X
    Categories: ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 139-140

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 139

เซียวอ๋องเดินทางเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าครั้งนี้นับว่าราบรื่นผิดปกติ ฮ่องเต้เรียกพบองค์ชายรองในห้องทรงพระอักษรทิศใต้ตามลำพัง หลังจากอ่านฎีการายงานการทำงาน รวมถึงบัญชีเก็บภาษีการเกษตรและการค้าเมืองต่างๆ ในช่วงสองปีมานี้ของไหวหนานที่เซียวอ๋องถวายให้ก็ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

“ถึงแม้เติ้งไหวโหรวจะเสียชีวิตแล้ว แต่พรรคพวกของเขายังคงถูกกวาดล้างไม่หมด ด้วยเหตุนี้ลูกจึงจัดตั้งกองกำลังขึ้นตามเมืองต่างๆ และย้ายให้ไปอยู่ในเขตอำนาจของเมืองเหล่านั้นเป็นคนดูแล ขณะเดียวกันยังตรวจสอบทะเบียนเรือนของแต่ละพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้หมู่บ้านห่างไกลเป็นแหล่งรังลับค่ายโจร เมื่อเวลาผ่านไปพวกเราจะปราบปรามโจรเติ้งจนสิ้นซาก คืนความสงบสุขแก่ชาวไหวหนานได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ฮั่วอวิ่นผงกศีรษะอีกครั้ง ตลอดมาบุตรชายคนนี้ของเขาเป็นคนรอบคอบ ทำอะไรสุขุม ผลงานที่งดงามของไหวหนานก็เป็นแค่การยืนยันความสามารถของเจ้ารองอีกครั้งเท่านั้น

“หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ทางชายแดนเหนือเร่งด่วน ข้าก็ไม่เต็มใจโยกย้ายเจ้าออกจากไหวหนานเหมือนกัน! สถานที่แห่งนี้ยังเหลืองานคั่งค้างไม่พูดถึง…เรือนหลังที่อุตส่าห์เก็บกวาดสะอาดสะอ้าน แม้แต่เวลานั่งลงชื่นชมทิวทัศน์ จิบชาอย่างสบายๆ ก็ยังไม่มี ต่อให้เปลี่ยนเป็นข้าก็ไม่เต็มใจเหมือนกัน!”

ปากฮั่วอวิ่นเอ่ยเสียดายแทนเจ้ารอง ทว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับจับจ้องสีหน้าของฮั่วจวินถิงอย่างวาวโรจน์

เซียวอ๋องได้ยินคำพูดของบิดาแล้วรีบเอ่ยปากตอบ “ใต้หล้าของต้าฉียังไม่สุขสงบ ลูกจะกล้าเมินเฉยไม่สนใจ ปักหลักอยู่ในสถานที่คับแคบ แต่ไม่ช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อได้อย่างไร ช่วงนี้ชนต่างเผ่าทางชายแดนเหนือรุ่งเรืองขึ้น เผ่าต๋าต๋าพิชิตแคว้นโหลวหลัน แล้วอำนาจเพิ่มพูน ยกทัพออกมาหยั่งเชิงอยู่บ่อยครั้ง มีแนวโน้มที่จะบุกรุกเมืองชายแดน ถึงแม้ตัวลูกจะอยู่ทางใต้ ทว่าคอยกังวลทุกคืนวันจนนอนไม่หลับ ต่อให้เสด็จพ่อมิทรงออกพระราชโองการ ก็ตั้งใจจะขอนำทัพออกรบเองอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ฉีตี้ได้ยินถึงตรงนี้ก็ผงกศีรษะ สีหน้าไม่แสดงอาการ

เซียวอ๋องกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อนลูกเคยศึกษาสภาพภูมิประเทศของชายแดนเหนือ พอจะเข้าใจบางอย่าง จึงเอากระบะทรายกระบะหนึ่งมาเป็นพิเศษ ขอเชิญเสด็จพ่อทอดพระเนตรดูด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ฉีตี้ร้องอ้อรับรู้พลางมองเซียวอ๋อง หรือเจ้ารองจะวางแผนทิ้งไหวหนานที่สร้างรากฐานเรียบร้อย รีบรุดไปยังชายแดนเหนืออันทุรกันดารจริงๆ ภายในใจนึกสงสัย ขณะปากเอ่ยว่า “ได้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ารองคือม้าวิ่งพันหลี่ ของสกุลฮั่วเรา สามารถช่วยแบ่งเบาภาระแก้ปัญหาให้พ่อได้” ก่อนหันไปบอกให้ขันทีนำสิ่งของที่ถวายขึ้นมา

สักพักจากนั้นขันทีสี่คนก็ยกกระบะทรายใบใหญ่จากนอกตำหนักมาวางลงบนโต๊ะ

กระบะทรายนี้ขนาดใหญ่เทียบเท่ากับกระบะทรายธรรมดาห้าหกใบ ใช้ดินเหนียวปั้นเลียนแบบเทือกเขาสลับซับซ้อน ใช้ทรายขาวโรยเป็นลำธารแม่น้ำ ใช้กิ่งไม้กับหญ้ากอเล็กทำเป็นผืนป่ากับทุ่งหญ้าตามลักษณะภูมิประเทศจริงของชายแดนเหนือ อีกทั้งยังใช้ท่อนไม้แกะสลักเป็นเมือง กระโจมเอามาแทนเมืองของชนต่างเผ่ากับสถานที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังมีทหารม้ากับทหารเดินเท้าแกะสลักจากไม้อีกจำนวนมากมาแทนจำนวนและตำแหน่งของกองทัพชนเผ่าต่างๆ ทว่ากลับละเอียดถี่ถ้วนและประณีตยิ่งกว่ากระบะทรายไหนๆ ที่ฮ่องเต้ฉีตี้เคยเห็น มองดูกระบะทรายนี้แล้ว ต่อให้ฮ่องเต้ฉีตี้ไม่เคยเดินทางไปชายแดนเหนือก็สามารถทำความเข้าใจการกระจายตัวของขั้วอำนาจทางชายแดนเหนือของต้าฉี กับตำแหน่งและพลังของชนต่างเผ่าต่างๆ ได้ในการมองครั้งเดียว

ฮ่องเต้ฉีตี้เองก็แยกแยะเป็น รู้ว่าของสิ่งนี้ไม่อาจเตรียมขึ้นมาในเวลากระชั้นชิดอย่างแน่นอน ถ้าไม่เสียเวลาสักสองสามปีคงไม่มีทางทำได้ประณีตถึงขั้นนี้ ดูท่าที่เจ้ารองบอกว่ากังวลต่อสถานการณ์ของชายแดนเหนือไม่ใช่แค่พูดไปอย่างนั้น

หลังจากเซียวอ๋องอธิบายทุกอย่างจบ ฮั่วอวิ่นนิ่งเงียบอยู่นานมาก รู้สึกว่าจุดติดขัดที่ทำให้เขาใคร่ครวญอยู่นานล้วนถูกแก้ไขไปทีละอย่างภายใต้เสียงสุขุมมีพลังของฮั่วจวินถิง

ฮ่องเต้ฉีตี้อดเคลื่อนสายตามองไปทางบุรุษหนุ่มหล่อเหลาที่ยืนอยู่ข้างกระบะทรายอย่างมั่นคงไม่ได้ ภายในใจเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รูปร่างกับเค้าโครงหน้าของบุรุษหนุ่มตรงหน้าล้วนคล้ายคลึงกับเขาสมัยอายุน้อย นี่คือบุตรชายของเขา มีเลือดของเขาฮั่วอวิ่นไหลเวียนอยู่ นี่เป็นความรู้สึกชื่นใจอย่างอดไม่ได้เวลาบิดาคนหนึ่งมองเห็นบุตรชายประสบความสำเร็จ คิดถึงตรงนี้เขาก็ลุกขึ้นยืนเดินอ้อมโต๊ะทรงพระอักษร ค่อยๆ ก้าวถึงข้างกายเซียวอ๋องแล้วตบบ่าอีกฝ่าย เอ่ยว่า “สมกับที่เป็นลูกข้า”

เซียวอ๋องรีบก้มหน้าลง ฮั่วอวิ่นเคลื่อนสายตามองไปยังมือตนเองที่ตบลงบนบ่ากว้างของบุตรชายโดยไม่รู้ตัว แตกต่างจากผิวกายเต่งตึงกำยำของเซียวอ๋อง มือของฮ่องเต้ฉีตี้เริ่มมีริ้วรอยขึ้นมาแล้ว พอจะมองเห็นจุดด่างดำที่ไม่สม่ำเสมอ สีน้ำตาลเข้มเผยกลิ่นอายเสื่อมโทรมปะทะเข้าใส่หน้า

ความรู้สึกเฉื่อยเนือยของคนแก่ประเภทนี้เขาสัมผัสได้ทุกวันตอนตื่น บรรดาสนมนางในแต่ละคนที่เพิ่งรับมาล้วนมีเสน่ห์เย้ายวน ผิวกายอ่อนนุ่มราวกับนมแพะจับตัวเป็นก้อน ชวนให้คนอยากขบกัดอย่างห้ามไม่ได้ กลิ่นอายอ่อนหวานมีเสน่ห์ที่แผ่กำจายเชื้อเชิญให้เขานอนฟุบอยู่บนเรือนร่างอบอุ่นนั้นแล้วไม่อยากลุกขึ้นมา

สมัยก่อนตอนที่เขายังเป็นแม่ทัพรักษาการณ์ของซินเหยี่ยคนหนึ่ง เวลาวางแผนใช้จ่ายเงินทองในครอบครัวที่มีอยู่ไม่มากก็มักจะเกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจเช่นนี้…ในฐานะฮ่องเต้ที่สูงศักดิ์ที่สุดในโลกมนุษย์ หากได้ชื่นชมทุกสิ่งอันอัศจรรย์ในโลก ลิ้มรสสตรีงามเต็มคราบ จะเป็นความสาแก่ใจมากเพียงใด

แต่ทุกวันนี้เมื่อได้เป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หนึ่ง กลับพบว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้ยังคงได้รับมาช้าเกินไป…

หากเป็นสมัยอายุน้อย ต่อให้เขาเริงรักกับสตรีห้าคนในราตรีเดียวก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ตอนนี้สตรีสามพันคนในตำหนักในต่างรอเขาโปรยฝนพรำอย่างทั่วถึง หยาดฝนกลับเหลืออยู่ไม่มากแล้ว…ทุกครั้งในเวลานี้เขาจะหวาดกลัวขึ้นมาอย่างลึกล้ำ ความรุ่งโรจน์บนโลก สตรีงามในใต้หล้า เขาจะยังเพลิดเพลินได้อีกนานเพียงใด

ทุกครั้งเวลารู้สึกว่าตนเองเป็นวีรบุรุษไร้กำลัง แล้วมองดูบุตรชายที่อายุน้อยแข็งแรงตรงหน้าอีกที เขาจะเกิดอิจฉาอย่างยากจะควบคุม…นึกไม่ถึงว่าจะพลาดช่วงวัยที่ดีอย่างอีกฝ่ายไป…

รอยยิ้มมุมปากของฮ่องเต้ฉีตี้จางลงเล็กน้อย ความคิดที่วาบผ่านในชั่วพริบตาไม่มีค่าพอจะพูดให้คนนอกฟัง ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแก่ลง นอกเสียจากว่าจะกลายเป็นเทพเซียน มิฉะนั้นก็ไม่มีทางแก้ไขเรื่องนี้ได้

เขาเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “กระบะทรายนี้ดูแล้วประณีตมาก ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อก่อนเคยเห็นคนใช้กระบะทรายแบบนี้ ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ คล้ายจะเป็น…อ้อ จริงด้วย เหมือนกับของที่อยู่ในกระโจมแม่ทัพอวี้ฉือเต๋อของราชวงศ์ก่อน แต่ว่ากระบะทรายนี้เรียกว่าอลังการกว่าของแม่ทัพอวี้ฉือด้วยซ้ำ…”

เซียวอ๋องรู้ว่าไม่อาจปิดบังบิดา จึงรีบเอ่ย “กระบะนี้มีชายารองอวี้ฉือซื่อของลูกช่วยทำขึ้นมาโดยอิงตามแผนที่ภูมิประเทศที่ลูกวาด นางทำงานฝีมือเก่ง ทั้งยังเคยเห็นแม่ทัพอวี้ฉือสร้างกระบะทราย รวมกับที่นางพอมีความคิดด้านงานไม้งานกลไกอยู่บ้าง เลยมาแสดงฝีมืออัปลักษณ์ต่อหน้าเสด็จพ่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮั่วอวิ่นภูมิใจกับความตาแหลมของตนเองอย่างมาก จึงหัวเราะเสียงดังเอ่ย “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนาง แต่เรื่องนี้เองก็มิแปลก ในเมื่อนางก็เป็นศิษย์คนเก่งของปรมาจารย์หวงเชียนจี สร้างกระบะทรายสักใบนับว่าง่ายดาย…ดูท่าชายารองที่ข้ามอบสมรสให้เจ้าจะดีเยี่ยมมากเลยนี่!”

พูดถึงตรงนี้แล้วเปลี่ยนหัวข้ออีกครั้ง “แต่ว่า…ต่อให้ดีเยี่ยมมากกว่านี้ก็เป็นได้เพียงชายารองคนหนึ่ง เจ้าเป็นถึงองค์ชายแห่งต้าฉี หากไม่อาจแต่งภรรยาเอก ทั้งยังต้องยกอนุคนหนึ่งขึ้นมาแทน เรียกว่าชวนให้คนหัวร่อขบขันชัดๆ! แม้แต่พวกคหบดีบ้านนอกขอแค่ครอบครัวไม่ได้ตกอับ พอภรรยาเอกเสียชีวิตแล้วก็จะเลือกแต่งงานใหม่จากครอบครัวดีๆ อีกครั้งอยู่ดี จงจำไว้! ภรรยาคือภรรยา อนุคืออนุ ห้ามละเมิดหลักจารีตเด็ดขาด! ไม่ว่าจะที่ใดล้วนไม่มีเหตุผลให้เลือกยกอนุขึ้นมาเติมตำแหน่งภรรยาให้ครบๆ!”

พูดถึงตรงนี้สีหน้าของฮั่วอวิ่นเข้มงวดขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารอง ผู้ที่จะสำเร็จการใหญ่ต้องไม่สนใจเรื่องเล็ก ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นองค์ชายสกุลฮั่ว อย่าได้เลียนแบบกลิ่นอายครอบครัวเล็กๆ บ้านนอกอย่างบิดาบุญธรรมเจ้า…จะต้องหัดพิจารณาถึงความอุดมสมบูรณ์ของเรือนหลังเพื่อบ้านเมือง แต่งสตรีตระกูลสูงศักดิ์เข้าจวน เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลที่มีชื่อเสียง นี่ถึงจะเป็นหลักการสร้างครอบครัว ใต้หล้าสงบสุขที่ถูกต้อง ตรงจุดนี้เจ้ายังสู้พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้เลย!”

ประโยคนี้เซียวอ๋องฟังเข้าใจทุกคำแล้ว ในสายตาของบิดา ความรักครองคู่สองคนหนึ่งเดียวตลอดชีวิตของบิดามารดาบุญธรรมคือความคร่ำครึไม่สนใจความเหมาะสมของราชสำนักจริงๆ อีกทั้งบรรดาภรรยาและอนุที่มีชื่ออยู่ในจวนของรัชทายาทแต่ละคนต่างมาจากตระกูลมีชื่อเสียง เรียกได้ว่าแต่งตระกูลมีเกียรติของต้าฉีเข้ามาจนหมด…

เซียวอ๋องไม่ได้เถียงกลับ แต่ก้มหน้าลงเอ่ย “เสด็จพ่อทรงสั่งสอนถูกต้องแล้ว ลูกทำให้เสด็จพ่อทรงเป็นห่วง สมควรตายนับหมื่นครั้ง!”

 

เมื่อเซียวอ๋องออกจากวังหลวง บนใบหน้าเขาปราศจากความสุขุมตามปกติ กลับยังแฝงรอยยิ้มสบายใจน้อยๆ นี่เป็นสีหน้าสุขสมหวังที่สมปรารถนา สามารถตอบแทนผืนแผ่นดินได้ เซียวอ๋องนับว่าแสดงออกมาอย่างเหมาะสม

แต่หลังจากออกจากวังหลวงขึ้นรถม้าแล้ว สีหน้าของเซียวอ๋องอึมครึมลง ความจริงในใจแทบอยากเดินทางกลับไหวหนานทันที

ครั้งนี้บิดามอบเวลาให้เขากระชั้นชิดมาก หลังจากเขารีบร้อนเดินทางกลับไหวหนาน มีเวลาพักอยู่แค่ไม่กี่วันก็ต้องนำแม่ทัพที่ใช้การได้มุ่งหน้าสู่ชายแดนเหนือแล้ว

บิดาเองออกจะเชื่อมั่นในความสามารถสร้างตัวมือเปล่าของเขามากเกินไปแล้ว หมายจับเสือมือเปล่าอีกครั้ง โดยให้เขามุ่งหน้าไปชายแดนเหนือตัวเปล่า รับช่วงต่อกองทัพที่วุ่นวายโกลาหลยิ่งกว่าพรรคกระยาจก ค่อยๆ เข้าควบคุมกำลังพลเก่าของฝานจิ่งกับชนเผ่าต่างๆ ที่ยอมศิโรราบ

เพียงแต่ว่างานครั้งนี้จัดการได้ยากเสียยิ่งกว่าที่ไหวหนาน แม้แต่ช่วงเวลาเตรียมตัวยังกระชั้นชิดอย่างมาก

เซียวอ๋องตระหนักดีว่าบิดาจงใจวางแผนเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เขามีเวลาเตรียมแผนสำรองอะไรทิ้งไว้ที่ไหวหนาน จะได้ให้ทูตพิเศษของราชสำนักมารับช่วงต่อไหวหนานที่ใสสะอาดปราศจากอำนาจของเขาหลงเหลือ

ถ้าหากเดินทางตรงไปจากเมืองหลวง เวลาจะยังพอเหลือเฟือ ไม่จำเป็นต้องเร่งเดินทางเหน็ดเหนื่อยเกินไป แต่ถ้าไม่อาจบอกลากับเยี่ยนเอ๋อร์ จากลากันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงได้พบกันอีก

ทั่วทุกพื้นที่ของชายแดนเหนือคือสนามรบ ในฐานะผู้บัญชาการหลักยิ่งไม่มีเหตุผลให้พาสมาชิกครอบครัวเดินทางไปด้วย ดังนั้นครั้งนี้เขาจะต้องทิ้งอวี้ฉือเฟยเยี่ยนไว้ที่ไหวหนาน เช่นนี้นางก็ไม่ต้องกลับไปฟังคำบ่นของมารดาที่เมืองหลวง…เพียงแต่ก็ต้องอยู่แยกห่างกันไกลโพ้น แค่ลองคิดดูเขาก็รู้สึกตัดใจไม่ลงอย่างรุนแรง การบอกลากำลังจะมาถึง เขาจะไม่รีบเดินทางกลับไหวหนาน แล้วตระกองกอดเรือนกายอ่อนนุ่มอบอุ่นได้อย่างไร

 

วันรุ่งขึ้นภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ฉีตี้ได้รับรายงานลับ บอกว่าหลังจากเซียวอ๋องออกจากวังหลวงก็เดินทางออกจากเมืองหลวงย้อนกลับไหวหนานทันทีในคืนนั้น ไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองหลวงสักวันเดียว รวมถึงไม่ได้พบหน้าขุนนางคนใดด้วย ฮ่องเต้ฉีตี้อ่านสารลับแล้วผงกศีรษะน้อยๆ จากนั้นส่ายหน้าต่อ

เขาเดาสาเหตุที่เจ้ารองกลับไปได้ ถึงแม้จะสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ยังเกิดสภาพจิตใจของบิดาผู้เข้มงวดที่ชิงชังกับความไม่ได้เรื่องของลูกขึ้นมาอีก “ชายชาตรีอกสามศอกกลับลุ่มหลงความรักชายหญิง ปล่อยให้สตรีนางหนึ่งปั่นหัวจนกลายเป็นเช่นนี้!”

สีหน้าฮั่วอวิ่นเย็นชาลง สายตาเคลื่อนไปทางฎีกาที่อยู่ด้านข้างแล้วหยิบขึ้นมาอย่างจริงจัง…

 

ขณะที่ทางเซียวอ๋องซึ่งควบม้าเร็วอย่างไม่สนใจกำลังกายและพลังม้าตลอดทาง ในที่สุดหลังจากเดินทางทั้งวันทั้งคืนก็กลับถึงเมืองต้าฝู่แห่งไหวหนาน

สองสามวันมานี้องค์หญิงเล่อผิงตามราชบุตรเขยออกจากจวนเซียวอ๋องไปแล้ว ทุกวันอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงไปตกปลา ชมบุปผาเป็นเพื่อนองค์หญิงอันชิ่ง ใช้ชีวิตอย่างสบายใจมาก เพียงแต่ทุกครั้งที่ถึงยามวิกาล อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยคุ้นชิน เพราะเซียวอ๋องไม่อยู่นางจึงยิ่งคิดถึงเซียวอ๋องมากกว่าเดิม

ตอนเย็นวันนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนอ่านตำราอยู่สักพักก็บอกเป่าจูว่าจะเข้านอน ระหว่างกำลังสะลึมสะลือไม่รู้นอนหลับไปนานเพียงใด พลันสัมผัสได้ว่าร่างกายถูกกอดกระชับแน่น มีร่างที่ร้อนผ่าวกดทับแนบสนิทลงบนร่างตนเอง

บทที่ 140

ในความมืดอวี้ฉือเฟยเยี่ยนหัวใจบีบรัดแน่น แต่ต่อมาก็ได้กลิ่นคุ้นเคยบนร่างของอีกฝ่าย นางสบายใจพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะทันที “ทรงขี่ม้ามานานแค่ไหนกันเพคะ กลิ่นกายแทบรมคนตายได้อยู่แล้ว…”

เซียวอ๋องเลิกมุ้งขึ้นเล็กน้อย ยืมแสงเทียนอ่อนสลัวมองคนในดวงใจที่ไม่พบหน้ามาหลายวันอย่างละโมบ ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ข้ารีบร้อนมาพบเจ้าเพียงนี้ เจ้ากลับกล้ารังเกียจข้า เช่นนั้นจะต้องรักถนอมเยี่ยนเอ๋อร์ทั้งที่ตัวร้อนผ่าวเช่นนี้สักพักแล้ว…” พูดจบแล้วเขาก็ทาบริมฝีปากลงไปอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ

ถึงแม้ปากอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะเอ่ย ‘รังเกียจ’ นางกลับตอบสนองต่อริมฝีปากกับลิ้นของเซียวอ๋องอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ไปนานแล้ว นางย่อมตระหนักเช่นกันว่าเซียวอ๋องเดินทางไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมา ตนเองยังติดที่มีฐานะเป็นสตรีเรือนหลังไม่อาจร่วมทางไปด้วย วันบอกลากำลังใกล้เข้ามา ในใจเองก็รู้สึกตัดใจไม่ได้อย่างยิ่ง ได้แต่กระชับท่อนแขนเรียวโอบกอดบุรุษกำยำผู้นี้ จารจดกลิ่นอายทุกอณูของเขา เก็บเกี่ยวทุกความอบอุ่นของจุมพิตเร่าร้อนอย่างละโมบ

สุดท้ายนางก็พลิกร่างขึ้นนั่งบนตัวเซียวอ๋อง เซียวอ๋องอมยิ้มมองสตรีแน่งน้อยผู้นี้ที่มีสภาพเรือนผมดำดกแผ่สยาย นัยน์ตาเปี่ยมความรู้สึกแล้ว แววตาเขาก็ดุดันขึ้น ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงน้อยๆ หลายครั้งพร้อมกับเอ่ยเสียงแหบ “เยี่ยนเอ๋อร์ของข้ามีท่าทีของแม่ทัพหญิงอยู่หลายส่วนจริงๆ ท่าขี่ม้าต้านศัตรูช่างดูไร้เทียมทานนัก!”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก้มตัวลงวางสองมือค้ำข้างศีรษะของเซียวอ๋องพลางเอ่ย “ข้าจะชนะศึกนี้ได้หรือไม่ ยังต้องรอดูว่าม้าอย่างพระองค์แข็งแรงดีหรือไม่แล้ว”

ถ้อยคำนี้กระซิบแผ่วเบาจากปลายลิ้น ทั้งยังจงใจเอ่ยขึ้นข้างหูของเขา ความเย้ายวนในน้ำเสียงอ่อนโยนช่างชวนให้คนไม่อาจทนไหว

แม่นางน้อยน่าตายผู้นี้ไปเรียนรู้วิชายั่วยุคนมาจากที่ใด กลับเอาแต่เรียนรู้เรื่องไม่ดีบนเตียงมากขึ้นทุกวัน! ชั่วขณะนี้เซียวอ๋องหลงลืมไปเสียสนิทว่าตนเองก็คือ ‘อาจารย์คนแรก’ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เยี่ยนเอ๋อร์!

เวลานั้นเสียงเตียงโยกคลอนเอี๊ยดอ๊าดอย่างรุนแรงก็ดังผสานกับเสียงหอบครางแว่วหวานที่ชวนให้คนรอบข้างอับอายหน้าร้อน!

 

วันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งสว่างเรืองรอง เซียวอ๋องที่ควบม้าห้อตะบึงมาครึ่งคืนถึงประทับจุมพิตลงบนหน้าผากของสตรีที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ช่วงเวลาครึ่งคืนที่ผ่านมานี้มีไว้พิสูจน์ว่าตนเองเป็นม้าวิ่งพันหลี่ที่สามารถฝากความเป็นความตายเอาไว้ได้ ถึงจะปราศจากคำรักหวานซึ้งระหว่างสามีภรรยา เพียงแต่หากให้พูดในสิ่งที่คิดออกมากลับยากจะเอื้อนเอ่ยปากอยู่บ้าง จึงทำได้เพียงกอดกระชับแน่น จดจำผิวกายอบอุ่นเปียกชื้นนั้นเอาไว้…

หลังจากแต่งกายเรียบร้อย ไม่ทันจะล้างหน้าล้างตาก็หันมามองหญิงสาวที่ซุกหน้านอนหลับอยู่บนหมอนอีกครั้งอย่างอาวรณ์ ก่อนจุมพิตหน้าผากมนเกลี้ยงเกลา ไล่มาถึงปลายจมูกโด่งรั้นเบาๆ ถึงได้ยืดตัวขึ้นเดินออกไปเงียบๆ

ประเดี๋ยวเขายังต้องไปที่ค่ายทหาร เลือกทหารที่ใช้การได้พาไปยังทะเลทรายเหนือด้วย รวมถึงมีเรื่องราวจิปาถะอีกมากที่จะต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง…เขาเพิ่งได้รับรายงานจากสายลับระหว่างเดินทางกลับมาว่าคนที่มารับช่วงต่อไหวหนานกลับเป็นหวังอวี้หล่าง!

แต่ละครั้งที่เขาเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้ามักจะคลาดกับน้องเขยผู้นี้เสมอ นับดูแล้วก็ไม่เคยพบหน้ากันมานาน ราชบุตรเขยในความทรงจำผู้นั้นยังเป็นคนไร้ค่าที่สำลักฤทธิ์สุราแรงอย่าง ‘ล้มลา’ จนน้ำหูน้ำตาไหลอยู่ในวังหลวง…

แต่หลังจากเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงมาไหวหนาน กลับได้ยินว่าดวงชะตาขุนนางของน้องเขยคนนี้นับว่ามั่นคง ทำงานสุขุมและไม่ละโมบในความดีความชอบ เป็นผู้มีประสบการณ์ในหมู่คนหนุ่มที่หาได้ยาก ทั้งได้รับความโปรดปรานจากบิดาอย่างมาก

ส่งหวังอวี้หล่างมาที่นี่ดีกว่าให้คนของสกุลเสิ่นมารับช่วงต่อเนื้อติดมันพร้อมปรุงก้อนนี้จริงๆ…

เพียงแต่…ไม่รู้เหตุใด ขอแค่เซียวอ๋องคิดว่าสตรีของตนเองอยู่ในถิ่นของอดีตคู่หมั้นนาง ภายในใจก็จะรู้สึกอึดอัดคับข้องอย่างยิ่ง

ท่าทางแอบดมกลิ่นผ้าเช็ดหน้าลายปักของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนอย่างหลงใหลของหวังอวี้หล่างในอดีตยังคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าหวังอวี้หล่างแค่กล้าคิดไม่กล้าทำ เขาก็คงจะกำจัดอีกฝ่ายทิ้งไปนานแล้ว จะเก็บหวังอวี้หล่างมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร

แต่เขาไม่อยู่ที่ไหวหนานเป็นเวลานานนั้นไม่เหมาะสม…คิดถึงตรงนี้เซียวอ๋องก็ลอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะส่งเซวียเฟิงกลับเจียงหนาน ให้ไปหาจวนที่ทัศนียภาพงดงามเหมาะให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย้ายไปพักอยู่ ส่วนเรื่องฉาวโฉ่ขององค์หญิงเล่อผิง ในเมื่อหวังอวี้หล่างผู้นั้นอยากรับเอาไว้ เขาเองก็คร้านจะสนใจ ยินดีกับความเงียบสงบได้พอดี

เมื่อคิดเช่นนี้เซียวอ๋องก็ตวัดกายขึ้นหลังม้าในเวลาเช้าตรู่ เตรียมจะจัดการกับงานต่างๆ ก่อนออกเดินทาง

ตอนที่มาถึงหน้าค่ายทหารกลับเห็นคนผู้หนึ่งมายืนรออยู่หน้าประตูตั้งแต่เช้าตรู่

รอเซียวอ๋องเดินนำองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้าใกล้ถึงเพิ่งเห็นว่าเป็นหวังอวี้หล่างอย่างคาดไม่ถึง ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน อีกฝ่ายผอมลงและดำคล้ำขึ้นมาก แต่ว่ารูปร่างกำยำขึ้นกว่าแต่ก่อน

อาจเพราะตื่นเช้าเกินไป ราชบุตรเขยหวังจึงยังไม่ได้กินอาหารเช้า น่าจะซื้อบะหมี่เส้นมันสำปะหลังชามหนึ่งมาจากเพิงขายอาหารเช้า กำลังถือชามไม้นั่งสูดเส้นบะหมี่กินช้าๆ อยู่บนก้อนหินข้างค่ายทหาร

ในตอนที่ความร้อนของบะหมี่เส้นมันสำปะหลังกำลังดีจึงสูดอย่างแรงเข้าไปคำใหญ่ ปลายหางตาก็มองเห็นเซียวอ๋องขี่ม้ามาถึงตรงหน้า เขาจึงรีบวางชามที่ยกชิดปากลง เตรียมจะรีบกลืนลงไป ผลปรากฏว่ารีบร้อนกลืนจนสำลักติดคอ พ่นกระฉูดออกมา ทำเอาบนชุดขุนนางมีแต่รอยน้ำแกง น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาพร้อมกัน สภาพดูไม่ได้อย่างมาก!

เซียวอ๋องมองสภาพลุกลี้ลุกลนของหวังอวี้หล่างแล้วขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงว่าจะยังมีสภาพโง่งมเหมือนเมื่อก่อน! เสียทีที่ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ยังหลงนึกว่าคนผู้นี้พอจะมีความก้าวหน้าขึ้นบ้าง!

“นึกไม่ถึงว่าราชบุตรเขยหวังจะตื่นเช้าเพียงนี้ เข้าไปในค่ายทหารก่อนแล้วค่อยกินอาหารเช้า เป็นอย่างไรเล่า มานั่งรับลมกินบะหมี่อยู่ตรงนี้ก็มิแปลกที่จะสำลักเข้า…” เซียวอ๋องไม่มองเขาอีก เพียงเอ่ยเสียงเย็น

หวังอวี้หล่างรับผ้าเช็ดหน้าจากบ่าวรับใช้ข้างกาย รีบร้อนเช็ดปลายคางกับน้ำแกงบนชุดขุนนางให้สะอาดแล้วเอ่ย “เซียวอ๋องทรงสั่งสอนถูกต้อง กระหม่อมเสียมารยาทไปแล้ว เป็นเพราะไม่ได้พบเซียวอ๋องมานาน อีกทั้งเพิ่งมาถึงไหวหนานยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น หลายวันมานี้จึงนอนไม่หลับ เมื่อได้ยินว่าพระองค์รีบเสด็จกลับมาแล้ว จึงคิดอยากพบพระองค์ให้เร็วหน่อย ตั้งใจมารับฟังคำแนะนำ จะได้มีความเข้าใจเร็วขึ้นพ่ะย่ะค่ะ…”

ระหว่างที่พูด หวังอวี้หล่างก้าวสั้นๆ เดินตามหลังเซียวอ๋องเข้าไปในค่ายทหารด้วยกัน

เซียวอ๋องสั่งให้เซี่ยวชิงที่อยู่ด้านข้างหยิบแผนที่แนวป้องกันกับคลังเสบียงของไหวหนานมามอบให้หวังอวี้หล่างทั้งหมด “พวกนี้คือรากฐานชีวิตอันสงบสุขของไหวหนาน ตอนนี้ล้วนต้องฝากฝังไว้กับราชบุตรเขยหวังแล้ว อาศัยโอกาสที่ข้ายังอยู่ รบกวนราชบุตรเขยหวังอ่านดู หากมีจุดที่ไม่เหมาะสมจำเป็นต้องจัดวางแนวป้องกันใหม่ รบกวนราชบุตรเขยหวังปรับแก้เอาเอง นอกจากนี้ยังมีรายชื่อขุนนางประจำท้องถิ่นต่างๆ ถ้าหากราชบุตรเขยพาคนที่ใช้งานจนชินมาด้วย ก็สามารถจัดแจงที่ทางของพวกเขาด้วยตนเอง”

ดั่งคำกล่าวที่ว่าผลัดโอรสสวรรค์ เปลี่ยนขุนนางทั้งราชสำนัก เวลาลงมายังท้องถิ่นเองก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อราชบุตรเขยหวังรับตำแหน่งใหม่ ถ้าหากไม่พาที่ปรึกษาคนสนิทมาด้วย เกรงว่าจะปรับตัวกับสถานการณ์ได้ยาก

นึกไม่ถึงว่าหวังอวี้หล่างได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วกลับส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงส่งบุคคลมีฝีมือด้านบัญชีจากกรมอากรมาให้กระหม่อมบ้าง แต่ว่านอกจากเด็กรับใช้สองคนกระหม่อมไม่ได้พาใครมาด้วยสักคน ช่วยลดงานโยกย้ายที่ยุ่งยากไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวอ๋องได้ยินแล้วเลิกคิ้ว มองหวังอวี้หล่างด้วยสายตาแปลกๆ

หวังอวี้หล่างหยิบผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเส้นมันสำปะหลังขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากต่อ พร้อมกับเอ่ย “หลังจากกระหม่อมได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท บิดาเคยกำชับตักเตือนว่าการดูแลงานปกครองไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับการสร้าง แต่ขึ้นกับการรักษาด้วย ความสามารถของกระหม่อมเทียบกับเซียวอ๋องแล้วเสมือนแสงหิ่งห้อยเทียบกับแสงจันทร์ ดังนั้นจึงเต็มใจเลียนแบบอัครเสนาบดีเฉาชาน…เซียวเหอตั้งกฎเฉาชานทำตาม รูปแบบการปกครองทุกอย่างของไหวหนานจะไม่เปลี่ยนแปลงพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวอ๋องได้ยินแล้วเลิกคิ้ว หรี่ตาเขม้นมองหวังอวี้หล่างอย่างครุ่นคิด ก่อนเอ่ยขึ้นกะทันหัน “ฝีเข็มของผ้าเช็ดหน้าในมือราชบุตรเขยประณีตนัก ตรงมุมผ้าปักอักษรกึ่งภาพตัวเล็กเอาไว้ แค่มองก็รู้ว่าเป็นของขวัญแทนใจจากสตรีในห้องหอ ไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของใครหรือ คงไม่ใช่ของน้องสาวที่หยาบกระด้างผู้นั้นของข้ากระมัง”

ราชบุตรเขยหวังคล้ายคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เซียวอ๋องจะถามเรื่องนี้ เหงื่อยิ่งไหลพลั่กกว่าเดิม ทั้งยังรู้แก่ใจว่าปิดไม่มิด จึงเอ่ยอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ของ…ของสาวใช้ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ในจวนผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากเซียวอ๋องทรงชอบ กระหม่อมสั่งให้นางปักออกมาเพิ่มได้พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวอ๋องค่อยๆ เหยียดยิ้ม “ราชบุตรเขยช่างมีเสน่ห์กับสตรีเสียจริง ผ้าเช็ดหน้าในมือไม่เคยขาดแคลนมาก่อน…”

ราชบุตรเขยหวังคล้ายหน้าเปลี่ยนสี กดเสียงต่ำลงเอ่ย “ก็แค่พวกสาวใช้ที่คิดเพ้อฝันก้าวหน้าขึ้นมาเท่านั้น แต่ว่าถึงแม้องค์หญิงจะไม่ค่อยถือสาเรื่องพวกนี้…แต่ช่วงนี้นางไม่ค่อยสบาย อารมณ์เสียอยู่ทุกวัน หวังว่า…หวังว่าองค์ชายรองจะไม่ตรัสขึ้นมาต่อหน้าองค์หญิง นางจะได้ไม่กริ้ว…”

เซียวอ๋องเองก็คร้านจะฟังเรื่องราวจุกจิกในจวนจำพวกนั้น คล้ายหมดความสนใจต่อน้องเขยขี้กลัวผู้นี้เช่นกัน เปิดปากเอ่ย “ถ้าราชบุตรเขยไม่มีเรื่องอะไรอีกก็เชิญกลับไปได้แล้ว ข้ายังมีธุระอื่นให้จัดการต่อ…”

หวังอวี้หล่างได้ยินแล้วรีบลุกขึ้นคารวะ จากนั้นเดินออกไป รอเขาออกจากค่ายทหารก้าวขึ้นรถม้า เหงื่อบนใบหน้ายังคงไม่หยุดไหล ดวงหน้าสะท้อนความมันวาว

แต่เมื่อเขาเข้าไปนั่งในรถม้า ปล่อยม่านประตูปิดลงมา สีหน้าถ่อมตนถึงนับว่าค่อยๆ เลือนหาย

ผ้าเช็ดหน้าที่เลอะน้ำจิ้มเครื่องเทศถูกโยนทิ้งด้านข้าง ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นระคายเคืองมาก แค่แตะถูกผิวตรงลำคอเล็กน้อยก็แสบร้อนจนเหงื่อชุ่มหน้าผาก

ถึงแม้จะเตรียมตัวมาพร้อมสรรพ แต่จังหวะเมื่อครู่นี้เขาถูกสายตาคมกริบของเซียวอ๋องมองจนหมดความมั่นใจไปเล็กน้อยจริงๆ…โชคดีที่เตรียมตัวมา มิฉะนั้น ‘การทำตัวอ่อนหัด’ ต่อหน้าเซียวอ๋องผู้เก็บงำประกายล้ำลึกมากคนนี้ยังเปลืองแรงอยู่บ้างจริงๆ…

หวังอวี้หล่างคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มน้อยๆ ส่งผลให้แผลเป็นที่หางตาบิดเบี้ยวขึ้นมา…

 

หลังจากเซียวอ๋องจากไป ภาระงานทุกอย่างของไหวหนานถูกย้ายไปอยู่ในมือของราชบุตรเขยหวัง ตอนแรกบรรดาขุนนางของไหวหนานยังเป็นห่วงว่าราชบุตรเขยเพิ่งมารับตำแหน่งจะรีบร้อนแสดงความสามารถ แต่ที่ชวนให้คนแปลกใจคือราชบุตรเขยหวังกลับทำตัวดั่งเซียวเหอตั้งกฎเฉาชานทำตาม กฎหมายกับแผนการปกครองล้วนอิงตามของเซียวอ๋อง วิธีการค่อนข้างนุ่มนวล สถานการณ์ขุนนางของไหวหนานมั่นคงอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างค่อยๆ มีแนวโน้มเงียบสงบลง

หลังจากองค์หญิงเล่อผิงไปอยู่ที่จวนราชบุตรเขย นึกถึงเหตุการณ์ที่หลายวันก่อนถูกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนข่มขวัญก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก นางกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนรู้จักกันมานานแล้ว แต่เดิมนึกมาตลอดว่าอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเป็นสตรีสำรวมอ่อนหวานแต่นิสัยอ่อนแอ นอกจากครั้งที่สนามล่าสัตว์ทำให้นางเปิดหูเปิดตากับตัวตนอีกด้านของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนบ้าง แต่โดยปกติอีกฝ่ายล้วนดูอ่อนหวาน

องค์หญิงเล่อผิงไม่เคยเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเป็นผู้อาวุโสมาก่อน คำพูดคำจาเองก็ไม่เคยเกรงใจเท่าไร ครั้งก่อนเอ่ยปากขอให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยอมรับลูกของนาง องค์หญิงเล่อผิงรู้สึกว่าตนเองอ้อมค้อมมากแล้ว ผลปรากฏว่ากลับถูกพี่รองเข้ามายุ่ง หลังจากพี่รองไม่อยู่ เดิมหลงนึกว่าตนเองจะตัดสินใจเรื่องในจวนเซียวอ๋องได้ นึกไม่ถึงว่าจะถูกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนขัดขวางด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องพวกนี้องค์หญิงเล่อผิงก็จะโมโหหงุดหงิด

วันนี้องค์หญิงเล่อผิงกำลังนั่งอยู่ในจวนว่างๆ พลันได้รับจดหมายด่วนแปดร้อยหลี่จากมารดาที่ถูกส่งมาจากจุดพักม้า เมื่อเปิดอ่านก็เจอกับประโยคด่าทอมืดฟ้ามัวดินก่อนเป็นอันดับแรก เสิ่นฮองเฮารู้จากทางเซียวอ๋องว่าองค์หญิงเล่อผิงออกจากจวนเซียวอ๋อง กลับจวนราชบุตรเขยไปกับหวังอวี้หล่างด้วยตนเอง ก็โมโหจนเหมือนเผชิญด่านเคราะห์ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่จริงๆ

ทางเสิ่นฮองเฮาพยายามทำทุกวิถีทาง ใช้แผนการนับไม่ถ้วนมาช่วยปกปิดให้บุตรสาว หวังเพียงว่าจะปิดบังหูตาของฮ่องเต้กับขุนนางได้ กำจัดลูกชู้ทิ้งอย่างราบรื่น บุตรสาวตนเองกลับดีนัก แบกท้องโตตามราชบุตรเขยกลับไป กลัวราชบุตรเขยจะไม่รู้ว่าตนเองท้องลูกชู้ สวมหมวกที่ทั้งเขียวทั้งใบใหญ่ให้กับสกุลหวังของเขา

ต่อให้เป็นคนผยองอวดดีมาจนชินอย่างเสิ่นฮองเฮายังรู้สึกว่าวันหน้าเงยหน้าต่อหน้าอัครเสนาบดีหวังไม่ขึ้นแล้ว

จดหมายทั้งฉบับมีแต่คำด่าทอบุตรสาวไร้สมองของตนเองจากใจจริง ท้ายจดหมายกลับฝากฝังความลับบางอย่าง บอกให้องค์หญิงเล่อผิงเก็บนิสัยอารมณ์ร้ายลงบ้างก่อนที่ ‘คนผู้นั้น’ จะมา

องค์หญิงเล่อผิงกวาดตาอ่านผ่านข้อความต้นจดหมาย ซึ่งไม่ได้อ่านเข้าสมองเลยแม้แต่คำเดียว ตอนที่เห็นประโยคสุดท้ายดวงตานางก็เป็นประกาย รู้สึกว่าช่วงเวลาสบายใจได้คลายโทสะกำลังจะมาถึงแล้ว

คิดถึงตรงนี้แล้วองค์หญิงเล่อผิงจึงเรียกพ่อบ้านมาเตรียมรถม้าทันใด ตนเองจะแวะไปที่จวนเซียวอ๋อง

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 เม.. 68

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: