บทที่ 137
ยามนั้นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็เปลี่ยนเป็นชุดพันรอบอกสำหรับเล่นน้ำแล้ว นางเกิดมาแขนขายาว ดังนั้นท่อนล่างถัดจากเสื้อพันรอบอกจึงเป็นกระโปรงสั้นผืนบางยาวคลุมเข่า เปิดเผยขาเรียวงามนวลเนียน ตอนที่เล็บเท้าซึ่งทาโค่วตันสีแดงสัมผัสผิวน้ำเบาๆ ขายาวผ่องนั้นแทบจะบาดตาคนจนลืมไม่ขึ้น
องค์หญิงอันชิ่งน้อยมองจนเหม่อลอยไปชั่วขณะอีกครั้ง ก่อนนั่งลงริมสระเลียนแบบท่าใช้ขาเล่นน้ำของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนโดยไม่รู้ตัว
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นแล้วอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ อันชิ่งน้อยถึงได้รู้สึกตัวว่าเมื่อครู่นี้ตนเองใจลอย พวงแก้มป่องขึ้นสีแดงอย่างขวยเขิน สะบัดหัวไหล่น้อยๆ เอ่ยอย่างไม่ยินยอม “ชายารองห้ามหัวเราะนะ!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยกมุมปากดึงนางมากอดพร้อมกับเอ่ย “องค์หญิงอันชิ่งน้อยทรงชอบเรียนรู้ เดี๋ยวนี้ยิ่งมีเสน่ห์ของกุลสตรี หม่อมฉันกำลังดีใจแทนองค์หญิงเพคะ! อนาคตจะต้องหาคู่ครองที่ดีได้อย่างแน่นอน”
เนื่องจากสกุลฮั่วมีสายเลือดชนต่างเผ่า ธรรมเนียมในครอบครัวจึงไม่เคยให้ความสนใจเรื่องเล็กน้อย ถึงแม้อันชิ่งน้อยจะได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์หญิงให้รู้จักรุกและถอยอย่างเหมาะสม ไม่เสียความสง่าผ่าเผย แต่ถึงอย่างไรก็ขาดความสำรวมของสตรีชาวฮั่นอยู่ดี เพียงได้ยินอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพูดถึงว่าที่สามี นางกลับเอ่ยด้วยดวงตาทอประกาย “อนาคตอันชิ่งจะต้องหาราชบุตรเขยแบบพี่รองแน่นอน!”
ปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ทำให้คนไม่ทันคาดคิด อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มเอ่ย “เหตุใดต้องหาแบบองค์ชายรองด้วยเพคะ”
องค์หญิงอันชิ่งงอนิ้วน้อยๆ นับ “พี่รองรูปโฉมหล่อเหลา บรรดาคุณหนูกับฮูหยินสูงศักดิ์ในเมืองหลวงชอบแอบคุยถึงหน้าตากับนิสัยของพี่รองอยู่บ่อยๆ มิหนำซ้ำยังหาเงินเก่ง แม้แต่พี่สะใภ้สามของจวนพี่สามยังอิจฉาอย่างมาก ครั้งก่อนที่กลับเมืองหลวงเคยพูดตรงๆ ว่าถ้าพี่สามมีความสามารถอย่างพี่รอง ให้สตรีในจวนมีเงินทองคล่องมือหน่อย สามารถหยิบตั๋วเงินเป็นหมื่นออกจากกล่องเครื่องประทินโฉมได้ตามใจชอบ จะเรียกว่าสั่งสมบุญบารมีมากพอ ชาติหน้าจะยังเป็นสามีภรรยากับเขาต่อไป…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินแล้วยิ้มขื่น องค์หญิงอันชิ่งผู้นี้เป็นนกแก้วตัวหนึ่ง เลียนแบบคำพูดไม่พอ กลับยังเลียนแบบท่ายืดคอตามความเคยชินเวลาพูดของชายาเอกองค์ชายสามด้วย สีหน้าอิจฉา ดวงตาเบิกกว้างเองก็เลียนแบบอย่างไม่ตกหล่น!
เรื่องราวของกล่องเครื่องประทินโฉมย่อมลือออกมาจากทางอวี้ฉือเฟยเยี่ยน แต่ว่าเรื่องที่เซียวอ๋องเป็นคนหาเงินเก่งจุดนี้เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยจริงๆ แม้จะเอารัชทายาทมาคำนวณด้วยก็มีแค่จวนเซียวอ๋องที่เมืองต้าฝู่ของไหวหนานที่มั่งมีมากที่สุดจริงๆ
องค์หญิงอันชิ่งยิ่งพูดยิ่งคึกคัก “มิหนำซ้ำที่สำคัญที่สุดคือพี่รองรักเดียวใจเดียว รักใคร่ชายารองอย่างท่านคนเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนเสด็จพ่อกับพี่ใหญ่พี่สามของข้า…” พูดถึงตรงนี้องค์หญิงอันชิ่งก็เงียบลงกะทันหัน ถึงอย่างไรก็ได้รับการอบรมสั่งสอนมารยาทมา รู้สึกว่าการกล่าวตำหนิบิดากับพี่ชายตนเองว่าลุ่มหลงสตรีเช่นนี้ไม่ถูกต้อง จึงรีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “ถึงอย่างไรพี่รองก็ไม่มีสักอย่างที่ไม่ดี!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองดวงหน้าน้อยๆ ราวกับผลท้อที่ยังเป็นเด็กของนางแล้วเอ่ยอย่างขบขัน “ได้เพคะ! วันหน้ายามเลือกท่านราชบุตรเขยให้กับองค์หญิงน้อยต้องอิงตามลักษณะขององค์ชายรอง!”
องค์หญิงอันชิ่งผงกศีรษะอย่างพอใจ ก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่างเขาจะต้องรักถนอมอันชิ่งมากที่สุดด้วย มิฉะนั้นหากเป็นเหมือนราชบุตรเขยของพี่สาวเช่นนั้น มิใช่น่าเบื่อแย่หรอกหรือ” พูดถึงตรงนี้นางคิดแล้วเอ่ยต่อ “ทว่าดวงเรื่องงานของพี่เขยดีมาก ได้ยินเสด็จแม่ตรัสว่าเขามีโอกาสสูงมากที่จะรับตำแหน่งต่อจากบิดาเขา เป็นอัครเสนาบดีคนต่อไป!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเพียงยิ้ม ทว่าแอบตกใจอยู่ไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสั้นๆ หวังอวี้หล่างจะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้เพียงนี้ อิงจากประสบการณ์ของเขาให้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีต่อ…เป็นไปได้หรือ
เมื่ออยู่ห่างจากสนามรบของชายแดนเหนือ เวลาหนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างยาวนานเป็นพิเศษ…
จุดพักม้าของเมืองต้าฝู่ ทางฝั่งหอตะวันตกที่ก่อสร้างหรูหรา ราชบุตรเขยหวังอวี้หล่างนั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือ มือขวายกขึ้นลูบรอยแผลเป็นตรงหางตาเบาๆ สายตามองเหม่อไปยังจันทร์เต็มดวงที่ลอยสูงเด่นกลางผืนฟ้ามืดมิดภายนอกหน้าต่าง
รอยแผลเป็นลากยาวจากหน้าผากมาถึงหางตา อีกแค่นิดเดียวก็จะโดนดวงตาแล้ว นี่เป็นบาดแผลที่หวังอวี้หล่างโดนลูกหลงตอนตรึงกำลังอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางเหนือ โชคดีที่ตอนธนูมาถึงหน้าผากหมดกำลังลงแล้ว ถึงไม่ได้ทะลุกะโหลกศีรษะของเขา เพียงแฉลบผ่านหน้าผากคาดผ่านดวงตาตกลงพื้น ถ้าหากเป็นหวังอวี้หล่างคนก่อนเกรงว่าจะตกใจกลัวจนรีบลงจากหลังม้า ล้มลุกคลุกคลานหนีกลับเมืองหลวง ไม่กล้ามายังสถานที่อันตรายเพียงนี้อีก
แต่ตัวเขาตอนนั้นกลับหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากร้านเชียนซิ่วออกมาจากสาบเสื้ออย่างนิ่งเฉย เช็ดใบหน้าแล้วมุ่งไปข้างหน้าต่อท่ามกลางเสียงนกหวีดม้าและลูกธนูปลิวว่อน หน้าที่ที่เรียกว่า ‘ผู้สังเกตการณ์กองทัพ’ ความจริงไม่ได้มีอะไรให้น่าจับตา ชายแดนทุรกันดาร ชาวบ้านในหมู่บ้านที่หนีไหวต่างหนีไปกันหมด เหลือไว้แต่เด็กกำพร้า คนแก่และคนพิการที่ไม่มีที่ให้ไป เมื่อวานหลังชนต่างเผ่าบุกมาแล้วชาวบ้านก็ล้วนถูกสังหาร ในหมู่บ้านเหลือแค่เพียงซากปรักหักพัง ศพนอนเกลื่อนพื้นกับสุนัขบ้านเสียเจ้านายที่ครางหงิงเป็นบางครั้ง พอเห็นใครมาก็จะรีบวิ่งหนี
สถานการณ์เช่นนี้ช่วงแรกๆ ยังทำให้เขาตวัดกายลงจากหลังม้าไปอาเจียนอย่างทนไม่ไหว แต่พอเห็นนานเข้าก็ค่อยๆ ด้านชาไปแล้ว
มิน่าถึงมีคำว่า ‘มีบัณฑิตผู้ใดได้เป็นโหวศักดินาหนึ่งหมื่นไร่บ้าง’! สีหน้าดูแคลนของเซียวอ๋องยามเห็นเขาทุกครั้งก็มีเหตุผล ขอแค่เป็นคนที่เคยผ่านความเป็นความตายบนสนามรบมาก่อน จะเห็นบัณฑิตอ่อนแอที่อยู่ในราชสำนักว่างๆ พึ่งพาบุญบารมีของบิดาอย่างเขาอยู่ในสายตาได้อย่างไร มีเพียงการผ่านประสบการณ์เป็นตายจากชายแดนเหนือ เขาถึงยิ่งเคียดแค้นตนเองในอดีตที่เคยคล้อยตามผู้คนและอ่อนแอไร้ความสามารถ
ความกลัวต่างๆ นานาบนโลกใบนี้น่าจะเริ่มต้นจาก ‘การกลัวสูญเสีย’ สมัยก่อนเขากลัวบิดาผิดหวัง กลัวชื่อเสียงของสกุลหวังเสียหาย กลัวตนเองทำผิดต่อความคาดหวังของบรรพบุรุษสกุลหวัง แต่ความเกรงกลัวยอมประนีประนอมต่างๆ นี้ สุดท้ายพอจับมารวมกันแล้วได้อะไรกลับคืนมา
ฝืนใจเชื่อฟังคำสั่งบิดา ถูกบังคับให้ตัดใจจากสตรีในดวงใจ ทว่าแต่งสตรีแพศยาดุร้ายคนหนึ่งเข้ามาแทน เดิมทีคิดว่าตนเองยอมอดทนอดกลั้นจะแลกกับความสงบสุขของครอบครัวมาได้ แต่พฤติกรรมทำตัวตามอำเภอใจอย่างไร้ความเกรงกลัวแต่ละครั้งของสตรีนางนั้นกลับทำให้เขากับบิดาสูญเสียเกียรติและศักดิ์ศรีของขุนนางในราชสำนักไปจนสิ้น ภายใต้สายตาเวทนาเย้ยหยันของสหายร่วมงาน หวังอวี้หล่างเกิดความรู้สึกเหมือนค่อยๆ สูญเสียบางอย่างออกไปจากร่างกายตนเอง
กระทั่งว่ากลางดึกคืนหนึ่งเขาเดินเข้าเรือนหลังของจวนโดยไม่เจตนา ได้ยินเสียงมั่วโลกีย์ขององค์หญิงกับคนเลี้ยงม้าอายุน้อยหล่อเหลาในจวนเข้า ฟังเสียงหอบหายใจหนาหนักและเสียงหัวเราะคิกคักพวกนั้นแล้วประหนึ่งมีมีดคมกริบนับไม่ถ้วนแทงทะลุหัวใจของเขาแล้วคว้านซ้ำไปมาอีกที ครั้งนั้นเขาถึงขั้นคิดตายเพื่อหลักการของตน ถึงจะชำระล้างความอัปยศที่สตรีแพศยานางนั้นมอบให้กับสกุลหวังได้
แต่ตอนที่เขาฉีกผ้าผืนหนึ่งมาแขวนบนกิ่งไม้ ยื่นศีรษะเข้าไป เขาพลันเกิดความรู้สึกไม่เต็มใจมากมายขึ้นมา เขาไม่เต็มใจที่สกุลหวังถูกคนเหยียดหยาม ไม่เต็มใจที่ตนเองถูกดูหมิ่น ไม่เต็มใจที่ตนเองไม่อาจปกป้องและครอบครองคนที่รักจริงๆ เขาไม่เต็มใจ…ชั่วขณะนั้นเองจิตใจเขาที่หดหู่ดุจคนตายกลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง คนเราถ้าแม้แต่ความตายยังไม่กลัว จะมีอะไรที่ปล่อยวางไม่ลงอีก เมื่อเขาไม่กังวลก็ไม่กลัวอีกต่อไป เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างออกมาได้อย่างแน่นอน
นับตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่สนใจไยดีในพฤติกรรมขององค์หญิงเล่อผิง แม้บางครั้งจะบังเอิญเจอก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น รวมถึงไม่กังวลกับอาการตอบสนองและคำติฉินนินทาลับหลังของเหล่าขุนนางในราชสำนักอีก ถือเสียว่าตนเองเหมือนตายไปแล้ว ทุกชั่วขณะที่มีชีวิตอยู่คือการเกิดใหม่
การเดินทางมาไหวหนานครั้งนี้ได้รับการฝากฝังจากฮ่องเต้ หลังจากหนานลู่กงล้มลง เสิ่นกั๋วจิ้วเกิดความคิดหมายตาไหวหนานที่มั่งคั่ง อยากพึ่งพาเสิ่นฮองเฮาโดยหวังว่าฮ่องเต้จะส่งเขามาปกครองไหวหนาน ฮ่องเต้กลับเสมือนไม่ได้ยิน แต่งตั้งหวังอวี้หล่างให้มาที่ไหวหนาน รับช่วงต่อเรื่องราวมากมายของที่นี่แทน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องการให้ตนแอบสืบข่าวชื่อเสียงของเซียวอ๋องในหมู่ชาวบ้านที่นี่ แล้วกราบทูลกับฮ่องเต้เป็นการลับ
หวังอวี้หล่างเก็บความคิดกลับมา จุดตะเกียงบนโต๊ะแล้วหยิบฎีกาเปล่าฉบับหนึ่งออกมา จับพู่กันขนหมาป่า ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วฉวัดเฉวียนเขียนลงไป
‘ช่วงแรกเซียวอ๋องกวาดล้างโจรตามทาง ทลายรังโจร ฟื้นฟูนาเกลือ ซ่อมบำรุงทางน้ำ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชาวบ้าน ตามด้วยปรับเปลี่ยนการปกครอง สังหารหนานลู่กง กระหม่อมมาถึงไหวหนานเห็นชาวประชาต่างชื่นชมเซียวอ๋อง ไม่ว่าจะไปที่ใดต่างคุกเข่าหมอบกราบ หนานลู่กงดำเนินกิจการอยู่ที่นี่นานสามสิบปี ชื่อเสียงในหมู่ปวงประชาสู้เซียวอ๋องที่มาอยู่เพียงหนึ่งปีไม่ได้ เพียงโบกมือส่งเสียง บริวารทั่วทุกสารทิศล้วนตอบรับ สั่นคลอนโอรสสวรรค์…’
หวังอวี้หล่างเขียนไปได้สักระยะก็หยุดพู่กัน อ่านประโยค ‘บริวารทั่วทุกสารทิศล้วนตอบรับ สั่นคลอนโอรสสวรรค์’ แล้วรู้สึกไม่เหมาะสม เขาเงยหน้ามองภาพวาดที่เพิ่งแขวนติดผนังห้องพัก เป็นภาพที่ตนเองมักพกติดตัวอยู่เสมอ ภาพนี้เป็นตัวอักษรเก่าแก่พยางค์เดียวว่า…‘ทึ่ม’!
ทุกวันนี้ต้าฉีเปิดรัชสมัยรุ่งโรจน์ ฮ่องเต้แข็งแกร่ง ขุนนางเองก็เข้มแข็ง เดินเตร่อยู่ในนี้ต้องเป็นเหมือนปุยฝ้าย อ่อนนุ่มพัวพันคมดาบ แต่ห้ามเปิดเผยประกายออกมาเด็ดขาด…
คิดถึงตรงนี้เขาก็ขยำฎีกาเป็นก้อนวางลงด้านข้าง ก่อนกางกระดาษเซวียนจื่อสีขาวเนื้อเนียนแผ่นใหม่ จุ่มน้ำหมึกเบาๆ แล้วสมองพลันรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่อาจคิดเรียบเรียงคำพูดใหม่ จึงลากเส้นต่อเนื่องวาดลงบนกระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้นแทน
ชั่วประเดี๋ยวต่อมาเส้นสายพู่กันถักทอโฉมงามในชุดพลิ้วไสวดั่งเทพเซียนออกมาบนกระดาษเซวียนจื่อ
หลังจากวาดเสร็จ เขาวางพู่กันลงเบาๆ สตรีในภาพวาดใช้ปิ่นหยกสามขาเกล้ามวยหางม้า เปลือกตาหลุบลง กิริยาสง่างาม เป็นสตรีที่เห็นยามกลางวันผู้นั้นพอดี
หวังอวี้หล่างมองสำรวจสตรีในภาพวาดโดยละเอียด นิ้วมือลูบไล้บนกระดาษเซวียนจื่อสีขาวนวลเบาๆ คิดถึงทุกสายตาทุกรอยยิ้มของโฉมงามที่พบในวันนี้
สักพักต่อมา แสงไฟวูบไหวอยู่ในตะเกียง หวังอวี้หล่างคล้ายสะดุ้งตื่นจากฝันที่ไกลเกินเอื้อม ค่อยๆ หยิบกระดาษภาพวาดกับฎีกาเมื่อครู่นี้ขึ้นมาย้ายไปยังกระถางเครื่องหอมข้างมือ มองดูพวกมันถูกสะเก็ดไฟลามเลีย ค่อยๆ กลายเป็นขี้เถ้า ปลิวหล่นลงบนพื้นอิฐเงียบๆ…
หลังจากพักผ่อนสักพัก หวังอวี้หล่างก็หยิบฎีกาเปล่าอีกแผ่นมาเขียนใหม่
‘สมัยหนานลู่กง ผลผลิตข้าวและธัญพืชของไหวหนานมีมากกว่าที่จงหยวนหลายเท่า อย่างไรก็ตามราษฎรกินไม่อิ่มท้อง สวมใส่ไม่อบอุ่น ไหวหนานกลับสู่การปกครองของฮ่องเต้ได้ไม่นาน ทั้งกวาดล้างโจร ซ่อมบำรุงทางน้ำ ทุกครัวเรือนต่างมีข้าวสารเหลือ ชาวประชาต่างพูดถึงต้าฉี ล้วนเป็นความดีความชอบของฮ่องเต้ กระหม่อมด้อยความรู้ เพิ่งมาถึงที่นี่รู้สึกหวาดหวั่น เกรงจะทำผิดต่อคำสั่งของฝ่าบาท มิอาจสืบทอดคุณูปการของเซียวอ๋อง…’
กว่าจะเขียนเสร็จฟ้าก็สว่างเรืองรอง แว่วเสียงไก่ขันดังมาแล้ว เขาเหลือบสายตามองแสงสีแดงที่กำลังโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ในใจหัวเราะเสียงเย็น ถึงเวลาแวะไปเยี่ยมภรรยารักที่เจ็บป่วยผู้นั้นของเขาแล้ว
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เซียวอ๋องก็ไม่อยู่ที่จวน ข้าสามารถทำได้…
บทที่ 138
เมื่องอนิ้วนับดู เซียวอ๋องจากไปนานสี่วันแล้ว ไม่รู้ว่าเข้าเฝ้าฮ่องเต้ราบรื่นหรือไม่ แดนเหนืออากาศหนาวเย็น ถึงแม้จะยังเหลือเวลาอีกมากถึงออกเดินทาง แต่จะต้องจัดเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวเอาไว้เนิ่นๆ
พ่อค้าขายหนังสัตว์ที่หัวหน้าเว่ยรู้จักได้ขนเตียวชั้นดีมา จึงส่งมาให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนดูเพื่อเลือกสีขน แล้วค่อยเลือกรูปแบบที่เป็นที่นิยมกันในตอนนี้ จะได้ตัดเย็บออกมา
“ชายารองดูสิขอรับ หนังผืนนี้ดีหรือไม่ ขนสีขาวหิมะล้วนปราศจากสีอื่นแซม” หัวหน้าเว่ยชี้หนังผืนนี้พลางเอ่ย
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยื่นมือไปลูบขนบนผืนหนัง เนื่องจากต้องส่งมาที่จวนอ๋อง ผืนหนังที่พ่อค้าขายหนังสัตว์นำมาจึงผ่านวิธีดัดแปลงพิเศษ แผ่นหนังบางและอ่อนนุ่ม หากตัดเย็บเป็นเสื้อคลุมก็จะเข้ารูปดูดี ทว่าจะมีฮูหยินขุนนางตระกูลสูงศักดิ์สักกี่คนที่จะใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่หิมะหนาวเหน็บเป็นวันๆ แบบนายพรานหรือคนผ่าฟืนบ้าง เวลาออกจากจวนขึ้นเกี้ยวอุ่นหรือรถม้า เวลาเข้าจวนมีตี้หลงกับเตาอุ่นมือ ต่างไม่มีทางหนาวแข็ง การสวมชุดคลุมขนสัตว์ก็แค่ต้องการความหรูหราเท่านั้น ดังนั้นผืนหนังพวกนี้จึงไม่มีผืนที่หนาหนัก
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลูบคลำไปมาหลายครั้งแล้วส่ายหน้า เอ่ยกับหัวหน้าเว่ยว่า “ส่งคืนไปให้หมดเถิด บอกกับพ่อค้าผู้นั้นว่าหนังพวกนี้บางเกินไป ครั้งนี้ที่องค์ชายรองเดินทางไปคือทะเลทรายเหนือ ฤดูหนาวที่นั่นสามารถทำให้คนหนาวหูหลุด ไม่เหมือนกับที่ไหวหนาน มิหนำซ้ำองค์ชายรองทรงชอบขี่ม้า ยิ่งจำเป็นต้องเตรียมชุดฤดูหนาวกันลม บอกให้เขาส่งพวกหนังสัตว์มาเพิ่ม ขนจะต้องถี่ยิบ หนังเองก็ต้องหนาหน่อย”
หัวหน้าเว่ยได้ยินแล้วรีบขานรับติดต่อกัน ภายในใจลอบรู้สึกนับถือ ชายารองช่างละเอียดรอบคอบนัก นึกไม่ถึงว่าจะคำนึงถึงตรงจุดนี้ด้วย หรือจะเคยไปแดนเหนือมาก่อน มิฉะนั้นจะคำนึงถึงตรงจุดนี้ได้อย่างไร
หัวหน้าเว่ยเตรียมจะเก็บหนังสัตว์จากไป แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคิดแล้วเรียกรั้งเขาไว้อีกครั้ง “หนังพวกนี้ไม่ต้องส่งคืนทั้งหมด สีขาวปลอดผืนนั้นเอาไปตัดเป็นเสื้อคลุมครึ่งตัวสำรองไว้ให้องค์หญิงอันชิ่ง ส่วนกระดุมใช้พวกหินหางหงส์ปิดทองที่เพิ่งได้มาเมื่อหลายวันก่อน แล้วประเดี๋ยวเจ้าเอาส่วนที่เหลือส่งไปทางเรือนขององค์หญิงเล่อผิงอีกที ให้นางเลือกผืนที่ถูกใจ ตัดไปด้วยกันเลยแล้วกัน!”
หัวหน้าเว่ยจดจำทุกคำสั่งเช่นกัน
องค์หญิงเล่อผิงผู้นั้นเป็นตัวปัญหาผู้หนึ่ง แต่ความเคารพนอบน้อมภายนอกยังคงต้องรักษาไว้ ทุกวันนี้นางมาอาศัยอยู่ที่จวน ภายในจวนตัดชุดฤดูหนาวแล้วไม่มีส่วนของนางจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านเอาได้ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่อยากให้คนตำหนิในเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ จึงกำชับทุกอย่างจนครบ
ไม่นานจากนั้นหัวหน้าเว่ยก็ย้อนกลับมาเอ่ยเสียงเบาอย่างลนลาน “ชายารอง เมื่อครู่บ่าวเพิ่งเอาหนังสัตว์ไปส่ง เจอกับหลิวมาที่ตั้งใจจะออกมาพอดี นาง…นางบอกว่าเมื่อครู่นี้ท่านราชบุตรเขยแวะมาขอรับ…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเลิกคิ้วทันควัน หวังอวี้หล่างมาที่นี่งั้นหรือ เหตุใดนางถึงไม่รู้เรื่อง
หัวหน้าเว่ยเห็นสีหน้าแปลกใจของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็รีบเอ่ย “เนื่องจากเรือนพำนักขององค์หญิงอยู่อีกฟากของจวนอ๋อง ค่อนข้างไกลจากประตูใหญ่ ดังนั้นจึงมีประตูรองอีกบาน เดิมทีเอาไว้ใช้เวลาเกิดไฟไหม้ ภายหลังตอนที่แต่งเติมจวนอ๋อง บ่าวกลัวจะมีโจรบุกรุกยามวิกาล จึงสั่งให้คนใช้โซ่เหล็กกับแผ่นไม้ปิดตายเอาไว้ขอรับ ผลปรากฏว่าเมื่อเช้าวันนี้องค์หญิงสั่งให้คนถอดแผ่นไม้ที่ปิดตายออก ท่านราชบุตรเขยหวังเข้ามาจากประตูบานนั้น ตอนเข้ามาเป็นช่วงที่หลิวมาปรนนิบัติอยู่หน้าประตูห้อง จึงหลบออกมาไม่ได้ หลังจากเขากลับไปแล้วถึงเตรียมออกมารายงานชายารองขอรับ…”
“หลิวมาได้ยินหรือไม่ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ทะเลาะกันหรือไม่”
หัวหน้าเว่ยรีบส่ายหน้าเอ่ย “ไม่ได้ทะเลาะกันขอรับ ทั้งสองคนต่างคุยกันอย่างใจเย็น โดยเฉพาะองค์หญิงเหมือนจะมีความสุขมากด้วยซ้ำขอรับ”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลุกพรวดเตรียมออกไปหาองค์หญิงเล่อผิง ตอนนั้นเองกลับได้ยินคนมารายงาน “องค์หญิงเล่อผิงทรงเชิญชายารองแวะไปหาขอรับ…”
รอตอนที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไปถึงเรือนขององค์หญิงเล่อผิง ก็เห็นองค์หญิงเล่อผิงกำลังสั่งบรรดาสาวใช้เก็บสัมภาระด้วยสีหน้าสบายใจ
“องค์หญิงทรงกำลัง…”
องค์หญิงเล่อผิงนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกทำจากเถาวัลย์ หลงเยวี่ยสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังกำลังพัดให้นาง “ราชบุตรเขยบอกว่าถึงอย่างไรการพักอยู่ที่จวนเซียวอ๋องก็เป็นการเพิ่มปัญหาให้กับองค์ชายรอง เขาซื้อจวนที่ไหวหนานแล้ว ให้ข้าไปพักผ่อนเงียบๆ ที่นั่น”
ครั้นเห็นสีหน้าเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้ว องค์หญิงเล่อผิงกลับยิ้มอย่างได้ใจน้อยๆ “เป็นอะไรไป ทึ่มทื่อไปเลยหรือ มีเรื่องอะไรให้คาดไม่ถึงกันเล่า เจ้าเองก็ดี เสด็จแม่เองก็ดี ต่างทำตัวตื่นตูมกันไปทั้งนั้น! ต่อให้เด็กในท้องข้าไม่ใช่ของหวังอวี้หล่างแล้วอย่างไร ยังจะโวยวายเสียงดังไปถึงฝ่าบาทได้อีกหรือ เขาไม่ต้องการอนาคตขุนนางของตนเองแล้วหรือไร ราชบุตรเขยบอกแล้วว่าให้ข้าดูแลครรภ์อย่างสบายใจ รอวันหน้าเด็กคลอดออกมาแล้วเขาจะหาเหตุผลที่เหมาะสม หาบิดามารดาบุญธรรมให้กับลูกแล้วพาเข้าเมืองหลวงมาด้วยกัน ข้าจะได้ไม่ต้องทรมานคิดถึงลูก”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถึงได้ถามอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงทรงคิดดีแล้วจริงๆ หรือเพคะ ว่าจะตามท่านราชบุตรเขยจากไป”
องค์หญิงเล่อผิงรับถาดผลไม้ที่สาวใช้เซียงเถายื่นให้ ก่อนเบ้ปากเอ่ย “ไม่ไป? หรือจะให้อยู่ที่นี่ มองดูชายารองตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่น่ะหรือ เหอะ…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้ถามต่อ ในเมื่อราชบุตรเขยมารับคนด้วยตนเอง ไม่ต้องพูดว่านางเป็นชายารองตัวเล็กๆ ต่อให้เซียวอ๋องอยู่ที่นี่ก็ไม่มีเหตุผลจะห้ามไม่ให้น้องเขยมารับภรรยาตนเองไป
ยามนั้นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงไม่พูดมากอีก แต่องค์หญิงอันชิ่งกลับไม่ยอมไปด้วย ยู่ปากบอกว่าจะอยู่ที่จวนพี่รองต่อ ปกติแล้วองค์หญิงเล่อผิงเองก็ไม่มีความอดทนอะไรให้กับน้องสาวคนเล็กของนาง ดังนั้นจึงคร้านจะพานางไปด้วยเช่นกัน จึงทิ้งองค์หญิงน้อยเอาไว้ในจวนเซียวอ๋อง
องค์หญิงเล่อผิงพาสาวใช้คนสนิทของตนเองไปด้วย ส่วนพวกบ่าวรับใช้จวนเซียวอ๋องอย่างพวกหลิวมาย่อมทิ้งเอาไว้ เพียงแต่มีสาวใช้คนหนึ่งกลับเสนอตัวขอติดตามองค์หญิงเล่อผิงจากไปด้วยความเต็มใจ โดยไปขอสัญญาขายตัวของตนเองกับทางหัวหน้าเว่ย
หัวหน้าเว่ยเหลือบมองหลงเยวี่ยผู้นี้ ก็ไม่รู้ว่าสาวใช้คนนี้ได้รับผลประโยชน์อะไรจากองค์หญิงเล่อผิง ถึงได้เอาแต่คิดอยากตามองค์หญิงเล่อผิงออกจากจวนอ๋อง นับประสาอะไรกับที่องค์หญิงเล่อผิงไม่ได้เอ่ยปากด้วยซ้ำ นางกลับเสนอหน้ามาขอด้วยตนเอง เสียทีที่เป็นคนรู้หนังสือคนหนึ่ง! หากรู้ว่าเป็นคนประเภทเลี้ยงไม่เชื่อง เขาไม่มีทางโยกย้ายนางไปอยู่ที่เรือนชายารองแต่แรกแล้ว
คนสายตาตื้นเขินประเภทนี้แค่ปล่อยตัวไปก็พอ! หลังจากถามองค์หญิงเล่อผิงแล้วยืนยันว่าถูกใจสาวใช้คนนี้ หัวหน้าเว่ยจึงไล่หลงเยวี่ยออกไป
ตอนที่หลงเยวี่ยกลับห้องไปเก็บสัมภาระ เหลือบเห็นบรรดาพี่สาวน้องสาวในวันวานที่มองตนเองอย่างไม่เข้าใจก็หัวเราะหยันอยู่ในใจ คนอื่นต่างบอกว่านางสายตาตื้นเขิน พึ่งพาเจ้านายใหม่แล้วลืมเจ้านายเก่า มิใช่ไม่เข้าใจหลักการคนเราต้องมุ่งสู่ที่สูงหรือไร
เซียวอ๋องนั้นดี รูปโฉมหล่อเหลาองอาจ แต่วันนั้นนางติดตามอยู่ข้างหลังองค์หญิงเล่อผิง มองเห็นท่าทางชักกระบี่ข่มขวัญองค์หญิงของชายารองแต่ไกล เวลานั้นแม้แต่องค์หญิงเล่อผิงที่ผยองอวดดียังโดนข่มขวัญจนทำอะไรไม่ถูก จิตวิญญาณเช่นนั้นนางจะสู้ไหวได้อย่างไร ต่อให้ตนเองเก็บซ่อนปณิธานเป็นสาวใช้ห้องข้างเอาไว้ก็ยากจะทำให้เป็นจริงได้
ขณะที่องค์หญิงเล่อผิงคนนี้ทำตัวตามอำเภอใจอย่างยิ่ง นางเองก็เพิ่งค่อยๆ มารู้หลังได้รับใช้ใกล้ชิดว่าเด็กในท้องกลับไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของราชบุตรเขย! มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ชายหญิงทางองค์หญิงยังตามอำเภอใจอย่างมาก อีกทั้งสาวใช้เซียงเถาผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าก่อนองค์หญิงจะเข้าพิธีก็ถูกส่งเข้าจวนราชบุตรเขยไปลองเข้าหอกับราชบุตรเขยผู้นั้นก่อนแล้ว เห็นได้ว่าการอยู่ในจวนราชบุตรเขยมีโอกาสให้เลื่อนขั้นสูงขึ้นมากกว่า อย่าได้เห็นว่าองค์หญิงผู้นั้นอารมณ์ร้าย แท้จริงเป็นคนโง่ขลาไม่มีสมองนัก ความจริงอยู่ด้วยง่ายกว่าชายารองเซียวอ๋องที่ฉลาดหลักแหลมมากนัก
เมื่อพิจารณาเช่นนี้ ราชบุตรเขยผู้นั้นเองก็เป็นคนมีความสามารถ ถึงแม้ดวงหน้าจะมีแผลเป็น ทว่าเพิ่มกลิ่นอายบุรุษเพศมากขึ้น…หลงเยวี่ยดีดลูกคิดคำนวณเช่นนี้แล้ว กลับเฝ้าคอยชีวิตในจวนราชบุตรเขยขึ้นมา
เดิมทีสัมภาระขององค์หญิงเล่อผิงมีที่ยังไม่เปิดหีบมากกว่าครึ่ง เวลาเก็บของนับว่ารวดเร็วสะอาดสะอ้าน ตอนบ่ายราชบุตรเขยหวังอวี้หล่างก็มารับด้วยตนเอง
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย่อมออกมาส่งองค์หญิงเล่อผิง ตอนที่มองเห็นหวังอวี้หล่างที่อยู่บนหลังม้า นางผงกศีรษะน้อยๆ เอ่ย “ท่านราชบุตรเขยมารับตัวองค์หญิง สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าย่อมเป็นเรื่องดีงาม อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ฮองเฮาทรงฝากฝังองค์หญิงทั้งสองพระองค์ไว้กับจวนเซียวอ๋อง เกรงว่าจะต้องเขียนจดหมายฉบับหนึ่งทูลแจ้งฮองเฮา ฝ่าบาทและฮองเฮาทั้งสองพระองค์ที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงจะได้วางพระทัยลงได้ด้วย…”
หวังอวี้หล่างย่อมเข้าใจความนัยในคำพูดของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน นั่นคือองค์หญิงออกจากจวนไปครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของตัวองค์หญิงเล่อผิงเอง ไม่ใช่เจตนาของเซียวอ๋องจริงๆ
ยามนั้นเขาจึงยิ้มน้อยๆ ประสานหมัดเอ่ยขอบคุณอวี้ฉือเฟยเยี่ยน “ครั้งนี้ภรรยาข้ามารบกวนที่จวนท่านเป็นเวลานาน ต้องรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งอยู่แล้ว สถานการณ์ในระยะนี้ขององค์หญิงย่อมต้องทูลแจ้งฮองเฮา หลังจากฮองเฮาทรงรับรู้…ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับชายารองแล้ว…”
ไม่รู้เหตุใดคำพูดนี้กลับทำให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนใจกระตุกวาบ ทว่าไม่แน่ใจว่าคำพูดของหวังอวี้หล่างแฝงความหมายอื่นอยู่หรือไม่ บอกตามตรงว่ายามมองดูองค์หญิงก้าวเดินกะโผลกกะเผลกขึ้นรถม้าก็เห็นชัดว่ายากจะปกปิดสภาพตั้งครรภ์ ตอนนี้นางยืนอยู่ตรงหน้าหวังอวี้หล่างด้วยความรู้สึกอับอายเล็กน้อยด้วยซ้ำ
แต่สีหน้าของหวังอวี้หล่างในฐานะคนถูกสวมหมวกเขียวกลับผ่าเผยเป็นธรรมชาติ ไร้ซึ่งความอับอายหงุดหงิดสักนิดเดียว
คุณชายผู้สุภาพอ่อนแอที่เคยเงยหน้าไม่ขึ้นต่อหน้านางเพราะถูกบังคับให้ลองเข้าหอกับนางกำนัล สุดท้ายใช้กำปั้นระบายอารมณ์ใส่กำแพง ส่งผลให้เลือดไหลอาบมือผู้นั้นไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว…ชวนให้คนนึกสะทกสะท้อนใจอย่างห้ามไม่ได้…
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ความจริงถ้าหากท่านราชบุตรเขยงานยุ่งก็ไม่จำเป็นต้องรับตัวองค์หญิงจากไป อยู่ในจวนเซียวอ๋องย่อมได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอยู่แล้ว”
ความหมายของคำพูดนี้คือราชบุตรเขยไม่ต้องลำบากใจ ขอแค่แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ แค่รอหลังจากองค์หญิงคลอดลูกแล้วค่อยรับตัวกลับไปก็ยังไม่สาย อย่างน้อยยังพอรักษาหน้าตาได้บ้าง
หวังอวี้หล่างย่อมเข้าใจความหมายของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน แววตาเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อย กวาดผ่านดวงหน้าสะอาดสะอ้านของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้วเก็บสายตากลับมาอย่างรวดเร็วก่อนเอ่ย “ขอบคุณความปรารถนาดีของชายารอง แต่ไม่ขอรบกวนมากกว่านี้แล้ว”
เขาพูดจบก็หันตัวกลับขึ้นหลังม้า นำขบวนเดินทางออกจากตรอกจวนอ๋องของเมืองต้าฝู่ไปอย่างอึกทึกครึกโครม
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับเข้าห้องหนังสือ ก่อนคิดแล้วเขียนจดหมายหาเซียวอ๋อง บอกเรื่องขององค์หญิงกับเขา จากนั้นใช้นกพิราบสื่อสารส่งจดหมายไปยังเมืองหลวง องค์ชายรองย่อมใคร่ครวญบอกกับฮองเฮาเอง
ถึงแม้ไม่อาจมองเห็นกับตา แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็พอเดาสภาพโมโหจนหักปิ่นปักผมของเสิ่นฮองเฮาหลังรู้ข่าวได้คร่าวๆ
องค์หญิงเล่อผิงผู้นั้นยังคงมองเรื่องราวเรียบง่ายเกินไป ในฐานะธิดาของฮ่องเต้ มองดูคล้ายสูงศักดิ์ที่สุด ความจริงแล้วไร้อิสระมากที่สุด แค่ดูบรรดาพี่ชายของนางก็รู้แล้ว ถึงแม้นางจะเป็นสตรี ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องชิงบัลลังก์ แต่จะสามารถทำตัวกำเริบเสิบสานตามอำเภอใจได้อย่างไร
นางยังเห็นว่าสามีตนเองคือบัณฑิตอ่อนแอที่เพิ่งเป็นขุนนาง ถูกนางจับวางตามใจชอบได้ผู้นั้นจริงๆ หรือ ครั้งนี้หวังอวี้หล่างมาเยือนไหวหนานตามพระราชโองการ ชัดเจนว่ามาเพื่อรับช่วงต่องานของเซียวอ๋อง
ไหวหนานในเวลานี้ไม่ใช่สถานที่ซึ่งโจรขโมยชุกชุมอย่างเมื่อหลายปีก่อนอีก แต่เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ เส้นทางค้าเกลือราบรื่น การค้าเจริญรุ่งเรือง นี่เป็นสิ่งที่เสิ่นกั๋วจิ้วพยายามแย่งชิงสุดกำลังก็ยังไม่ได้มา ทว่ากลับถูกหวังอวี้หล่างชิงไปได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ว่าคุณชายสกุลหวังผู้นี้พอจะมีผลงานในราชสำนักอยู่บ้าง
แต่บุรุษผู้เก็บงำประกายล้ำลึกและมีผลงานคนหนึ่งเช่นนี้จะมีความใจกว้างถึงขั้นยอมสวมหมวกเขียวไว้โดยที่ยอมอ่อนน้อมค้อมตัวลงจริงๆ หรือ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 เม.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.