงไม่ได้ถือสา
นับตั้งแต่เขากลับจวนไปครั้งนั้นก็ยุ่งกับการจัดการเรื่องสกปรกภายในจวน เขากับภรรยาเอกห้องพระของตนเองไม่เคยร่วมหอกันมานาน นางกลับมีเรื่องมงคลผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า
จ้าวเฉวียนที่ถูกไล่กลับไปเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าเกือบโมโหจนหมดสติ รีบสั่งให้คนจับตาดูลูกสะใภ้ รวมถึงเขียนจดหมายให้บิดาที่เป็นผู้ตรวจการสำนักตรวจการนครหลวงของนาง ต้องการสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่าง
สุดท้ายจ้าวเฉวียนถึงพอจะเข้าใจเรื่องราวว่าเหตุใดภรรยาตนเองหาเรื่องออกบวชก่อนแต่งงาน หลังแต่งงานก็เอาแต่สนใจพุทธศาสนา ที่แท้นางดูงิ้วปังจื่อมากไป นึกไม่ถึงว่าจะแอบลักลอบคบหากับบุตรชายของหัวหน้าพ่อบ้านในจวนตนเอง หลังแต่งงานมาก็ไม่เคยตัดความสัมพันธ์ ด้วยเพราะในใจนางมีผู้อื่น แต่งงานมาแล้วจึงยกพุทธศาสนามาอ้าง จงใจเย็นชากับตนเอง
บัดนี้นางตั้งครรภ์บุตรของชายชู้ เดิมตั้งใจจะแอบคลอดออกมาแล้วค่อยส่งไปเลี้ยงดูข้างนอก นึกไม่ถึงว่าจะถูกสาวใช้ของตนเองพลั้งปากพูดออกไปให้แม่สามีรับรู้เสียก่อน
ทั้งสองครอบครัวต่างเป็นคนมีหน้ามีตา เรื่องอัปลักษณ์เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็ขายขี้หน้าไม่ได้ แต่จนใจที่ลูกชู้ในท้องตนเองใหญ่เกินไป ขับออกมาไม่ได้แล้ว
ดังนั้นท่านพ่อตาของจ้าวเฉวียนเลยรับตัวบุตรสาวกลับไปที่จวน รอให้ครบเดือนค่อยประกาศบอกภายนอกว่าเด็กถูกรกพันคอ คลอดยากแล้วเสียชีวิตไป จากนั้นหาเหตุผลมาให้ทั้งสองจวนเขียนหนังสือหย่ากันเงียบๆ อีกที
ดังนั้นทุกวันนี้แม้จ้าวเฉวียนจะอยู่ในนามคนแต่งงานแล้ว ทว่าภายในใจมีอิสรเสรีถึงที่สุด
รอเขาหย่ากับอดีตภรรยา ถอดหมวกเขียวออก อยากแต่งกับใครก็ได้แล้วทั้งนั้น! แม้หลิ่วเหมียนถังไม่เหมาะจะเป็นภรรยาเอก แต่ไม่มีปัญหากับการเป็นอนุอย่างแน่นอน
แต่หากอยากได้ใจของนางในดวงใจ จำเป็นต้องมีของขวัญแรกพบหน้าอยู่ดี ตรงจุดนี้จ้าวเฉวียนยังคิดได้
ฉะนั้นเมื่อเห็นหลิ่วเหมียนถังกลับไปนั่งดีดลูกคิดหลังโต๊ะเก็บเงินอีกครั้ง ท่านโหวจ้าวจึงสั่งให้บ่าวชายหยิบกล่องผ้าไหมใบใหญ่มา แล้วหยิบกระปุกเครื่องเคลือบลงไขผึ้งปิดผนึกใบหนึ่งออกมา เอ่ยว่า “ข้านึกถึงอาการบาดเจ็บที่มือเท้าเจ้ามาโดยตลอด จึงคอยหาอ่านพวกตำรับโบราณ แต่ในเทียบยามีดอกอิงกู่ที่หาได้ยากมาก ข้าเองก็เสียเงินไปมากกว่าจะปรุงออกมาได้ หลังเจ้ากลับไปให้ทายาลงบาดแผลวันละครั้ง รอเส้นเอ็นมือเท้ากลับมายืดหยุ่นถึงเชื่อมต่อได้อีกที ถึงเวลานั้นก็จะฟื้นตัวกลับมาดังเดิม…”
เขาพูดเช่นนี้จบ หลิ่วเหมียนถังเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพูดความจริง?”
จ้าวเฉวียนตบหน้าอกก่อนเอ่ย “บุรุษอกสามศอกจะหลอกลวงคนได้อย่างไร”
หลิ่วเหมียนถังมองกระปุกใบนั้น สำหรับนางแล้วการที่มือเท้าฟื้นตัวกลับมาดังเดิมได้ออกจะดึงดูดใจเกินไปแล้วจริงๆ
“ราคาเท่าไร ข้าจ่ายให้ท่าน” หลิ่วเหมียนถังคิดแล้วเอ่ย
จ้าวเฉวียนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าเห็นข้าเป็นท่านหมอขายยาจริงๆ หรือไร เอาเช่นนี้แล้วกัน ถือว่าเป็นของชดเชยที่ก่อนหน้านี้ข้าหลอกลวงเจ้า เจ้าอย่าได้หงุดหงิดข้าอีกได้หรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังใคร่ครวญแล้วไม่ตอบ ทว่าถามอีกอย่างแทน “ท่านโหวจ้าวกับคุณชายซูเป็นญาติกันจริงๆ?”
จ้าวเฉวียนเอียงคอครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าเขาความจำไม่ดี แต่เป็นเพราะปกติมีคนแปลกๆ มาผูกมิตรตีตัวเป็นญาติสนิทกับเขามากเกินไปจริงๆ ลุงเอย หลานเอย ลูกพี่ลูกน้องอะไรพวกนั้น ออกจากจวนไปทีหนึ่งก็มีเยอะจนเดินสะดุดได้
แต่ดูเหมือนเขากับสกุลซูจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกันจริงๆ เหมือนในงานเลี้ยงน้ำชาครั้งหนึ่งได้ทำความรู้จักกับคุณชายซูเข้า จากนั้นเอ่ยกึ่งล้อเล่นไปก็กลายมาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้ว
ครั้งนี้เขามาที่ซีโจวเพื่อมาหาหลิ่วเหมียนถังโดยเฉพาะ ใครจะคาดว่าบังเอิญเจอคุณชายซูบนถนน อีกฝ่ายเข้ามาตีสนิทท่านโหวจ้าวอย่างกระตือรือร้น และตอนที่ท่านโหวจ้าวได้ยินว่าเขาพักค้างแรมอยู่ในบ้านสกุลลู่ก็เกิดเจตนาอื่นซ่อนเร้น คิดอยากเข้าหาสกุลลู่ด้วยวิธีนี้
ด้วยเหตุนี้สองลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือดจึงร่วมมือกันทั้งอย่างนี้
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วขมวดคิ้วเอ่ย “ในเมื่อไม่ได้เป็นญาติกัน ท่านโหวควรจะบอกกับผู้อื่นให้ชัดๆ ไม่อย่างนั้นหากผู้อื่นอ้างชื่อท่านทำอะไรขึ้นมา มิใช่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงดีงามของตระกูลท่านหรือ”
จ้าวเฉวียนผงกศีรษะอย่างแรง “ปกติข้าทำตัวเหลวไหลเพราะไม่มีใครคอยดูแลข้า แต่ว่าคำพูดของคุณหนูหลิ่ว ข้าย่อมจดจำใส่ใจ หากเจ้าคอยดูแลข้าให้มากๆ ข้าก็ขอขอบคุณคุณหนูหลิ่วแทนทุกคนในจวนโหวแล้ว!”
* ปรับหางเสือตามลม เป็นสำนวนจีน หมายถึงรู้จักอ่านสถานการณ์หรือท่าทีของผู้อื่น แล้วพลิกแพลงไปตามสถานการณ์
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.