บทที่ 171
ครั้งนี้ที่หวังอวี้หล่างย้อนกลับเมืองหลวงมีสาเหตุอื่นซ่อนอยู่
ตอนที่เซียวอ๋องเพิ่งไปถึงชายแดนเหนือ งบประมาณกับเสบียงที่ทางราชสำนักมอบให้ต่างถูกถลกหนังเป็นชั้นๆ กว่าจะถึงชายแดนเหนือมักเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบ หลังจากตรวจสอบลับๆ เซียวอ๋องพบว่าเงินกับเสบียงที่ถูกหักไปส่วนใหญ่เข้าไปในถุงเงินของรัชทายาท ดังนั้นจึงเรียบเรียงเรื่องที่ตนเองตรวจสอบได้เขียนออกมา ส่งให้แก่จวนของเหล่าผู้ตรวจการแบบไม่ระบุชื่อ
บรรดาผู้ตรวจการเปิดซองจดหมายเห็นบันทึกแต่ละรายการโดยละเอียดต่างปวดศีรษะกันอย่างมาก ในฐานะผู้ตรวจการเมื่อค้นพบเรื่องโกงกินเช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวพันถึงสงครามแนวหน้าย่อมควรเขียนฎีการายงาน เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรัชทายาท ผู้สืบทอดบัลลังก์คนปัจจุบัน ถ้าหากยื่นฎีกาเล่นงานรัชทายาท วันหน้าเกรงว่าจะเดินซ้ำรอยซางจวิน ยากจะหลบหนีการชำระบัญชีในภายหลัง
แต่หากไม่ยื่นฎีกาจะเป็นการผิดต่อหน้าที่ของตนเองจริงๆ นับประสาอะไรกับเมื่อมีคนแจ้งข่าวแบบไม่ระบุนาม ย่อมมีเจตนากระดาษไม่อาจห่อไฟ พิจารณาไปมาแล้วบรรดาผู้ตรวจการต่างเลือกไม่ถวายฎีกาในราชสำนัก แต่ถวายตรงถึงฮ่องเต้อย่างลับๆ กันหมดโดยไม่ได้นัดหมาย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องในหมู่เชื้อพระวงศ์ของพวกพระองค์เอง เชิญให้ฝ่าบาททรงตัดสินเองแล้วกัน ดังนั้นในเวลาไม่กี่วันบนโต๊ะของฮั่วอวิ่นก็กองเต็มไปด้วยฎีกาที่บรรดาผู้ตรวจการแอบถวายขึ้นมา
สำหรับรัชทายาทที่ใช้การไม่ได้ผู้นั้นฮั่วอวิ่นมีแผนการในใจอยู่แล้ว ดังนั้นพออ่านฎีกาเสร็จจึงโยนทิ้งด้านข้างไม่ได้สนใจ เดิมคิดว่าเรื่องจะจบไปทั้งอย่างนี้ ใครจะคาดว่ามีผู้ตรวจการผู้ซื่อตรงไม่เกรงกลัวอำนาจเห็นฎีกาที่เขียนถวายกลายเป็นดั่งก้อนหินจมหายลงมหาสมุทร ด้วยปณิธาน ‘ทิ้งดวงใจภักดีให้ส่องแสงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล’ จึงถวายฎีกาเรื่องรัชทายาทยักยอกเสบียงและงบประมาณทางการทหารชายแดนเหนือในท้องพระโรงอีกฉบับ ขอให้ฮ่องเต้ตรวจสอบจนถึงที่สุด
รัชทายาทโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ แทบอยากสังหารทั้งตระกูลผู้ตรวจการที่หัวสมองทึ่มทื่อผู้นั้น ตั้งแต่กลับมาจากชายแดนเหนือมือเปล่าเพราะถูกเซียวอ๋องข่มขู่ เขาก็เรียกรวมที่ปรึกษามาหารือว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับฮ่องเต้อย่างไรแล้ว นึกไม่ถึงว่าทางตนเองยังไม่ทันเตรียมตัวพร้อม จะมีผู้ตรวจการถวายฎีกาฟ้องร้องตนเองในท้องพระโรงเรียบร้อยแล้ว
ฮั่วอวิ่นเองก็ไม่ทันตั้งตัว ลอบหงุดหงิดที่ผู้ตรวจการผู้นี้ไม่รู้จักยืดหยุ่น แต่การแสดงออกภายนอกยังคงต้องกระทำ เขาจึงบันดาลโทสะครั้งใหญ่ ตวาดถามรัชทายาทว่ามีเรื่องเช่นนี้หรือไม่ รัชทายาทย่อมปฏิเสธ ฮั่วอวิ่นประกาศบอกว่าจะเลือกขุนนางอาวุโสมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้วจบการประชุมราชสำนักลง
เมื่อกลับถึงตำหนักบรรทม ฮั่วอวิ่นอับอายจนโกรธตัวต้นเหตุอย่างเซียวอ๋องขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ผู้อื่นอาจอ่านสถานการณ์ไม่ออก แต่มีหรือฮ่องเต้อย่างเขาจะยังมองไม่ออกอีก เจ้ารองน่าชัง นึกไม่ถึงจะโยนเรื่องงี่เง่าพวกนี้กลับมาให้เขาทั้งหมด ไม่สนใจไมตรีระหว่างพี่น้องเลยสักนิดเดียว จะบังคับให้บิดาอย่างเขาลงโทษรัชทายาทอย่างเข้มงวดจริงๆ หรือไร ช่างปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆ คิดว่าหากเลือกขุนนางคนสำคัญคนหนึ่งมาจัดการเรื่องนี้ เกรงว่าจะต้องเลือกข้างระหว่างรัชทายาทกับเซียวอ๋องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่านี่กลับขัดต่อความต้องการของตนเอง
พิจารณาไปมาแล้วฮ่องเต้ก็คิดถึงราชบุตรเขยหวังอวี้หล่างขึ้นมา คุณชายสกุลหวังผู้นี้อาจเพราะแต่งกับองค์หญิงเล่อผิง นิสัยจึงถูกลับคมจนยิ่งกลมมนกว่าเดิม เวลาทำอะไรค่อนข้างมีกลิ่นอายอย่างบิดา ถนัดในการถ่วงดุลอำนาจทั้งสองฝั่ง กระทำการแนบเนียนไร้ช่องโหว่ สุขุมคัมภีรภาพอย่างมาก ดังนั้นจึงออกพระราชโองการเรียกตัวเขากลับเมืองหลวง
ภายในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร หวังอวี้หล่างยืนค้อมกายอยู่ด้านข้าง ฮั่วอวิ่นถามสถานการณ์ในระยะนี้ขององค์หญิงเล่อผิงกับไหวหนาน หวังอวี้หล่างตอบกลับทุกคำถาม ฮั่วอวิ่นถอนหายใจเอ่ย “ไหวหนานเพิ่งมั่นคง ส่วนองค์หญิงเล่อผิงก่อนหน้านี้แท้งบุตร ไม่สมควรเรียกตัวเจ้ากลับมาจริงๆ เพียงแต่ผู้ตรวจการถวายฎีกาเรื่องรัชทายาทยักยอกเสบียงกับงบประมาณทางการทหารของชายแดนเหนือ เรื่องนี้ใหญ่มาก จำเป็นต้องหาขุนนางที่หนักแน่นเหมาะสมมาตรวจสอบ ถึงแม้ต้าฉีของข้าจะมีขุนนางมากมาย ทว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รับผิดชอบงานสำคัญเช่นนี้ได้”
หวังอวี้หล่างรีบค้อมกายลงทันที “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเชื่อมั่นกระหม่อม กระหม่อมจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด ไม่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วอวิ่นผงกศีรษะเอ่ย “ข้าเศร้าใจเรื่ององค์หญิงอันชิ่งถูกลักพาตัวมากจริงๆ ฮองเฮายิ่งน้ำตาอาบหน้าทุกวัน เจ้าควรเข้าใจหัวอกข้า ต่อให้สูงศักดิ์เป็นถึงโอรสสวรรค์ก็ยังไม่สามารถละกิเลสอยู่ดี หากต้องสูญเสียบุตรกะทันหันในวัยกลางคนจะเป็นความโศกเศร้ามากเพียงใด แม้จะทำผิดเป็นพันเป็นหมื่น ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรของตนเอง ตนเองต่อว่าด่าทอได้ แต่เมื่อคิดว่าบุตรต้องไปได้รับความไม่เป็นธรรมข้างนอก โดนดูถูกเหยียดหยาม ในใจคนเป็นบิดามารดายังคงรู้สึกแย่อยู่ดีนี่!”
หวังอวี้หล่างคุกเข่าลงหน้าโต๊ะทรงพระอักษร พร้อมเอ่ยตอบรับทุกคำ
หลังจากฟังคำสอนสั่งของฮ่องเต้จบ หวังอวี้หล่างเดินออกจากห้องทรงพระอักษร แต่ในใจยังคงประเมินวาจาของฮ่องเต้เมื่อครู่นี้ อิงจากเจตนาเมื่อครู่ของฮ่องเต้ นั่นคือเขาสูญเสียบุตรสาวไปหนึ่งคนก็เจ็บปวดเสียใจมากแล้ว ไม่อาจสูญเสียบุตรชายไปอีกคน ต่อให้รัชทายาทผู้นี้จะก่อความผิดมหันต์ ทว่าเป็นเรื่องในสกุลฮั่วเอง ฮ่องเต้จะจัดการรัชทายาทอย่างไรก็ได้ ทว่าไม่อาจป่าวประกาศความผิดของรัชทายาทต่อใต้หล้า หรือโดนบังคับปลดจากตำแหน่ง…เอาเป็นว่าเกียรติศักดิ์ศรีของฮ่องเต้ใหญ่กว่าท้องฟ้า!
คิดถึงตรงนี้หวังอวี้หล่างยิ้มเย็นน้อยๆ นึกทอดถอนใจที่สมัยก่อนตนเองก้มหน้าก้มตาอ่านคำพูดของจอมปราชญ์มานาน สุดท้ายกลับพบว่าความแยบคายในราชสำนักเป็นสิ่งที่ไม่มีบันทึกอยู่ในสี่ตำราห้าคัมภีร์ หากบอกว่าตำราสมัยก่อนยังมีประโยชน์อะไร ก็คือให้ปฏิบัติในทางตรงกันข้าม…
ตำราที่จำเป็นต้องอ่านแต่อ่านได้เข้าใจยากมากที่สุดในใต้หล้าก็คือ ‘ใจคน’ นั่นเอง
เดิมทีเซียวอ๋องก็มีผลงานทางการศึกโดดเด่น ตอนนี้ยังเริ่มจากปราบปรามความวุ่นวายที่ไหวหนาน ตามด้วยพิชิตชายแดนเหนือคว้าชัยชนะกลับมา ชื่อเสียงเหนือกว่ารัชทายาทไปไกล ถ้าหากยิ่งใหญ่อยู่ตามลำพัง นับแต่นี้ฮ่องเต้คงไม่ชอบใจจริงๆ…
เดิมทีตามเจตนาของฮ่องเต้น่าจะผลักเรื่องหนูนาขโมยข้าวสารอย่างรัชทายาทให้กับเซียวอ๋องทั้งหมด ต่อให้เซียวอ๋องทัดทานรัชทายาท ตำแหน่งรัชทายาทก็ไม่มีทางวนมาถึงองค์ชายรองผู้ทัดทานพี่ชาย ส่วนโอรสองค์อื่นของฮ่องเต้หากไม่ใช่ใช้การไม่ได้ก็ยังไม่เติบใหญ่ สามารถเว้นว่างตำแหน่งรัชทายาทไว้ก่อน แก้ไขความกังวลของฮ่องเต้ น่าเสียดายที่เซียวอ๋องกลับไม่ทำตัวตามปกติ ทำให้แผนการของฮ่องเต้ล้มเหลว
ฮ่องเต้กำลังอยู่ในวัยกลางคน ผู้ที่ครองตำแหน่งรัชทายาทอย่างมั่นคงไม่อาจเป็นพยัคฆ์ร้ายตัวหนึ่ง ถึงแม้รัชทายาทผู้นั้นจะไร้ความดีความชอบไม่ใจกว้างมากพอ แต่ก็เป็นของประดับตกแต่งบนตำแหน่งรัชทายาทที่ดีที่สุด…ส่วนเซียวอ๋องผู้นั้นควรรอถูกฮ่องเต้กดข่มเสียเถิด! ขอเพียงฮ่องเต้ยังแข็งแรงดี ต่อให้มีความสามารถมากกว่านี้ก็จะถูกทับตายอยู่ใต้ภูเขาห้าดรรชนี อยู่ดี…
ขณะที่กำลังดีดลูกคิดคำนวณอยู่ในใจนี้เอง เมื่อเหลือบตาขึ้นก็มองเห็นโฉมงามเข้ากะทันหัน
เวลานี้โฉมงามกำลังยกชายกระโปรงก้าวลงจากรถม้า เรือนร่างอรชรผิวกายเกลี้ยงเกลา ลำคอระหง แววตาเปี่ยมเสน่ห์ พาให้คนเห็นแล้วหลงลืมละสายตาจากไป
มีเรื่องราวบางอย่างเพียงเพราะการปล่อยมืออย่างน่าเสียดายในคราแรกจึงกลายเป็นยิ่งทะนุถนอมมากกว่าเดิม ตัวเขาในอดีตยังไม่ค่อยเข้าใจสตรีอัศจรรย์ผู้ทำอะไรตามลำพังผู้นี้ ภายหลังถึงค่อยๆ รับรู้ร่องรอยของนางช่วงหลายปีหลังบิดาเสียชีวิต ช่างเป็นยอดคนในหมู่สตรีจริงๆ…เพียงแต่จนถึงชั่วขณะนั้นเขาถึงรู้ว่าเหตุใดตอนที่บอกเรื่องบิดาถอนหมั้น นางถึงยอมรับได้ด้วยสีหน้านิ่งสงบ เพียงเพราะยามนั้นในใจนางก็มีบุรุษอีกผู้หนึ่งมานานแล้ว…ส่วนเขาหวังอวี้หล่างนั้นหลงรักนางข้างเดียวมาตลอด ไม่เคยเข้าตาโฉมงามมาก่อน…
คิดถึงตรงนี้หวังอวี้หล่างก็ก้มหน้าลงอย่างเหมาะสม บดบังเงาอึมครึมบนใบหน้า รีบก้าวออกจากประตูวัง การอยู่ในราชสำนักไม่ต่างจากอยู่ในป่าลึก การห้ำหั่นระหว่างบุ๋นหรือบู๊ล้วนขึ้นอยู่กับคำว่า ‘ความสามารถ’ อำนาจก็ดี โฉมงามก็ช่าง มีเพียงการรอเป็นผู้ชนะบนยอดสูงสุดถึงจะเพลิดเพลินกับการปูนบำเหน็จรางวัลได้อย่างสบายใจ
ยกตัวอย่างเช่นอวี้ฉือเฟยเยี่ยน สิ่งที่ปราบสตรีผู้นี้ได้อย่างอยู่หมัดไม่มีทางเป็นความรักลุ่มหลง มีเพียงการกุมอำนาจสูงสุดไว้ในมือถึงจะเพลิดเพลินกับความดีงามต่างๆ นานาของสตรีผู้นี้ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจ ความแค้นสังหารบิดาที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกยังสามารถดับลงโดยง่าย นางไม่ใช่เช่นนี้พอดีหรอกหรือ นึกไม่ถึงว่าจะเต็มใจปรนนิบัติอดีตศัตรูของบิดาในวันวาน นอนอยู่ใต้ร่างคนผู้นั้น คลอดบุตรให้เขาอย่างว่าง่าย…
คิดถึงชุดกระโปรงตัวหลวมปิดบังการตั้งครรภ์ที่เห็นนางสวมเมื่อครู่นี้ สีน้ำหมึกในดวงตาหวังอวี้หล่างยิ่งเข้มขึ้น…ข้ายังจำเป็นต้องแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้…
ฮองเฮาจัดงานเลี้ยงเชิญแขกสตรีมามากมาย จึงจัดงานขึ้นที่ตำหนักฉงฮว่าภายในวัง
เนื่องจากอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเป็นตัวหลัก ตำแหน่งที่นั่งย่อมอยู่ใกล้ชิดกับฮองเฮามากที่สุด
อาจเพราะคุ้นชินกับความเย็นชาของฮองเฮาแล้ว อยู่ดีๆ ฮองเฮาเปลี่ยนมาเป็นมิตรด้วย ทำให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรู้สึกกระวนกระวายอยู่เหมือนกัน โชคดีที่เสิ่นฮองเฮาผู้นั้นเองก็เป็นคนเฉยชาตั้งแต่เกิด ต่อให้อยากแสดงไมตรีก็ไม่มีทางกระตือรือร้นถึงขั้นทำให้คนรับมือไม่ถูก แค่เพียงพูดคุยกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเยอะขึ้นบ้าง
คนเบื้องล่างต่างอ่านสีหน้าคนเป็น พอเห็นเสิ่นฮองเฮามีสีหน้าเป็นมิตรให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็กระจ่างแจ้งขึ้นโดยพลัน ยิ่งไม่กล้าดูถูกชายารองจวนเซียวอ๋องท่านนี้ด้วยฐานะอนุอีก
ตอนนั้นเองมีคนรายงานขึ้นข้างนอกตำหนักกะทันหันว่า “ฮุ่ยกุ้ยเฟยมาขอเข้าเฝ้าฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
เสิ่นฮองเฮาได้ยินแล้วหัวคิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น จากนั้นเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เชิญฮุ่ยกุ้ยเฟยเข้ามา”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็เงยหน้ามองไปทางประตูตำหนัก ฮุ่ยกุ้ยเฟยผู้นี้แตกต่างจากสนมชายาคนโปรดจำนวนมากของฮ่องเต้ ถึงแม้ช่วงสองสามปีมานี้ฮั่วอวิ่นจะเริ่มยุ่งเกี่ยวกับสตรี แต่อย่างไรก็ยังคงไว้หน้าภรรยาที่ร่วมทุกข์มาด้วยกันอยู่บ้าง ตำแหน่งที่แต่งตั้งเป็นพวกขั้นเจาอี๋พวกนี้เท่านั้น ถ้าหากชาติกำเนิดดีมากก็จะมอบตำแหน่งเฟยให้ แต่ตำแหน่งกุ้ยเฟยที่เป็นรองเพียงตำแหน่งฮองเฮา ทั้งสามารถช่วยเหลือฮองเฮาดูแลหกตำหนักได้นี้สูงศักดิ์หาใดเปรียบจริงๆ และสตรีหนึ่งเดียวจากหกตำหนักที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยผู้นี้มีนามว่าเซี่ยวยาง ไม่ใช่บุตรสาวจากตระกูลใหญ่โตอะไร เดิมทีบิดาเองก็เป็นแค่ผู้ช่วยนายอำเภอตัวเล็กๆ ของอำเภออู่หยางเท่านั้น
แต่สตรีผู้หนึ่งที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้ในเวลาสามปีที่เข้าวังมากลับค่อยๆ ก้าวหน้าขึ้น ช่วงนี้เนื่องจากให้กำเนิดโอรสจึงถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย ช่างชวนให้คนพูดไม่ออกจริงๆ
ยามที่สตรีสวมชุดกระโปรงผ้าผืนบางลายดอกบัวสีชมพูคู่กลีบดอกเหมยสีม่วงเยื้องย่างเข้ามาข้างใน อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นดวงหน้ามีเสน่ห์ของฮุ่ยกุ้ยเฟยนั้นแล้วแอบสูดลมหายใจเย็นเข้าไป
รูปโฉมเช่นนี้…เป็นรูปโฉมสมัยมารดาบุญธรรมของเซียวอ๋องยังอ่อนเยาว์ชัดๆ! แต่ก่อนนางเห็นหน้าสนมชายาคนโปรดของฮ่องเต้เหล่านั้นก็รู้สึกว่าแต่ละคนดูคุ้นตา ทว่าไม่กล้าพูดจาเหลวไหล จวบจนวันนี้ได้เห็นเซี่ยวยางผู้นี้ นางพลันเกิดความรู้สึกว่าการคาดเดาในใจได้รับการพิสูจน์ขึ้นมา…
บุญคุณความแค้นเก่าก่อนระหว่างฮ่องเต้กับฮองเฮาถูกปูแผ่ให้เห็นต่อหน้าหมดจดโดยไม่ทันตั้งตัว เพียงคิดว่าในใจฮ่องเต้ปรารถนาภรรยารักของสหายสนิทซึ่งเป็นมารดาบุญธรรมของเซียวอ๋อง ในใจอวี้ฉือเฟยเยี่ยนรู้สึกเจ็บปวดหน่วงๆ แทนเซียวอ๋องที่ถูกหนีบไว้ตรงกลางด้วยซ้ำ เขาน่าจะอ่านความคิดของฮ่องเต้ออกเช่นกันใช่หรือไม่ ก็ไม่แปลกที่เสิ่นฮองเฮาจะไม่สนิทใจกับเซียวอ๋องมาตลอด นอกจากสาเหตุเรื่องคลอดยาก เกรงว่ามารดาบุญธรรมที่เลี้ยงดูเซียวอ๋องโตมาจะเป็นปมในใจที่ยากคลี่คลายของนางด้วยเช่นกัน…
เวลานั้นฮุ่ยกุ้ยเฟยคารวะให้เสิ่นฮองเฮาเสร็จแล้ว ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนโปรดคนปัจจุบันของฮ่องเต้ ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟย การแสดงออกภายนอกยังคงต้องปรองดองผ่านไปให้ได้
เสิ่นฮองเฮาจึงยกที่นั่งด้านขวามือของตนเองให้กับฮุ่ยกุ้ยเฟย
หลังจากฮุ่ยกุ้ยเฟยผู้นั้นนั่งลงแล้วก็มองอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือฮองเฮาปราดหนึ่ง ก่อนแย้มยิ้มเอ่ย “คิดว่าท่านนี้คงเป็นชายารองจวนเซียวอ๋องใช่หรือไม่ รูปโฉมช่างงามสง่านัก!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 พ.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.