X
    Categories: ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 1

ช่วงเวลาผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ก็เปรียบดั่งผ้าพันเท้าของสตรี เป็นของเก่าเน่าเหม็นที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นผ้าผืนใหม่มีกลิ่นหอม การเปลี่ยนผันหลังผ่านช่วงเวลายาวนานหลายร้อยปีก็ไม่มีเรื่องใดให้น่าสะเทือนใจ

เพียงแต่บนผ้าพันเท้าย่อมมีฝุ่นผงสะเก็ดเก่าร่วงหลุดลงมาบ้างเป็นธรรมดา ต่อให้เคยเป็นส่วนหนึ่งของเท้านวลเนียนดั่งหยกเสลาของโฉมงาม บัดนี้ก็ได้แต่ร่วงกราวตามผ้าเหม็นเน่าลงสู่กรวดหินธุลีดิน

อวี้ฉือรุ่ยก็คือผงธุลีเม็ดหนึ่งบนผ้าพันเท้าผืนนั้น ย่อมสะเทือนใจอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนึกถึงว่าสกุลอวี้ฉือของเขาเคยรุ่งโรจน์เพียงใดในสมัยต้าเหลียงราชวงศ์ก่อน! ตระกูลแห่งโหว* แม่ทัพ เสนาบดี เคยเป็นอัครเสนาบดีติดต่อกันสามรุ่น ได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นจงติ่งโหว แต่พอมาถึงรุ่นของเขาอวี้ฉือรุ่ยกลับค่อยๆ ตกอับ ไร้ความดีความชอบในราชสำนัก ภายหลังอวี้ฉือเต๋อน้องชายร่วมสายเลือดของตนเองอุตส่าห์เฉียดตายสร้างคุณูปการทางการศึก ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเจิ้นหย่วน ทว่ากลับสิ้นชีพในสนามรบ ทั้งยังกระตุ้นโทสะของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเนื่องจากพ่ายแพ้ในการทำศึก เกือบพบกับจุดจบถูกเนรเทศไปเป็นทหารที่ชายแดนทั้งตระกูล

เพียงพริบตาเดียวราชวงศ์ใหม่ต้าฉีก็ถูกสถาปนาขึ้นมานานห้าปีแล้ว ฮ่องเต้ฉีตี้ประกาศให้บ้านเมืองเข้าสู่ช่วงพักฟื้น ให้ราษฎรที่รับศึกมานานหลายปีได้มีโอกาสพักหายใจ ผู้คนนอกจากใช้ชีวิตสงบร่มเย็น ทำกิจการค้าขาย แต่งงานมีทายาท ต่างก็หลงลืมเรื่องราวสมัยราชวงศ์ก่อนไปจนสิ้นนานแล้ว

ถึงแม้สกุลอวี้ฉือจะสิ้นไร้ไม้ตอกเพียงใด แต่อย่างไรอูฐที่ผอมตายยังคงตัวใหญ่กว่าม้า อยู่บ้าง ตราบที่ราชวงศ์ต้าเหลียงไม่ได้ล่มสลายลง ให้ค้ำยันวงศ์ตระกูลต่อไปอีกหลายสิบปียังคงไม่เป็นปัญหาอันใด

แต่ตอนนี้ความรุ่งเรืองของตระกูลเขามอดไหม้ไปกับเพลิงสงครามนานแล้ว เมื่อลองนับดูเขาอายุใกล้ห้าสิบปี ภรรยาเอกไม่อาจทนสภาพลำบากยากเข็ญ อาการป่วยเก่ากำเริบไม่ได้รักษา ตายจากไปเมื่อสองปีก่อน อนุสองคนไร้บุตร จึงแยกย้ายกันไปนานแล้ว ต่างวางแผนอนาคตของตนเองกันไป ความเจ็บปวดของการตกสู่ชีวิตปุถุชนในช่วงแรกของอวี้ฉือรุ่ยย่อมไม่อาจพรรณนา ทุกวันก่อนจะเผยอเปลือกตา ยามที่ล่องลอยอยู่ในแดนฝันยังพอดื่มด่ำกับช่วงเวลารุ่งโรจน์สมัยก่อนได้บ้าง แต่เมื่อลืมตาขึ้นเห็นมุ้งเตียงเก่าขาดก็ต้องคิดถึงหนทางเอาชีวิตรอดของคนทั้งครอบครัวในทุกวันนี้แทนแล้ว

ช่วงที่เมืองหลวงตกอยู่ในความโกลาหล ทรัพย์สมบัติครอบครัวที่รีบร้อนนำติดตัวออกมาด้วยได้มีเพียงสมบัติในหีบไม้จันทน์สามหีบใหญ่เท่านั้น และเดี๋ยวนี้กิจวัตรประจำทุกช่วงหนึ่งก็เหลือแค่การพลิกค้นหีบ

เช้าตรู่วันนี้อวี้ฉือรุ่ยตื่นแล้ว เขาใช้ใบชาก้านเก่าต้มชากลั้วปาก และฝึกหมัดมวยเบญจสัตว์ต่อ พอฝึกเสร็จเรียบร้อยก็ล้วงหยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมเก่าๆ ตรงเอว นำไปเปิดหีบใบหนึ่ง สิ่งของในหีบที่เริ่มว่างโล่งมาสักพักเหลือของอยู่ไม่มาก เขาหยิบแจกันดอกไม้สองใบออกมาอย่างระมัดระวัง หลังจากเปรียบเทียบอยู่สักพัก สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกแจกันสองหูจับเคลือบสีฟ้าใบนั้นก่อน ใช้ผ้าอ่อนนุ่มเช็ดซ้ำๆ ไปมา ถึงได้ห่อด้วยผ้ากำมะหยี่ผืนหนึ่งอย่างพิถีพิถัน

เขาอุ้มห่อผ้า เลิกม่านเดินออกจากห้องมาหยุดยืนอยู่ในลานเรือน ก่อนกระแอมกระไอทีหนึ่งแล้วเอ่ยเรียกเสียงดัง “เฟยเยี่ยน ตื่นแล้วหรือยัง”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเขา ด้านหลังม่านของเรือนรองฝั่งตะวันตกก็มีเสียงกังวานใสดังตอบ “ท่านลุง ข้าตื่นแล้วเจ้าค่ะ” ตามด้วยผ้าม่านเลิกเปิด สตรีท่าทางสดใสผู้หนึ่งเดินออกมา

อวี้ฉือรุ่ยหันมองก็เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขหนึ่งเดียวที่น้องชายร่วมอุทรผู้ตายไปในสนามรบเหลือทิ้งเอาไว้ นางสวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินดูคล่องตัว เรือนร่างสูงโปร่ง รวบเรือนผมดกดำถักเป็นเปียหนาอยู่หลังใบหู บนดวงหน้าเล็กรูปไข่ห่านประดับคิ้วที่ดำโดยไม่ต้องวาด ผิวขาวผุดผาด นัยน์ตาหงส์ชั้นเดียวหยักยกขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะแต่งกายเรียบง่าย ทว่ากลับยากจะปกปิดความงามแต่กำเนิด งามหยาดเยิ้มอย่างยิ่ง

ถ้าหากน้องชายไม่ตาย หลานสาวผู้นี้ของเขาก็ควรจะแต่งงานไปนานแล้ว จากนิสัยเรียบง่ายอ่อนหวานของนางจะต้องเอาใจบ้านแม่สามีได้อย่างแน่นอน จนใจที่เพราะน้องชายพ่ายศึกเสียชีวิต ทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนโกรธเกรี้ยว กลายเป็นเดือดร้อนมาถึงหลานสาวอวี้ฉือเฟยเยี่ยน ทำให้ฝั่งบ้านว่าที่สามีซึ่งหมั้นหมายไว้นานแล้วถอนหมั้น ส่งผลให้จนทุกวันนี้นางอายุสิบแปดปีก็ยังไม่ได้แต่งงาน อนิจจา เด็กคนนี้ดีเพียงใด ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกโชคชะตาทำให้เสียเวลาเข้าแล้ว

ทันทีที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเดินออกจากห้องก็มองเห็นห่อผ้าในมือของท่านลุง นางเอ่ยอย่างเข้าใจ “ท่านลุงจะเอาไปจำนำหรือเจ้าคะ”

อวี้ฉือรุ่ยถอนหายใจยาวพร้อมผงกศีรษะ เวลานี้ตระกูลตกอับ ได้แต่อาศัยการจำนำทรัพย์สมบัติครอบครัวเอาตัวรอด ช่วงก่อนหน้านี้เขายังมีบ่าวชราที่จงรักภักดีคนหนึ่งติดตามอยู่ข้างกาย การค้าที่น่าอับอายเช่นนี้ล้วนสั่งให้บ่าวชราเป็นคนไปทำ ทว่าบ่าวชราล้มป่วยเสียชีวิตลงแล้ว เขาไม่เหลือใครให้พึ่งพาได้อีก ตลอดครึ่งชีวิตที่ผ่านมาเคยใช้แต่ชีวิตคุณชายสุขสบาย ไฉนเลยจะเข้าใจการใช้ชีวิตปุถุชนเดินดิน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแขกประจำของโรงรับจำนำ รู้จักพูดจาเอาใจลูกจ้างที่หยาบคาย เพียงหวังว่าจะได้เงินเยอะขึ้นกว่านี้บ้าง

หลานสาวของเขามาขอพึ่งพาเขาเมื่อสามเดือนก่อน นางไร้มารดาตั้งแต่เด็ก มีน้องชายร่วมอุทรของเขาเลี้ยงดูมาจนโต ตั้งแต่เด็กก็ชอบแต่งกายเป็นบุรุษเข้าออกค่ายทหาร สายตาที่นางมองสิ่งต่างๆ แตกต่างจากคุณหนูในห้องหอทั่วไป เวลาช่วยเขาดูแลเรื่องในบ้านก็ใส่ใจกว่าบุตรชายบุตรสาวคู่นั้นของตนเองมาก

“วันนี้อากาศไม่เลว เฟยเยี่ยนอยู่ในบ้านจนอึดอัดแล้ว มิสู้ตามท่านลุงไปด้วย จะได้พักผ่อนหย่อนใจไปในตัวเจ้าค่ะ” อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกถึงว่าครั้งก่อนท่านลุงไปโรงรับจำนำ กำไลหยกดีๆ คู่หนึ่งกลับได้เงินมาเพียงสองตำลึงเท่านั้นก็ถอนหายใจเบาๆ คิดต่อว่าการจำนำทรัพย์สมบัติครอบครัวเช่นนี้ไม่ใช่แผนการระยะยาว ถ้าหากจะวางแผนให้เหมาะสม ควรออกจากเมืองหลวงไปเปิดร้านค้าเล็กๆ แถบชานเมือง อย่างน้อยก็ดีกว่ากินสมบัติเก่าจนหมดอยู่ในเมืองหลวง แต่ว่าตนเองเพิ่งมาอยู่ที่นี่ จะอย่างไรก็ไม่สะดวกเอ่ยปากละลาบละล้วง ตอนนี้ได้แต่ช่วยจับตาดูท่านลุงไม่ให้ถูกพ่อค้าคดโกงของโรงรับจำนำหลอกลวงอีก

อวี้ฉือรุ่ยได้ยินว่าหลานสาวจะตามไปด้วยก็ผงกศีรษะ ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นชนชั้นสูงแล้ว ปราศจากข้อจำกัดในตระกูลสูงศักดิ์พวกนั้นไปด้วยเช่นกัน บุตรชายบุตรสาวของครอบครัวธรรมดาจะออกไปเดินบนท้องถนนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งยังคิดว่าหากจำนำของได้ราคาดี จะได้เข้าเหลาสุราไปซื้ออาหารเลิศรสหลายๆ อย่างใส่กล่องอาหาร แล้วก็ซื้อผ้าผืนใหม่มาตัดชุดให้กับพวกเด็กๆ ด้วยเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเรียกบุตรชายของตนเอง อวี้ฉือจิ้งเสียนที่อายุสิบเจ็ดปี รวมถึงอวี้ฉือจิ้งโหรว บุตรสาวอายุสิบสี่ปี ทั้งสี่คนออกจากบ้านไปด้วยกัน เหลือทิ้งไว้แค่สาวใช้ยวนยางซึ่งอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพามาด้วยในตอนที่เดินทางมาขอพึ่งพาอาศัยอยู่ที่นี่ให้อยู่ดูแลบ้าน

เมื่อคิดว่าประเดี๋ยวจะได้ตัดชุดใหม่ บนใบหน้าของเด็กสาวเผยความดีใจอย่างช่วยไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปจำนำสมบัติล้วนมีความสุขดุจฉลองปีใหม่ อวี้ฉือจิ้งโหรวคล้องแขนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนญาติผู้พี่ ดวงตาทอประกายเล่าถึงผ้าลายดอกอิงฮวา ที่คุณหนูร้านข้าวสารบ้านข้างๆ สวมใส่ให้เห็นในตรอกเมื่อหลายวันก่อน

เทียบกันแล้วคุณชายของสกุลอวี้ฉือค่อนข้างเงียบขรึมกว่า หัวคิ้วขมวดแน่นขณะกลืนน้ำลายอย่างแรง ลังเลว่าประเดี๋ยวจะสั่งหัวสิงโตราดน้ำแดง หรือสั่งปลากะพงนึ่งตัวหนึ่งจะเหมาะสมกว่ากัน

ขณะที่พวกเขาทั้งครอบครัวกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของเมือง บนถนนที่เงียบเหงาก็มีเสียงกีบเท้าม้าดังอึกทึกขึ้นมากะทันหัน ประหนึ่งมีคนกำลังควบม้าห้อตะบึงมาทางนี้ เวลานี้ตรงกับช่วงเช้าตรู่ แม้ว่าบรรดาร้านค้าจะทยอยกันเปิดร้าน ตั้งร้านแล้ว แต่คนเดินถนนมีอยู่ไม่มาก ดังนั้นม้างามเหล่านั้นจึงวิ่งห้อตะบึงมากันอย่างสบายใจ

อวี้ฉือรุ่ยต่างจากน้องชาย เขาไม่ได้เก่งวรยุทธ์ ไม่มีฝีมือด้านขี่ม้ายิงธนู รวมกับสมัยที่ทัพต้าฉีบุกเข้าเมืองหลวง เขาถูกภาพเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกของกองทัพทำให้ตกใจจนกลายเป็นปมในใจ บัดนี้เห็นม้าศึกเกราะทองวิ่งตรงเข้าหาก็ตกใจจนมือสั่น ถือแจกันดอกไม้ที่ห่อด้วยผ้ากำมะหยี่หนาใบนั้นเอาไว้ไม่อยู่ ร่วงตกลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นทันใด

อวี้ฉือรุ่ยตกใจดวงตาเบิกกว้าง ก้มตัวลงตั้งใจจะไล่ตามเก็บแจกันใบนั้นที่ยังกลิ้งอยู่บนพื้น อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมือไวตาไว เอื้อมไปคว้าตัวท่านลุงที่ไม่รักชีวิตเอาไว้ได้ทัน หลบม้าที่วิ่งเร็วรี่มาได้อย่างฉิวเฉียด

เพล้ง! สิ้นเสียงนั้นใต้กีบเท้าม้าเหล็กก็เหยียบย่ำค่าใช้จ่ายในเรือนสกุลอวี้ฉือของเดือนหน้าจนแตกละเอียด ท่านโหวเฒ่ากับบุตรชายบุตรสาวร้องโอ๊ยออกมาด้วยความปวดใจพร้อมๆ กัน ในใจสบถด่าผู้ที่ควบม้าไปถึงบรรพบุรุษสามชั่วโคตรแล้วเรียบร้อย

แต่เมื่ออวี้ฉือรุ่ยเหลือบสายตาขึ้นมองไป กลับตกอกตกใจจนคำขัดเคืองเต็มอกกระเจิดกระเจิงไม่มีเหลือ

นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นม้ารูปงามตัวที่เหยียบแจกันดอกไม้แตกย้อนกลับมา ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าเป็นบุรุษหล่อเหลาสวมชุดเกราะเงิน รูปร่างสูงใหญ่ ต่อให้นั่งอยู่บนหลังม้าก็ยังมองเห็นสันจมูกโด่งกับโหนกคิ้วสูงที่งดงามมาก ทว่าแฝงกลิ่นอายของชนต่างเผ่าชัดเจน โดยเฉพาะดวงตาเย็นชาคู่นั้นเป็นความเย็นชาที่ผ่านการอาบย้อมด้วยทะเลเลือดจากสนามรบ เวลานี้บุรุษผู้นั้นกำลังหรี่ตาเข้มทะมึนมองตรงมาที่พวกเขา…ไม่สิ พูดให้ชัดกว่านั้นคือจับจ้องอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่งอยู่

อวี้ฉือรุ่ยยังจำได้ว่าตอนที่ทัพต้าฉีเพิ่งเข้าเมือง ตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งไม่ทันหลบหนีออกจากเมืองหลวงต่างถูกทหารจับตัวไปรวมกันที่หน้าประตูเซวียนอู่ ไล่ขานชื่อสกุลทีละตระกูล ขอแค่เคยเป็นผู้ออกหน้าต่อต้านทัพต้าฉี ล้วนถูกลากตัวไปเบื้องหน้าบุตรชายคนโตของฮ่องเต้ราชวงศ์ฉี…รัชทายาทแห่งราชวงศ์ใหม่ฮั่วตงเหลยที่อายุยี่สิบสามปีผู้นั้น ให้ถูกดาบง้างฟันลงมาสะบั้นศีรษะ เวลานั้นกลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง เลือดของผู้สูงศักดิ์ในวันวานปลุกเสียงร้องโหยหวนของอีกาให้ดังระงมทั่วผืนฟ้า บินพึ่บพั่บปิดบังดวงอาทิตย์ ดุจเมฆครึ้มเคลื่อนตัวมาปกคลุม…

เมื่อมาถึงคราวของสกุลอวี้ฉือ เนื่องจากน้องชายอวี้ฉือเต๋อเป็นแม่ทัพต่อต้านทัพต้าฉีที่มีชื่อเสียง เวลานั้นอวี้ฉือรุ่ยตระหนักดีว่าตนเองยากจะหนีรอด ตอนที่ถูกลากตัวไปข้างหน้านั้นตกใจจนตัวสั่นระริก ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ น้องชาย พี่กำลังจะตามเจ้าไปแล้ว!

รัชทายาทผู้นั้นถลึงตาใส่อวี้ฉือรุ่ยดังคาด คร้านกระทั่งจะพูดสักคำ เพียงแค่ยกมือขึ้น แสดงเจตนาให้เพชฌฆาตลากตัวพวกเขาไปสะบั้นศีรษะให้จบเรื่องจบราว นึกไม่ถึงว่าองค์ชายรองแห่งต้าฉีที่นั่งเงียบๆ ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดจะเอ่ยปากห้ามเพชฌฆาตกะทันหัน จากนั้นไม่รู้ว่าพูดอะไรกับพี่ชายตนเอง สุดท้ายสกุลอวี้ฉือของเขาก็เอาตัวรอดมาได้ มิหนำซ้ำยังได้รับคำอนุญาตพิเศษให้พกหีบสมบัติสามใบติดตัวไปด้วย จากนั้นก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเก่า

ดังนั้นพูดไปแล้วองค์ชายรองผู้นี้กลับกลายมาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตสกุลอวี้ฉือของเขา เวลานี้ ‘ผู้มีพระคุณ’ กลับอยู่ไม่ไกล เป็นบุรุษหล่อเหลาที่นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าตรงหน้านี้เอง…ผู้บัญชาการสามกองทัพแห่งต้าฉี ช่วยเหลือบิดากำราบศัตรูทั้งสี่ทิศ ขุนนางผู้มีความดีความชอบอันดับหนึ่งในการรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น…เซียวอ๋องฮั่วจวินถิง

หลังจากมองเห็นหน้าผู้ที่มาชัดเจน อวี้ฉือรุ่ยไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก ท่ามกลางความลังเลเขารีบดึงตัวบุตรชายบุตรสาวตนเองมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าม้า เอ่ยเสียงเบาอย่างขลาดกลัว “ผู้น้อยอวี้ฉือรุ่ยถวายบังคมเซียวอ๋อง…”

ส่วนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างเห็นท่านลุงคุกเข่าลงจึงคุกเข่าตามด้านหลังเงียบๆ ตัวหมอบกราบแนบบนพื้นหิน ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย กดศีรษะลงต่ำที่สุดอย่างนอบน้อม…

บทที่ 2

เซียวอ๋องนั่งอยู่บนหลังม้า ใช้แส้ม้าที่ถืออยู่เคาะอานเบาๆ ครู่หนึ่งถึงค่อยตวัดกายลงมา ขายาวที่สวมรองเท้าหนังหุ้มข้อกางออกเล็กน้อย ขณะยืนอยู่ตรงหน้าเหล่าคนที่หมอบกราบแนบพื้น องครักษ์ด้านข้างนับว่ามีไหวพริบ เห็นองค์ชายรองเหลือบมองห่อผ้าที่อยู่บนพื้นก็รีบเก็บขึ้นมาถวายให้เขาทันที

แจกันดอกไม้โบราณที่ค่อนข้างมีอายุถูกเหยียบแหลกเป็นชิ้นๆ เซียวอ๋องหยิบมันขึ้นมาตรงหน้าอวี้ฉือรุ่ย “ของเจ้ารึ”

อวี้ฉือรุ่ยถูกแววตาคมกริบของเซียวอ๋องจับจ้องก็แอบหวาดกลัว รีบเอ่ยตอบ “เป็นเพียงแจกันดอกไม้ธรรมดาทั่วไป แตกไปแล้วไม่ต้องเสียดาย แต่อย่าให้ทิ่มถูกกีบเท้าม้าที่แสนล้ำค่าของเซียวอ๋องเป็นอันขาด…”

อวี้ฉือจิ้งเสียนหมอบอยู่ด้านข้าง เดิมทีภายในใจกำลังหงุดหงิดอย่างยิ่งเพราะแจกันแตก อาหารเลิศรสที่มาจ่อปากหายวับไปกับตา ทั้งยังมาได้ยินบิดากล่าวประจบสอพลอชนชั้นสูงมากอำนาจคนใหม่อย่างหวั่นเกรงอีกก็พลันโมโหฉุนเฉียว ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน เขาเอ่ยพึมพำขึ้นมาจากด้านข้าง “ขี่ม้าในตัวเมืองตะวันตก รบกวนชาวบ้าน ตามกฎหมายแล้วสมควรจับไปโบยที่ศาลต้าหลี่…”

อวี้ฉือโหวได้ยินเสียงพึมพำของบุตรชายแล้วตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอย บรรพบุรุษตัวน้อยบ้านข้า เป็นเพราะสมัยก่อนสั่งสอนเจ้ามาดีเกินไปใช่หรือไม่! เจ้าท่องกฎหมายของราชวงศ์ใดกัน ใช้กฏของต้าเหลียงมาจับองค์ชายแห่งราชวงศ์ใหม่หรือ ลูกข้า! เจ้ารังเกียจว่าชีวิตยืนยาวเกินไปหรือไร

เขาหลั่งเหงื่อเย็นขณะจับศีรษะบุตรชายกดโขกกับพื้นอย่างแรง “เจ้าลูกสารเลว ต่อหน้าเซียวอ๋องมีสิทธิ์ให้เจ้าพูดที่ใดกัน! ยังไม่รีบขอรับผิดกับเซียวอ๋องอีก!”

เซียวอ๋องไม่สนใจมองเด็กหนุ่มยังไม่โตที่ถูกกดศีรษะติดพื้น แต่ยื่นด้ามแส้ยาวเข้าหาอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่คุกเข่าอยู่ เชิดปลายคางของนางขึ้นมา แววตาคมกริบสาดใส่ดวงหน้าอ่อนหวานดวงนี้

ได้เห็นสตรีนางนี้ผิวขาวผ่อง ปอยผมที่หลุดลงมาแนบติดกับกรอบหน้ารูปไข่ ถึงแม้นัยน์ตาหงส์จะชั้นเดียว ไม่คล้ายรูปโฉมของหญิงงามตาสองชั้นกลมโตที่มองว่างามกันในเมืองหลวง ทว่าดวงตาคู่นี้ก็ทอประกายวาววับชวนให้คนเห็นแล้วลืมไม่ลง…

พฤติกรรมล่วงเกินเช่นนี้ของเซียวอ๋องทำให้ทั้งคนแก่และผู้เยาว์ในสกุลอวี้ฉือต่างตกใจจนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นึกถึงสมัยที่ทัพต้าฉีเพิ่งบุกเข้าเมืองหลวง แม้จะเลียนแบบข้อตกลงสามประการกับราษฎรของเพ่ยกง เพื่อสงบจิตใจผู้คน…ฆ่าคนโดนโทษประหาร ทำร้ายคนและลักขโมยโดนลงโทษ ทว่าบรรดาอดีตตระกูลอ๋องโหวที่ตกอับกลับไม่รวมอยู่ในข้อตกลงนี้ ช่วงโกลาหลหลายเดือนแรกที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมา มีบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์รูปโฉมงดงามจำนวนมากเพียงใดที่กลายเป็นของเล่นสนุกของพวกแม่ทัพป่าเถื่อนที่อยู่ในค่ายทหารมานาน

สตรีที่ถูกพวกป่าเถื่อนจับตัวไปจะถูกย่ำยีความบริสุทธิ์ ดีหน่อยก็กลายเป็นอนุ ถ้าโชคร้ายถูกเล่นสนุกเสร็จแล้วไล่กลับบ้านก็จะมีสตรีที่แข็งกร้าวยอมตายไม่ยอมถูกเอาเปรียบ กัดลิ้นหัวโขกกำแพงถึงจะนับว่าตายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์

การกระทำเช่นนี้ของเซียวอ๋องคงไม่ใช่ว่าต้องตาเฟยเยี่ยน ตั้งใจจะลักพาตัวสตรีชาวบ้านกลางถนนหรอกนะ อวี้ฉือรุ่ยคิดอย่างหวาดหวั่น

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกด้ามแส้แข็งดันปลายคางจนเริ่มเจ็บ ตอนที่คิ้วหยักโค้งย่นเข้าหากัน ตั้งใจจะเอนตัวหลบ แส้ยาวกลับถูกดึงกลับกะทันหัน บังเอิญเวลาเดียวกันนั้นมีเสียงกีบเท้าม้าดังมาจากที่ไกลๆ บุรุษผู้มีสายเลือดชนต่างเผ่าเช่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดนำคนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าห้อตะบึงมาทางนี้

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก้มหน้าลงอย่างรู้กาลเทศะ กลับมาหมอบร่างติดถนนหินอย่างต่ำต้อยอีกครั้ง

บุรุษผู้ที่นำมาเห็นเซียวอ๋องยืนอยู่ข้างถนนก็กระชากรั้งบังเหียนยิ้มเอ่ย “น้องรองว่างเพียงนี้เชียว เสด็จพ่อทรงเรียกตัวข้ากับเจ้าเข้าวังโดยด่วน เหตุใดเจ้าถึงหยุดอยู่ที่นี่เล่า คงไม่ใช่ว่า…บุปผาบอบบางริมทางทำให้น้องรองรู้จักหยุดฝีเท้าชื่นชม ในที่สุดก็รักหยกถนอมบุปผา ขึ้นมาแล้ว?”

ชั่วขณะนี้อวี้ฉือรุ่ยมีใจอยากเอาศีรษะโขกกำแพงขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ ต้องโทษที่วันนี้ไม่ได้ดูปฏิทินก่อนออกจากบ้าน นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับพญายมสององค์ติด บุรุษคิ้วเข้มตาคมที่ตามหลังมานี้ก็คือรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ฮั่วตงเหลยที่เคยสั่งตัดศีรษะเขาพอดี

ฮั่วตงเหลยไม่ได้เห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยน ทว่ามองเห็นอวี้ฉือจิ้งโหรวที่เวลานี้กำลังยกศีรษะขึ้นมาด้วยความใคร่รู้พอดี อวี้ฉือจิ้งโหรวอายุสิบสี่ปี สีหน้าสดใส รูปโฉมน่าเอ็นดู รัชทายาทแห่งต้าฉีหลงนึกว่าน้องรองตนเองถูกแม้นางน้อยผู้นี้ทำให้เสียเวลา จึงคลี่ยิ้มออกมา

เซียวอ๋องไม่ได้พูดอะไร เขาถือเศษแจกันตวัดกายขึ้นหลังม้าพร้อมเอ่ยกับองครักษ์ข้างกาย “ให้เงินเขา ถือเป็นค่าชดเชยที่เหยียบแจกันของเขาแตก”

พูดจบก็หวดแส้ม้าควบตะบึงต่อไปข้างหน้า รัชทายาทผู้นั้นรู้นิสัยเย็นชาของน้องรองตนเองอยู่แล้ว จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่มองอวี้ฉือจิ้งโหรวที่อยู่ข้างถนนด้วยดวงตาแฝงนัยลึกซึ้งอีกครั้ง ก่อนขี่ม้าต่อไปเช่นเดียวกัน

ตอนที่นายท่านอวี้ฉือเห็นว่ารัชทายาทขี่ม้าตรงมาก็หมอบตัวนิ่งสนิทอยู่ข้างถนน ยังดีที่ไม่ถูกรัชทายาทเห็นแล้วหาเรื่องเข้า เมื่อเขายืดตัวขึ้นองครักษ์ของเซียวอ๋องก็โยนถุงเงินสิบตำลึงลงพื้น ถือว่าเป็นค่าชดเชยแล้วขี่ม้าจากไป

เหตุการณ์ระทึกขวัญของเช้านี้ถือว่าจบลงด้วยดี นายท่านอวี้ฉือเช็ดเหงื่อร้อนเต็มหน้าผาก เก็บเงินขึ้นมาหยั่งน้ำหนักดู นับว่าตัดปัญหาไม่ต้องไปที่โรงรับจำนำแล้ว สามารถนำเงินตรงไปซื้อผ้าที่ร้านขายผ้าได้เลย

แต่อวี้ฉือจิ้งเสียนผู้เป็นบุตรชายกลับยังหงุดหงิดกับท่าทีกลัวหงอของบิดาเมื่อครู่นี้ เป็นถึงอดีตจงติ่งโหวแห่งต้าเหลียง ทายาทผู้มีความดีความชอบสมัยสถาปนาแคว้น ยามคุกเข่าอย่างนอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าหัวหน้าโจรผู้ที่บีบคั้นให้ท่านอาคนที่ตนเองเคารพมากที่สุดต้องตาย ช่างไร้ความทะนงตนของบุรุษ!

เมื่อครู่นี้เขาแค่เหลือบมองบิดาครั้งเดียวก็รู้สึกอับอายจนลืมตาไม่ขึ้น เห็นบิดาแนบหน้าผากจรดพื้น หลังค้อม ก้นกระดกสูง…ต่อให้เป็นสมัยถวายบังคมโอรสสวรรค์แห่งต้าเหลียงก็ยังไม่เคยนอบน้อมต่ำต้อยเพียงนี้มาก่อน!

โดยเฉพาะหลังจากคนสารเลวเซียวอ๋องล่วงเกินญาติผู้พี่เช่นนั้น บิดากลับยังคงนิ่งเงียบตามเดิม ช่างผิดต่อท่านอาที่อยู่ในยมโลกจริงๆ…คิดมาถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็เลือดลมพลุ่งพล่าน ออกแรงปัดมือบิดาที่จับแขนของตนอยู่พร้อมกับถลึงตาใส่อย่างฉุนเฉียวแล้ววิ่งกลับบ้านก่อนตามลำพัง

อวี้ฉือรุ่ยโมโหจนสบถด่า “เจ้าเด็กอกตัญญู!”

เวลานั้นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนกำลังประคองญาติผู้น้องตนเองขึ้นมา เห็นท่านลุงโมโหก็รีบเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านลุงอย่าได้โกรธเสียนเกอเอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ เขาใช้ชีวิตสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยรับโทสะมากมาย ต้องปล่อยให้ค่อยๆ ปรับตัวจึงจะถูก…”

อวี้ฉือรุ่ยเห็นปลายคางของหลานสาวตนเองถูกด้ามแส้กดจนเป็นรอยแดงจางๆ ก็ปวดใจขึ้นมาทันควัน รู้สึกเช่นกันว่าเมื่อครู่นี้ตนเองอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถปกป้องหลานสาวได้…

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่น จะอ่านความรู้สึกผิดของท่านลุงไม่ออกได้อย่างไร นางจึงเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อ ยิ้มบอกให้ท่านลุงรีบพานางกับญาติผู้น้องไปเลือกซื้อผ้า หลังจากซื้อผ้าเสร็จก็ไปสั่งอาหารต่ออีกหลายอย่าง คนแก่กับเด็กทั้งครอบครัวถึงได้กลับบ้านกัน

 

เสียนเกอเอ๋อร์เองก็มีนิสัยแบบเด็กน้อย หลังจากได้เห็นหัวสิงโตราดน้ำแดงในกล่องอาหาร อารมณ์หงุดหงิดโมโหก็สลายหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว! คนทั้งครอบครัวกินอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข เพลิดเพลินกับอาหารเต็มโต๊ะที่หาได้ยากนี้

หลังจากกินอาหารเสร็จอวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับเข้าห้องไปนั่งบนตั่ง ก้มหน้าไม่พูดจา ยวนยางสาวใช้ของนางล้างถ้วยชามตะเกียบเสร็จแล้วเดินตามเข้ามาในห้อง ย่อมมองเห็นความผิดปกติของคุณหนู โดยเฉพาะสีแดงจางๆ ที่ปลายคางนั้น แค่เห็นก็รู้ว่าถูกของแข็งกดมา

คุณหนูมีร่างกายที่พิเศษ ผิวอ่อนนุ่มบอบบางตั้งแต่เด็ก แค่ไม่ทันระวังกระแทกโดนอะไรเข้าก็จะทิ้งรอยช้ำไว้ นานมากกว่าจะเลือนหาย…หรือเมื่อครู่นี้ตอนออกไปข้างนอกคุณหนูไปกระแทกถูกอะไรเข้า

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนช้อนสายตาขึ้นเห็นสาวใช้ที่เอาใจใส่ของนางผู้นี้กำลังค้นหายาทาให้ จึงยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร แค่เมื่อครู่นี้เจอกับฮั่วจวินถิงระหว่างทางเข้า…”

ยวนยางได้ยินประโยคนี้แล้วตกใจจนเกือบโยนยาทาในมือทิ้ง “เหตุ…เหตุใดถึงเจอกับตัวซวยผู้นั้นได้! เขา…เขาจำคุณหนูได้หรือเจ้าคะ”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนใคร่ครวญแล้วส่ายหน้า “ตอนนั้นหลังจากท่านพ่อเสียชีวิต ข้าติดตามทัพของฝานจิ่งถอยไปปักหลักอยู่ละแวกภูเขาไป๋ลู่ ไม่เคยปะทะกับทัพต้าฉีตรงๆ มาก่อน ถ้าหากวันนี้ท่านลุงไม่ได้พูดชื่อของเขา ข้าเองก็คงไม่รู้ว่าเขาคือเซียวอ๋องฮั่วจวินถิง…คิดดูแล้วเขาน่าจะไม่รู้จักข้าเช่นกัน…”

ประโยคนี้กลับไม่อาจทำให้ยวนยางวางใจ นางร้อนใจจนจับมือคุณหนูเอ่ย “เมื่อสองปีก่อนเซียวอ๋องออกหมายจับรางวัลทองคำหนึ่งพันตำลึงให้กับคนที่เด็ดศีรษะของคุณหนูได้ ทั้งยังส่งทหารมาล้อมภูเขาไป๋ลู่เสียมิดชิด เกือบจะจับท่านกับท่านแม่ทัพฝานได้แล้ว…คุณหนู มิสู้พวกเราออกจากเมืองหลวง หนีไปให้ไกลเถิดเจ้าค่ะ…”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มตบหลังมือของยวนยาง ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “แผ่นดินทั่วทั้งใต้หล้าล้วนเป็นของฮ่องเต้ ต่อให้หนีจริง แต่จะไปได้ไกลเพียงใด ข้าตัดสินใจจะพยายามลืมอดีตทั้งหมดในค่ายทหารเหล่านั้นแล้ว วันหน้าไม่มีบุคคลอย่าง ‘บัณฑิตจูเก๋อ’ อีกต่อไป เช่นนั้นหมายจับของเซียวอ๋องยังเกี่ยวอันใดกับข้าอีก

เพียงแต่…ไม่อาจอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปจริงๆ เดิมทีท่านลุงเขียนไว้ในจดหมายว่าเขาไม่มีปัญหาเรื่องความเป็นอยู่ ข้าเองก็หลงเชื่อ บุ่มบ่ามมาขอพึ่งพาที่นี่ เพิ่มภาระมากมายให้กับท่านลุงแล้วจริงๆ ตอนนี้ต่อให้พวกเราสองคนจากไป ดูจากสภาพวันนี้มีสุราวันนี้เมา* ของท่านลุงแล้ว เกรงว่าพวกทรัพย์สมบัติเหล่านั้นคงช่วยค้ำจุนอยู่ได้อีกไม่นาน ข้าจะจากไปโดยไม่สนใจชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาได้อย่างไร หากเกลี้ยกล่อมให้ท่านลุงตามข้าออกจากเมืองหลวงด้วยได้ก็จะดีที่สุด กลับไปยังบ้านเก่าที่ชานเมือง จะได้วางแผนชีวิตในวันหน้าด้วย”

สองนายบ่าวพูดคุยกันสักพัก ยวนยางเองก็สบายใจเพราะน้ำเสียงปลอบโยนของคุณหนู อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าต่าง หยิบผลงานเย็บปักที่เพิ่งปักไปได้ครึ่งทางขึ้นมา ตั้งใจลงเข็มต่อ

งานฝีมือสตรีประเภทนี้ พอลองนึกดูกลับไม่ได้ลงมือทำมานานแล้ว ยังดีที่หลังจากกลับมาปักสองสามเดือนก็ฟื้นความสามารถในอดีตกลับมาได้อีกครั้ง ทุกวันนี้ต้าฉีค่อยๆ ปราบปรามกองทัพกบฏตามที่ต่างๆ ลง ภายในเมืองหลวงฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับคืนมาได้นานแล้ว กิจการร้านเย็บปัก ร้านแป้งชาดกลับมาเป็นที่นิยม ถึงแม้ชนชั้นสูงในเมืองหลวงจะเปลี่ยนคนใหม่ แต่จิตใจรักในความงามยังคงอยู่ บรรดานายหญิงตราตั้ง ฮูหยิน คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งต่างชื่นชอบสิ่งของพวกนี้อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้หญิงปักผ้าในร้านเย็บปักจึงขาดแคลนคนงาน จำต้องแจกจ่ายงานที่ทำไม่ทันบางอย่างออกมา

นางเองเพราะเห็นบรรดาสตรีเพื่อนบ้านทำกัน ถึงได้ตามไปของานบางอย่างกลับมาบ้าง ทำงานเย็บปักด้วยกันกับยวนยาง ช่วยท่านลุงเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านได้บ้าง

ถึงแม้ชีวิตในทุกวันนี้จะค่อนข้างยากจน แต่ชวนให้สบายใจ เหตุการณ์ในอดีตต่างๆ ล้วนผ่านไปนานแล้ว บิดาเป็นสาเหตุที่ทำให้นางชอบอ่านตำราพิชัยยุทธ์ เข้าออกค่ายทหารตั้งแต่เด็ก ชอบใช้กระบะทรายของบิดามาจัดกระบวนทัพ ภายหลังบิดายังสั่งทำหุ่นทหารดินเหนียวชุดหนึ่งมาให้นางเล่นเป็นพิเศษด้วย ทุกครั้งที่นางอาศัยภูมิประเทศของกระบะทรายจัดทัพเอาชนะสหายได้อย่างฉลาดเฉลียวก็มักจะได้รับเสียงหัวเราะเบาๆ ด้วยความชื่นชมจากบิดาด้วย

แต่เมื่อนางเติบโตขึ้น แตกฉานกลยุทธ์ลึกซึ้งกว่าเดิม กระทั่งตอนอายุสิบสองปี หลังจากนางบัญชาการกองทัพที่คุ้มกันนางอาศัยร่องน้ำสันเขา เอาชนะหน่วยสอดแนมของทัพกบฏที่บังเอิญเจอเข้าระหว่างทางได้ บิดากลับกลายเป็นเข้มงวดกับนางผิดปกติ ไม่เพียงไม่ชื่นชมนาง ซ้ำยังเล่าเรื่องราวของจ้าวคั่วบุตรชายของแม่ทัพจ้าวเซอสมัยยุคชุนชิวให้นางฟังอย่างจริงจัง สมัยนั้นนางนิสัยยังเด็ก เถียงบิดาว่า ‘ท่านพ่อรู้สึกว่าลูกเป็นเหมือนกับจ้าวคั่วที่รู้จักแต่วางแผนบนกระดาษ* หรือเจ้าคะ หรือรู้สึกว่าในฐานะสตรีไม่ควรสร้างผลงานเหมือนกับบุรุษ’

บิดาส่ายหน้าเอ่ย ‘เยี่ยนเอ๋อร์ของพ่อเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ เทียบกับบุรุษมากกว่าครึ่งในใต้หล้าได้ พ่อจะดูถูกเจ้าได้อย่างไร แต่คนทั้งใต้หล้าล้วนเชื่อในประโยค ‘ราชสำนักยังชื่นชมกลยุทธ์บนกระดาษ’ ที่หลิวหรูซุนเขียน โดยไม่ได้คิดถึงสถานการณ์จริงในเวลานั้นของจ้าวคั่วที่สกุลจ้าวอ่อนแอ แต่สกุลฉินแข็งแกร่ง จ้าวคั่วอาศัยสติปัญญาวางแผนทำลายกำลังของทัพฉินได้มากกว่าครึ่ง ทำลายความแข็งแกร่งของไป๋ฉี่ที่เป็นแม่ทัพของทัพฉินได้อย่างมาก หลังจากศึกฉางผิงสิ้นสุดลง ถึงแม้จ้าวคั่วจะถูกธนูยิงตาย ทว่ากลับรักษากำลังหลักของทัพจ้าวเอาไว้ได้สี่สิบหมื่นกว่านาย ผู้บัญชาการเช่นนี้หากมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันจะยังมีผู้ใดกล้าพูดว่าเขาทำให้บิดาเสียชื่อเสียง น่าเสียดายที่หลังจากเขาตาย ทหารสี่สิบหมื่นกว่านายกลับยอมศิโรราบให้ไป๋ฉี่ แต่ไป๋ฉี่ผู้นั้นหงุดหงิดที่ก่อนหน้านี้จ้าวคั่วสังหารทหารตนเองไปมากกว่าครึ่ง จึงเข่นฆ่าทหารแคว้นจ้าวจำนวนสี่สิบหมื่นกว่านายที่ยอมแพ้นี้อย่างอำมหิต…’

เวลานั้นนางฟังคำพูดของบิดาแล้วเกิดความเห็นอีกด้านต่อเรื่องราวของจ้าวคั่วผู้ถูกเสียดสีว่าไร้ความสามารถซึ่งได้ยินจนชินหูมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาถึงเล่าเรื่องนี้ จึงถามว่า ‘ในเมื่อจ้าวคั่วมีความสามารถมากพอจะเป็นแม่ทัพ เหตุใดก่อนบิดาเขาเสียชีวิตจึงกำชับกับภรรยาซ้ำๆ ไม่ให้จ้าวคั่วนำทัพเล่าเจ้าคะ’

บิดาลูบศีรษะนาง ถอนหายใจเอ่ย ‘เมื่อก่อนพ่อก็ไม่เข้าใจ แต่บัดนี้ได้เป็นพ่อคนถึงเข้าใจความรักของพ่อที่มีต่อลูก เยี่ยนเอ๋อร์ของพ่อ เจ้าจะต้องจำไว้ว่าการเข่นฆ่าสังหารในสนามรบไม่เคยเรียบง่ายแค่สงครามของสองฝ่าย นั่นคือกำลังของแคว้น กระทั่งเป็นการเข่นฆ่าของโชคชะตา คิดดูแล้วแม่ทัพจ้าวเซอผู้นั้นมองออกถึงความถดถอยของแคว้นจ้าว ก่อนเสียชีวิตจึงทนเห็นบุตรชายตนเองไปตายเปล่าไม่ได้จริงๆ’

บิดาเล่าเรื่องราวนั้นจบแล้วไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้อีก แค่สั่งห้ามไม่ให้นางแตะต้องหุ่นทหารดินเหนียวกับกระบะทรายอีก ทั้งยังเชิญอาจารย์สอนพิณกับหญิงเย็บปักมาให้นางเรียนรู้การดีดพิณ เล่นหมากล้อม และฝึกปรือฝีมืองานเย็บปักถักร้อยที่คุณหนูในห้องหอควรมีให้มาก

เวลานั้นเพราะเรื่องนี้นางยังเคยทะเลาะกับบิดาใหญ่โตอีกด้วย…ช่างไม่รู้ความเกินไปแล้วจริงๆ!

อันที่จริงเจตนาที่แท้จริงของเรื่องเล่านั้นนางเองก็เพิ่งกระจ่างแจ้งหลังจากบิดาตายไปนานแล้ว บิดาไม่ได้เหน็บแนมว่านางรู้จักแค่การวางแผนบนกระดาษ แต่เพราะมองออกว่าชะตาของต้าเหลียงได้มาถึงจุดสิ้นสุดเหมือนกับแคว้นจ้าวแล้ว แต่เขาในฐานะแม่ทัพแห่งต้าเหลียงจะเอื้อนเอ่ยบอกว่า ‘ต้าเหลียงจะตกต่ำ’ ออกมาตรงๆ ได้อย่างไร จึงยืมเรื่องเล่ามาบอกถึงความคิดนี้ให้ฟังโดยอ้อม ถึงแม้เขาจะอ่านสถานการณ์ขาด แต่ด้วยภาระหน้าที่ ต่อให้ต้องสละชีพบนสนามรบก็ไม่มีทางหนีทัพกลางคัน ซึ่งเขาไม่เคยคิดอยากให้บุตรสาวตนเองสละชีพบนสนามรบเฉกเช่นเดียวกับตนเอง

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย้อนนึกมาถึงตรงนี้กระบอกตาก็ร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงบนงานปัก…

 

เดิมหลงนึกว่าเหตุการณ์ที่บังเอิญได้พบองค์ชายรองจะผ่านไปทั้งอย่างนี้ แต่เรื่องที่ทำให้อวี้ฉือรุ่ยคาดไม่ถึงคือวันรุ่งขึ้นหัวหน้าขันทีของจวนเซียวอ๋องมาขอตัวคนถึงจวนกะทันหัน เอ่ยเสียงแหลมใส่อวี้ฉือรุ่ยว่า “เซียวอ๋องทรงชื่นชอบแจกันที่แตกแล้วใบนั้นอย่างมาก อยากขอเชิญคุณหนูเฟยเยี่ยนสกุลอวี้ฉือแวะไปที่จวนอ๋อง อาศัยฝีมือชั้นเลิศของนางซ่อมแซมแจกันใบนั้น”

อวี้ฉือรุ่ยได้ยินแล้วถึงกับเบื้อใบ้ นี่เป็นข้ออ้างแบบใดกัน คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งอยู่ดีๆ จะถูกพาเข้าจวนอ๋องตามลำพังได้อย่างไร

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: