บทที่ 141
หลังจากองค์หญิงเล่อผิงออกไปจากจวน จวนเซียวอ๋องถึงกลับคืนสู่วันเวลาสงบสุขในที่สุด นอกจากความคิดถึงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างมีความสุข นางมีเวลาอ่านตำรา ได้เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงน้อยอันชิ่ง บางครั้งยังเข้าครัวทำอาหารพิถีพิถันบางอย่าง
แต่เมื่อล่วงเข้าสู่ยามราตรีที่นอนไม่หลับ นางก็จะเดินไปยังห้องหนังสือของเซียวอ๋องตามลำพัง เหม่อมองกระบะทรายใบเล็กฝีมือตนเองอีกใบ นางร้างราจากสนามรบมานานแล้ว แต่ภาพธงโบกสะบัด เสียงกลองรบกลับไม่เคยเลือนหายจากความฝัน
ตอนนี้เซียวอ๋องน่าจะเดินทางถึงค่ายใหญ่ที่ชายแดนเหนือแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่ค่ายแนวหน้าเป็นอย่างไรบ้าง ทางด้านองค์หญิงอาอวี่ไม่มีทางยอมส่งมอบอำนาจให้แน่นอน เขาจะเจอกับอุปสรรคอย่างไรบ้างนะ
เมื่อพลิกตัวกระสับกระส่ายเช่นนี้ ทุกเวลากลางวันนางจึงมีสภาพเฉื่อยเนือยอยู่บ้าง
เป่าจูมองดูอยู่ด้านข้างจนร้อนใจ เอ่ยกล่อมอวี้ฉือเฟยเยี่ยนว่า “ตอนกลางคืนชายารองอย่าลุกขึ้นมาอีกเลยเจ้าค่ะ การอดนอนทำร้ายเลือดลมมากที่สุด หากเอาแต่เป็นเช่นนี้ รอองค์ชายรองเสด็จกลับมาเมื่อไร ท่านจะป่วยเอาได้”
แต่เมื่อเข้าสู่ยามวิกาล ตอนที่นอนเฝ้าเตียงว่างเปล่าตามลำพังอวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับยังนอนไม่หลับ ตอนบ่ายวันนี้อุตส่าห์อ่าน ‘บันทึกทะเลทรายเหนือเมืองต่างถิ่น’ สักพักแล้วเริ่มง่วงงุนขึ้นมา แต่ปิดตาลงยังไม่ทันนอนหลับเต็มอิ่มก็ได้ยินคนมาแจ้งว่าองค์หญิงเล่อผิงแวะมาที่จวน
หลังจากองค์หญิงเล่อผิงไปอยู่จวนราชบุตรเขยก็ไม่เคยแวะมาอีก ไม่รู้เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงทำตัวผิดปกติมาเยือนจวนเซียวอ๋องอย่างกระตือรือร้น บอกว่าคิดถึงองค์หญิงอันชิ่งน้องสาวตนเอง
องค์หญิงอันชิ่งได้ยินว่าพี่สาวแวะมาเยี่ยมตนเองก็ดีใจ รีบเดินไปพบพี่สาวที่ห้องรับแขก
องค์หญิงเล่อผิงมองนางครู่เดียวก็โบกมือ บอกให้นางไปเล่นกับหมัวมัว ก่อนคุยกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนต่อ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นท่าทางผิดหวังขององค์หญิงอันชิ่งก็รู้สึกทนไม่ได้ เรียกเป่าจูมาพาองค์หญิงอันชิ่งไปชมบุปผาที่สวนด้านหลัง
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นองค์หญิงเล่อผิงที่หน้าท้องกลมโตขึ้นเรื่อยๆ สีหน้ายังคงหยิ่งยโสก็รู้สึกอิดหนาระอาใจอยู่บ้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยชักสีหน้าใส่องค์หญิงผู้นี้แล้ว จึงถามเสียงเรียบอย่างไม่เกรงใจ “องค์หญิงทรงพบหน้าองค์หญิงอันชิ่งแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่”
องค์หญิงเล่อผิงคล้ายฟังออกถึงเจตนาขับไล่ ทว่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “งานมงคลของพี่รองกำลังใกล้มาถึง ข้าเลยแวะมาแสดงความยินดีกับพี่รอง”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินคำว่า ‘งานมงคล’ ทั้งยังเห็นรอยยิ้มมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นขององค์หญิงเล่อผิง หัวใจก็บีบรัดแน่น แสร้งทำเป็นถามอย่างไม่สนใจ “อ้อ พี่รองของพระองค์ทรงมีงานมงคลอะไรหรือ”
องค์หญิงเล่อผิงยิ้มเอ่ย “หากข้าพูดแล้วมิใช่จะขาดความตกใจระคนยินดีตอนงานมงคลมาเยือนหรือ…ว่าไปแล้วก่อนหน้านี้ที่ข้าเสนอเรื่องรับเลี้ยงบุตรในนามเองก็เป็นความปรารถนาดี เข้ามาอยู่จวนพี่รองข้านานเพียงนี้กลับออกไข่ไม่ได้สักฟอง…เจ้าบอกมาเองสิว่าเรื่องนี้ใช้ได้หรือ ก็ไม่แปลกที่…วันหน้าเจ้าดูแลตนเองดีๆ แล้วกัน อย่าโทษว่าข้าไม่ได้ตักเตือน วิชาแมวสามขา* รำกระบี่เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้า วันหน้าไม่ต้องอวดเก่งต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ตนเองขายขี้หน้าแล้ว!”
พูดจบองค์หญิงเล่อผิงก็คลี่ยิ้มมีเลศนัย แล้วลุกขึ้นเดินท้องโตอุ้ยอ้ายจากไป
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนั่งใคร่ครวญอยู่สักพัก ไม่รู้เหตุใดหัวใจจึงหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ…
สิบวันผ่านไป ขบวนรถม้าภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์วังหลวงแล่นเข้ามาในเมืองต้าฝู่ ก่อนมาหยุดที่หน้าประตูจวนเซียวอ๋อง
รถม้ากับองครักษ์วังหลวงจำนวนมากเพียงนี้มาอยู่ที่หน้าประตู ขวางหน้าประตูใหญ่ของจวนเซียวอ๋องแน่นสนิท
ทหารเฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานหัวหน้าเว่ย หัวหน้าเว่ยวิ่งมาถึงหน้าประตูเห็นเป็นองครักษ์วังหลวงก็ตระหนักว่าจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์จากเมืองหลวงมาเยือน ในใจนึกคับข้องว่าองค์หญิงเล่อผิงกับองค์หญิงอันชิ่งต่างอยู่ที่ไหวหนานกันแล้ว จะยังมีเชื้อพระวงศ์ที่ใดมาในเวลานี้อีก คงไม่ใช่ว่ามารับตัวองค์หญิงทั้งสองพระองค์กลับเมืองหลวงนะ จึงรีบส่งคนไปรายงานชายารอง ส่วนตนเองเดินไปข้างรถม้า ต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์
รถม้าคันแรกมีม้ารูปงามสองตัวลากอยู่ เมื่อประตูเปิดออก ขันทีวัยกลางคนสวมหมวกสูงคนหนึ่งก็ก้าวลงมาพร้อมเอ่ยเสียงแหลม “พระราชโองการมาเยือน จวนเซียวอ๋องรับพระราชโองการ”
หัวหน้าเว่ยได้ยินแล้วตื่นตกใจ เซียวอ๋องไม่อยู่ที่จวนด้วยซ้ำ ส่งพระราชโองการแบบใดมากัน เขาไม่กล้าถามอะไรอีก วิ่งเข้าไปแจ้งกับชายารองด้วยตนเองเสียเลย
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินคำพูดของหัวหน้าเว่ยแล้วใจกระตุก หรือเรื่องนั้นจะได้รับการพิสูจน์แล้ว?
หลังฟังคำพูดขององค์หญิงเล่อผิง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมีการเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว แต่ยังคงคิดไม่ถึงว่าพระราชโองการจะมาไวเพียงนี้
นางรีบออกจากจวนไปเชิญขันทีผู้ประกาศพระราชโองการเข้ามาในจวน ขณะเดียวกันก็สั่งให้หัวหน้าเว่ยเตรียมพรมสี่เหลี่ยมผืนหนึ่ง
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคุกเข่าบนพรมเรียบร้อยแล้วค้อมศีรษะเอ่ย “หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการแทนเซียวอ๋องเพคะ”
ขันทีประคองพระราชโองการอ่านประกาศเสียงดัง “ด้วยโองการสวรรค์ ฝ่าบาทมีพระราชบัญชา ในบ้านไม่อาจขาดเจ้านาย องค์ชายรองของข้าปักหลักอยู่ยาวที่ชายแดนเหนือเพื่อตอบแทนแว่นแคว้น ภายในจวนว่างเปล่าไร้ทายาทสืบทอด จึงแต่งตั้งบุตรสาวสกุลเฉิงนามอู๋ซวงมาเป็นภรรยาขององค์ชายรองแห่งต้าฉี อู๋ซวงอ่อนหวานมีคุณธรรม ความสามารถโดดเด่น เป็นคู่ครองที่ดีของบุตรข้า ให้เข้าอยู่จวนแบ่งเบาภาระในจวนก่อน รอบุตรข้ากลับมาแล้วค่อยจัดพิธีแต่งงาน จบพระราชโองการ”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนฟังพระราชโองการจบแล้วตอบเสียงเบา “ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ก่อนลุกขึ้นยืนสั่งให้หัวหน้าเว่ยมอบค่าตอบแทนแก่บรรดาข้ารับใช้สูงศักดิ์จากวังหลวงที่มาถ่ายทอดพระราชโองการ มอบเงินก้อนไม่น้อยให้กับทุกคนแทนน้ำใจไมตรี
ขันทีรับเงินมาแล้วเผยรอยยิ้มเอ่ย “ขอบคุณชายารอง เพียงแต่รถม้าของชายาเอกอยู่ด้านหลังนี้เอง ประมาณสองชั่วยามก็จะมาถึงแล้ว รบกวนชายารองรีบเตรียมตัวต้อนรับชายาเอกด้วย หากเสียมารยาทไปจะทำให้ชายาเอกตำหนิเอาได้”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเอ่ยขอบคุณคำเตือนของขันที ก่อนเอ่ยกับหัวหน้าเว่ย “ชายาเอกเดินทางมากะทันหัน ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจเตรียมเรือนพักที่เหมาะสมให้ได้ ไปเก็บกวาดห้องของข้าให้เรียบร้อย ให้ชายาเอกพักที่นั่น ข้าเปลี่ยนห้องก็พอ”
หัวหน้าเว่ยเงยหน้ามองอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่ดูใจเย็นปราดหนึ่งอย่างเป็นห่วง ก่อนก้มหน้าขานรับ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับเข้าห้องด้วยใบหน้าซีดเผือด เป่าจูมองหัวหน้าเว่ยสั่งบ่าวรับใช้ขนย้ายข้าวของในห้อง ก่อนมองอวี้ฉือเฟยเยี่ยนอย่างเป็นห่วงพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ชายารองจะทูลบอกเซียวอ๋องสักคำหรือไม่เจ้าคะ”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มขื่นเอ่ย “เซียวอ๋องแทบจะเดินทางไปชายแดนเหนือตัวเปล่า รับช่วงต่อกองทัพของติ้งเป่ยโหว มีกิจธุระมากมาย หากทูลบอกเซียวอ๋องเวลานี้มิใช่เป็นการเพิ่มปัญหาให้พระองค์หรือ มิหนำซ้ำนี่เป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท พระราชโองการมาถึงแล้ว ทั่วทั้งราชสำนักต่างรับรู้ องค์ชายรองยังจะ…ทำสิ่งใดได้อีก…”
เป่าจูเอ่ยด้วยสีหน้าจืดเจื่อน “เช่น…เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเอ่ยเรียบๆ “ฝ่าบาททรงไม่มีทางปล่อยให้ตำแหน่งชายาเอกของท่านอ๋องว่างเว้นเป็นเวลานาน นี่เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น แค่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น”
ความจริงอวี้ฉือเฟยเยี่ยนยังมีคำพูดที่ไม่ได้พูดออกมา ก็เหมือนกับที่องค์หญิงเล่อผิงพูด คุณหนูเฉิงอู๋ซวงผู้นั้นไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ธรรมดา…ตอนนี้เซียวอ๋องไม่อยู่ที่จวน คุณหนูเฉิงผู้นั้นรับพระราชโองการมา ‘ทำงาน’ ก็เท่ากับแขวนป้ายทองคำอภัยโทษ กระบี่อาญาสิทธิ์เอาไว้ หลังจากปิดประตูจวนจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็พูดได้ยากแล้ว…
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็นำเป่าจูเดินไปที่ห้องหนังสือของเซียวอ๋อง ค้นจดหมายที่เซียวอ๋องเคยเขียนในอดีตออกมาแล้วไล่คัดลอก
เป่าจูไม่เข้าใจ แต่ในเวลาเช่นนี้ก็ไม่สะดวกถาม ได้แต่มองดูอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเขียนกระดาษจนร่วงหล่นลงพื้นทีละแผ่นๆ ราวกับเกล็ดหิมะ
ทุกครั้งที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคัดลอกหนึ่งชุด ก็จะเอาที่ตนเองเขียนกับกระดาษต้นฉบับของเซียวอ๋องมาเปรียบเทียบ จนกระทั่งแยกแยะลายมือตนเองไม่ออกถึงได้หยุดมือ นางปิดตาพักผ่อนสักพักแล้วหยิบกระดาษขาวมาอีกแผ่น อิงตามลายมือกับเอกลักษณ์การพูดของเซียวอ๋อง เขียนว่า
‘เขียนถึงภรรยาข้าเยี่ยนเอ๋อร์ ข้าเดินทางถึงชายแดนเหนือแล้ว กำลังจัดระเบียบกองทัพติ้งเป่ยโหว อย่างไรก็ตามติ้งเป่ยโหวเสียชีวิต จิตใจคนแตกระแหง อาวุธในกองทัพเป็นของเก่าเสียส่วนมาก จำเป็นต้องรีบปรับเปลี่ยน ขอให้เยี่ยนเอ๋อร์เร่งเดินทางมาชายแดนเหนือ ช่วยปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์’
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรอน้ำหมึกแห้งแล้วพับเก็บใส่ซองจดหมายอย่างนุ่มนวล รอเขียนจ่าหน้าซองด้วยลายมือของเซียวอ๋องเสร็จนางก็เก็บเอกสารในห้องหนังสือให้เรียบร้อย ก่อนสั่งคนไปเรียกหัวหน้าเว่ยมา ให้เขาเตรียมรถม้า เงินทอง และองครักษ์ฝีมือดีจำนวนหนึ่ง ประเดี๋ยวตนเองต้องใช้
หัวหน้าเว่ยไม่กล้าถามมากความ รีบร้อนไปเตรียมให้ทันที
ตอนนั้นเองรถม้าคันใหญ่ประดับตกแต่งสีทองคำลากด้วยม้ารูปงามสีขาวหิมะตัวหนึ่งแล่นมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องช้าๆ ขันทีอายุน้อยคนหนึ่งตะโกนเสียงแหลม “ชายาเอกที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งมาถึงแล้ว จวนเซียวอ๋องรีบออกมาต้อนรับด้วย”
รออยู่ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังมาจากข้างในจวน ประตูใหญ่ของจวนเซียวอ๋องเปิดออกท่ามกลางเสียงเอี๊ยดอ๊าด อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนำหัวหน้าเว่ยกับบ่าวรับใช้ทุกคนออกมาต้อนรับชายาเอกของเซียวอ๋องที่ข้างนอกประตู
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเดินถึงด้านหน้ารถม้าแล้วย่อกายคารวะอย่างนอบน้อม “เฟยเยี่ยนต้อนรับชายาเอก ขอเชิญชายาเอกลงจากรถม้าเจ้าค่ะ”
รอสักพักภายในรถม้าปราศจากเสียงความเคลื่อนไหว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกำลังนึกแปลกใจก็เห็นคนผู้หนึ่งตวัดกายลงจากหลังม้าศึกสีออกเทาตัวสูงใหญ่ผิดปกติ ก่อนก้าวไม่กี่ก้าวมาถึงตรงหน้าอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเอ่ยว่า “ชายารองไม่ต้องมากมารยาท รีบลุกขึ้นเถิด”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลุกขึ้นเงยหน้ามอง ตรงหน้ามีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ รูปโฉมนับว่าน่ามอง สวมชุดเกราะ เหน็บกระบี่คาดเอว ให้กลิ่นอายองอาจผ่าเผย ผู้ที่มาก็คือเฉิงอู๋ซวง ทว่านางกลับไม่ได้นั่งอยู่ในรถม้าพระราชทานของฮ่องเต้ฉีตี้ แต่ขี่ม้าล้ำค่าเร่งรีบเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงไหวหนาน
พูดถึงเฉิงอู๋ซวงผู้นี้ เรื่องเล่ามากพอให้นักเล่านิทานแต่งม้วนไม้ไผ่เล่าออกมาได้สามวันสามคืน บิดาของนางเฉิงอวิ๋นหลงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับฮ่องเต้ฮั่วอวิ่น สมัยหนุ่มขึ้นชื่อว่า ‘อวิ๋นหลงผู้บ้าดีเดือด’ ไม่เคยพ่ายสงครามที่เข้าร่วม ปกป้องฮั่วอวิ่นขึ้นเป็นผู้ว่าการท้องถิ่นอย่างราบรื่น หลังจากฮั่วอวิ่นก่อกบฏ อวิ๋นหลงผู้บ้าดีเดือดคนนี้ยังเป็นผู้นำในฐานะแม่ทัพแนวหน้า น่าเสียดายที่กาลเวลาไม่ปรานีคน เฉิงอวิ๋นหลงในวัยชราปราศจากความกล้าหาญในอดีต พ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง
เฉิงอู๋ซวงสนใจวรยุทธ์กับพิชัยยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ตามติดบิดาศึกษาวรยุทธ์กับการจัดทัพ ร่วมออกศึกด้วยกันกับบิดา หลังจากพ่อลูกร่วมมือกันกลับเอาชนะศึกติดต่อกัน สร้างคุณูปการทางการทหารให้สกุลฮั่วในการสถาปนาต้าฉี เฉิงอู๋ซวงเองก็ได้ฮั่วอวิ่นแต่งตั้งเป็นแม่ทัพอวี้เฟิ่ง แม่ทัพอวี้เฟิ่งผู้นี้นับว่าโชคดีกว่าผู้เป็นบิดา ภายหลังนำทัพตามลำพัง ใช้ลูกไม้บางอย่างเอาชนะสงครามไม่เล็กไม่ใหญ่มาได้หลายครั้ง กลายมาเป็นเรื่องเล่าขานงดงามในช่วงหนึ่ง! แซ่ซ้องกันอยู่ในหมู่ชาวบ้าน แต่งเติมเรื่องเล่ามหัศจรรย์ให้กับแคว้น
แต่ถึงแม้เฉิงอู๋ซวงผู้นี้จะรูปงาม แต่อายุกลับไม่น้อยแล้ว อายุยี่สิบสองปีแต่กลับยังไม่แต่งงาน สตรีพยศดื้อรั้นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะแต่งเข้าจวนไหว
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเห็นแม่ทัพเฉิงผู้นี้พยุงตนเองลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นไม่มองตนเองอีก แต่เอ่ยกับหัวหน้าเว่ยเสมือนเป็นนายหญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้มานานแล้ว “เจ้าคือหัวหน้าพ่อบ้านของจวนอ๋องใช่หรือไม่ ให้คนไปยกสินเจ้าสาวบนเกวียนลงมา เอาเข้าไปเก็บที่เรือนของข้าเสีย!”
บทที่ 142
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรมากมาย แค่รอสินเจ้าสาวหลายคันรถของเฉิงอู๋ซวงถูกย้ายลงมาหมดแล้ว ถึงเอ่ยเสียงมั่นคง “องค์ชายรองทรงเขียนจดหมายมาสั่งให้ข้ารีบเดินทางไปชายแดนเหนือ เดิมทีจะออกเดินทางวันนี้ ไม่ทราบเรื่องที่ชายาเอกพระราชทานจะเดินทางมา ยังนึกกลุ้มใจว่าข้าไม่อยู่ในจวนแล้วไร้คนฝากฝัง ตอนนี้ในเมื่อชายาเอกเข้าจวนแล้ว ข้าก็นับว่าสบายใจ หลังจากพบหน้าชายาเอกก็จะขอบอกลาแล้วเจ้าค่ะ”
ตอนที่เฉิงอู๋ซวงเข้าไปในจวนก็มองเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างประตู มีคนกำลังขนย้ายข้าวของขึ้นไปพอดี ตอนนี้มาได้ยินคำพูดของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็พอจะเข้าใจแล้ว จึงยิ้มน้อยๆ เอ่ย “น้องหญิงอวี้ฉือทำเพื่ออะไรกัน คงไม่ใช่ว่าเพราะข้าเข้ามาในจวนทำให้เจ้าไม่พอใจ เลยต้องการเดินทางไปทะเลทรายเหนือ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรเข้า หลังจากองค์ชายรองกลับมา ข้าจะอธิบายอย่างไร”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรีบเอ่ย “ชายาเอกคิดมากไปแล้ว…” พูดจบนางก็สั่งให้เป่าจูนำจดหมายที่เขียนเตรียมไว้ออกมา “จดหมายขององค์ชายรองส่งมาถึงเมื่อเช้า ข้าเดินทางไปเพื่อทำงาน รอทำงานที่ท่านอ๋องทรงฝากฝังเสร็จเมื่อไร ก็จะรีบเดินทางกลับมาปรนนิบัติชายาเอกเจ้าค่ะ”
เฉิงอู๋ซวงเคยทำงานอยู่ในค่ายของเซียวอ๋อง รู้จักกับเซียวอ๋องมาก่อน ย่อมต้องแยกแยะลายมือของเขาออก ในเมื่อเป็นลายมือของเซียวอ๋อง ต่อให้เป็นนางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร
ถึงอย่างไรเฉิงอู๋ซวงก็ตระหนักว่าสมรสพระราชทานครั้งนี้ของตนเององค์ชายรองถูกปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่อง หากเปลี่ยนเป็นสตรีทั่วไป เข้าจวนแบบลงมือทำก่อนค่อยแจ้งทีหลังเช่นนี้ บางทีอาจจะถอดใจกลางคัน
แต่ว่านางเฉิงอู๋ซวงไม่ใช่สตรีเรือนหลังที่กระบิดกระบวนเช่นนั้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางเห็นเซียวอ๋องก็ตกหลุมรักแรกพบเขาแล้ว ผู้อื่นต่างพูดว่านางแต่งงานช้าเพราะกลายมาเป็นแม่ทัพหญิง ความจริงคนที่มาสู่ขอถึงจวนสกุลเฉิงมีน้อยที่ใดกัน แต่ในใจนางวางเงาร่างองอาจนั้นไม่ลงตลอดเวลา จะยอมแต่งออกไปโดยง่ายได้อย่างไร
ดังนั้นตอนที่ฮ่องเต้พูดกับบิดาว่ามีเจตนายกนางให้เป็นชายาเอกของเซียวอ๋อง นางก็เข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ตอบรับการแต่งงานนี้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านบิดาด้วยซ้ำ
เดิมทีนางแค่อยู่ที่จวนเซียวอ๋องในเมืองหลวงอย่างสบายใจก็พอ แต่นางกลับไม่เต็มใจ ในเมื่อชายารองที่เซียวอ๋องแต่งก่อนอยู่ที่ไหวหนาน มีเหตุผลอันใดให้นางรั้งอยู่เมืองหลวงด้วย
เรื่องนี้เป็นหลักการเดียวกับที่แม่ทัพพึงจะพักอยู่ร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา จึงออกเดินทางมายังไหวหนาน ทำความคุ้นเคยกับคนในจวนเซียวอ๋องก่อน ทั้งมีเจตนาให้เซียวอ๋องรับรู้ถึงความสามารถในการดูแลจวนของนางในช่วงที่เขาไม่อยู่จวน ว่าไม่ได้ด้อยกว่าความสามารถในการนำทัพของนาง
ต่อสะใภ้รองไร้ท่าทีกระบิดกระบวนเพียงนี้ ฮั่วอวิ่นก็ยังยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ตอนที่เฉิงอู๋ซวงออกจากเมืองหลวงยังสั่งเสิ่นฮองเฮาให้มาส่งสะใภ้รองคนนี้ออกเดินทางถึงประตูเมืองด้วย
ในบรรดาบุตรชายสามคนของเขา เจ้ารองคือคนที่ดูคล้ายเชื่อฟังแต่ความจริงต่อต้านมากที่สุด ความรู้สึกต่อบุตรชายคนรองของเขาเองก็ซับซ้อนมากที่สุด ทางหนึ่งต้องระแวงไม่ให้ความสามารถของบุตรชายแกร่งกล้าเกินไปจนเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจฮ่องเต้ แต่อีกทางหนึ่งก็ต้องคอยขัดเกลาความสามารถของเขาอย่างลับๆ
ขุนเขาธาราของต้าฉีได้มาไม่ง่าย ขอแค่ไม่ทันระวังก็จะมีสักวันที่สกุลฮั่วถูกตีจนกลับคืนร่างเดิม
ถึงแม้เจ้าใหญ่จะเป็นบุตรชายคนโตที่เหมาะสม ควรเป็นผู้สืบทอดขุนเขาธาราหมื่นหลี่ ทว่ากลับเป็นคนที่มีแต่ความทะเยอทะยาน ไร้ซึ่งผลงาน…
คนเป็นบิดาอย่างเขาไม่ใช่ไม่เคยมอบโอกาสให้รัชทายาท สมัยนั้นเขาโยกย้ายฮั่วจวินถิงไปอยู่ไหวหนาน ทั้งยังมอบหมายงานปรับปรุงกิจการค้าเกลือให้กับรัชทายาท ด้วยหวังว่ารัชทายาทจะอาศัยโอกาสนี้สร้างผลงาน ให้บรรดาขุนนางทั้งราชสำนักได้เห็นความสามารถจัดการงานบ้านเมืองของรัชทายาท
แต่ผลลัพธ์เกือบสองปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คนที่เป็นถึงรัชทายาทอย่างเขาอาศัยการรับช่วงต่อกิจการค้าเกลือ โกงกินภาษีเกือบทั้งปีของการค้าเกลือของซานตงอย่างสมเหตุสมผล บุตรชายคนโตคนนี้หลงคิดว่าร่วมมือประสานในนอกกับเสิ่นกั๋วจิ้วจนไร้ช่องโหว่ ความจริงกลอุบายแค่นี้ถูกฮั่วอวิ่นมองเห็นอย่างชัดเจน
สุดท้ายก็เป็นคนที่สนับสนุนไม่ขึ้น! วันเวลายากจนสมัยอยู่ซินเหยี่ยประทับฝังลึกลงบนนิสัยของบุตรชายคนโตผู้นี้ล้ำลึกเกินไป เจ้าคิดเจ้าแค้นทั้งยังใจแคบ ในเรื่องเงินทองก็สายตาตื้นเขิน…จะรับภาระรัชทายาทของแคว้นได้อย่างไร
หันกลับมามองเจ้ารอง ถูกโยนไปยังสถานที่แห้งแล้งอย่างไหวหนาน เริ่มแรกภายในจวนอ๋องยากจนแทบไร้ข้าวสารติดหม้อ ทว่าในเวลาสั้นๆ ฮั่วจวินถิงกลับปรับปรุงการค้าเกลือ เปิดเส้นทางค้าขาย ขุดรากถอนโคนพรรคพวกเติ้งไหวโหรวออกจากไหวหนาน ไม่ว่าจะยกเรื่องใดขึ้นมาพูดล้วนเป็นผลงานที่ทำให้คนยอมรับนับถือจากใจ!
เมื่อเปรียบเทียบกันเช่นนี้ก็ไม่อาจโทษที่บิดาอย่างเขาไม่สนใจความเป็นบุตรคนโตแล้ว ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรต้าฉีก็ต้องสืบทอดต่อไป…เพียงแต่ความสามารถเรื่องบ้านเมืองของเจ้ารองผู้นี้ไม่มีข้อสงสัย ทว่าในเรื่องความรักชายหญิงกลับจัดการได้ไม่ใจกว้างพอ โปรดปรานเพียงคุณหนูตกอับของราชวงศ์ก่อนถึงขั้นที่ไร้ขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ!
เวลาอยู่บนเตียงในห้องหับจะโปรดปรานอย่างไรนั่นเป็นเรื่องของเขาเอง แต่ว่าอนาคตผู้ที่นั่งครองตำแหน่งฮองเฮาแห่งต้าฉีจะยังให้เป็นบุตรสาวของแม่ทัพต่อต้านต้าฉีผู้มีชื่อเสียงของราชวงศ์ก่อนอีกหรือไร
ฮั่วอวิ่นตระหนักถึงนิสัยของบุตรชายคนรองตนเองดี หากฝืนกำจัดสตรีนางนั้นจากข้างกายเขา ความสัมพันธ์พ่อลูกก็จะดูไม่ค่อยดี ยังมิสู้ส่งตัวสตรีที่โดดเด่นคนหนึ่งไปแบ่งแยกสมาธิของเขา
เพียงแต่ตัวอวี้ฉือซื่อผู้นั้นเองก็ไม่ใช่บุคคลสามัญที่อาศัยแต่มารยาสตรี หากส่งชายาเอกสักคนไปส่งๆ เกรงว่าจะข่มความโดดเด่นของสตรีผู้นั้นไม่ลงจริงๆ ดังนั้นหลังจากพิจารณาไปมาแล้ว ฮั่วอวิ่นถึงได้นึกถึงเฉิงอู๋ซวงผู้นี้ขึ้นมา
รูปโฉมของเฉิงอู๋ซวงเองก็นับว่าชั้นเลิศ มีเสน่ห์แตกต่างไปจากอวี้ฉือเฟยเยี่ยน แต่ผลงานด้านการทหารของนางนั้นกลับเป็นเรื่องที่หญิงสาวที่ทำเป็นแต่งานประดิษฐ์ผู้นั้นไม่อาจเทียบเคียงได้
เจ้ารองไม่โง่ ทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่อยู่ในใจ ต่อให้เขาไม่รักเฉิงอู๋ซวง ทว่าก็ไม่อาจไม่เคารพแม่ทัพหญิงที่สร้างคุณูปการทางการทหารคนนี้ ในฐานะว่าที่ฮองเฮาแห่งต้าฉี การได้รับความเคารพจากสามีสำคัญยิ่งกว่าได้รับความโปรดปรานไปไกล! ส่งตัวเฉิงอู๋ซวงเข้าไปอยู่ในจวนเซียวอ๋องเพื่อเสริมอำนาจจวนอ๋อง ทั้งความจริงเองก็หวังให้เจ้ารองเข้าใจถึงความจริงใจของบิดาอย่างเขา!
เฉิงอู๋ซวงอ่านขาดสถานการณ์ในราชสำนัก มองออกแต่แรกแล้วว่าเซียวอ๋องเป็นบุคคลโดดเด่นเหนือคนอื่น! ในใจฮ่องเต้ฉีตี้ยังคงให้ความสำคัญกับบุตรคนรองอย่างมาก ตำแหน่งชายาเซียวอ๋องนี้ ถ้าหากตั้งใจทำหน้าที่ดีๆ อนาคตข้างหน้าจะต้องยาวไกลกว่าการเป็นแม่ทัพหญิงแห่งต้าฉีอย่างแน่นอน!
ทุกวันนี้เฉิงอู๋ซวงนับว่านำคำฝากฝังอันหนักอึ้งส่วนหนึ่งของฮ่องเต้และฮองเฮามาถึงไหวหนาน ทว่ายังไม่ทันเข้าคุมจวนอย่างมั่นคง ชายารองตัวเล็กๆ คนนี้ก็รีบร้อนออกจากจวนแล้ว ต่อให้อ้างจดหมายของเซียวอ๋องก็ออกจะไม่ไว้หน้ากันเกินไปบ้าง จึงยิ้มบางๆ เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้พวกเราสองพี่น้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน จะได้ดูแลกันไปด้วยในตัว…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มน้อยๆ เอ่ย “เช่นนั้นย่อมดียิ่ง เพียงแต่…ที่ข้าไม่ได้เดินทางไปเสียทีเป็นเพราะลิ่วล้อของเติ้งไหวโหรวยังไม่ถูกกำจัด สถานการณ์ของไหวหนานยังไม่มั่นคง รวมกับมีองค์หญิงสองพระองค์ประทับอยู่ไหวหนาน เกรงว่าในจวนจะไม่มีคนคอยดูแลจนผิดต่อความไว้วางพระทัยของฮองเฮา เดิมทีก็กำลังลังเลลำบากใจ ตอนนี้ชายาเอกมาแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังของแม่ทัพเฉิงมีผู้ใดไม่ทราบบ้าง ผลงานด้านการทหารยอดเยี่ยมกว่าเฟยเยี่ยนเยอะนัก มิสู้ชายาเอกเดินทางไปชายแดนเหนือพร้อมกับนำภาพแบบร่างที่ข้าวาดเสร็จแล้วไปมอบให้กับเซียวอ๋องด้วย ข้าจะได้รั้งอยู่เฝ้าไหวหนาน คอยดูแลองค์หญิงน้อยอันชิ่งเจ้าค่ะ…”
เฉิงอู๋ซวงได้ยินคำพูดของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้วหรี่ดวงตากลมโตมอง เดิมทีนางได้ยินว่าชายารองอยู่ในจวนเซียวอ๋องใช้ชีวิตเหมือนปลาได้น้ำ ไม่เพียงแต่มีเงินทองอู้ฟู่ในมือ ทั้งยังช่วยเซียวอ๋องจัดการเรื่องจุกจิกอีกด้วย ตอนนี้ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องโกหกจริงๆ เงินที่ตกรางวัลให้ขันทีฝ่ายในเมื่อครู่นี้ถึงกับเทียบเท่าเบี้ยรายเดือนครึ่งปีของขุนนางขั้นหนึ่ง ชายารองตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับเป็นตัวแทนดูแลองค์หญิงน้อยที่มีอำนาจล้นฟ้า…
อีกทั้งตอนนี้เซียวอ๋องยังไม่รู้เรื่องสมรสพระราชทาน เดิมอิงตามเจตนาของฮ่องเต้ นางรับพระราชโองการเข้าอยู่ในจวน กว่าเซียวอ๋องจะกลับมาก็ต้องรอจนผ่านไปสักพักใหญ่แล้ว ต่อให้เขาขวัญกล้าสามหาวคิดขัดขืนพระราชโองการ แต่หากขับไล่ชายาเอกพระราชทานที่เข้าอยู่จวนมานานเพียงนี้ออกไป บรรดาขุนนางทัดทานจะไม่ยอมเด็ดขาด! ต่อให้ไม่เต็มใจแต่ไม้ก็กลายเป็นเรือ* แล้ว ถ้าหากตอนนี้นางบุ่มบ่ามเดินทางไปพบเซียวอ๋องที่ชายแดนเหนือ จากนิสัยของเซียวอ๋องมีโอกาสสูงมากที่จะส่งนางกลับไปหน้าประตูวังหลวงของเมืองหลวงด้วยโทสะ มิใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
เฉิงอู๋ซวงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รีบร้อนแย่งชิงความโปรดปรานจากเซียวอ๋อง เรื่องที่จะชิงอำนาจดูแลสมุดบัญชีจวนอ๋องจากมืออวี้ฉือซื่อผู้นี้มาอย่างไร ถึงจะเป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก!
เมื่อคิดเช่นนี้ ปล่อยให้อวี้ฉือซื่อผู้นี้ไปอุ่นเตียงที่ชายแดนเหนือก็นับเป็นแผนการชั้นเลิศ
นางติดตามกองทัพออกรบย่อมรู้ถึงความอึดอัดทรมานของบุรุษในกองทัพ การเข่นฆ่าสังหารในสนามรบชวนให้คนเลือดลมพลุ่งพล่านมากที่สุด หลังกลับจากสนามรบ หากมีหญิงงามคอยอยู่ในมุ้งย่อมช่วยผ่อนคลายจิตใจมากที่สุด มิฉะนั้นคณิกาในค่ายทหารจะมีแต่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร กระโจมแดงแห่งนั้นทันทีที่เข้าสู่ยามวิกาล เสียงแว่วหวานจะดังไม่ขาดสาย กระโจมสั่นคลอนน้อยๆ แสงเทียนจุดสว่างอยู่ครึ่งค่อนคืน
ตอนนี้เซียวอ๋องเขียนจดหมายหาสตรีนางนี้ด้วยตนเอง ถึงแม้จะพูดจาน่าฟังให้นางไปปรับปรุงอาวุธของกองทัพ แต่ทุกวันนี้สงครามกำลังตึงเครียด มีเวลาให้นั่งซ่อมบำรุงเสียที่ใดกัน ถึงแม้สตรีนางนี้จะได้ชื่อว่าเป็นสตรีมีความสามารถ แต่ความสามารถไม่เข้าขั้นพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่สงครามต้องการได้อย่างไร ชัดเจนว่าเซียวอ๋องไปทะเลทรายเหนือแล้ว ตอนกลางคืนร้อนรุ่มต้องการสตรีสักคนมาดับร้อนก็เท่านั้น
ในเมื่อเฉิงอู๋ซวงแต่งให้กับเซียวอ๋อง ในใจไม่ได้คิดเพ้อฝันถึงความโปรดปรานหนึ่งเดียวอยู่แล้ว บุรุษที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น อนาคตย่อมเป็นประมุขแห่งต้าฉี โฉมงามในวังหลังจะมีน้อยได้อย่างไร เจตนาของนางคือตั้งใจเป็นฮองเฮาที่ดี สนับสนุนเซียวอ๋อง ไม่มีทางแย่งชิงความรักชั่วครั้งชั่วคราวนี้เด็ดขาด!
ในเมื่อเซียวอ๋องขาดคนอุ่นเตียง ถ้าอย่างนั้นนางอนุญาตให้อนุผู้นี้เดินทางไปชายแดนเหนือจะเป็นไรไป ถึงอย่างไรก็แค่ส่งคณิกาช่วยผ่อนคลายจิตใจไปให้สามีตนเองเท่านั้น! อาศัยช่วงเวลานี้ทำความคุ้นเคยกับบัญชีคลังส่วนตัวในจวนอ๋อง รวมถึงสานสัมพันธ์กับองค์หญิงทั้งสองพระองค์ถึงจะสำคัญกว่า!
เมื่อถ่วงดุลข้อดีข้อเสียดูเช่นนี้แล้ว เฉิงอู๋ซวงก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างไม่แยแส “เซียวอ๋องทรงเขียนจดหมายมาบอกให้น้องหญิงเดินทางไป ข้าจะเป็นต้นหลี่ตายแทนต้นท้อได้อย่างไร ขอให้น้องหญิงเดินทางไปอย่างสบายใจ ช่วยปรนนิบัติกิจวัตรของเซียวอ๋องให้ดี เรื่องราวในจวนไหวหนานมอบให้ข้าจัดการก็พอแล้ว อนาคตน้องหญิงก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรง แค่ตั้งใจปรนนิบัติท่านอ๋องก็พอ!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเดาได้อยู่แล้วว่าเฉิงอู๋ซวงจะพูดเช่นนี้ ยามนั้นจึงตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เฟยเยี่ยนก็ขอตัวก่อนแล้วเจ้าค่ะ!”
ตอนที่รถม้าของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนออกจากไหวหนาน เป่าจูยังคงรู้สึกไม่เต็มใจ ทุกวันนี้นางอยู่ข้างกายอวี้ฉือเฟยเยี่ยนมานาน ในใจย่อมเข้าข้างนายหญิงของตนเอง “การสร้างอู่ต่อเรือ เปิดเส้นทางการค้า มีเรื่องใดไม่ใช่ความทุ่มเทของชายารองบ้าง ตอนนั้นเพื่อปรับปรุงภาพร่างแบบเรือสินค้า ท่านถึงกับอดนอนติดต่อกันหลายคืน ทุกวันนี้ดีนัก กลับกลายเป็น…”
เป่าจูยังไม่ทันพูดจบก็ถูกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเอ่ยขัดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ต่างเป็นสิ่งของในจวนอ๋อง สิ่งใดไม่ได้อยู่ในชื่อของเซียวอ๋องบ้าง อนาคตภายในจวนอ๋องมีนายหญิงตัวจริงแล้ว เจ้าจะต้องระวังคำพูดหน่อย…”
เป่าจูปิดปากสนิททันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับถอนหายใจยาว ภายในใจรู้สึกเหนื่อยล้าผิดปกติ วันเช่นนี้นางคิดเอาไว้ตั้งแต่เข้าจวนมาแล้ว เดิมทีตั้งใจรักษาความตั้งใจเดิม ไร้กิเลส ไร้รัก ไม่เคยคิดว่าจะเกิดความรู้สึกลึกซึ้งกับเซียวอ๋องขึ้นมา วันนี้ต่อหน้าเฉิงอู๋ซวงผู้นั้น นางพยายามควบคุมตนเองจนสุดกำลังถึงได้ไม่เสียกิริยา แต่ความหึงหวงที่ซัดสาดในใจนั้นยากจะสะกดกลั้น ทั่วทุกอณูของนางต่างกำลังกรีดร้องว่าไม่ยอมให้มีสตรีอีกคนมาแบ่งปันสามีที่ตนเองรักเด็ดขาด!
ตรงจุดนี้นางยังคงเป็นเหมือนสตรีดื้อรั้นที่ยืนอยู่ตามลำพังข้างนอกกระโจมมงคลบนภูเขาไป๋ลู่เมื่อหลายปีก่อนหน้า ไร้การเปลี่ยนแปลงสักนิด!
บทที่ 143
เส้นทางสู่ทะเลทรายเหนือทั้งยาวไกลและเชื่องช้า ผู้ติดตามนอกจากสาวใช้อย่างเป่าจู ยังมีองครักษ์อีกสิบกว่าคน เส้นทางที่ใช้เดินทางล้วนมอบหมายให้องครักษ์กลุ่มนี้จัดแจง เนื่องจากเพื่อความเหมาะสม ทุกเส้นทางจึงเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก ไม่เลือกเดินทางอันตรายเพื่อไปให้ถึงเร็วขึ้น
ตอนที่ผ่านทางน้ำ ผ่านด่านมาถึงนอกประตูด่านจินเหมิน ทัศนียภาพของทะเลทรายก็เริ่มเปิดเผยให้เห็น ตามทิวเขาทอดยาว สีสันทรายเหลืองราวกับรอยแผลเป็นที่เปิดเผยอยู่ข้างนอก พืชพรรณโหรงเหรง กระแสลมแรงหอบหมุนอยู่นอกม่านหน้าต่างรถม้า ส่งเสียงดังหวีดหวิว
ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคุ้นชิน ภายในรถม้านางสั่งให้เป่าจูหยิบขี้ผึ้งหอมไป่เหอออกมาจากกล่องเครื่องประทินโฉม ควักเนื้อออกมาทาบนผิวที่เปิดเผยสู่ภายนอกของตนเอง จากนั้นเอ่ยกับเป่าจู “เจ้าเองก็ทาหน่อยเถิด ทะเลทรายเหนือช่วงฤดูกาลนี้ร้อนแห้งมากที่สุด ถ้าหากตากแดดผิวไหม้ ตอนกลางคืนจะแสบผิวจนนอนไม่หลับ”
เป่าจูรีบตอบรับ หลังจากช่วยชายารองทาทั่วตัวอย่างสม่ำเสมอก็ทาให้ตนเองบ้างเล็กน้อย แต่ภายในใจกลับลอบชื่นชม นึกไม่ถึงว่าชายารองจะเข้าใจวิถีชีวิตที่ทะเลทรายเหนือมากเพียงนี้ อ่านเจอจากในตำราหรือ
หลังจากผ่านประตูออกมานอกด่าน ฟ้าก็ใกล้ย่ำค่ำแล้ว ไม่เหมาะเดินทางต่อ ดังนั้นรถม้าจึงจอดหยุดพักค้างคืนที่โรงเตี๊ยมอวี้เฉวียน…โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่สุดข้างนอกด่านจินเหมิน
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงแต่งกายเป็นบุรุษมาตลอดทาง เดิมทีนางก็ตัวสูงโปร่ง รูปโฉมยังงามสบายตาไม่ใช่งามจัดจ้าน เมื่อสวมชุดบัณฑิตสีครามก็ดูคล้ายบัณฑิตเจียงหนานผู้งามสง่าจริงๆ
เนื่องจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ตอนที่พวกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเข้ามาในโรงเตี๊ยมจึงไม่ได้สะดุดตาคน ก่อนเลือกห้องพักชั้นดีห้าห้องเข้าพักอยู่
หัวหน้าองครักษ์ไฉจิ้นสอบถามอวี้ฉือเฟยเยี่ยนว่าจะให้ส่งนกพิราบสื่อสารไปแจ้งกับเซียวอ๋องล่วงหน้า จะได้ให้ค่ายใหญ่ส่งทหารมารอต้อนรับดีหรือไม่
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับลังเลขึ้นมา
ครั้งนี้นางเดินทางมาทะเลทรายเหนือเป็นการลงมือก่อนค่อยรายงาน เซียวอ๋องไม่ได้รู้เรื่อง แต่ไปถึงที่นั่นแล้วตนเองควรพูดกับเซียวอ๋องอย่างไรเป็นเรื่องน่าปวดหัวอีกเรื่องหนึ่ง มิหนำซ้ำ…หากเขารู้เรื่องที่ฮ่องเต้พระราชทานชายาเอกให้ ในใจเขาจะคิดอย่างไร
ตอนที่ออกเดินทางมาอาศัยโทสะนำพาเพียงอย่างเดียว ตอนนี้มาถึงถิ่นหนาวเย็นกันดารอย่างทะเลทรายเหนือแล้ว หัวนางกลับค่อยๆ เย็นลง พิจารณาดูแล้วลอบรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม พฤติกรรมหึงหวงเช่นนี้จะรอดพ้นสายตาเฉียบแหลมของเซียวอ๋องได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็ขาดคุณธรรมของสตรีออกเรือน…ควรจะไปที่ค่ายใหญ่หรือไม่กันแน่ ในเวลาสั้นๆ นางไม่อาจตัดสินใจได้
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเอ่ยกับไฉจิ้น “รอก่อน เอาไว้เข้าแถบภูเขาไป๋ลู่ค่อยบอกอีกทีก็ยังไม่สาย”
ไฉจิ้นได้ยินแล้วประสานมือถอยออกไปนอกห้อง กำชับให้องครักษ์เฝ้าประตูคุ้มกันชายารองให้ดี ก่อนเข้าไปพักผ่อนในห้องด้านข้าง
เมื่อครู่นี้เป่าจูลงไปจ่ายเงินให้ลูกจ้างข้างล่าง ดังนั้นลูกจ้างจึงส่งน้ำอุ่นมาเทใส่ถังอาบน้ำที่ขัดสะอาดสะอ้านอย่างขยันขันแข็ง ให้แขกสูงศักดิ์ได้อาบน้ำชำระล้างกายสลายความเหนื่อยล้า
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถอดชุดก้าวลงแช่ในน้ำอุ่น ปล่อยให้ไอร้อนรมตัว ชั่วขณะนั้นนับว่าหายเหนื่อยไปหลายส่วน ระหว่างที่กำลังปิดตาพักผ่อน กลับได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากชั้นล่าง เหมือนมีคนทำลายข้าวของ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลืมตาทันใด พร้อมเรียกหาเป่าจู “เจ้าลองไปดูซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เป่าจูรีบออกไปเปิดประตู เพียงไม่นานก็วิ่งย้อนกลับมาเอ่ยเสียงเบาอย่างร้อนรน “ชา…ชายารอง ข้างนอกมีคนที่คล้ายกลุ่มโจรบุกเข้ามา บอกว่าจะมาจับตัวคนที่ชื่อ…ชื่อว่าบัณฑิตจูเก๋ออะไรสักอย่างเจ้าค่ะ…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินแล้วดวงตาผลซิ่งเบิกกว้างทันควัน เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก “บัณฑิตจูเก๋อ?”
เป่าจูผงกศีรษะ “ตอนนี้พวกเขากำลังไล่ตรวจสอบไปทีละห้อง เถ้าแก่ร้านที่ชั้นล่างขัดขวางไม่สำเร็จ โดนดาบพาดคอไปแล้ว เขาตกใจจนไม่กล้าขยับตัวอีก”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนฟังจบแล้วขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่ได้ จิตใจพลิกตลบทันควัน ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะอยู่นอกด่าน แต่เนื่องจากอยู่ใกล้กับด่านจินเหมินมาก นับว่าเป็นพื้นที่ที่สงบเรียบร้อยดี ยังถือว่าอยู่ห่างจากใจกลางพื้นที่อลหม่านไร้คนคุมอีกหลายร้อยหลี่ ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ข้างล่างมีที่มาจากที่ใด เหตุใดถึงกล้าค้นหาอย่างเอิกเกริกในที่แห่งนี้
นางคิดแล้วรีบออกมาจากถังน้ำ เกล้าผมที่เปียกชื้นเล็กน้อยขึ้นบนศีรษะ ยึดด้วยปิ่นหยกขาวอันหนึ่ง จากนั้นสวมเสื้อคลุมตัวนอก
ตอนนั้นเองได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดมาจากบันไดข้างนอก คนกลุ่มหนึ่งบุกขึ้นมาชั้นบนแล้ว ตามด้วยเสียงประตูถูกถีบเปิด เสียงกรีดร้องของบรรดาแขกผสานเสียงสบถด่าดังขึ้นเป็นระลอก
ในไม่ช้าคนกลุ่มนั้นก็ขยับมาถึงห้องพักของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกพวกไฉจิ้นขัดขวางเอาไว้ก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ไฉจิ้นเป็นบุรุษสูงแปดฉื่อจากแดนเหนือ เวลาหน้าไม่ยิ้มมีแต่ก้อนเนื้อบนใบหน้า ดูแล้วไม่ใช่คนคุยง่ายเด็ดขาด
คนที่นำการค้นหาแต่งกายแบบชาวหูหรง หน้าตาดูไม่น่าคบหาเช่นเดียวกัน เขาเดินทางมาถึงตรงนี้โดยไร้อุปสรรคใดๆ อยู่ดีๆ กลับถูกคนออกมาขวาง ยามนั้นจึงถลึงตาอย่างอำมหิต หมัดเหล็กกำแน่นเหวี่ยงใส่ไฉจิ้นทันที เดิมทีไฉจิ้นผู้นี้เป็นทหารแนวหน้าในสังกัดของเซียวอ๋อง แม้จะไม่เก่งด้านบัญชาการทัพ แต่ถ้าเป็นเรื่องต่อสู้ตัวเปล่า ต่อยคนหักขาแล้วกลับเป็นยอดฝีมือโหดเหี้ยมอันดับต้นๆ ในกองทัพของเซียวอ๋อง
เมื่อชาวหูหรงผู้นั้นเหวี่ยงหมัดมา ไฉจิ้นเบี่ยงหลบเล็กน้อย แล้วฟาดฝ่ามือใส่แขนข้างที่ยื่นมาอย่างแรง คนที่อยู่ใกล้ต่างได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก ชาวหูหรงคนนั้นทนรับแรงไม่ไหว ร้องเสียงหลงพร้อมก้าวถอยหลังทันควัน
บรรดาองครักษ์หูหรงที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วพากันร้องโวยวายชักดาบออกมาเตรียมพุ่งเข้าใส่ ตอนนั้นเองด้านหลังมีเสียงดังกังวานออกคำสั่งกระชับสั้นที่ฟังไม่เข้าใจ คล้ายจะสั่งให้พวกเขาหยุดมือ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองลอดช่องบานประตูออกไป เห็นสตรีชาวต่างเผ่าดวงหน้ารูปไข่ผิวดำคล้ำ คิ้วดกตาโตคนหนึ่งเดินขึ้นมา นางสวมเสื้อคลุมขนเตียวกระโปรงหนังสั้น สวมรองเท้าขี่ม้าหุ้มข้อคู่หนึ่ง ส่วนมือถือแส้ยาวมองมาที่ไฉจิ้นด้วยกลิ่นอายสังหาร ฉับพลันสายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้น มองผ่านไฉจิ้นมาทางประตูห้องที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนอยู่ ก่อนจะพูดบางอย่างออกมา
คนอื่นอาจฟังภาษาชนเผ่าป่าเถื่อนแดนเหนือไม่ออก แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนใช้ชีวิตอยู่แดนเหนือมานานเพียงนี้ คุ้นเคยกับภาษาถิ่นอย่างมาก นางได้ยินชัดว่าสตรีผู้นี้พูดว่า “บัณฑิตจูเก๋อน่าจะซ่อนตัวอยู่ในห้อง เรียกคนมาให้เยอะขึ้น สังหารคนของเขาให้หมด แต่จะต้องจับเป็นคนสารเลวผู้นั้นให้ได้ หลังจากจับตัวได้แล้วข้าจะควักหัวใจจูเก๋อผู้นี้ออกมาเซ่นไหว้บรรพชนด้วยตนเอง!”
คำพูดนั้นกัดฟันค่อยๆ เค้นลอดออกมา อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองกับสตรีผู้นี้มีความแค้นใหญ่โตอะไรต่อกัน นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาทำตัวป่าเถื่อนถึงถิ่นต้าฉีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่ากำลังจะมีกลุ่มคนขึ้นมาชั้นบนอีก อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตระหนักว่ากำลังทางฝั่งตนเองอ่อนแอ มีเพียงคำว่า ‘ถ่วงเวลา’ คำเดียวเท่านั้น นางจึงรีบเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบกล่องเครื่องประทินโฉมที่เป่าจูวางอยู่บนโต๊ะ หยิบแท่งเขียนคิ้วแตะสีดำน้ำหมึกเขียนอักษรแถวหนึ่งลงบนกระดาษ ก่อนพับแล้วส่งให้เป่าจูพร้อมกับกำชับ “ประเดี๋ยวอาศัยโอกาสช่วงที่ข้าคุยกับคนกลุ่มนี้ เจ้าให้องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างกลับห้องไปส่งนกพิราบสื่อสารออกไป”
นางคิดแล้วค้นของอีกอย่างมาจากในห่อสัมภาระ ใส่ในปลอกหมอนพร้อมโยนหมอนลงพื้น จากนั้นเปิดประตูเดินออกไปประสานมือเอ่ยกับสตรีต่างเผ่าผู้นั้น “ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากที่ใดหรือขอรับ”
สตรีผู้นั้นเห็นประตูห้องเปิดออก บัณฑิตสุภาพร่างผอมคนหนึ่งเดินออกมาก็ตกตะลึง เพียงแค่มองสำรวจขึ้นลงเงียบๆ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกว่าอีกฝ่ายฟังภาษาฮั่นไม่ออก จึงใช้ภาษาถิ่นหูหรงถามอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าสตรีชนต่างเผ่าผู้นั้นไม่คาดคิดว่าคุณชายสุภาพตัวผอมที่ดูเป็นบัณฑิตแดนใต้ผู้นี้จะอ้าปากเอ่ยภาษาถิ่นหูหรงแดนเหนือชัดถ้อยชัดคำออกมาได้ ในดวงตากลมโตคู่นั้นคล้ายมีสะเก็ดไฟวูบไหว ก่อนยิ้มน้อยๆ ถามตรงๆ “เจ้ามาจากที่ใด มาทำอะไร ชื่ออะไร”
เดิมทีอวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกว่าในเมื่อสตรีนางนี้มาเพื่อจับตัวบัณฑิตจูเก๋อ ย่อมรู้จักหน้าตาของนาง นึกไม่ถึงว่าสตรีที่เมื่อครู่นี้แค่พูดถึงนางยังกัดฟันกรอด เพียงครู่เดียวกลับมองนางไม่ออก อดไม่ได้นึกสงสัยขึ้นมา ระหว่างครุ่นคิดก็กดเสียงต่ำเอ่ย “ข้าฉือเยี่ยนเฟย เป็นคนเจียงหนาน เดินทางออกนอกด่านมาเพื่อทำการค้าเล็กน้อยบางอย่าง เมื่อครู่บ่าวบ้านข้าเข้าใจคนของแม่นางผิด ลงมือทำร้าย ข้าขอจ่ายค่ายาให้เอง หวังว่าแม่นางจะไม่กล่าวโทษ”
ท่าทีสุภาพมีมารยาทนับว่าหาได้ยากทางแดนเหนือ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสวมเสื้อแขนยาวคอเสื้อสูง บดบังลำคอได้พอดี นัยน์ตาหงส์นางกลมโต รูปโฉมงามสะอาด รูปโฉมเวลาปลอมเป็นบุรุษยังให้ความรู้สึกสง่างามยากจะแยกแยะเพศออก สมัยก่อนตอนอยู่แดนเหนือนางมักแต่งกายเป็นบุรุษไปไหนมาไหนกับฝานจิ่งบ่อยๆ ดังนั้นไม่ว่าจะท่าทาง คำพูดหรือกิริยาต่างไม่เปิดเผยพิรุธ
สตรีนางนั้นค่อยๆ ก้าวขึ้นหน้า ไฉจิ้นยังหมายขัดขวาง ทว่าถูกนางสะบัดแส้ยาวมาพันเอว บุรุษตัวสูงแปดฉื่อกลับถูกแม่นางที่กำลังแขนน่าตื่นตะลึงเหวี่ยงตัวลงไปข้างล่างอย่างง่ายดาย ตัวคนล้มกระแทกบนโต๊ะ ทำเอาคนที่อยู่ชั้นล่างวิ่งหนีกันอลหม่าน
หลังจากไฉจิ้นถูกเหวี่ยงตกลงไปก็โดนดาบสิบกว่าเล่มยื่นมาจ่อคอ ทว่าสีหน้ากลับตกตะลึงเป็นพิเศษ คล้ายคาดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกสตรีนางหนึ่งเหวี่ยงตกลงมาจากชั้นสอง
องครักษ์ที่เหลือของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็ถูกทหารหูหรงที่ตามขึ้นมาทีหลังใช้ดาบพาดคอ ไม่อาจขยับตัว ส่วนแม่นางผู้นั้นสามารถเดินมาถึงตรงหน้าอวี้ฉือเฟยเยี่ยนอย่างไร้อุปสรรค ค่อยๆ เดินวนรอบตัวนางหนึ่งรอบ ยื่นหน้าไปดมผมที่เปียกชื้นน้อยๆ ของนาง ก่อนเอ่ยปากด้วยภาษาฮั่นแปร่งๆ “เพิ่งอาบน้ำหรือ บุรุษชาวใต้อย่างพวกเจ้าถึงได้ตัวหอมกันเพียงนี้”
เดิมทีท่าทางละลาบละล้วงเช่นนี้ทำให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตกใจ หลงนึกว่าถูกสตรีชาวหูหรงผู้นี้จับได้แล้ว ทว่านึกไม่ถึงว่านางจะถามเช่นนี้ ยามนั้นจึงใคร่ครวญเอ่ย “ใช้เจ้าเจี่ยวสมุนไพรหอมที่นิยมในเจียงหนาน หากแม่นางชอบ ข้ายกให้แม่นางบางส่วนเป็นอย่างไร”
สตรีผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “ปากหวานเพียงนี้เจ้ารู้จักเอาใจสตรีน่าดูนี่…”
ตอนนั้นเองที่ชั้นล่างมีคนเดินเข้าโรงเตี๊ยมมาอีกจำนวนหนึ่ง ในมือชูธนูยาวที่เสียบนกพิราบสื่อสารเอาไว้พร้อมเอ่ยด้วยภาษาหูหรงว่า “ท่านหัวหน้า มีคนปล่อยนกพิราบสื่อสารไปขอรับ!”
คราวนี้เป่าจูที่อยู่ด้านหลังอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว ความหวังอันริบหรี่สุดท้ายกลับถูกเสียบตายคาลูกธนูแหลมคมทั้งอย่างนี้เสียแล้ว
สตรีผู้นั้นสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ยื่นมือรับนกพิราบสื่อสารที่ถูกโยนขึ้นมาจากชั้นล่าง ก่อนหยิบกระดาษออกมาจากกระบอกต้นกกตรงกรงเล็บเท้า เห็นตัวอักษรบนนั้นเขียนว่า
‘ร ต อ ฉ!’
ถึงแม้สตรีชาวหูหรงผู้นี้จะรู้ภาษาฮั่น รู้ตัวอักษร แต่ในเวลาสั้นๆ ก็มองอะไรไม่ออก
ความจริงนี่เป็นความเคยชินปกติเวลาอวี้ฉือเฟยเยี่ยนส่งนกพิราบสื่อสารให้เซียวอ๋อง นางมักจะชอบเขียนแบบแยกอักษร ซ่อนบางองค์ประกอบ เช่นนี้จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้จดหมายสำคัญตกอยู่ในมือของศัตรูโดยไม่ทันระวัง
ความจริงความหมายของกระดาษแผ่นนั้นคือ ‘โรงเตี๊ยมอวี้เฉวียน’ เพียงแต่จับแยกตัวอักษรลบบางองค์ประกอบเท่านั้น ถ้าหากเซียวอ๋องได้รับจดหมายจะต้องจดจำลายมือนางได้แน่นอน รวมถึงส่งม้าเร็วมาช่วยสนับสนุน แต่ตอนนี้นกพิราบสื่อสารตกอยู่ในมือของสตรีผู้นี้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่เข้าใจความหมายก็จะสงสัยตัวตนของนางอยู่ดี
ไม่ผิดจากที่คาด สีหน้าของสตรีผู้นั้นเปลี่ยนเป็นอำมหิตทันควัน จับแขนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนไว้แล้วถามว่า “เจ้าจะส่งจดหมายให้ใคร ข้อความบนกระดาษหมายความว่าอย่างไร”
ตอนนั้นเองมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมา “คุณชายฉือ นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะได้มาพบกันที่นี่ ช่างมีวาสนาเสียจริง!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองลงไปข้างล่าง…โรงเตี๊ยมอวี้เฉวียนแห่งนี้ยังนับว่าเป็นสถานที่สำคัญระหว่างเส้นทางขึ้นเหนือลงใต้ ผู้ที่ยืนอยู่ชั้นล่างคือเว่ยเซวียนซื่อที่กระโดดหน้าผาหายสาบสูญไปนั่นเอง
เพียงแต่นางไม่ได้ดูสง่างามสูงส่งเหมือนตอนอยู่ไหวหนานอีก ทว่าอยู่ในชุดชาวหูหรง สีหน้าเองก็ดูเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม ตอนที่มองมายังอวี้ฉือเฟยเยี่ยน แววตากลับดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
แต่ว่านางไม่ได้เปิดโปงฐานะของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน เพียงเดินขึ้นบันไดมาแล้วเอ่ยกับผู้นำเผ่าหูหรง “คุณชายฉือท่านนี้เป็นคนรู้จักเก่าของข้า พวกเรายังมีบางอย่างติดค้างต่อกัน ไม่ทราบว่าท่านผู้นำจะส่งตัว ‘เขา’ ให้ข้าจัดการได้หรือไม่”
ผู้นำเผ่าหูหรงคนนั้นมองเว่ยเซวียนซื่ออย่างสงสัย แต่คล้ายเชื่อใจนางมาก ปล่อยแขนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพร้อมกับเอ่ย “พาคนพวกนี้กลับไปที่เผ่าทั้งหมด!”
ตอนนี้คนทั้งโรงเตี๊ยมถูกไล่ออกไปหมดแล้ว บรรดาทหารหูหรงมือถือภาพวาดไล่ตรวจสอบไปทีละคนเพื่อตามหาตัวบัณฑิตจูเก๋อ
ตอนที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกคุมตัวลงไปชั้นล่างได้มองเห็นภาพคนในภาพวาดตั้งแต่แวบแรก…ดวงหน้านั้นคือองค์ชายเซวียนหมิงแห่งราชวงศ์ก่อนชัดๆ!
ขณะกำลังตกใจไม่หาย เว่ยเซวียนซื่อก็เดินเข้าใกล้นาง กระซิบเอ่ยข้างหู “ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็ปลอมตัวเป็นคุณชายฉือของเจ้าให้ดีๆ มิฉะนั้น…”
ชาวต่างเผ่ากลุ่มนี้บุกมากะทันหัน ยามจากไปก็ดุจสายลม หลังจากค้นหาไร้ผลลัพธ์ก็คุมตัวพวกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนขึ้นรถม้าที่ติดตามมา แล่นจากไปอย่างอึกทึกครึกโครม
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่ยังขวัญหายผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง คุณชายคนเมื่อครู่นี้ดูแล้วไม่ธรรมดา พวกของกินของใช้ไม่ใช่อะไรที่แขกธรรมดาเทียบเคียงได้เด็ดขาด ถ้าหากบุคคลประเภทนี้มีภูมิหลัง ทั้งยังเกิดเรื่องในโรงเตี๊ยมของเขา…คงจะอธิบายได้ยากแล้ว…
คิดมาถึงตรงนี้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงรีบก้าวฉับไวเข้าไปในห้องพักของแขกที่เพิ่งถูกจับตัวไป ก่อนมองเห็นหมอนที่ถูกโยนลงพื้นทันที เมื่อหยิบขึ้นมาเห็นว่าในปลอกหมอนเหมือนจะเสียบเอกสารบางอย่างไว้ หยิบออกมาดูแล้วพบว่าเป็นเอกสารผ่านด่าน
เถ้าแก่ร้านเปิดเอกสารกางออก รอตอนที่เห็นตัวอักษรบนกระดาษ มือก็สั่นเทามากขึ้นกว่าเดิม เขารีบล้มลุกคลุกคลานลงไปข้างล่างพร้อมแหกปากร้องเรียกลูกจ้าง “เร็วเข้า! รีบเตรียมม้า! รีบไปแจ้งข่าวกับทางการ! มิฉะนั้นคนในครอบครัวข้าจะถึงคราวเคราะห์กันหมดแล้ว!”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 24 เม.ย. 2568)
Comments
comments
No tags for this post.