X
    Categories: ซ่อนรักชายาลับทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 63 – 64

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 63

จ้าวเฉวียนไม่ได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังของสาเหตุที่ชุยสิงโจวกับหลิ่วเหมียนถังแยกย้ายกันชัดเจนนัก

ความวุ่นวายที่ซีเป่ยแก้ไขได้แล้ว ในตอนนี้ราชสำนักกำลังร่วมมือกับธิดาของกษัตริย์เฒ่า ดูจากท่าทีแล้วมีเจตนาจะปราบปรามซีเป่ยให้อยู่ในความสงบ ส่วนชุยสิงโจวเคลื่อนทัพไปที่โยวโจวทว่าเจอเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง จึงไม่อาจย้อนกลับมาได้ชั่วคราว

ครั้งนี้ตอนที่เขาไปพบชุยสิงโจวที่โยวโจว ชุยสิงโจวไม่เต็มใจกระทั่งจะยกเรื่องหลิ่วเหมียนถังขึ้นมาพูด เพียงรีบร้อนฝากฝังเรื่องราวบางอย่างกับเขา จากนั้นมอบสมุนไพรดอกอิงกู่ให้แล้วฝากเขาทำออกมาเป็นยาทา ทั้งยังกำชับห้ามไม่ให้จ้าวเฉวียนบอกหลิ่วเหมียนถังว่าตนเองเป็นคนให้เด็ดขาด มิฉะนั้นนางไม่มีทางใช้แน่ แต่ตัวยาก็ไม่อาจเสียเวลา จึงต้องการให้จ้าวเฉวียนอ้างฐานะหมออธิบายถึงความร้ายแรงให้นางฟัง

หลังฝากฝังเสร็จชุยสิงโจวก็ไล่เขาออกมาแล้ว

แต่ในสายตาของจ้าวเฉวียน เขามองว่าชุยสิงโจวทิ้งปัญหาไป เห็นคุณหนูหลิ่วไม่เหลือผลประโยชน์ก็ไม่คิดรับผิดชอบต่อ ยาทากระปุกนี้น่าจะเป็นของชดเชยทางมโนธรรมอย่างหนึ่งมากกว่า

ที่จริงไม่ต้องให้ชุยสิงโจวกำชับเขาก็ไม่มีทางบอกความจริงพวกนี้กับหลิ่วเหมียนถัง แค่มอบยาทาให้คุณหนูหลิ่วเป็นของขวัญแรกพบหน้าของตนเองอย่างสบายใจ

ส่วนเรื่องจริงที่ว่าหลิ่วเหมียนถังเป็นฝ่ายไม่ต้องการชุยสิงโจวเองนั้น จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญในการจินตนาการถึง ซึ่งท่านโหวจ้าวออกจะขาดแคลนในส่วนนี้ ช่วงเวลาสั้นๆ เลยไม่ทันคิดไปทางนี้ สนใจแต่ทุ่มเทดึงดูดความสนใจของหลิ่วเหมียนถังเท่านั้น

หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าหากจ้าวเฉวียนไม่ใช่ท่านโหว อาศัยคำพูดกะล่อนปลิ้นปล้อนของเขาคงได้ถูกคนกระทืบตายไปหลายครั้งแล้ว

เขายังไม่ทันพูดจบ หลิ่วเหมียนถังก็หยิบเงินสามร้อยตำลึงมาวางบนโต๊ะเก็บเงิน “ท่านไม่บอกราคาค่ายา ข้าก็มอบให้ไปมั่วๆ แล้วกัน หากท่านโหวไม่รับไว้ก็นำยากลับไปเสีย”

จ้าวเฉวียนได้แต่รีบเก็บเงินมา ก่อนกำชับวิธีใช้ยาต่างๆ แล้วถึงได้ออกไปจากสำนักคุ้มภัย

 

หลังหลิ่วเหมียนถังกลับไป ตกดึกได้ทดลองใช้ยาทากระปุกนี้จริงๆ ทว่าใช้แค่กับมือขวา ค่ำคืนวันนั้นข้อมือก็รู้สึกร้อนขึ้นมา ผิวหนังให้ความรู้สึกเหน็บชาคันๆ ราวกับว่าเส้นเอ็นที่ฝ่อกลับมามีความรู้สึกใหม่อีกครั้งในที่สุด

หลิ่วเหมียนถังนั้นยังนับถือวิชาแพทย์ของจ้าวเฉวียนอยู่มาก หากเขาพูดถูก เช่นนั้นรอผ่านไปไม่นานมือเท้าของตนเองก็จะดีขึ้น ไม่มีทางไร้กำลังอีก

หลิ่วเหมียนถังมีข้อเรียกร้องไม่มาก ไม่ได้หวังให้ฟื้นฟูดังเดิม ขอเพียงใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่เหมือนคนพิการก็มากพอแล้ว ดังนั้นหลายวันต่อมาจึงคอยใช้ยาทาอยู่อย่างสม่ำเสมอ

เกี่ยวกับเรื่องแม่ลูกสกุลซู หลิ่วเหมียนถังบอกเรื่องที่นางรู้แก่ท่านตาอย่างอ้อมๆ

ท่านตากลับแค่นเสียงเอ่ย “เรื่องที่เจ้าพูดข้าเคยเตือนเจ้ารองไปนานแล้ว จนใจที่ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้มีบิดาแท้ๆ ของท่านป้าสะใภ้รองเจ้าแนะนำมา ท่านป้าสะใภ้รองเจ้าพูดแล้วว่าบิดานางเป็นถึงผู้ว่าการอำเภอ สายตามองคนจะแย่ไปกว่าข้ากับเจ้าหรือ ชิงอิงมีบิดามารดา ไม่จำเป็นต้องให้คนแก่อย่างข้าเป็นห่วง แต่เจ้านี่สิ…ไปรู้จักกับท่านโหวจ้าวได้อย่างไร”

ท่านผู้เฒ่ามีสายตาเฉียบแหลม หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าชายชราอย่างท่านตาจะต้องมองพิรุธออกแน่นอน ทว่านางเองก็ไม่ได้ลนลาน แค่เล่าโดยอิงตามสถานการณ์ที่จ้าวเฉวียนพูดออกไปเล็กน้อย

ลู่อู่รู้ว่าหลานสาวเป็นคนมีความคิดของตนเอง หากจู้จี้มากเกินไปจะให้ผลตรงกันข้ามแทน แต่ยังคงเอ่ยเตือนนางอย่างจริงจัง “เด็กน้อย เจ้าไม่ใช่คนที่มองคนแต่ภายนอก ต่อให้เขาเป็นท่านโหวผู้หนึ่งจริงๆ ประตูจวนโหวนั้นก็เข้ายาก เจ้าจะต้องจำคำของมารดาไว้ อย่าได้เห็นแก่ความร่ำรวยสูงศักดิ์ หลงผิดไปชั่ววูบ…”

หลิ่วเหมียนถังเผยยิ้ม “ท่านตาวางใจได้เจ้าค่ะ ระหว่างข้ากับท่านโหวจ้าวไม่มีอะไรกันจริงๆ คนอย่างเขาข้าไม่กล้าปีนป่ายหรอก”

ลู่อู่เห็นหลิ่วเหมียนถังไม่สนใจจริงๆ ในใจก็สบายใจขึ้น

ก็จริง หลิ่วเหมียนถังไม่ใช่ยายหนูบ้านรองคนนั้นที่นึกแต่ไล่ตามจับความร่ำรวย ต่อให้เป็นท่านโหวผู้หนึ่ง หลิ่วเหมียนถังของเขาก็ปฏิบัติด้วยอย่างไม่เย่อหยิ่งไม่ต้อยต่ำอยู่ดี

เพียงแต่หลายวันมานี้ท่านโหวจ้าวผู้นั้นมักหาสารพัดวิธีมาที่บ้านสกุลลู่ โดยเฉพาะทุกครั้งเวลามีแม่สื่อมาสอบถามสถานการณ์ของหลิ่วเหมียนถัง ท่านโหวจ้าวจะเอ่ยแทรกขัดเสมอ ช่างน่ารำคาญจริงๆ

วันพรุ่งนี้เขากำชับให้บ่าวเฝ้าประตูปิดบ้านไม่ต้อนรับแขกแล้ว หากบ้านรองคิดจะจับคนมีอำนาจก็ออกไปจับข้างนอก อย่าได้ชักนำกลิ่นหอมกลิ่นเหม็นเข้ามาในบ้าน

แต่จ้าวเฉวียนไม่ได้รู้ตัวว่าตนทำให้คนรำคาญ ในเมื่อเข้าบ้านสกุลลู่ไม่ได้ เขาก็ตรงไปที่สำนักคุ้มภัยแทน พูดคุยกับหลิ่วเหมียนถังผ่านโต๊ะเก็บเงินก็ดีเหมือนกัน

กระทั่งภายหลังหลิ่วเหมียนถังก็ไปที่สำนักคุ้มภัยน้อยครั้งลงเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ท่านโหวจ้าวตามหาตัวคนไม่เจอ

จ้าวเฉวียนหงุดหงิดอย่างมาก เขายังมีงานให้ทำ ไม่อาจรั้งอยู่ซีโจวได้นานนัก หากหลิ่วเหมียนถังเอาแต่หลบหน้าตนเอง เขาจะพูดคุยตกลงกับนางเรื่องรับตัวนางเข้าจวนโหวได้อย่างไร

วันนี้เขาจึงจงใจรออยู่ที่ประตูหลังของบ้านสกุลลู่ ขอเพียงหลิ่วเหมียนถังออกมาก็จะสารภาพความรักที่ตนมีต่อนางอย่างหมดเปลือก

หลายวันมานี้เพื่อหลบเลี่ยงท่านโหว หลิ่วเหมียนถังจึงไม่เคยออกจากบ้านทางประตูหลัก นึกไม่ถึงว่าจ้าวเฉวียนจะเต็มใจยืนรอนางอยู่ตรงประตูหลังที่เต็มไปด้วยถังทิ้งเศษอาหาร ค่อนข้างสกปรก

พอหลิ่วเหมียนถังลองตั้งใจใคร่ครวญ ถึงแม้จ้าวเฉวียนจะร่วมมือกับชุยสิงโจวหลอกตนเอง แต่ท้ายที่สุดจ้าวเฉวียนยังคงมีคุณธรรมของหมอช่วยชีวิตนางไว้

หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าควรจะเชิญท่านโหวจ้าวไปดื่มชาสักถ้วยด้วยซ้ำ พร้อมพูดกับเขาให้ชัดๆ ไปเลย

นางจึงเชิญท่านโหวไปที่ร้านน้ำชาตรงประตูเมืองฝั่งตะวันออก ประเดี๋ยวนางจะตามไปทันที

รอทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านน้ำชา หลิ่วเหมียนถังรินน้ำชาให้จ้าวเฉวียนถ้วยหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างอ้อมค้อมว่าความรู้สึกที่นางมีให้เขามีแต่ความซาบซึ้งใจไม่มีอย่างอื่น ขอให้ท่านโหวจ้าวอย่าได้ยึดติด ปล่อยวางได้จึงจะดี

จ้าวเฉวียนถูกทำลายศักดิ์ศรี เดิมค่อนข้างหงุดหงิด แต่พอมองใบหน้าอมชมพูของหลิ่วเหมียนถัง โดยเฉพาะดวงตาสุกใสคู่นั้นก็ยังคงเอ่ยอย่างไม่ยอมตัดใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าถูกชุยจิ่วทำร้ายหนักหนาสาหัสเกินไป ไม่ขอให้คุณหนูยอมรับข้าได้ในทันที อย่างไรก็ตามคุณหนูเกิดมาบอบบาง เดิมควรจะเป็นเหมือนดอกบัวดอกโบตั๋นถูกคนประคบประหงมเลี้ยงดู แต่ทุกวันนี้เจ้าอาศัยอยู่กับบ้านท่านตา แม่สื่อที่วันๆ มาหาล้วนเป็นคนธรรมดาทั่วไป จะหาการแต่งงานดีๆ อะไรให้เจ้าได้”

หลิ่วเหมียนถังคลี่ยิ้ม “คนที่พวกนางพูดเหล่านั้นถึงจะเหมาะสมต่อฐานะข้า ท่านโหวสายตาสูงส่ง ฐานะสูงศักดิ์ เดิมก็มองไม่เห็นคนเหล่านี้ในสายตา ในเมื่อท่านต้องการหาภรรยาใหม่ก็ควรจะหาที่ฐานะเหมาะสมกัน…จากหน้าตาและความสามารถของท่านโหว หาองค์หญิงสักพระองค์ก็คู่ควร…”

จ้าวเฉวียนกลับโบกไม้โบกมือเอ่ย “คุณหนูหลิ่วอย่าได้แช่งข้า หากถูกองค์หญิงผู้หนึ่งต้องตาเข้าจริงๆ ก็ไม่รอดแล้ว ข้าไม่อยากถูกขังอยู่โยวโจว กลายเป็นคนขาพิการอย่างชุยจิ่ว…”

พูดไปได้ครึ่งทางจ้าวเฉวียนก็รีบหยุดปากลงทันควัน

หนนี้เขาไม่ทันระวังพลั้งปากออกไปจริงๆ แม้จะหยุดลงทันควัน แต่หลิ่วเหมียนถังกลับมองเขาอย่างสงสัยและถามอย่างไม่แน่ใจแล้ว “ท่านพูดอะไร เขา…ถูกขังอยู่ที่โยวโจว? ขาพิการ?”

จ้าวเฉวียนผงกศีรษะอย่างจนใจ ในเมื่อไม่ทันระวังพลั้งพูดไปแล้วก็ได้แต่บอกตามตรง “เดิมไม่อยากพูดเรื่องเขาต่อหน้าคุณหนู กลัวจะทำให้คุณหนูหมดอารมณ์…”

หลิ่วเหมียนถังกลับเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไร เล่าให้ละเอียดสักหน่อย บางทีวันนี้ข้าอาจจะกินข้าวลงมากขึ้นก็ได้…”

จ้าวเฉวียนรู้สึกว่าแม้หลิ่วเหมียนถังจะพูดจาใจดำก็ยังเข้าใจได้ ในเมื่ออย่างไรเสียหลิ่วเหมียนถังก็ถูกชุยสิงโจวทอดทิ้ง ในใจย่อมรู้สึกแค้นเคืองตัดพ้ออย่างห้ามไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันของชุยสิงโจวออกไปตามตรง

ที่แท้หลังราชสำนักได้รับคำร้องของธิดากษัตริย์เฒ่าที่ขอให้ช่วยยุติความวุ่นวาย กำจัดคนทรยศ ก็มีใจจะเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าต่างๆ ของชาวหมาน ล้มราชวงศ์ของอากู่ซั่น ยุติสงครามบริเวณชายแดนในเร็ววัน

มิหนำซ้ำชุยสิงโจวยังเป็นคนเสนอให้ยุติสงครามก่อนเอง เรื่องนี้ชวนให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ

ภายในราชสำนักมีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าไหวหยางอ๋องจงใจขยายขอบเขตสงครามเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ปีกตนเองมาโดยตลอด แต่ว่าการเจรจาสงบศึกกับธิดากษัตริย์เฒ่าในครั้งนี้ ชุยสิงโจวเป็นคนเขียนฎีกาส่งมาด้วยตนเอง มากพอให้เห็นถึงความภักดีต่อราชสำนักของเขา ทำให้คนที่ด่าว่าเขากระหายสงครามพูดอะไรไม่ออก

ส่วนอู๋ไทเฮาก็เกิดความคิดพระราชทานองค์หญิงให้ชุยสิงโจวในที่สุด ตั้งใจจะดึงตัวเขามาเป็นพวกของตนเอง

เพียงแต่องค์หญิงผู้นั้นของอู๋ไทเฮามีนิสัยเอาแต่ใจอย่างมาก การแต่งงานของนางไม่ใช่ว่าพระราชโองการสักฉบับจะสั่งการได้

ราชสำนักจึงออกคำสั่งให้กรมทหารส่งคนไปรับช่วงต่อดูแลกองทัพซีเป่ยและร่วมมือกับธิดากษัตริย์เฒ่าเจรจาสงบศึกกับชนเผ่าต่างๆ โดยเร็ว จากนั้นค่อยเรียกตัวชุยสิงโจวเข้าเมืองหลวงให้องค์หญิงได้เห็นกับตา แล้วออกพระราชโองการลงมาอีกที

ผู้ใดจะคาดว่าทูตของราชสำนักจะเจอกับการลอบโจมตีที่โยวโจว ไหวหยางอ๋องนำทัพเข้าช่วยด้วยตนเอง เพื่อช่วยเหลือทูตพิเศษจึงโดนธนูยิงตกหลังม้า ได้ยินว่าขาจะต้องพิการถาวร…

หลิ่วเหมียนถังรับฟังเงียบๆ ขณะที่มือขยำชายกระโปรงตนเองแน่น นางไม่กล้าจินตนาการว่าบุรุษที่ทะนงตนผู้นั้น นับจากนี้จะกลายมาเป็น…คนพิการ!

“ท่านไม่ใช่หมอเทวดาหรอกหรือ ไม่ใช่ว่ามอบยาที่สามารถเชื่อมเอ็นกระดูกให้ข้าหรือ เหตุใดจึงไม่มอบให้เขา กลับมาเสียเวลากับข้าที่นี่!” หลังได้ฟังเรื่องราวจากจ้าวเฉวียน หลิ่วเหมียนถังนิ่งเงียบไปสักพักแล้วเอ่ยตำหนิออกมากะทันหัน

จ้าวเฉวียนถูกหลิ่วเหมียนถังตวาดใส่ก็รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างมาก ท้ายที่สุดจึงบอกความจริงออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “ดอกอิงกู่ที่ใช้เชื่อมเอ็นกระดูกนี้…เป็นสิ่งที่งอกบนภูเขาหิมะนอกด่าน หนึ่งร้อยปีถึงจะบานสักครั้ง ซ้ำช่วงเวลาบานยังสั้นมาก ไม่ใช่สิ่งที่แค่มีเงินก็ซื้อหามาได้ ยาตัวนี้…เฮ้อ ข้าบอกกับเจ้าเลยแล้วกัน! ความจริง…ความจริงชุยจิ่วเป็นคนให้ข้า รวมถึงให้ข้าช่วยปรุงออกมา เขาเองก็หามาได้ด้วยความบังเอิญ ปริมาณมีอยู่เพียงเท่านี้ ให้ข้าเอามาให้เจ้าทั้งหมดแล้ว ข้าเองก็เกลี้ยกล่อมให้เขาเก็บไว้บ้าง แต่เขาไม่ยอม ข้าได้แต่รีบนำมามอบให้เจ้าจะได้ไม่เสียฤทธิ์ยาไป…”

หลิ่วเหมียนถังเม้มปากแน่น นางนึกไม่ถึงว่ายาที่ทาแล้วเห็นผลทันทีนี้จะเป็นชุยสิงโจวฝากฝังจ้าวเฉวียนมามอบให้ ยิ่งคาดไม่ถึงว่าเขาจะมอบยาทั้งหมดให้แก่นางทั้งที่รู้ว่าตนเองจะขาพิการ

“เขาจะพิการจริงๆ หรือ ท่านไม่ได้หลอกข้าอีกใช่หรือไม่” หลิ่วเหมียนถังถามเสียงเย็น

ไม่รู้เหตุใดจ้าวเฉวียนที่ถูกนางมองก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นยกนิ้วสาบานว่าครั้งนี้ไม่ได้โกหกจริงๆ เขากับทูตพิเศษเห็นบาดแผลที่ขาของชุยสิงโจวด้วยกันกับตา ร้ายแรงอย่างมาก

ชุยสิงโจวถึงขั้นเป็นไข้สูงติดต่อกันหลายวัน หลังจ้าวเฉวียนฝังเข็มให้ถึงค่อยๆ กลับมามีสติ

หลิ่วเหมียนถังหลุบตาลง เพียงบอกว่าตนเหนื่อยแล้ว ให้สาวใช้จ่ายเงินก่อนเดินจากไปทันที

จ้าวเฉวียนไม่คาดคิดว่าหลิ่วเหมียนถังจะมีท่าทีเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเช่นนี้ แม้การที่ชุยสิงโจวโกหกนางจะน่าชิงชัง แต่สถานการณ์ในทุกวันนี้ของอีกฝ่ายเองก็น่าสงสารมาก

บัดนี้เพราะขาได้รับบาดเจ็บ ชุยสิงโจวจึงไม่อาจเข้าวังไปไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์กับไทเฮา ซ้ำยังต้องพิการถาวร แต่ก็ยังตัดใจจากยารักษาแผลดีๆ มอบให้หลิ่วเหมียนถังได้ ต่อให้เป็นความแค้นยิ่งใหญ่กว่านี้ก็ควรบรรเทาลงบ้างแล้ว

แต่ท่าทีของหลิ่วเหมียนถังกลับเย็นชา ไร้ความเห็นอกเห็นใจปานนั้น

เรื่องนี้ทำให้จ้าวเฉวียนดับสลายความคาดหวังที่มีต่อสตรีบนโลกใบนี้ลงไปอีก

แต่ก็ไม่อาจโทษที่หลิ่วเหมียนถังจะแล้งน้ำใจ นางถูกเจ้าชุยสิงโจวหลอกลวงหนักหนาเกินไป ดูสภาพแล้วจะไม่มีทางยกโทษให้

ในช่วงเวลานั้นจ้าวเฉวียนรู้สึกลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง พอเห็นว่าชุยสิงโจวแพ้ราบคาบ ตนเองก็มีความหวังอย่างยิ่ง!

 

วันรุ่งขึ้นภายใต้การปรนนิบัติจากบ่าวรับใช้ จ้าวเฉวียนแต่งตัวเรียบร้อยเหมาะสม เตรียมจะไปเยือนบ้านสกุลลู่ ปรึกษาเรื่องรับหลิ่วเหมียนถังมาเป็นอนุสูงศักดิ์อย่างเป็นทางการกับนายท่านรองลู่

แต่ยังไม่ทันถึงบ้านสกุลลู่ก็เห็นที่ประตูบ้านสกุลลู่วุ่นวายยุ่งเหยิง นายท่านใหญ่ลู่ดูเหมือนกำลังรีบขึ้นม้าควบตะบึงไปทางท่าเรือ

เขาเห็นลู่มู่ยืนอยู่ตรงประตูจึงถามหยั่งเชิงดู ลู่มู่ผู้นั้นกลับตอบด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ “เหมียนถังป่วย ไม่อาจพบแขกได้”

จ้าวเฉวียนได้ยินก็ยิ่งอยากเข้าไปเยี่ยมหลิ่วเหมียนถังมากกว่าเก่า เดิมเขาก็เป็นหมอ จะยังมีใครเหมาะสมไปกว่าเขาอีก

ลู่มู่เห็นเขาดึงดันจะเข้าไปก็จนปัญญา เดิมทีท่านโหวผู้นี้ตั้งใจจะมารับหลิ่วเหมียนถังเป็นอนุ เขายังแอบรู้สึกยินดี มองว่าหากหลิ่วเหมียนถังปีนป่ายสูงถึงขั้นนี้ได้เองก็นับเป็นโชคดี

แต่เขากลับลืมไปว่าหลานสาวผู้นี้ของเขาเป็นตัวปัญหาโดยแท้จริง

แทนที่จะรอให้ท่านโหวจ้าวได้ยินจากปากผู้อื่นแล้วแย่กว่าเดิม มิสู้เขาบอกความจริงออกไปอย่างเหมาะสม ป้องกันไม่ให้งานมงคลนี้ล้มเหลวในวันหน้า ดังนั้นเขาจึงถูมือแล้วเอ่ย “เฮ้อ ท่านโหว หลานสาวคนนี้ของข้าพยศจนเคยตัว ได้ยินว่าทางสำนักคุ้มภัยเกิดปัญหากับเรือคุ้มภัยลำหนึ่งที่มุ่งหน้าไปอี้โจว เมื่อวานนางไม่บอกกล่าวต่อใครทั้งนั้นก็เก็บสัมภาระแล้วพาสาวใช้สองคนของนางออกเดินทางทั้งคืนไปอี้โจวแล้ว! ท่านดูสิ นางมีความสามารถเช่นนี้นี่ล่ะ ยังดีที่พาสาวใช้กับบ่าวหญิงไปด้วย น่าจะกลับมาในเร็ววัน…”

จ้าวเฉวียนได้ยินแล้วอึ้งไป หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็…อี้โจวอยู่ห่างจากโยวโจวไปเพียงไม่กี่ลี้เท่านั้น…

หลิ่วเหมียนถังออกเดินทางทั้งคืนจริงๆ ทว่าจุดหมายปลายทางของนางไม่ใช่อี้โจวแต่เป็นโยวโจว

ยาทาดอกอิงกู่ถูกนางใช้ไปบ้างแล้ว ส่วนที่เหลือเพราะว่าแกะไขผึ้งออกแล้วเลยต้องรีบใช้ให้หมดโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นฤทธิ์ยาจะลดทอนลงมากๆ

เมื่อวานหลังนางได้ยินเรื่องราวจากจ้าวเฉวียน กลับไปที่บ้านก็ไม่ได้กินอะไรทั้งนั้น เพียงถือตำราเล่มหนึ่งไว้ ทว่าไม่ได้พลิกเปิดสักหน้า แค่นั่งซึมกะทืออยู่ตลอดบ่าย

ในตำราเล่มนั้นเสียบดอกไม้แห้งไว้ กลิ่นหอมยังไม่เลือนหาย เวียนวนอยู่ใกล้จมูกคล้ายมีคล้ายไม่มี

หลิ่วเหมียนถังไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเช่นนี้มาก่อน เลยโยนตำราทิ้งลงไปในเตาถ่านด้านข้างเสียเลย

นางปลอบตนเองว่าโยวโจวอยู่ห่างจากนางมาก คนที่นั่นจะเป็นหรือตายเกี่ยวอันใดกับชาวบ้านธรรมดาอย่างนางกัน

แต่อุตส่าห์บังคับให้ตนเองขึ้นเตียงหลับตานอนได้แล้ว บริเวณมือเท้ากลับรู้สึกปวดเมื่อยขึ้นมาจากการใช้ยา ยากให้คนนอนหลับลง

ปี้เฉ่าไม่รู้ว่าผู้เป็นนายจิตใจว้าวุ่น ต้องการจะทายาให้นางตามความเคยชิน

แต่หลิ่วเหมียนถังมองดูกระปุกยาที่ใช้ไปกว่าครึ่งแล้วกลับเอ่ยปากกะทันหัน ‘อย่าแตะต้องยานั่น…ไป ไปเก็บสัมภาระให้ข้าหน่อย…’

นางเป็นสตรี ต่อให้มือเท้าไร้กำลังก็ไม่เป็นอะไร แต่เขาในฐานะแม่ทัพ จะขึ้นลงหลังม้าทั้งที่ขาพิการได้อย่างไร

หลิ่วเหมียนถังไม่อยากรับน้ำใจจากชุยสิงโจวอย่างจับพลัดจับผลูไม่มีเหตุผลอีก

ที่ติดค้างเขาไว้ต้องคืนให้เป็นเท่าตัว ถึงจะไม่มีพันธะผูกพันใดต่อกันนับจากนี้…

หลิ่วเหมียนถังเป็นคนที่ตัดสินใจทำอะไรแล้วจะไม่มีทางลังเล

เพียงแต่พวกฟั่นหู่เป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ติดตามนาง ยังถามว่านางจะไปที่ใดด้วย

ตอนเดินทางไปได้ครึ่งทาง หลิ่วเหมียนถังยืนอยู่บนหัวเรือ คิ้วขมวดน้อยๆ บอกกับฟั่นหู่ตามตรงว่าเกิดปัญหาด้านการค้า คนไม่พอ ขอเชิญฟั่นหู่พาองครักษ์ขึ้นเรือมาช่วยกันด้วย

ฟั่นหู่ได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้มาทำงานจิปาถะกับหลิ่วเหมียนถัง ไม่สะดวกจะปฏิเสธ จึงพาคนของตนสิบกว่าคนขึ้นเรือไปช่วยขนย้ายสินค้าที่ท่าเรือ

ครั้งนี้สินค้าที่นำไปส่งเป็นสินค้าพื้นเมืองจากภูเขาชุดใหญ่ เจ้าของสินค้ามอบของแห้งชั้นดีหนึ่งถุงให้กับสำนักคุ้มภัยอีกด้วย

หลิ่วเหมียนถังให้คนเลือกเห็ดหัวลิง หวงฉี ไก่ตัวเมีย โสมตั่งเสิน และพุทราแดงลูกใหญ่ชั้นดีมาต้มเป็นน้ำแกงโสมฉีหัวลิงใส่ไก่ด้วยตนเอง รอพวกฟั่นหู่ทำงานเสร็จก็เรียกพวกเขามากินน้ำแกงกันที่หัวเรือ

ในฤดูหนาวเหน็บท่ามกลางแม่น้ำและขุนเขา พอได้กินน้ำแกงไก่ใส่เห็ดรสเข้มข้นอบอุ่นไปหนึ่งชามก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างอุ่นวาบ สบายตัวอย่างยิ่ง น้ำแกงนี้อร่อยมากจริงๆ ทุกคนต่างกินติดกันไปหลายชาม ในเวลารวดเร็วน้ำแกงทั้งหม้อก็ตกถึงท้อง ตัวคนรู้สึกล่องลอย เบาสบายจนแทบชวนให้หลงลืมทุกอย่าง กระทั่งร่างกายยังคล้ายไม่มีอยู่ ประหนึ่งลอยอยู่ในทะเลดวงดาว

แต่ละคนล้มฟุบระเนระนาด ศีรษะทิ่มโต๊ะนอนหลับสนิทกันไปอย่างรวดเร็ว ฟั่นหู่หลับไปเป็นคนสุดท้าย ในความสะลึมสะลือถึงคิดได้ว่าดูเหมือนตนเองจะตกหลุมพรางหลิ่วเหมียนถังอีกแล้ว

ในน้ำแกงนั้นจะต้องใส่ยาสลบตำรับลับเฉพาะของหลิ่วเหมียนถังลงไปอย่างแน่นอน

ในช่วงสะลึมสะลือได้ยินคุณหนูหลิ่วรับปากว่าหากพวกเขาเสียงานไป สามารถมาที่สำนักคุ้มภัยของนางได้ แม้จะไม่ได้ดูสูงศักดิ์เท่าทำงานให้จวนอ๋อง แต่ว่าจะได้ค่าจ้างไม่น้อยแน่นอน!

รอพวกฟั่นหู่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าพวกเขาถูกทิ้งอยู่ที่ท่าเรือ ส่วนคุณหนูหลิ่วกับคณะเรือหายไปไม่เห็นเงาแล้ว…

 

หลังหลิ่วเหมียนถังจัดการกับพวกติดสอยห้อยตามที่เกะกะเสร็จก็ละทิ้งเรือสินค้า ออกเดินทางทั้งวันทั้งคืนด้วยเรือเร็วตลอดเส้นทาง ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็มาถึงโยวโจว

โชคดีที่เป็นช่วงฤดูหนาวพอดี ยาทาเก็บรักษาไว้ด้วยน้ำแข็ง ไม่ต้องกลัวว่าฤทธิ์ยาเสีย

แต่หลังมาถึงโยวโจวแล้วควรจะไปเจอชุยสิงโจวอย่างไรยังนับเป็นปัญหา

ทว่าคิดไม่ถึงว่านางจะได้เห็นไหวหยางอ๋องเร็วกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก เนื่องจากเขามาส่งทูตพิเศษของราชสำนักเดินทางกลับพอดี

บนท้องถนนพลุกพล่าน หลิ่วเหมียนถังได้ยินเสียงร้องตะโกนครื้นเครงของกลุ่มคน จึงไหลตามฝูงคนไปดู

บุรุษที่ไม่ได้เจอหน้ามานานผู้นั้นนั่งอยู่ในรถม้า สวมกวนหยก ชุดตัวหลวม แต่งตัวสบายๆ มีเพียงสีผิวที่ดูดำคล้ำมากขึ้นกว่าในความทรงจำของนาง แล้วก็ผ่ายผอมลงบ้าง แววตาคมกริบประหนึ่งกระบี่แหลมคม ปลายคิ้วมุมปากต่างเปลี่ยนไปเคร่งขรึม

ตอนไปถึงหน้าประตูเมือง ไหวหยางอ๋องลงจากรถม้ามาส่งทูตพิเศษ เห็นว่าในมือของเขาค้ำไม้เท้างาช้างไว้ ร่างกายสูงใหญ่ก้าวลงจากรถม้าช้าๆ ไม่ได้ย่างก้าวกระฉับกระเฉงเหมือนแต่ก่อนอีก ทว่าเดินติดๆ ขัดๆ ไปทีละก้าวๆ

ต่อให้หลิ่วเหมียนถังจะจินตนาการภาพเขาเดินถือไม้เท้าขาเป๋นับครั้งไม่ถ้วนในใจ แต่ตอนได้มาเห็นกับตาจริงๆ ยังคงรู้สึกดวงตาร้อนผ่าว หลั่งน้ำตาออกมาอย่างห้ามไม่ได้

นางรีบใช้ผ้าโพกศีรษะพันใบหน้าตนเอง แล้วก็กลืนเสียงสะอื้นที่เกือบหลุดออกมากลับลงไปได้ทันเวลา

คำว่า ‘ลืมไปหมดจด’ ที่พูดเสียดิบดี พอได้มาเจออีกครั้งจริงๆ ถึงได้พบว่าที่แท้นางก็แค่ซุกซ่อนเอาไว้ในใจ บัดนี้เมื่อได้พบเขาความรู้สึกเหล่านั้นก็ทะลักทลายขึ้นมาอีกครั้ง

เดิมนางตั้งใจจะมอบยาให้กลุ่มองครักษ์ของท่านอ๋องแล้วเป็นอันเสร็จเรื่อง แต่ภายในใจตอนนี้กลับอยากเห็นอาการของเขากับตา…กระนั้นนางก็ไม่อยากคุยกับเขา หากสามารถพบกันได้เหมือนในความฝันถึงจะเหมาะสมมากที่สุด

เพราะไหวหยางอ๋องได้รับบาดเจ็บที่ขา จึงเข้าพักรักษาตัวอยู่ในคฤหาสน์บนภูเขาซึ่งมีบ่อน้ำพุร้อนสมุนไพรชื่อดังของโยวโจว ท่านหมอบอกตรงๆ ว่าอาการบาดเจ็บของท่านอ๋องร้ายแรงเกินไป ทนลำบากจากการนั่งรถนั่งเรือไม่ได้ แล้วก็เพราะเช่นนี้ถึงไม่ได้ย้อนกลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวงพร้อมทูตพิเศษจากราชสำนัก

คฤหาสน์บนภูเขาที่มีบ่อน้ำพุร้อนสมุนไพรแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ขุนนางสูงศักดิ์ละแวกใกล้ๆ ชอบแวะเวียนมา ดังนั้นเหล่าเรือนห้องหับภายในคฤหาสน์จึงวิจิตรงดงามเป็นพิเศษ ทุกวันนี้เป็นเพราะไหวหยางอ๋องเข้าพัก ทั้งข้างในและข้างนอกคฤหาสน์จึงเต็มไปด้วยคนเฝ้ายาม การป้องกันแน่นหนา

หลิ่วเหมียนถังเดินวนรอบนอกคฤหาสน์ไปรอบหนึ่ง มองดูแม่น้ำที่เกิดจากลำธารสายเล็กบนภูเขาไหลมารวมกัน ทันใดนั้นพลันนึกอะไรออก

 

วันนี้ไหวหยางอ๋องทำตัวเหมือนปกติ หลังแช่ขาที่บาดเจ็บในน้ำพุร้อนสักพักก็นอนพักผ่อนอยู่บนตั่งนิ่มในห้องอุ่น

เขาฝึกวรยุทธ์กับยอดฝีมือมาตั้งแต่เด็ก รวมกับพรสวรรค์แต่กำเนิด ความสามารถในการได้ยินจึงยอดเยี่ยมผิดปกติ

ดังนั้นตอนที่องครักษ์หน้าประตูล้มลงประหนึ่งหัวไช้เท้าโดนฟันล้ม เขาพลันระวังตัวขึ้นมาทันใด สายตามองควันยาสลบถูกเป่าเข้ามาจากในซอกหน้าต่าง ชุยสิงโจวใช้ผ้าเปียกในอ่างปิดปากกับจมูกไว้ จากนั้นยกผ้าห่มขึ้นมาบังใบหน้าซีกล่างของตนเอง แสร้งทำเป็นหมดสติ

ไม่นานจากนั้นหลังควันยาสลบสลายหายไป เงาร่างคล่องแคล่วอรชรร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องอุ่น

ชุยสิงโจวอยู่นิ่งๆ เพียงหรี่ตาลงรอมือสังหารเข้ามาลงมือกับเขา เขาค่อยตอบโต้กลับถึงตาย

แต่ที่ไม่คาดคิดเลยคือมือสังหารผู้นั้นคล้ายไม่ได้รีบร้อนลงมือ เพียงมองสำรวจเขาก่อน จากนั้นหยิบเก้าอี้ด้านข้างตัวหนึ่งมานั่งข้างตั่งนิ่มของเขา ทั้งยังอ่านจดหมายที่เขาเขียนไปได้ครึ่งทางอีกด้วย

จดหมายสำหรับฆ่าเวลาประเภทนี้มักจะเขียนอย่างไร้เป้าหมาย ไม่ค่อยสละสลวย

เนื้อหาในจดหมายที่ชุยสิงโจวส่งไปยังซีโจวช่วงนี้น่าเบื่อถึงขั้นเล่าว่าลูกแมวเหมียนเอ๋อร์เข้ามาปัสสาวะในรองเท้าเขาอย่างไรแล้ว

อย่างที่คิดไว้จดหมายประเภทนี้กระทั่งมือสังหารเองก็นึกดูถูก เขาพลันได้ยินเสียง “ฮึ” หลุดออกมาเบาๆ…

หลังชุยสิงโจวได้ยินเสียงแผ่วเบานี้กลับร่างกายแข็งทื่อ จากนั้นร่างก็ผ่อนคลายลงอีกครั้ง รอ ‘มือสังหาร’ ผู้นั้นเข้ามาใกล้เงียบๆ

ในที่สุดมือสังหารก็พับแขนเสื้อขึ้นเตรียมลงมือทำงาน เลิกผ้าห่มออก จากนั้นก็เป็นความเงียบที่ยาวนานอีกระลอก

ในตอนที่ชุยสิงโจวเริ่มรู้สึกหนาวขา ถึงสัมผัสได้ว่ามีของเย็นเฉียบบางอย่างทาลงบนขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเขา

ชุยสิงโจวผุดลุกขึ้นมาจับมือของ ‘มือสังหาร’ ไว้

นางเองก็ตกใจ ไม่คาดคิดแต่อย่างใดว่าเขาจะไม่ถูกยาสลบทำให้หมดสติ!

ชุยสิงโจวมองใบหน้างามสะพรั่งที่ไม่ได้เห็นมานานอย่างค่อนข้างละโมบ ก่อนเอ่ยนิ่งๆ “เจ้ามาหาข้า ข้าใช่ว่าจะไม่ให้พบ เหตุใดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย”

หลิ่วเหมียนถังต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่แล้ว นางกลัวว่าชุยสิงโจวจะไม่ยอมใช้ยา กลัวว่าจะให้นางยอมรับหนี้น้ำใจ เลยตั้งใจจะลอบเข้ามาทายาให้เขา ถึงเวลาค่อยวางกระปุกยาทิ้งไว้อีกที

ถึงอย่างไรยาที่เหลือก็ไม่มากพอให้นางใช้แล้ว ชุยสิงโจวคิดถึงจุดนี้ได้ก็น่าจะยอมใช้ยาที่เหลือแต่โดยดี

แน่นอนว่าเบื้องหลังข้ออ้างนับพันนับหมื่นคือหลิ่วเหมียนถังอยากมาเห็นบาดแผลของชุยสิงโจวเองกับตา อยากมาดูว่าตอนนี้เขาสบายดีหรือไม่ อาศัยโอกาสตอนที่เขาหลับมาพบหน้าสักครั้งได้จะดีที่สุด ทั้งไม่เยิ่นเย้อ แล้วก็ไม่ลึกซึ้งจนเกินไป

แต่คาดไม่ถึงว่าคนคนนี้กลับหลบเลี่ยงควันยาสลบที่รุนแรงเพียงนั้นของนางได้ ถึงกับลุกมาจับมือนางไว้ด้วยสีหน้าแจ่มใส

นางอยากสลัดหลุดจากมือเขา แต่เขากลับไม่ยอมปล่อย เพียงออกแรงก็ดึงตัวนางเข้าไปในอ้อมกอดตนเอง

ตอนที่ร่างอ่อนนุ่มกรุ่นกลิ่นหอมที่เปียกชื้นเย็นเฉียบเข้ามาในอ้อมกอด ชุยสิงโจวเลือดเดือดพล่านไปทั่วทั้งตัว

ตอนทั้งสองคนเลิกรากัน เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะคิดถึงหญิงสาวที่ใจดำผู้นี้เพียงนี้ ตอนนี้เมื่อได้ตระกองกอดนางอีกครั้ง ต่อให้ตายชุยสิงโจวก็ไม่คิดปล่อยมืออีก!

“ปล่อยข้า ข้าแค่นำยามาให้ ในเมื่อท่านอ๋องตื่นแล้วก็เรียกคนมาทายาก็พอ…”

ชุยสิงโจวกอดนางไว้แน่น ปลายจมูกแนบอยู่บนใบหน้าที่ยังมีหยาดน้ำติดอยู่ของนางพลางเอ่ยแนบข้างหูนางว่า “เจ้าบอกว่ามาส่งยา กลับทำคนของข้าสลบกันไปหมด หากข้าไม่สอบสวนเจ้าก็ปล่อยตัวไปเลย มิใช่ว่าเลอะเลือนหรือ”

นางช่างขวัญกล้านัก ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องใดที่นางไม่กล้าทำอีก แต่ก่อนตนเองยังดูถูกนางพอตัว!

หลิ่วเหมียนถังได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เลิกดิ้นรน นึกว่าเขาไม่วางใจ สงสัยว่าตนมีแผนชั่วร้าย ดังนั้นจึงบอกออกไปตามตรง “ข้าลอบดำน้ำเข้ามาตามทางแม่น้ำของคฤหาสน์ ตาข่ายเหล็กใต้แม่น้ำไม่แข็งแรง แค่บิดก็เปิด หลังจากนี้ท่านสั่งให้คนไปอุดช่องโหว่อีกทีเถอะ…”

ชุยสิงโจวฟังจนโทสะซัดใส่จิตใจ เอ่ยเสียงดัง “เหลวไหล! น้ำเย็นเฉียบเพียงนั้นเจ้ากลับดำน้ำเข้ามา? มือเท้าเจ้าทนไอเย็นเช่นนี้ได้ที่ใดกัน”

พูดจบเขากระชากผ้าห่มข้างตัวมาห่อตัวนางไว้มิดชิดทันที จากนั้นตะโกนเรียกคนให้เตรียมเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่เข้ามาให้

บทที่ 64

แต่ชุยสิงโจวตะโกนเรียกติดกันอยู่นานก็ไม่เห็นใครเข้ามา เขาเลิกคิ้วถาม “เจ้าจัดการคนไปมากเท่าไร”

หลิ่วเหมียนถังไม่ตอบ นางไม่สะดวกพูดตรงๆ ว่าควันยาสลบตามลมห่อหนึ่งน่าจะทำให้องครักษ์ภายในคฤหาสน์ทั้งหมดสลบไปแล้ว

ต่อมาชุยสิงโจวเดินกะเผลกไปที่ฉากบังลม เขาหยิบชุดคลุมตัวกว้างสำหรับผลัดเปลี่ยนของตนเองมาให้หลิ่วเหมียนถังเปลี่ยน

เมื่อครู่นี้หลิ่วเหมียนถังได้เห็นบาดแผลของเขากับตา บาดแผลบิดเบี้ยวบวมแดงนั้นชวนให้คนเห็นแล้วตื่นตกใจ ซ้ำยังแอบเห็นกระดูกวับแวม มิน่าจ้าวเฉวียนถึงพูดว่าเขามีโอกาสพิการถาวร

ตอนนี้นางเห็นเขาเดินกะเผลกก็รีบดึงมือเขาแล้วเอ่ย “บาดเจ็บเพียงนี้แล้วยังจะเดินส่งเดชได้อย่างไร นั่งลงเสีย ข้าแค่อยากมาส่งยาให้ท่าน ในเมื่อส่งถึงก็จะไปแล้ว…”

พูดจบนางลุกขึ้นเตรียมจากไป กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของชุยสิงโจวบีบข้อมือไว้ “บอกแล้วว่าไต่สวนเจ้าเสร็จถึงไปได้ หาไม่ข้าจะไปซีโจวพูดคุยกับท่านตาเจ้าอย่างละเอียด…”

หลิ่วเหมียนถังโมโหจนถลึงตาใส่ “ท่านกล้า?!”

รูปแบบการคบหากันของทั้งสองคนฝังลึกอยู่ในกระดูก สมัยก่อนหลิ่วเหมียนถังคิดอยากตะโกนใส่สามีเมื่อไรก็ไม่เคยจำเป็นต้องยั้งคิด

แต่ตอนนี้ภายในห้องอุ่นอันเงียบสงบ จวบจนตอนที่หลิ่วเหมียนถังเห็นชุยสิงโจวหลุบตามองนาง ถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าข้าจะกล้าหรือไม่เล่า”

นางถึงค่อยนึกออกว่าเขาไม่ใช่พ่อค้าชุยจิ่ว

ไหวหยางอ๋องผู้ล่าสังหารเผ่าชาวหมานซีเป่ยสามพันลี้ แก้ปัญหาภัยร้ายของราชสำนัก มีอะไรที่ไม่กล้ากัน

คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังเม้มปากไม่พูดอะไรอีก เพียงรับชุดคลุมที่ชุยสิงโจวส่งมาให้แล้วเดินไปเปลี่ยนด้านหลังฉากบังลม

ชุยสิงโจวเดินออกไปจากห้องอุ่น สาดน้ำชาที่เหลือในถ้วยใส่องครักษ์ซึ่งนอนล้มอยู่หน้าประตู

หลังสาดปลุกองครักษ์ขึ้นมาสองคน ก็สั่งเสียงเย็นต่อองครักษ์ที่มีสีหน้างงงวย “ไปหาคนมาปลุกคนอื่นให้หมด แล้วก็อุดรั้วตรงแม่น้ำสายในด้วย ส่งคนไปเฝ้าไว้ให้มากสักหน่อย…อีกอย่างเรียกคนไปต้มน้ำแกงไล่ไอหนาวมาด้วย”

หลังสั่งการทุกอย่างเสร็จ ตอนที่เขาหันกลับเข้ามา หลิ่วเหมียนถังกำลังสวมชุดคลุมตัวหลวมของเขา ใช้ผ้าแห้งเช็ดผมยาวที่ปล่อยสยายเดินออกมาจากหลังฉากบังลม

เดิมทีเป็นชุดคลุมสีขาวตัวหลวมสบายๆ เมื่อสวมใส่บนร่างนาง ยามขยับแขนขาก้าวเดินยังคงเผยให้เห็นทรวดทรงสะโอดสะอง เสน่ห์เย้ายวนแผ่กระจายขึ้นมาทันตา

แน่นอนว่าในความทรงจำที่ค่อนข้างจะยาวนานของชุยสิงโจวมีประสบการณ์ล้ำลึกและละเอียดอ่อนต่อเรือนร่างของหลิ่วเหมียนถัง ยามที่แววตาจับจ้องนาง เรื่องราวในม่านมุ้งเมื่อครั้งอดีตก็ทะลักขึ้นมา ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงอย่างห้ามไม่ได้…

หลิ่วเหมียนถังกลับไม่รู้ว่าตนเองสวมชุดคลุมตัวหลวมแล้วดึงดูดสายตาผู้อื่นปานใด นางเพียงคุกเข่าบนพื้นในห้องอุ่น ก้มหน้าลงรอท่านอ๋องสอบสวนแต่โดยดี

เมื่อครู่นี้บาดแผลที่ขาของชุยสิงโจวได้รับการกระทบกระเทือนเข้าแล้วจริงๆ ขณะนี้ความเจ็บปวดกำลังโถมใส่ เขากดข่มความคิดนอกลู่นอกทางเอาไว้ กลับไปนอนบนตั่งนิ่มอีกครั้งแล้วเอ่ยกับนาง “ที่นี่ไม่มีเก้าอี้หรือไร เสแสร้งคุกเข่าอยู่บนพื้นคิดทำอะไร หากเคารพกันจริงๆ บรรดาองครักษ์ของข้าคงไม่มีทางนอนกองบนพื้นกันหมดหรอก”

หลิ่วเหมียนถังเม้มปาก “ข้าได้ยินจากท่านโหวจ้าวมาหมดแล้ว ท่านมอบยาวิเศษทั้งหมดให้ข้า บาดแผลที่ขาของตนเองกลับไร้ทางเยียวยา บุญคุณเช่นนี้เหมียนถังรับไว้ไม่ไหว จึงรีบนำยากลับมาคืนท่าน ขอท่านอ๋องอย่าได้ล้อเล่นกับร่างกายสูงศักดิ์ของตนเอง”

ชุยสิงโจวคาดเดาได้ว่าจ้าวเฉวียนปิดปากไม่สนิท หลุดเผยให้หลิ่วเหมียนถังรับรู้ แต่ยังคงอดขมวดคิ้วเอ่ยไม่ได้ “มิน่าถึงได้เป็นคนว่างงาน ทำเรื่องใหญ่อะไรไม่ได้จริงๆ ด้วย”

เมื่อครู่เขาดูในกระปุกแล้วปริมาณยายังเหลืออยู่มากเพียงนั้น เห็นได้ว่าหลายวันมานี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้ใช้เลย กลับเก็บไว้ให้เขาทั้งหมด ขณะเดียวกับที่โกรธและนึกห่วงใยบาดแผลนาง ภายในใจเขาก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

พูดกันตามตรงคราวที่หลิ่วเหมียนถังจากไปอย่างเด็ดขาดเพียงนั้น ทำร้ายจิตใจชุยสิงโจวจนย่อยยับจริงๆ

เขาถามตนเองว่าแม้จะหลอกลวงนาง แต่ความรู้สึกต่อนางในภายหลังมีตรงใดบ้างที่เป็นของปลอม แต่นางพูดว่าจะไปก็ไปเลย ไม่เหลือพื้นที่ให้ประนีประนอมกันสักนิด

ตอนนี้มองดูนางเดินทางไกลนำยามามอบให้ ทั้งยังติดที่ศักดิ์ศรีจึงกลับมาข้างกายเขาอย่างลับๆ ล่อๆ ชุยสิงโจวเสมือนได้เห็นแม่นางที่ไล่ตามมาจากตำบลหลิงเฉวียน บอกว่าเป็นตายไม่พรากจาก จะต้องพาเขากลับบ้านให้ได้ผู้นั้นอีกครั้ง

ความทรงจำดีงามผุดขึ้นมาในใจ ต่อให้ขาเจ็บก็ทนได้

คิดมาถึงตรงนี้เขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องเป็นห่วงอาการบาดเจ็บที่ขาของข้าหรอก แม้จะดูน่าตกใจไปบ้าง แต่วันหน้ายังหาวิธีรักษาหายได้ เจ้าดูแลตนเองก่อน มือเท้าเจ้าหายดีถึงจะสำคัญ”

ที่ชุยสิงโจวไม่ได้พูดคือบาดแผลที่ขาของเขานั้นเป็นความตั้งใจของเขาเอง

ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ข่าวเรื่องไทเฮามีเจตนาให้เขาเป็นบุตรเขยลอยมาเข้าหู ชุยสิงโจวได้ยินว่าองค์หญิงผู้นั้นมีนิสัยยโสโอหัง เป็นสายเลือดขัตติยะที่อู๋ไทเฮาทะนุถนอมตามใจมาตั้งแต่เด็ก

ชุยสิงโจวรู้ตัวว่าตนไม่ใช่คนนิสัยดี ยิ่งไม่อยากต้องก้มหน้าเรียกขานตนเป็นกระหม่อม เคารพนอบน้อมทุกเรื่องต่อสตรีผู้หนึ่งในห้องนอนของตนเอง ดังนั้นหญิงงามท่านนี้เขารับไม่ไหว!

แต่ทุกวันนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่ในท้องพระโรง ในราชสำนักมักมีคนพูดกระแนะกระแหนเหน็บแนมเขา การปฏิเสธเด็ดขาดไม่ใช่แผนการที่ดี จึงจำเป็นต้องให้ตนลำบากสักหน่อยเพื่อล้มเลิกความตั้งใจของไทเฮาอ้อมๆ

ซ้ำได้ยินว่าบุพเพแต่งงานดีๆ เช่นนี้มีผู้บัญชาการสือเป็นคนส่งเสริมสุดกำลัง เบื้องหลังย่อมมีสุยอ๋องเป็นคนวางแผน ชุยสิงโจวจดบัญชีนี้ไว้ในชื่อสุยอ๋อง จะต้องมีสักวันที่หวนคืนกลับไปให้ทั้งหมดอย่างแน่นอน!

ดังนั้นหลังคำนวณเวลาเรียบร้อย เขาจึงวางแผนให้ตนเองได้รับบาดเจ็บต่อหน้าทูตพิเศษของราชสำนัก ซ้ำยังทาหญ้ากร่อนกระดูกลงบนแผล ให้บาดแผลที่ขาดูร้ายแรงกว่าเดิม แล้วยังกระจายข่าวไปว่าขาพิการ ตอนนี้ภายในเมืองหลวงพูดถึงเรื่องอาการบาดเจ็บที่ขาของเขากันอย่างดุเดือด ไม่ต้องกลัวว่าองค์หญิงพยศผู้นั้นจะไม่รับรู้

เพราะว่าเขาปิดปากสนิท รวมกับใช้วิธีการแยบยล กระทั่งจ้าวเฉวียนยังถูกหลอกไปด้วย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงบางอย่างเช่นกัน หากคุมปริมาณยาไว้ไม่ดีจะทำให้ตนเองพิการเข้าจริงๆ

ทว่าในสายตาของชุยสิงโจว หากขาพิการไปข้างหนึ่งแลกกับการปฏิเสธธิดาของไทเฮาชั่วได้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว บุรุษควรใช้ชีวิตสง่าผ่าเผย เรื่องอื่นๆ ยอมก้มหัวชั่วคราวได้ แต่หากฝืนใจแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่คิดแล้วอึดอัดใจไปตลอดชีวิต

แต่เขาคาดไม่ถึงว่าบาดแผลที่ขาจะยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ล่อลวงแม่นางคนใจดำออกมาด้วยเหมือนกัน หากรู้ว่าได้ผลเช่นนี้เขาคงทำตนเองบาดเจ็บที่แนวหน้าไปนานแล้ว จะทนมาถึงตอนนี้ไปไย

ชุยสิงโจวที่เริ่มได้ลิ้มรสหวานตัดสินใจไม่เปิดเผยความจริง เพียงเอ่ยกล่อมหลิ่วเหมียนถังที่มองบาดแผลบนขาเขาจนตาแดง

ตอนนั้นเองหลี่มามาก็ยกน้ำแกงกลิ่นหอมฟุ้งหม้อหนึ่งเข้ามา นี่เป็นน้ำแกงที่หลี่มามาใช้ขิงแก่ ตับหมู พริกไทย และซานเย่าต้มออกมาหลังได้รับคำสั่ง สามารถขับไล่ไอหนาว ทำให้อุ่นท้องได้

เดิมนึกว่าท่านอ๋องต้องการกิน แต่ตลอดทางที่หลี่มามาเดินผ่านมา นางมองเห็นบรรดาองครักษ์ที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั่งกันระเกะระกะ ในใจเองก็นึกคับข้องใจ

รอเข้ามาในห้องอุ่นได้เห็นว่าหลิ่วเหมียนถังอยู่ด้วย หลี่มามายังตกใจไปรอบหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างห้ามไม่ได้

เมื่อคิดถึงข่าวลือที่ว่าเมื่อครู่นี้ทุกคนภายในเรือนถูกควันยาสลบหมดสติ หัวสมองที่ไม่เคยปวดมานานของหลี่มามาลอบปวดหนึบขึ้นมาอีกครั้ง เพียงมองท่านอ๋องอย่างกระวนกระวายว่าจะจัดการกับคุณหนูหลิ่วที่บุ่มบ่ามบุกเข้ามากะทันหันอย่างไร

นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องดูไม่มีท่าทีจะไต่สวนความผิด เพียงเกลี้ยกล่อมให้หลิ่วเหมียนถังกินน้ำแกงไล่ไอหนาวลงไปก่อน

น้ำแกงไล่ไอหนาวค่อนข้างเผ็ด จึงไม่ถูกปากหลิ่วเหมียนถัง รวมกับว่านางมีเรื่องราวในใจมากมาย จะกินลงได้อย่างไร ท่านอ๋องกลับมีความอดทนยิ่ง นั่งลงข้างๆ นาง ถือชามด้วยมือเดียวแล้วบอกให้นางกินราวกับกล่อมเด็ก

รอนางฝืนกินหมดไปชามหนึ่ง ไหวหยางอ๋องก็สั่งให้สาวใช้เข้ามาทายาที่มือเท้าให้หลิ่วเหมียนถังต่อ

หลิ่วเหมียนถังคล้ายไม่ยินยอม ดึงดันจะให้ชุยสิงโจวใช้ยา ชุยสิงโจวเห็นดังนั้นก็หน้าทะมึนลงพลางเอ่ย “บอกแล้วอย่างไรว่าข้าไม่เป็นไร เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อ หากเจ้ายังหนีอีก ข้าจะจับเจ้ามัดแล้วค่อยทายา!”

หลิ่วเหมียนถังเม้มปาก ท้ายที่สุดถึงยอมให้สาวใช้ทายาให้นาง พอหลี่มามาตั้งใจมองถึงพบว่าหลิ่วเหมียนถังดูผอมลงกว่าสมัยอยู่ด่านอู่หนิงเสียอีก…

หลี่มามาคิดถึงอารมณ์แปรปรวนช่วงที่ผ่านมาของท่านอ๋องก็ถอนหายใจ บนโลกใบนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสตรีทรมานคนมากที่สุด กระทั่งท่านอ๋องผู้สุขุมรักสันโดษยังไม่เป็นข้อยกเว้น แต่ดูแล้วคุณหนูหลิ่วเองก็ได้รับความทรมานจากความคิดคะนึงเหมือนกัน

น่าเสียดาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรทั้งสองคนก็ไม่ใช่คู่กัน!

หลังทายาเสร็จชุยสิงโจวโบกมือสั่งให้บรรดาบ่าวรับใช้ออกไปให้หมด

แต่หันมามองอีกที หลิ่วเหมียนถังคล้ายรู้สึกไม่สบายตัว

เพราะว่าการทายาเว้นช่วงไประยะหนึ่ง ตอนนี้มาใส่ยาอีกที บริเวณบาดแผลที่มือเท้าจึงให้ความรู้สึกเจ็บเสมือนกระดูกเส้นเอ็นงอกสมานขึ้นมาใหม่ เจ็บจนมีเหงื่อเม็ดละเอียดผุดมาบนหน้าผาก แล้วนอนขดตัวอยู่บนเตียง

ชุยสิงโจวขมวดคิ้วอยากกอดนางไว้ แต่หลิ่วเหมียนถังกลับกัดฟันหลีกเลี่ยงพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้ามาถึงที่นี่แต่กลับให้ท่านใช้ยาไม่ได้ มาเสียเที่ยวเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านอ๋องก็จับข้าเข้าคุกไปสอบสวนเถอะ ไม่ก็ปล่อยข้าไป ผู้อื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด ทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋อง”

ชุยสิงโจวมองสภาพตั้งใจปัดความสัมพันธ์ทุกอย่างของนางก็นึกโมโหขึ้นมา แต่ทุกวันนี้เขาได้เรียนรู้แล้วว่าไม่อาจใช้ไม้แข็งกับหลิ่วเหมียนถังได้ นางใจแข็งมาก บอกจะไปก็ไปจริงๆ

ดังนั้นเขาแค่ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดชวนโมโหของนาง เอ่ยน้ำเสียงโอนอ่อนลง “ต่อให้เจ้าไม่มาข้าก็ตั้งใจอยู่แล้วว่ารอบาดแผลหายดีเมื่อไรจะไปหาเจ้า แม่นางหลินที่เจ้าเคยช่วยไว้ที่แท้เป็นถึงธิดาของกษัตริย์เฒ่าเผ่าชาวหมาน นางเตรียมสมุนไพรจำนวนมากฝากข้ามามอบให้เจ้า แม้ตัวยาจะไม่มีประโยชน์เท่าที่ข้าเตรียมให้ แต่ได้ยินว่าฤทธิ์ในการขับไล่ไอหนาวไม่เลว…”

พูดมาถึงตรงนี้เขาทนไม่ไหวอีก คว้าตัวหลิ่วเหมียนถังที่ขดตัวเป็นก้อนเข้ามากอด ช่วยนวดข้อมือให้นางพลางเอ่ยเสียงเบา “เด็กดี ทนไว้ ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”

หลิ่วเหมียนถังไม่อยากทำตัวใกล้ชิดกับเขาเพียงนี้ ตั้งใจจะผลักเขาออก แต่เขาตั้งมั่นกอดเอาไว้ไม่ปล่อยมือ หลิ่วเหมียนถังจะผลักเขาออกห่างได้อย่างไร

นางรู้สึกหงุดหงิด จึงเปิดปากเอ่ย “ท่านตั้งใจจะทำอะไร ยังไม่ปล่อยมืออีก!”

ชุยสิงโจวมองดวงตาคู่งามรวมถึงพวงแก้มที่มีผมยาวลงมาปรกของนาง ก่อนลากเสียงยาวเอ่ย “ข้าอยากต้มข้าวต้มกับเจ้า…”

เริ่มแรกหลิ่วเหมียนถังไม่เข้าใจ กะพริบตาปริบๆ มองชุยสิงโจวอย่างสงสัย แต่เขากอดตนเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ หลิ่วเหมียนถังพลันเข้าใจความนัยของเขาขึ้นมา…

สมัยที่เป็นคู่สามีภรรยาปลอมๆ กับเขา นางเคยเลียนแบบประโยคหยอกล้อระหว่างคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวคู่หนึ่งบนถนนสายเหนือให้ชุยสิงโจวฟังกึ่งล้อเล่น บอกว่าเวลาสามีว่างต้องกลับจากค่ายทหารมาอุ่นข้าวต้มกับนาง อย่าปล่อยให้เตียงเย็นเยือก…

แต่ตอนนี้นางกับเขาเย็นเยือกกันจนไม่อาจเย็นไปมากกว่านี้แล้ว จู่ๆ เขายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ชวนให้คนอับอายและกระอักกระอ่วนอย่างตั้งตัวไม่ทัน

หลิ่วเหมียนถังเกือบจะทุบลงบนขาข้างที่บาดเจ็บของเขา “ตะ…ต้มอะไรกัน! ข้าไม่ใช่ข้าวในหม้อท่านด้วยซ้ำ!”

ชุยสิงโจวอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของนาง ใครสนว่านางอยู่ในหม้อใคร คิดถึงนางมานานเพียงนี้ น้ำข้าวต้มเล็กน้อยก็ควรทำให้กินสักหน่อยกระมัง

รอจุมพิตเร่าร้อนผ่านไป ริมฝีปากกระจับของหลิ่วเหมียนถังย้อมไปด้วยสีแดงปานแต้มชาด ดวงตาคู่กลมคล้ายอยู่ในไอหมอก หอบหายใจนิดๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีเสน่ห์

แต่ชุยสิงโจวไม่อาจทำไปมากกว่านี้ได้แล้ว

เพราะหลิ่วเหมียนถังร้องไห้แล้วจริงๆ

“ข้าไม่ควรมาที่นี่เลย…ท่านทั้งไม่เต็มใจใช้ยา ทั้งเห็นข้าเป็นข้าวต้มที่เติมเต็มท้องได้ทุกเมื่อ…ท่านไม่ได้จะอภิเษกสมรสกับองค์หญิงหรือไร ไยต้องมาหาเรื่องข้าเช่นนี้ด้วย”

ชุยสิงโจวเห็นนางร้องไห้ คิ้วเข้มก็ขมวดเป็นปม “ฟังคำพูดเหลวไหลจากจ้าวเฉวียนอีกแล้ว? ไม่มีพระราชโองการ ใครบอกว่าข้าจะอภิเษกสมรสกับองค์หญิง อีกอย่างตอนนี้ข้าขาพิการเช่นนี้ ราชสำนักเองก็รู้ ไทเฮาจะทรงยอมประทานธิดาสุดที่รักให้แต่งกับคนพิการได้อย่างไร”

หลิ่วเหมียนถังสูดจมูกพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ท่านจะแต่งกับใครล้วนไม่เกี่ยวกับข้า หากไม่สอบสวน ข้าจะกลับแล้ว”

ชุยสิงโจวจับมือนางไว้แล้วเอ่ยเสียงเบาเช่นกัน “พวกเราแยกจากกันมานานเพียงนี้ วันๆ ข้าอยู่แต่กับกลุ่มชายฉกรรจ์ ยุ่งแต่กับศึกสงคราม เวลาที่เหลือล้วนคิดถึงเจ้าแทบขาดใจ แต่เจ้าเล่า ที่บ้านสกุลลู่ไม่รู้ว่ามีคุณชายซูก้นสุนัขจากที่ใดมาตามติดเจ้า ทั้งยังมีแม่สื่อแวะเวียนมาถามทุกสามวันห้าวันอีก สภาพแทบอยากจะแต่งออกไปทันที เจ้าทำเช่นนี้ไม่ผิดต่อข้าหรือ”

หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าฟั่นหู่คอยส่งจดหมายให้ชุยสิงโจวเสมอจึงไม่แปลกใจที่เขารู้เรื่อง แต่ได้ยินว่าเขาคิดถึงนาง หลิ่วเหมียนถังกลับเงยหน้าขึ้น “คิดถึงข้าไปไย”

ชุยสิงโจวหน้าตึง “เจ้าไม่คิดถึงข้าหรือ ตอนนั้นเรียกสามี ท่านพี่อย่างคล่องปากเพียงนั้น พริบตาเดียวก็ลืมกันไปแล้ว นี่ใช้ได้หรือ”

หลิ่วเหมียนถังถูกเขาทำให้โมโห จึงผละตัวจากอ้อมกอดเขามานั่งบนเตียง เอ่ยกับชุยสิงโจว “ท่านหลอกลวงข้า แต่กลับพูดว่าข้าใช้ไม่ได้! ท่านใช้ได้หรือไร”

ชุยสิงโจวชอบเวลาหลิ่วเหมียนถังโมโหจนพองแก้มมาก เขาโอนอ่อนน้ำเสียงลง “ความหมายของข้าคือคนเราทำอะไรอย่าสุดโต่ง ปกติเวลาเจ้าทำการค้าไม่ใช่ชอบพูดว่าค้าขายไม่สำเร็จ มิตรภาพยังอยู่หรือ มีอย่างที่ใดค้าขายไม่สำเร็จก็ชักสีหน้าจากไป หรือว่าวันหน้าการค้าอื่นๆ ก็ทำไม่ได้แล้ว?”

หลิ่วเหมียนถังถูกเขาทำให้โมโหจนอ้าปากค้าง ถลึงตาถาม “เช่นนั้นท่านอ๋องลองพูดมา วันหน้าพวกเรายังมีการค้าขายอะไรให้พูดคุยกันอีก”

ความจริงชุยสิงโจวก็ยังไม่คิดให้ดี แต่เขาไม่อยากจะแยกกับหลิ่วเหมียนถัง “พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานเพียงนี้ บอกจะแยกก็แยกได้อย่างไร เจ้าต้องให้เวลาข้าคิดเสียหน่อย…”

แม้หลิ่วเหมียนถังจะพยายามเตือนตนเองสุดชีวิตว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นท่านอ๋อง นางล่วงเกินไม่ได้ กระทั่งตอนที่นางเลิกกับเขา ในใจเองก็ข่มเพลิงโทสะไว้อยู่

บัดนี้นางยากจะอดกลั้นไว้ได้อีก สุดท้ายก็ระเบิดออกมา “ข้าน้อยไม่เข้าใจแล้ว ท่านอ๋องยังจะต้องคิดอะไรอีก คิดว่าท่านเสียเปรียบตรงที่ใดหรือ แม้ข้าน้อยจะมือไม้งุ่มง่าม แต่ตอนนั้นที่ปรนนิบัติท่านอ๋องก็นับว่าทำอย่างขยันขันแข็งจริงหรือไม่ ต่อให้ข้าน้อยรูปโฉมไม่น่ามอง ไม่คู่ควรแตะต้องกายสูงศักดิ์ของท่านอ๋อง ให้ท่านอ๋องดื่มสุราบำรุงฤทธิ์แรง เสียตัวให้ข้าน้อย นั่นเป็นความผิดของข้าน้อยเอง แต่ตอนหลังเห็นท่านอ๋องลุกจากเตียงไม่ไหว ก็…ก็ไม่ได้ดูฝืนใจนี่ ในเมื่อไม่ได้เสียเปรียบ ท่านอ๋องจะพอเข้าใจและเลิกถือสาหาความข้าน้อยในเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นได้หรือไม่”

ชุยสิงโจวเอ่ยหน้าตึง “ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อยที่ใดกัน ไฉนเลยจะมีหญิงสาวเยี่ยงเจ้า รู้ว่าเสียตัวให้ข้ากลับเอาแต่คิดจะแต่งให้ผู้อื่น! นี่ใช่เรื่องหรือ เจ้ารู้ดีทุกเรื่อง กลับเอาแต่กลัวตนเองเสียเปรียบ คิดม้วนเสื่อหนีไป เช่นนี้ไม่ใช่บังคับให้ข้าแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอกหรอกหรือ”

หลิ่วเหมียนถังถูกคำพูดเขายั่วโมโหก็ยกนิ้วสาบานต่อฟ้าทันที “ข้า! หลิ่วเหมียนถัง! ขอสาบานต่อฟ้า ชาตินี้ต่อให้บุรุษตายไปหมดทั้งใต้หล้า ข้าก็ไม่มีทางคิดแต่งให้กับ…อือๆ…”

หลิ่วเหมียนถังยังไม่ทันเอ่ยคำสาบานร้ายแรงจบก็ถูกชุยสิงโจวปิดปากไว้ก่อน

เขาลืมไปว่าปากของหญิงสาวผู้นี้อำมหิตเพียงใด ประโยคตัดรอนเช่นนี้ก็พูดออกมาได้!

ชั่วขณะหนึ่งริมฝีปากกับลิ้นของทั้งสองคนพัวพันกันอีกครั้ง รอผละจากกันหลิ่วเหมียนถังก็หอบน้อยๆ ทว่าไม่พูดอะไรอีก เพียงหันกลับไปนอนลงเงียบๆ หันหลังใส่ชุยสิงโจว

ชุยสิงโจวกอดเอวคอดกิ่วของนางแน่น ดึงตัวนางเข้ามาใกล้เล็กน้อยพร้อมเอ่ย “ตอนนั้นพวกเราแยกกันรีบร้อนเกินไป เจ้าคิดเสียว่าข้าเสียใจภายหลังแล้ว ไม่ว่าวันหน้าพวกเราจะคืนดีหรือเลิกรา จำต้องให้เวลากันบ้าง ทางด้านข้าใกล้จัดการงานเรียบร้อย รอเดินทางเข้าเมืองหลวงเมื่อไรจะผ่านทางซีโจว ถึงเวลาข้าไปคารวะท่านตาเจ้าดีหรือไม่”

หลิ่วเหมียนถังถูกเขาดึงตัวหันกลับไปมองบุรุษตรงหน้า

พูดกันอย่างไม่มีอคติ เขารูปโฉมหล่อเหลาจริงๆ ไม่ใช่เพียงความหล่อเหลาระดับทั่วไป แต่เป็นกลิ่นอายสง่างามสูงศักดิ์ บรรยากาศกดดันผู้คนจากภายใน

เคยผ่านบุรุษรูปงามเช่นนี้มาแล้ว พอเห็นผู้อื่นก็รู้สึกไม่ต่างจากเคี้ยวเทียน

แต่หลิ่วเหมียนถังไม่อยากเกี่ยวพันกับเขาอีกต่อไป นางเอ่ยตามตรง “สุขภาพของท่านตาข้าไม่ดี ไม่อาจโกรธได้ ขอท่านอ๋องอย่าได้ไปรบกวนเขาเลย นอกจากนี้ข้าไม่ใช่สตรีที่ประตูใหญ่ไม่ออกประตูเล็กไม่ข้าม* โง่งมขลาดเขลา ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น แค่ท่านพูดไม่กี่ประโยคก็ยอมเป็นคนรักนอกจวนให้ท่าน หากข้าเป็นสตรีสูงศักดิ์หรือองค์หญิงก็สามารถทำเหมือนที่ท่านอ๋องบอก ค่อยๆ เลิกรากับท่านได้ อย่างมากแค่ถือเสียว่าเลี้ยงบุรุษไว้ฆ่าเวลาเล่น แต่น่าเสียดายที่ข้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่อาจทำตัวตามอำเภอใจ แล้วก็ทำตัวติดพันกับท่านอ๋องไม่ได้ด้วย…”

ชุยสิงโจวโมโหกับคำว่า ‘เลี้ยงบุรุษ’ นิดๆ ชำเลืองตามองนางแล้วถาม “นึกไม่ถึงว่าปณิธานเจ้าจะยิ่งใหญ่น่าดู เลี้ยงดูอย่างไรกัน”

หลิ่วเหมียนถังไม่อยากทะเลาะกับเขา นางลงจากเตียง ลูบชุดของตนเองที่อังเตาอุ่นจนแห้งพอสมควร แล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนหลังฉากกั้น จากนั้นชะโงกหน้ามาถามเขา “ประเดี๋ยวให้ข้ารอถูกคนจับตัวไปเข้าคุก หรือให้ข้าว่ายกลับออกไปอีกที”

ชุยสิงโจวถลึงตามองนางอยู่นานโดยไม่พูดอะไร ในตอนที่หลิ่วเหมียนถังหลงคิดว่าเขาจะเรียกคนมาจับตัวนางส่งออกไปถึงได้เอ่ยปาก “ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้วก็ทำตัวเป็นคนดีให้ถึงที่สุดสิ ขาข้าเจ็บมาก พวกสาวใช้ที่จ้างมามือไม้งุ่มง่ามกันทั้งนั้น เจ้าอยู่ดูแลข้าสักพัก รอเดินทางกลับเมืองหลวงเมื่อไรข้าจะพาเจ้าไปส่งซีโจวด้วย…ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าก็นั่งเกวียนนักโทษกลับไป!”

ประโยคนี้นับว่าจับหลิ่วเหมียนถังขังตายไว้ในคฤหาสน์หลังนี้แล้ว

 

แต่บอกให้หลิ่วเหมียนถังดูแลชุยสิงโจว มิสู้พูดว่าให้เขาจับตาดูสถานการณ์การใช้ยาของนาง หลังทายากระปุกนั้นอย่างสม่ำเสมอ เส้นเอ็นมือเท้าที่ฝ่อลงของหลิ่วเหมียนถังก็ดูดีขึ้นไม่น้อยจริงๆ

ข้างกายชุยสิงโจวมีท่านหมอยุทธภพอยู่คนหนึ่ง ดูอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าชุยสิงโจวไปเชิญตัวมาจากที่ใด ถือเป็นผู้มีความสามารถ ได้ยินว่าสมุนไพรในยาทาของหลิ่วเหมียนถังก็เป็นท่านหมอผู้นี้หามาได้

ตอนที่เส้นเอ็นมือเท้าของหลิ่วเหมียนถังงอกกลับมาอีกครั้ง ท่านหมอก็ใช้เข็มเงินช่วยกระตุ้นเส้นเอ็นให้พวกมันค่อยๆ เชื่อมต่อกัน

รอเชื่อมเส้นเอ็นเสร็จบริเวณมือเท้าล้วนเข้าเฝือกไม้ไว้ ป้องกันไม่ให้หลิ่วเหมียนถังขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า

วันๆ หลิ่วเหมียนถังนอนว่างในสภาพเช่นนี้ มีหลี่มามาคอยทำอาหารนานาชนิดเลี้ยงดู เนื้อหนังที่ผอมลงไปในช่วงหลายวันมานี้กลับชดเชยคืนมาหมดแล้ว

ส่วนเรื่องทางสำนักคุ้มภัย หลิ่วเหมียนถังติดต่อลูกจ้างของสำนักคุ้มภัยให้พวกเขานำสมุดบัญชีมาส่งที่โรงเตี๊ยมของโยวโจว จากนั้นให้ฟางเซียส่งมาที่คฤหาสน์อีกที

แต่เพราะดามไม้เอาไว้ เวลาดีดลูกคิดมือเท้าจึงไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก

ชุยสิงโจวเห็นนางดีดลูกคิดอย่างเงอะงะก็ยื่นมือไปแย่งลูกคิดมา นิ้วยาวขยับเคลื่อนรวดเร็ว ดีดลูกคิดราวกับพิณโบราณ ลื่นไหลคล่องแคล่วเป็นเสียงดังแต๊กๆ

เวลาครู่เดียวก็จัดการบัญชีให้นางเสร็จเรียบร้อย

หลิ่วเหมียนถังถามเขาอย่างแปลกใจว่าฝึกฝนจนเก่งเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด แต่ชุยสิงโจวกลับถลึงตาใส่นางแล้วไม่ยอมตอบ

มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้หลิ่วเหมียนถังวางใจไม่ลง ในเมื่อท่านหมอชราผู้นั้นฝีมือสูงส่งเพียงนั้น แต่เหตุใดขาของชุยสิงโจวจึงไม่เห็นจะหายเสียที

ช่วงนี้เขาสั่งให้ช่างไม้สร้างเก้าอี้ติดล้อเคลือบสีดำขลับออกมาตัวหนึ่ง เวลาเดินเล่นในลานเรือนก็จะนั่งบนเก้าอี้นี้ ให้หลิ่วเหมียนถังเข็นให้

หลิ่วเหมียนถังเข็นรถเข็นจนรู้สึกหดหู่ใจ “ท่านไม่ได้บอกว่าไม่เป็นไรหรือ ไฉนถึงนั่งรถเข็นแล้วเล่า หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ให้ตายข้าก็ไม่มีทางใช้ยานั่นหรอก! ดอกอิงกู่นั่นอยู่ที่ใด ข้าจะออกไปหามาให้ท่าน!”

แต่ชุยสิงโจวไม่ตอบ จนกระทั่งถึงเวลากินข้าว หลังเขาไล่บรรดาสาวใช้ออกไปจนเหลือเพียงพวกเขาสองคนภายในห้อง เขาถึงได้เอ่ย “ความจริงขาข้าอาการดีขึ้นมากแล้วจริงๆ เพียงแต่ทางราชสำนักเร่งให้ข้าเข้าเมืองหลวงตลอดเวลา ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีในการเข้าเมืองหลวง สามารถถ่วงเวลาได้ก็ถ่วงเวลาอีกสักหน่อย”

ในช่วงแรกแผลของชุยสิงโจวดูน่าตกใจมาก เกือบจะเห็นกระดูกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้บาดแผลเริ่มสมานกัน มีเนื้อใหม่งอกออกมา ดูดีขึ้นมากแล้ว

พูดกันตามตรงหลิ่วเหมียนถังเริ่มสงสัยว่าบาดแผลในตอนแรกของเขาคล้ายจะเกินจริงไปสักหน่อย ตอนนี้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ยิ่งยืนยันความคิดในใจนาง

ดังนั้นนางจึงมองตาเขาพลางถาม “ท่านไม่อยากอภิเษกสมรสกับองค์หญิงถึงได้จงใจทำให้ตนเองบาดเจ็บ?”

ชุยสิงโจวไม่ตอบ ทว่านี่ก็เทียบเท่ากับยอมรับคำพูดของนางเงียบๆ

ในใจหลิ่วเหมียนถังรู้สึกโกรธ เขาอุตสาหะปลอมจนเหมือนคนพิการเพียงนี้ หากรู้แต่แรกนางไม่มีทางมาที่นี่ด้วยตนเองหรอก ผลปรากฏว่ายังถูกเขาขู่เข็ญอีกต่างหาก!

มิหนำซ้ำ…กระทั่งองค์หญิงเขายังไม่เห็นในสายตา ไม่รู้ว่าอนาคตจะแต่งงานกับคนเช่นไร

ชั่วขณะนั้นหลิ่วเหมียนถังคิดว้าวุ่นเหลวไหล เอ่ยปากถาม “อีกไม่กี่วันข้าก็ถอดไม้ดามออกได้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านอ๋องยังต้องการรั้งตัวข้าไว้อีกนานเพียงใดเจ้าคะ”

ชุยสิงโจวยื่นมือไปคีบกุ้งทอดตัวหนึ่งใส่ถ้วยหลิ่วเหมียนถัง “ท่านลุงใหญ่ของเจ้ามาโยวโจวได้สักพักแล้ว วันนี้มีเวลาว่างพอดี ข้าเลยส่งคนไปเชิญเขามา จะได้กินอาหารกลางวันด้วยกันกับเขา”

ที่แท้ลู่เซี่ยนไล่ตามหาหลิ่วเหมียนถังมาจนถึงโยวโจวแล้ว

หลิ่วเหมียนถังได้ยินเข้าก็วางถ้วยลงแล้วเอ่ย “ท่านอ๋องเชิญตัวเขามาด้วยเรื่องใด ท่านมีธุระมากมาย อย่าได้เสียเวลาอีกเลย…ข้ากลับไปกับท่านลุงใหญ่ก็พอ”

แต่ชุยสิงโจวไม่สนใจนาง สั่งให้คนไปเชิญตัวลู่เซี่ยนมาอยู่ดี

หลิ่วเหมียนถังชักร้อนใจ ขมวดคิ้วถาม “ท่านตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”

ชุยสิงโจวคุ้นชินกับนิสัยประเดี๋ยวแสร้งทำตัวนอบน้อมประเดี๋ยวไร้มารยาทของนางแล้ว ยามนี้เขาเพียงเลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าให้ข้าอย่าลงโทษพวกฟั่นหู่ ข้าก็อุตส่าห์ทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว นี่ข้าแค่จะเจอท่านลุงใหญ่เจ้า เจ้ากลับทำหน้าบึ้งใส่ข้า! ไร้กฎเกณฑ์มารยาท วันพรุ่งนี้ไปเรียนรู้มารยาทกับหลี่มามาอีกทีเสีย”

หลิ่วเหมียนถังเห็นเขาวางท่าเป็นท่านอ๋องก็ข่มโทสะไว้ คุกเข่าลงเอ่ย “เรียนถามท่านอ๋อง ท่านจะพบท่านลุงใหญ่ข้าไปไยเจ้าคะ”

ชุยสิงโจวเลิกคิ้วเอ่ย “ก็แค่กำชับเขาว่าหลังพาเจ้ากลับไปอย่าเพิ่งใจร้อนหมั้นหมายให้เจ้า ไม่อย่างนั้นข้าจะพาทหารหนึ่งแสนนายไปถล่มถึงซีโจวให้เจ้าดู!”

 

ขณะที่ทางลู่เซี่ยนไล่ตามมาถึงโรงเตี๊ยมของโยวโจวโดยไม่ทันพักหอบหายใจ ก็เจอเพียงสาวใช้สองคน ไม่เห็นตัวหลิ่วเหมียนถัง

พอถามโดยละเอียดถึงได้รู้ว่าหลิ่วเหมียนถังถูกกักตัวอยู่ในคฤหาสน์น้ำพุร้อนที่พักชั่วคราวของไหวหยางอ๋อง

ลู่เซี่ยนได้ยินแล้วร้อนใจจนขยี้เท้า…หาเรื่องตายจริงๆ! เหตุใดศัตรูคู่อาฆาต คู่เวรคู่กรรมสองคนนี้ถึงได้ไปอยู่ด้วยกันอีกแล้วเล่า

 

* ประตูใหญ่ไม่ออกประตูเล็กไม่ข้าม เป็นสำนวน หมายถึงธรรมเนียมของหญิงสาวสมัยโบราณที่ไม่ออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้าน และไม่เปิดรับแขกเข้ามาถึงเรือน

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: