บทที่ 3
หัวหน้าขันทีไม่แม้แต่จะเหลือบแลอวี้ฉือรุ่ย แต่ถามออกมาตรงๆ “ท่านใดคือคุณหนูเฟยเยี่ยน”
เสียนเกอเอ๋อร์ข่มโทสะไม่อยู่นานแล้ว ลุกพรวดพราดขึ้นจากพื้น “ถือสิทธิ์อันใดให้ญาติผู้พี่ข้าไปที่จวน หรือเพราะเป็นชาวเซียนเปย เลยไม่เข้าใจขนบจารีตข้อห้ามระหว่างบุรุษสตรี!”
อวี้ฉือรุ่ยอ้าปากค้าง แทบอยากจะกลืนบุตรชายลงคอ…บรรพบุรุษตัวน้อย! เรื่องใดไม่ควรพูดก็ดันพูดเสียได้!
ว่าไปแล้วชาติกำเนิดของฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห่งต้าฉีถือเป็นความลับของราชวงศ์ที่ไม่อาจพูดถึงเรื่องหนึ่ง
เดิมทีฮ่องเต้พระองค์ใหม่ฮั่วอวิ่นเป็นแม่ทัพรักษาการณ์ซินเหยี่ยแห่งต้าเหลียง บรรพบุรุษเป็นผู้นำเผ่าเซียนเปย สกุลเดิมป๋าเลี่ย สมัยที่คนรุ่นเขาย้ายถิ่นฐานเข้าไปในแผ่นดินฮั่น ส่วนใหญ่ต่างเปลี่ยนไปใช้แซ่ ‘เหลียง’ ของชาวฮั่น แต่เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ต้าเหลียง บิดาของฮั่วอวิ่นจึงหลีกเลี่ยงข้อห้าม แล้วเปลี่ยนเป็นสกุล ‘ฮั่ว’ ทั้งยังแต่งสตรีชาวฮั่นเป็นภรรยา เมื่อมาถึงรุ่นของฮั่วอวิ่นก็เลียนแบบบิดา ไม่ได้แต่งงานกับสตรีชนเผ่าเดียวกัน แต่แต่งกับบุตรสาวสกุลเสิ่น ตระกูลชาวฮั่นผู้มีอำนาจในท้องที่เป็นภรรยา นับได้ว่าเป็นการหลอมรวมสายเลือดชาวฮั่นเข้ามา โดยมีบุตรชายสามคน บุตรสาวสองคน
ต้นสายสกุลฮั่วคือโจวเหวินหวัง ครอบครัวฮั่วอวิ่นจงใจเลือกใช้สกุลนี้ มองออกได้ถึงความเทิดทูนที่มีต่อจารีตประเพณีชาวฮั่น ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้ใช้ชีวิตแบบชาวฮั่นมานาน แม้จะมีจมูกโด่งดวงตาคมเข้ม ก็ยังมองตนเองเป็นชาวฮั่นมาตลอด ค่อนข้างต่อต้านชาติกำเนิดชนต่างเผ่า ทั้งยังออกคำสั่งให้อดีตปัญญาชนที่ปรึกษาของตนเองเรียบเรียงหนังสือที่ชื่อว่า ‘บันทึกวงศ์ตระกูลสกุลฮั่ว’ ออกมาเล่มหนึ่ง ต้นตระกูลไล่เรียงขึ้นไปถึงสมัยบรรพกาล ตั้งแต่ไถนาเคียงบ่าเคียงไหล่ฮ่องเต้เหยียนตี้ แก้ปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำหวงเหอร่วมกับฮ่องเต้หวงตี้ ตอนที่เจียงไท่กงตกปลา เคยช่วยยกข้องปลา…เอาเป็นว่าข้างกายจอมปราชญ์ในอดีตล้วนมีเงาร่างของสกุลฮั่วอยู่เคียงข้าง หลังจากบันทึกประวัติวงศ์ตระกูลที่โอ้อวดจนบาดตาคนบอดได้เล่มนี้เรียบเรียงออกมาเสร็จ หากใครกล้าพูดจาล่วงเกินสายเลือดกษัตริย์สกุลฮั่วล้วนต้องโทษประหารตัดศีรษะกันทั้งสิ้น
หัวหน้าขันทีผู้นั้นได้ยินแล้วสีหน้าก็ดำทะมึนลงทันควันดังคาด ถลึงตาใส่เสียนเกอเอ๋อร์เตรียมสร้างความลำบากให้ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นเหตุการณ์จึงรีบเดินออกมาในลานเรือน ย่อกายคารวะหัวหน้าขันทีผู้นั้นพร้อมกับเอ่ย “ผู้น้อยคืออวี้ฉือเฟยเยี่ยน ในเมื่อเซียวอ๋องมีรับสั่งมา เฟยเยี่ยนย่อมทุ่มสุดกำลังไม่ทำให้เซียวอ๋องทรงผิดหวัง ญาติผู้น้องของผู้น้อยอายุยังน้อยพูดจาไม่คิด หวังว่าท่านหัวหน้าขันทีจะไม่ถือสาหาความเขาเจ้าค่ะ” พูดจบแล้วนางก็ย่อกายลงต่ำอีกครั้ง
หัวหน้าขันทีผู้นั้นได้รับคำสั่งมา ย่อมต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายให้เรียบร้อยก่อน หลังเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนตอบตกลงไปที่จวนก็ถลึงตาใส่เสียนเกอเอ๋อร์อีกครั้ง แล้วเชิญอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพาสาวใช้ยวนยางขึ้นรถม้า มุ่งหน้าสู่จวนเซียวอ๋อง
บนรถม้า ยวนยางร้อนใจอยากเอ่ยปากถาม แต่เห็นคุณหนูของตนยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ทั้งยังชี้ออกไปข้างนอก แสดงออกว่ามีคนแอบฟังอยู่ ห้ามไม่ให้ส่งเสียง สองนายบ่าวจึงนั่งเงียบอยู่ในรถม้าตลอดทาง สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนขึ้นลงยามที่ล้อรถบดผ่านถนนหิน…
จวนเซียวอ๋องคืออดีตจวนติ้งกั๋วโหว ตอนเป็นเด็กบิดาเคยพาอวี้ฉือเฟยเยี่ยนมาเป็นแขกที่จวนติ้งกั๋วโหว เล่นสนุกกับคุณหนูหลงเจิน บุตรสาวของติ้งกั๋วโหว
บัดนี้พยัคฆ์หินหน้าประตูจวนยังคงสูงใหญ่น่าเกรงขาม จวนที่ได้ชื่อว่าหรูหราที่สุดของเมืองหลวงยังคงมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ ยามเดินผ่านสวนดอกไม้ ต้นอิงฮวาที่นางกับหลงเจินปลูกด้วยกันในวัยเยาว์มีดอกอิงฮวาสีแดงเบ่งบานทั่วทั้งต้นแล้ว เพียงแต่สหายสนิทในวันวานไม่รู้พลัดพรากไปอยู่ที่ใด…
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ทันทอดถอนใจก็ถูกหัวหน้าเว่ยพาเดินเข้าไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังจวน ตั้งแต่เข้ามาในจวน ยวนยางก็ถูกรั้งตัวไว้ที่ห้องรับรอง ไม่อาจเข้ามาลึกกว่านั้น อวี้ฉือเฟยเยี่ยนหลุบตาลงเดินตามหลังหัวหน้าเว่ย ค่อยๆ ก้าวตามมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
หลังจากผลักเปิดประตูห้องหนังสืออวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็มองเห็นเงาร่างที่ถือม้วนกระดาษยาวนั่งอยู่ที่โต๊ะทันที ดูแตกต่างจากชุดเกราะเงินบนถนนในวันนั้น ครั้งนี้เซียวอ๋องสวมชุดคลุมยาวสีขาว แขนเสื้อกว้าง เรือนผมดำอาศัยเกี้ยวหยกขาวครอบเหนือศีรษะ ดวงหน้าหล่อเหลาถูกขับเน้นให้มีกลิ่นอายบัณฑิตเพิ่มเข้ามาหลายส่วน คนไม่รู้เบื้องหลังเห็นแล้วย่อมรู้สึกถึงกลิ่นอายบัณฑิตสุภาพสง่างามจากตัวเขาจริงๆ
แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับตระหนักอยู่แก่ใจว่าบุรุษอายุยี่สิบสามปีตรงหน้ามีตัวตนที่ร้ายกาจกินเนื้อไม่คายกระดูกเช่นไร แรกเริ่มที่ฮั่วอวิ่นจะก่อกบฏยังเกิดความลังเลไม่แน่ใจ แต่ฮั่วจวินถิงที่อายุสิบเจ็ดปีในเวลานั้นกลับเล็งโอกาสอันเหมาะสม เห็นว่าต้าเหลียงกำลังเหน็ดเหนื่อยกับการรับมือแนวหลังของกองทัพผดุงธรรมที่ก่อกบฏขึ้นตามที่ต่างๆ หลังจากฮั่วจวินถิงเกลี้ยกล่อมบิดาหลายครั้งไม่เห็นผล ได้ฉวยโอกาสตอนที่รัชทายาทของฮ่องเต้ต้าเหลียงออกลาดตระเวนชายแดน ลอบตัดศีรษะของรัชทายาท ทั้งยังย้ายตัวบิดาที่เมาสุราไปนอนในห้องนองเลือด จัดวางอยู่กับร่างของรัชทายาทที่ไร้ศีรษะ
ลองคิดภาพดูได้ว่าหลังจากฮั่วอวิ่นตื่นมาพบว่าในมือตนเองกุมกระบี่ยาวสภาพเลือดอาบร่างจะตื่นตกใจมากเพียงใด ต่อให้คนที่สังหารรัชทายาทไม่ใช่เขา แต่ก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของเขาเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธความผิดได้
ฮั่วอวิ่นเองก็ถูกบุตรชายที่โหดเหี้ยมบีบคั้นให้จนตรอก จำเป็นต้องก่อกบฏ แต่ก่อนยกทัพเขาสั่งเฆี่ยนฮั่วจวินถิงหนึ่งร้อยครั้งต่อหน้าสามกองทัพผดุงธรรม ลงโทษบุตรชายที่ลงมือทำก่อนค่อยรายงาน ทว่าหลังจากเฆี่ยนตีครบหนึ่งร้อยครั้ง ยังไม่ทันเช็ดรอยเลือดบนแผ่นหลัง ฮั่วจวินถิงก็สวมชุดเกราะนำกองทัพผดุงธรรมแหวกผ่านวงล้อมของทัพต้าเหลียงที่บุกมาชำระแค้น บัญชาการผู้ใต้บังคับบัญชายึดครองเมืองสำคัญสองเมืองติดต่อกัน หลังจากนั้นยังยึดกองทัพผดุงธรรมลวี่หลินของค่ายชิงอวิ๋น เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองไม่หยุดหย่อน
ตามหลักแล้วใต้หล้าครึ่งหนึ่งของฮั่วอวิ่นมีฮั่วจวินถิงผู้นี้เป็นคนต่อสู้แย่งชิงมา แต่จนใจที่ลำดับอาวุโส รวมกับในใจฮั่วอวิ่นเองก็ค่อนข้างระแวงบุตรชายคนรองผู้นี้ อีกทั้งถึงแม้บุตรชายคนโตจะปราศจากความดีความชอบในสนามรบ แต่ก็เป็นคนกตัญญู ได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮาเสิ่นซื่อ หลังจากก่อตั้งราชวงศ์ต้าฉี จึงแต่งตั้งบุตรชายคนโตฮั่วตงเหลยเป็นรัชทายาทอย่างสมเหตุสมผล
ในวันหน้าตำหนักบูรพาแห่งต้าฉีจะต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน…
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคิดมาถึงตรงนี้แล้วช้อนสายตาขึ้นมองเซียวอ๋องผู้นั้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเซียวอ๋องผู้นั้นมองมาตั้งแต่เมื่อใด นัยน์ตาเข้มลึกกำลังจับจ้องมาที่นางตรงๆ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่อยากสบตากับเขา หลังจากเข้ามาในห้องหนังสือจึงก้มหน้าย่อกายลงถวายบังคมให้กับเซียวอ๋อง
เซียวอ๋องวางตำราในมือลง โบกมือไล่สาวใช้กับเด็กรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องหนังสือออกไป เหลือเอาไว้แค่พวกเขาสองคนตามลำพัง ก่อนชี้นิ้วไปยังห่อกำมะหยี่ข้างมือตนเองเอ่ย “รบกวนคุณหนูอวี้ฉือเหน็ดเหนื่อยช่วยซ่อมแซมแจกันใบนี้ให้ข้าแล้ว”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้ลุกขึ้น เพียงเอ่ยตอบรับเสียงเบา “เซียวอ๋องทรงยุ่งกับราชกิจ ผู้น้อยมิกล้ารบกวน จะขอนำแจกันใบนี้กลับบ้าน หลังจากซ่อมเสร็จแล้วค่อยถวายให้ท่านอ๋องอีกทีได้หรือไม่”
เซียวอ๋องใช้แค่คำเดียวมาปฏิเสธคำขอของนาง “นั่งลง!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้แต่เดินย่างเท้าเข้าไปหา เห็นว่าตรงโต๊ะหนังสือตัวนั้นนอกจากเก้าอี้ไม้จันทน์มีที่เท้าแขนซึ่งเซียวอ๋องนั่งอยู่ ยังมีเก้าอี้พนักกลมหุ้มผ้าต่วนผืนนุ่มสีม่วงตัวหนึ่งอยู่ด้วย เซียวอ๋องบอกให้นางนั่งลง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงขยับเก้าอี้พนักกลมตัวนั้นออกห่างจากเซียวอ๋องเล็กน้อย ถึงได้นั่งลงตัวตรง ยื่นนิ้วขาวผ่องออกมาหยิบแผ่นไม้ไผ่ที่วางอยู่ในจานกระเบื้องด้านข้าง แต้มกาวเชื่อมเครื่องกระเบื้องแล้ว หาแผ่นกระเบื้องสองชิ้นที่เข้ากันมาค่อยๆ แปะติดกัน
กาวนี้ดุจน้ำ หลังจากประกบกันแล้วจำเป็นต้องอยู่นิ่งๆ สักพัก อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจับแผ่นกระเบื้องติดกัน วางมันลงด้านข้างอย่างระมัดระวัง เมื่อเงยหน้าก็เห็นว่าเซียวอ๋องกำลังประสานมือ ข้อศอกวางพาดบนที่เท้าแขนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทว่าดวงตากลับมองมาที่นางดุจเหยี่ยวจ้องกระต่าย
ครั้งนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้หลบเลี่ยง แต่มองตอบองค์ชายรองกลับไป ถึงแม้เป็นเพราะครอบครัวท่านลุงอยู่ในเมืองหลวง นางจึงจำเป็นต้องยอมอ่อนน้อมถ่อมตนชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะกลัวองค์ชายรองผู้นี้ เหตุผลที่เซียวอ๋องเรียกหานางครั้งนี้ย่อมมีพิรุธ ถ้าถูกเขาจับได้ นางก็ไม่คิดเล่นสนุกอย่างแมวจับหนู คอยหลบๆ ซ่อนๆ กับเขาหรอก
เมื่อครู่นี้ตอนที่สตรีนางนี้ตั้งใจติดแจกัน เอียงศีรษะก้มหน้าลงเล็กน้อย ถึงได้เห็นว่าหน้าผากของนางกลมมน จมูกรั้นได้รูปงดงาม ถึงแม้ยามมองนางแวบแรกจะไม่ใช่โฉมงามเพริศพริ้งที่ผู้คนนิยมอะไร ทว่ากลับเป็นประเภทยิ่งเพ่งพิศยิ่งน่ามอง ตอนนี้นางยอมช้อนสายตาขึ้นมองเขาในที่สุด ภายในนัยน์ตาหงส์อ่อนโยนคู่นั้นกลับทอประกายแข็งกร้าวที่สตรียากจะมี ท่าทีเช่นนี้ช่างชวนให้…อดใจไม่ไหวอยากจะบดขยี้นางแรงๆ เสียเหลือเกิน…
ในใจเซียวอ๋องฮั่วจวินถิงมีเจตนาร้ายวาบผ่านเล็กน้อย แต่ภายนอกยังคงดูสง่างามผ่อนคลาย ปากเอ่ยวาจาเสียดสี “สมกับที่เป็นบุตรสาวหนึ่งเดียวของอวี้ฉือเต๋อ อดีตแม่ทัพเจิ้นหย่วนแห่งต้าเหลียง ขวัญกล้าเหนือผู้ใดจริงๆ มีจิตวิญญาณบุรุษยิ่งกว่าท่านลุงแข้งขาอ่อนแรงผู้นั้นของเจ้าเสียอีก”
ที่แท้ก็มีสาเหตุจากบิดาถึงได้หาเรื่องข้า…อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลอบคิดด้วยความโล่งอก ก่อนหลุบตาลงอีกครั้ง “นับแต่สมัยราชวงศ์ก่อน ท่านลุงก็มีเพียงบรรดาศักดิ์โหว ไม่เคยรับตำแหน่งหน้าที่อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เด็กยังได้รับการสั่งสอนเรื่องลำดับความอาวุโส ชนชั้น ทุกวันนี้ชะตาแคว้นคล้อยตามลิขิตสวรรค์ ต้าฉีรุ่งโรจน์ ท่านลุงย่อมรักษาจารีตประเพณี เห็นฮ่องเต้แห่งต้าฉียิ่งใหญ่ดั่งเทพหนี่ว์วา ซ่อมฟ้า เทพเจ้าซีเหออาบตะวัน และท่านอ๋องทรงน่าเกรงขามเทียบเท่าเทพเจ้า กลับเป็นผู้น้อยที่มารยาทไม่ดีพอเอง ขอเซียวอ๋องโปรดทรงลงโทษด้วยเพคะ”
เซียวอ๋องได้ยินความช่างจำนรรจาของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้วยกมุมปากน้อยๆ เอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “ข้ากับบิดาเจ้าเคยประมือกันบนสนามรบหลายครั้ง บิดาของเจ้าถูกลูกธนูหลายดอกยิงตายที่เกาชาง ข้าไม่ได้ฆ่าป๋อเหริน แต่ป๋อเหรินตายเพราะข้า ต่อให้เป็นเช่นนี้ในใจเจ้าก็ยังไร้ความแค้นอยู่ดีรึ”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินแล้วกำหมัดน้อยๆ เอ่ยอย่างอดกลั้น “ท่านพ่อตระหนักถึงหน้าที่ของตนเอง ผู้เป็นแม่ทัพจะหนีสงครามได้อย่างไร การตายบนสนามรบก็ถือเป็นปณิธานของท่านพ่อ เป็นการตอบแทนบุญคุณความเมตตาของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน ผู้น้อยได้ยินว่าในเหตุการณ์ขานชื่อที่ลานกว้าง อดีตขุนนางอาวุโสของราชวงศ์ก่อนจำนวนมากล้วนถูกประหารชีวิตตัดศีรษะ ตามหลักแล้วท่านพ่อเป็นเหตุให้ท่านลุงเองก็ยากจะมีชีวิตรอด โชคดีที่ได้เซียวอ๋องช่วยตรัส ถึงรักษาชีวิตครอบครัวเอาไว้ได้ สมัยท่านพ่อมีชีวิตอยู่เคยเล่นงานกองทัพองค์ชายสาหัสอยู่หลายครั้ง องค์ชายยังสามารถวางความแค้นลงได้ สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งอย่างผู้น้อยจะวางลงไม่ได้ได้อย่างไรเพคะ”
ถ้อยคำนี้ฟังดูคล้ายเป็นคำชม แท้จริงกลับเป็นการโต้กลับเซียวอ๋อง ยกเรื่องไม่น่าฟังในอดีตที่เขาเคยพ่ายแพ้ใต้กำมือบิดานางขึ้นมาเอ่ยซ้ำ
เซียวอ๋องได้ยินประโยคนี้ของนางแล้วรอยยิ้มมุมปากก็ยิ่งกดลึกกว่าเดิม “แท้จริงความใจกว้างของข้าไม่ได้กว้างเท่าที่คุณหนูเฟยเยี่ยนกล่าว บางครั้งยามดึกหลับฝัน นึกถึงเรื่องที่เคยตกหลุมพรางต่างๆ นานาก็รู้สึกหงุดหงิดใจมากเช่นเดียวกัน น่าเสียดายที่ท่านแม่ทัพอวี้ฉือเต๋อเสียชีวิตเร็วเกินไป ไม่อาจลับฝีมือกลศึกกับเขาอีก วันนี้อุตส่าห์ได้พบกับทายาทของท่านแม่ทัพก็นับว่าได้สมปรารถนาแล้ว…ได้ยินว่าฝีมือเดินหมากของคุณหนูเก่งกาจ จะร่วมเดินหมากกับข้าสักตาได้หรือไม่”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนหัวใจหนักอึ้ง เซียวอ๋องผู้นี้สืบข่าวเรื่องความสามารถในห้องหอพวกนี้ของนางมาจากที่ใดกัน
ในตอนที่นางคิดปฏิเสธ เซียวอ๋องก็เอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “เพื่อไม่ให้คุณหนูกริ่งเกรงข้าดุจดั่งเทพเจ้าเหมือนที่ท่านลุงของเจ้าเป็น ก็จำเป็นต้องเดิมพันด้วยบางอย่างที่ทำให้คุณหนูยอมทุ่มสุดฝีมือ…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “มิสู้เดิมพันด้วยชีวิตของครอบครัวท่านลุงเจ้าเป็นอย่างไร”
ได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายของฮั่วจวินถิงแล้ว ชีวิตของทุกคนในสกุลอวี้ฉือช่างฟังดูไร้น้ำหนักดุจเมล็ดแตงที่รอถูกหยิบขึ้นมากิน อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเบิกตากว้างอย่างห้ามไม่ได้ ถลึงตามองเซียวอ๋องอย่างกรุ่นโกรธ
เซียวอ๋องค่อยๆ ลุกขึ้น เงาร่างสูงใหญ่บดบังอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่อยู่ด้านหน้าเขา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกลงกะทันหัน “เบิกตากว้างเพียงนี้ อารมณ์เสียหรือ”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยเสียงเบา “ผู้น้อยมิกล้า…”
ภายในห้องหนังสือมีห้องเดินหมากอยู่ บริเวณหนึ่งเป็นตั่งเตี้ยสำหรับนั่ง โต๊ะเล็กที่วางบนตั่งมีกระดานหมากล้อมตั้งอยู่ เม็ดหมากที่แกะสลักจากหยกใส่อยู่ในโถหมากสองใบ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรอเซียวอ๋องนั่งลงแล้วถึงได้นั่งลงบนตั่ง รอเซียวอ๋องวางเม็ดหมากลงก่อนเงียบๆ เซียวอ๋องเองก็ชิงวางเม็ดหมากดำลงก่อนอย่างไร้ความเกรงใจ
ช่วงเวลานั้นภายในห้องเดินหมากเงียบสงบอย่างยิ่ง นอกจากเสียงน้ำหยดดังติ๋งๆ บอกเวลา ก็เป็นเสียงของหมากหยกวางลงบนกระดานหมาก ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเซียวอ๋องผู้นี้เหมือนกลิ่นอายบนตัวเขาไม่มีผิด ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิตและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็ต้องทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ เพราะหากผิดพลาดแค่เพียงเล็กน้อยก็ยากจะรักษาชีวิตครอบครัวท่านลุงเอาไว้ได้!
ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะเล่นถึงช่วงตัดสิน เซียวอ๋องที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยปากขึ้นกะทันหัน “หมากล้อมเปรียบดั่งสงคราม คำพูดนี้ไม่ผิดแต่อย่างใด จุดที่ควรพิถีพิถันคือแผนการภาพรวม เดินหนึ่งก้าวต้องพิจารณาสิบก้าว คุณหนูอดทนมาได้นานเพียงนี้ ช่างเหนือความคาดหมายของข้านัก เพียงแต่วิธีการเดินหมากของคุณหนูเฟยเยี่ยนกลับทำให้ข้านึกถึงสหายในอดีตที่เคยประมือกันมานานแล้วผู้หนึ่ง…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินแล้วนึกถึงบางอย่าง นิ้วที่คีบเม็ดหมากขาวค้างไว้อยู่นาน ลังเลไม่วางลงเสียที
“หลังจากท่านแม่ทัพอวี้ฉือตาย อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาฝานจิ่งยังไม่ยอมแพ้ ไปรวมตัวต่อต้านที่ภูเขาไป๋ลู่ เดิมทีวรยุทธ์ของฝานจิ่งไม่น่ากลัว แต่บัณฑิตจูเก๋อที่เป็นเสนาธิการคอยสนับสนุนเขากลับก่อปัญหาให้ข้าไม่น้อย…” พูดมาถึงตรงนี้เซียวอ๋องพลันยื่นแขนยาวออกมา ฝ่ามือใหญ่จับข้อมือเรียวของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแน่นดั่งที่คีบเหล็ก “ไม่รู้ว่าคุณหนูรู้จักบัณฑิตจูเก๋อผู้นี้หรือไม่”
บทที่ 4
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกจับข้อมือจนเจ็บ ร่างโน้มไปข้างหน้า ชนถูกเม็ดหมากบนกระดานหล่นกระจาย นางสัมผัสได้ว่านิ้วมือของเซียวอ๋องที่กำลังลูบไล้ผิวข้อมืออ่อนนุ่มของนางประหนึ่งงูพิษเลื้อยผ่าน…ช่างหยาบคายอย่างยิ่ง!
ใจอยากตวาดตำหนิ แต่เห็นเขามีสีหน้าจริงจัง ปราศจากสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเย้าแหย่ ชวนให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าความรู้สึกร้อนลวกที่ข้อมือนั้นใช่นางคิดไปเองหรือไม่…
“บัณฑิตอะไรสักอย่างที่เซียวอ๋องตรัสถึงผู้นั้น ผู้น้อยไม่รู้จักเพคะ…” พูดจบแล้วนางก็พยายามดึงมือตนเองกลับมา แต่ไฉนเลยจะหลุดพ้นจากฝ่ามือเหล็กที่กุมดาบมาจนคุ้นชินได้
“หืม คุณหนูไม่รู้จักเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน…ไม่รู้ว่าคุณหนูพอจะมีหนทางพาข้าไปพบแม่ทัพฝานจิ่งได้หรือไม่ พึงรู้ว่าข้าชื่นชอบผู้มีความสามารถมาแต่ไหนแต่ไร กับอดีตแม่ทัพศัตรูที่ยอมศิโรราบข้าก็ปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทเสมอ ถ้าหากฝานจิ่งยอมภักดีกับต้าฉี ข้าจะไม่ถือสาหาความกับเรื่องในอดีต แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ในเร็ววันแน่นอน ส่วนบัณฑิตจูเก๋อผู้นั้น…”
เซียวอ๋องพูดมาถึงตรงนี้ก็ปัดโต๊ะเล็กตรงหน้าออกกะทันหัน กระดานหมากกลิ้งตกลงพื้นไปพร้อมกัน หมากหยกบนกระดานตกลงบนพื้นเสียงดัง ส่วนเขากระชากเรือนร่างสะโอดสะองของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเข้าหา แนบใบหน้าติดกับใบหูขาวอ่อนนุ่มของนาง สูดดมกลิ่นหอมจรุงอ่อนๆ จากจอนผมของนางเงียบๆ พร้อมกับเอ่ยเสียงเบาว่า “ความจริงข้าชื่นชมความสามารถของเขามานาน หากสามารถเชิญเขามาอยู่ข้างกาย จะต้องร่วมสนทนาบนตั่งตลอดทั้งคืนอย่างแน่นอน…”
ไอร้อนที่พ่นออกมาจากปากของเซียวอ๋องลวกใบหูนางดุจไฟแผดเผาก็มิปาน
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่พอใจเตรียมยกมือขึ้นผลักเขาออก บังเอิญยามนั้นหัวหน้าขันทีเอ่ยเสียงเบาขึ้นจากข้างนอกว่า “ทูลเซียวอ๋อง องค์หญิงเล่อผิงเสด็จมาขอพบพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวอ๋องมองดวงหน้าเล็กที่เริ่มบึ้งตึงของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้วเอ่ยนิ่งๆ “ให้นางไปรอที่ห้องรับแขก” หัวหน้าขันทีไปแล้วเซียวอ๋องถึงคลายมือออก ก่อนเห็นว่าบนข้อมือขาวผ่องเป็นรอยแดงขึ้นมาแล้ว ช่างบอบบางเสียจริง…ในใจเซียวอ๋องมีความคิดชั่วร้ายวาบผ่าน ปากกลับเอ่ยเป็นจริงเป็นจังว่า “เย็นแล้ว เชิญคุณหนูกลับไปก่อนแล้วกัน วันหน้าค่อยมาตัดสินแพ้ชนะที่จวนกันใหม่”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลอบโล่งอก ก่อนข่มโทสะเอ่ย “น่าเสียดายที่กระดานหมากถูกท่านอ๋องทำเสียหายโดยไม่ทันระวังเข้า มิฉะนั้นไยต้องรอวันหน้าด้วย วันนี้ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว…”
ทั้งที่เมื่อครู่นี้ขาดอีกแค่หมากเดียวนางก็จะชนะแล้ว จนใจที่อยู่ดีๆ เซียวอ๋องก็นึกหาเรื่องขึ้นมา สุดท้ายถึงกับล้มกระดานหมาก ช่างเป็นคนแพ้ไม่เป็นเสียเลย!
เซียวอ๋องกลับไร้สีหน้าละอาย มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “เรื่องนั้นก็ไม่แน่…” เขาเอ่ยกับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “หัวหน้าเว่ย ส่งแขก!”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย่อกายคารวะเซียวอ๋องแล้วก้าวเดินฉับไวออกจากห้องหนังสือ ประตูห้องเพิ่งถูกผลักเปิดก็มองเห็นสตรีตาโตคิ้วเข้มสวมชุดขี่ม้านางหนึ่งก้าวปราดข้ามขั้นบันไดขึ้นมา ยามเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่แต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบเดินออกมาจากห้องหนังสือนางดูอึ้งตะลึงอย่างห้ามไม่ได้
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเหลือบไปเห็นเหล่าสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกทยอยกันคารวะให้กับสตรีที่แต่งกายชุดคล่องตัวผู้นี้พร้อมกับเอ่ยเรียก “องค์หญิง” ก็รู้ว่าจะต้องเป็นองค์หญิงเล่อผิง ธิดาของฮ่องเต้ต้าฉีที่หัวหน้าเว่ยพูดถึงผู้นั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงรีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างพร้อมกับคารวะให้เช่นกัน
องค์หญิงผู้นั้นชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง ถึงแม้จะแปลกใจว่าเหตุใดสตรีที่แต่งกายมอซอเช่นนี้ถึงโผล่มาในห้องหนังสือของพี่รอง แต่ในใจนางมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น ตัวคนยังไม่ทันเดินเข้าไปในเรือนก็โวยวายเสียงดังก่อนแล้ว “พี่รอง! ท่านไฉนไม่สนใจอะไรเลย เสด็จพ่อจะให้ข้าแต่งงานกับคนขี้ขลาดตาขาวที่มีดีแต่รูปโฉมอย่างหวังอวี้หล่างแล้วนะ ท่านไปช่วยเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อที…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก้มหน้าก้าวเดินเร็วลงจากขั้นบันได แต่ชื่อ ‘หวังอวี้หล่าง’ นั้นกลับยังได้ยินอย่างชัดเจน
ถ้าหากเข้าใจไม่ผิด หวังอวี้หล่างที่องค์หญิงพูดถึงน่าจะเป็นบุตรชายของหวังเยี่ยนถิง อดีตอัครเสนาบดีสมัยราชวงศ์ก่อน แล้วก็คือคู่หมั้นที่มีวาสนาแต่ไร้อนาคตร่วมกันผู้นั้นของตน
ตามหลักแล้วสกุลอวี้ฉือตกอับ เมื่อแรกไม่อาจปีนป่ายการแต่งงานเช่นนี้ แต่เพราะเวลานั้นเส้นทางขุนนางของบิดากำลังราบรื่น มีโอกาสจะได้เป็นผู้บัญชาการสามกองทัพ อัครเสนาบดีหวังพิจารณาและประเมินสถานการณ์แล้ว จึงอาศัยงานเลี้ยงสุราส่วนตัวครั้งหนึ่งกำหนดการแต่งงานครั้งนี้
สมัยนั้นนางอายุเพียงสิบสองปี หลังจากผู้อาวุโสของสองครอบครัวตกลงกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้อ้างงานเลี้ยงชมบุปผาในครอบครัวมาให้เด็กสองคนได้พบหน้ากัน เวลานั้นคุณชายหวังอายุเพียงสิบสี่ปี หมู่มวลบุปผชาติทั่วลานเรือนขับเน้นให้เด็กหนุ่มผู้นั้นยิ่งดูขาวสะอาดสุภาพกว่าเดิม ตอนนั้นนางยังไม่ทันแสดงท่าทีเขินอายของเด็กสาว คุณชายหวังผู้นั้นกลับขัดเขินจนใบหน้าแดงก่ำ ทำให้ทุกคนพากันหัวเราะหยอกล้อ
ครั้งต่อมาที่พบหน้าคือหลังจากบิดานางตายในสนามรบ นางสวมชุดผ้าป่านแสดงความกตัญญูประคองโลงศพกลับเข้าเมืองหลวง แต่ว่าศาลบรรพชนของบิดาเงียบเหงาอ้างว้าง สหายสนิทที่มาร่วมไว้อาลัยมีอยู่เพียงบางตา เมื่อล่วงเข้าสู่ยามวิกาล คุณชายหวังอวี้หล่างผู้นั้นพาเพียงเด็กรับใช้คนหนึ่งมาไว้อาลัยท่านพ่อตาอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันพูดกับนางสักคำก็ตาแดงเรื่อเสียก่อน บอกกับนางทั้งยังคล้ายบอกกับตนเองว่า ‘วันหน้าจะไม่มีทางทำผิดต่อเจ้าแน่นอน’
เด็กหนุ่มมีรักลึกซึ้ง ทว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นเขามาที่นี่อย่างลับๆ ล่อๆ ก็รู้แล้วว่าบรรดาผู้ใหญ่สกุลหวังตั้งใจจะขีดเส้นแบ่งชัดเจนกับสกุลอวี้ฉือ วาสนาแต่งงานของนางกับเขากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
หลังจากฝังบิดาลงดิน เทียบถอนหมั้นของสกุลหวังก็ถูกส่งมา เวลานั้นท่านลุงเศร้าเสียใจอย่างยิ่งยวด แต่นางกลับโล่งใจ จำต้องรู้ว่าเวลานั้นในใจนางยังโอบกอดความแค้นของบ้านเมือง มีที่ให้กับความรักระหว่างบุรุษสตรีที่ใดกัน เพียงรู้สึกว่าดีแล้วที่นางไม่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากทำผิดต่อความรักลึกซึ้งของคุณชายสกุลหวัง
หลังจากจัดการเรื่องราวภายหลังของบิดาเรียบร้อย นางอ้างว่าจะกลับไปพึ่งพาญาติที่บ้านเดิมของมารดา ขอบคุณและปฏิเสธคำรั้งให้อยู่ต่อของท่านลุง ติดตามคนรับใช้ของฝานจิ่งไปยังภูเขาไป๋ลู่
ช่วงเวลาหลายปีที่อยู่บนภูเขา นางก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับสกุลหวังเป็นครั้งคราว หวังเยี่ยนถิงผู้นั้นพอมีความสามารถอยู่บ้าง ทั้งยังเก่งด้านปรับหางเสือตามลม* แม้ว่าราชวงศ์ก่อนจะล่มสลาย แต่เขากลับได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ถึงจะเปลี่ยนราชวงศ์ เปลี่ยนยุคสมัย เขาก็ยังคงนั่งอยู่บนตำแหน่งอัครเสนาบดีได้อย่างมั่นคง ชวนให้คนนับถืออย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้ดูท่าสกุลหวังจะเพิ่มความสูงศักดิ์ขึ้นอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะเลือกหวังอวี้หล่างเป็นราชบุตรเขย เพียงแต่ท่าทีขององค์หญิงนั้นกลับดูคบหาด้วยยาก มีคนลือว่าธิดาสกุลฮั่วได้รับการสั่งสอนมาแบบสตรีป่าเถื่อนตามหมู่บ้านชนบท ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่รู้ว่าคุณชายผู้สุภาพในวันวานจะรับมือไหวหรือไม่ คิดมาถึงตรงนี้นางก็อดนึกกังวลแทนหวังอวี้หล่างไม่ได้
ยวนยางเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องรับรองตลอดเวลา ในที่สุดก็รอจนคุณหนูออกมาจึงรีบร้อนมองสำรวจขึ้นลงทันที เมื่อเห็นว่าดูคล้ายจะไม่มีอะไรผิดแปลก สีหน้าของคุณหนูเป็นปกติ นางถึงได้โล่งอก ติดตามคุณหนูกลับบ้านไปด้วยกัน
กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาบ่าย ท่านลุงยืนรออยู่นอกประตูมานานแล้ว หลังจากเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับมาก็สอบถามอย่างร้อนใจรอบหนึ่ง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเพียงเล่าอย่างคลุมเครือว่าเซียวอ๋องผู้นั้นแค่สืบข่าวเรื่องเบาะแสของผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของบิดานาง
อวี้ฉือรุ่ยได้ยินแล้วโมโห เอ่ยว่า “เซียวอ๋องผู้นั้นไฉนมาสืบข่าวเรื่องพวกนี้กับคุณหนูอย่างเจ้าได้เล่า เจ้าจะไปรู้อะไรได้กัน ช่างไร้หัวคิด แต่พูดไปแล้วฝานจิ่งผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นของบิดาเจ้าก็มิใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน จริงๆ หลายปีมานี้ก่อเรื่องละแวกภูเขาไป๋ลู่จนอึกทึกครึกโครม ระยะนี้ถึงกับอาศัยแม่น้ำซงเจียงแบ่งแยกดินแดนปกครองตนเอง ตั้งตนเป็นเซวียนอ๋องแห่งแดนเหนือ…เหอะ มีแต่พวกกินอิ่มเกินไป แต่ละคนถึงได้ยึดติดกับการเป็นฮ่องเต้ทั้งนั้น!”
อวี้ฉือรุ่ยเห็นหลานสาวปลอดภัยดีก็วางใจในที่สุด หลังจากพูดจบก็ยืนครวญทำนองเพลงเบาๆ อยู่กลางลานเรือน
บนต้นไหวในลานเรือนแขวนกรงนกไม้ไผ่สานกรงหนึ่งเอาไว้ ภายในนั้นมีนกฮว่าเหมย ที่กระโดดโลดเต้นอยู่ตัวหนึ่ง เขาไม่ได้มองหลานสาวของตนเองว่าหลังจากฟังประโยคก่อนหน้านี้แล้วเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
แม้ครอบครัวจะตกอับ ไม่อาจเสาะหานกแปลกแมลงหายากที่สิ้นเปลืองเงินทองเหมือนสมัยก่อนมาเลี้ยงอีก แต่ความเคยชินกว่าครึ่งค่อนชีวิตนั้นไม่อาจแก้ไข อยู่ดีๆ ได้เงินมาสิบตำลึง ในเวลาแค่ไม่กี่วันภายในบ้านก็เติมแต่งสิ่งของที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เข้ามาหลายอย่าง ซื้อนกตัวหนึ่งยังไม่เท่าไร แต่ยังซื้อลูกสุนัขพันทางขนสั้นตัวหนึ่งให้กับบุตรสาวอวี้ฉือจิ้งโหรวอีก
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองดูคนแก่และเด็กทั้งสามคนหยอกเย้าลูกสุนัขกันอย่างสนุกสนานแล้วถอนหายใจยาว นางอยากจะพูดว่าหลังจากลูกสุนัขโตแล้วไม่รู้เนื้อจะพอเอามาทำอาหารให้อิ่มท้องสักมื้อหรือไม่ ทว่าตัดใจทำให้บรรยากาศหม่นหมองไม่ลงจริงๆ ก็ดีแล้วที่ครอบครัวท่านลุงใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ เช่นนี้ ถึงได้อดทนผ่านวันเวลายากลำบากที่ขึ้นสุดลงสุดมาได้
วันต่อมาอวี้ฉือรุ่ยซื้อโต๊ะเครื่องแป้งที่ทำจากไม้หลิวให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนอีกตัว โต๊ะไม้แกะสลักตั้งอยู่ในห้องเรียบง่ายออกจะดูสะดุดตาอยู่บ้าง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรู้สึกอับจนปัญญาจนแอบปวดศีรษะ ได้แต่เอ่ยปฏิเสธอ้อมๆ “ท่านลุง เฟยเยี่ยนทราบว่าท่านลุงเอ็นดู แต่สิ่งของประเภทนี้ไม่มีประโยชน์อันใดจริงๆ ทุกวันนี้แค่อาศัยอ่างน้ำในการล้างหน้าแต่งตัวหวีผมก็พอ ไยต้องใช้โต๊ะเครื่องแป้งใหญ่โตเพียงนี้”
แต่อวี้ฉือรุ่ยกลับไม่เห็นด้วย เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หลานสาวข้ารูปโฉมงดงามเพียงนี้ ย่อมคู่ควรกับโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้ เดี๋ยวเร็วๆ นี้ลุงจะให้ใต้เท้าหลี่ที่ยังเป็นขุนนางอยู่ช่วยจับตาดูให้เจ้าว่ามีคนหนุ่มเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถคนใดเหมาะสมหรือไม่ หากมีที่เหมาะสมคู่ควรก็จะขอให้เขาช่วยไปพูดคุยสู่ขอให้เจ้า ถึงเวลาแต่งงาน หากไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งเอาไว้ใช้แต่งตัวจะได้อย่างไร”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินความคิดเพ้อฝันของท่านลุงแล้วยิ่งยิ้มขมขื่นกว่าเดิม “ลำบากท่านลุงแล้ว แต่ทุกวันนี้เฟยเยี่ยนจะยังหาครอบครัวดีๆ จากที่ใดมาแต่งงานด้วยได้อีก แต่งไปแล้วก็เป็นภาระผู้อื่น ต่อให้มีคนยอมสู่ขอ ก็ให้ไปเป็นพวกภรรยาเอกคนที่สองหรืออนุ ซึ่งเฟยเยี่ยนไม่เต็มใจ ยังมิสู้อยู่ตามลำพังไปตลอดชีวิต อีกไม่กี่วันเฟยเยี่ยนตั้งใจว่าจะกลับไปบ้านท่านยาย ไม่รบกวนท่านลุงต่อแล้ว ส่วนโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้ก็ส่งคืนไปเถิดเจ้าค่ะ”
อวี้ฉือรุ่ยได้ยินแล้วโมโหจนขยี้เท้า “พวกบุรุษธรรมดาพ่อม่ายที่คิดอยากแต่งเจ้าเป็นอนุนั่นคู่ควรหรือ! หลานสาวข้าจะต้องเป็นภรรยาเอกของบัณฑิตขุนนางอายุน้อย บ้านยายที่บ้านนอกนั่นก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว หากไม่จัดการเรื่องบั้นปลายชีวิตของเจ้าให้เรียบร้อย ข้าจะมีหน้าไปพบกับน้องชายในยมโลกได้อย่างไร”
คำประกาศฮึกเหิมยังคงอยู่ แต่แค่ไม่กี่วันเงินสิบตำลึงก็ไม่เหลือแล้ว
ท่านลุงต้องตื่นแต่เช้ามาพลิกค้นก้นหีบเลือกสมบัติไปจำนำแลกเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับถูกอวี้ฉือเฟยเยี่ยนห้ามเอาไว้ ช่วงนี้นางกับยวนยางเร่งทำงานปักหลายผืนออกมาจนเสร็จเรียบร้อย อาศัยผ้าผืนใหญ่ห่อเป็นห่อสัมภาระใหญ่เตรียมตัวไปคิดเงินกับร้านเย็บปัก
ตอนที่เดินหอบสัมภาระออกจากบ้านพร้อมกับยวนยาง เพิ่งเดินออกจากตรอก อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็เหลือบเห็นคนชุดครามสองคนเดินตามตนเองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล…ความจริงตั้งแต่วันนั้นที่ออกมาจากจวนอ๋อง คนน่าสงสัยเช่นนี้ก็ปรากฏตัวในละแวกบ้านของนางแล้ว
นี่เซียวอ๋องคิดว่าข้าจะแอบหนีไป หรือคิดอาศัยข้าล่อพรรคพวกของภูเขาไป๋ลู่ออกมา
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจงใจกระชับห่อสัมภาระที่ยวนยางสะพายอยู่ แหย่ให้คนชุดครามเหล่านั้นเคร่งเครียดขึ้นมา ถึงได้เดินออกจากตรอกมุ่งหน้าไปยังร้านเชียนซิ่ว ร้านเย็บปักที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง
เนื่องจากกลัวว่าคนที่โต๊ะจ่ายเงินจะเยอะเกินไป อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงจงใจเลือกมาในเวลาเช้าตรู่ เมื่อมาถึงก็เห็นร้านเชียนซิ่วเพิ่งเปิดประตูดังคาด ลูกจ้างสองคนกับเถ้าแก่ร้านหนึ่งคนกำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะ
เถ้าแก่ร้านเห็นสตรีไม่ค่อยคุ้นหน้ามาส่งงานปักก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นสักเท่าใด แค่บอกให้พวกนางเปิดห่อสัมภาระออก ขอดูลวดลาย
หลังจากยวนยางเปิดออก เถ้าแก่ร้านเหลือบมองปราดเดียวก็เคลื่อนสายตากลับมาทันที
ฝีเข็มของงานปักพวกนี้ไม่นับว่าชั้นเลิศ แต่ว่าลวดลายกลับประณีตละเอียดมาก แตกต่างจากลายดอกโบตั๋นและวิหคที่นิยมกันในช่วงนี้ ลวดลายที่สตรีสองนางนี้นำมามีอยู่กว่าครึ่งที่เขาเรียกชื่อไม่ถูก มิหนำซ้ำรูปแบบของผ้าเช็ดหน้ากับรองเท้าลายปักล้วนดูสง่างาม การจับคู่สีก็ดูหรูหรา ดูงดงามแตกต่างจากแบบอื่น…
“แม่นาง ฝีมือของพวกเจ้าค่อนข้างหยาบ แต่ดีที่ลวดลายแปลกใหม่ เอาแบบนี้แล้วกัน ข้ารับไว้ในราคาสี่พวงเฉียน* เป็นอย่างไร”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มส่ายหน้า นางกางห้านิ้วมือ เถ้าแก่ร้านเข้าใจ รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องต่อราคา ความจริงเขาก็เดาราคานี้ได้แต่แรก เพียงแค่ตั้งราคาต่ำๆ เพื่อให้นางต่อราคาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยิ้มเอ่ย “ห้าพวงเฉียน? ก็ได้ อิงตามที่เจ้า…”
เวลานี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถึงได้ยิ้มเอ่ย “ข้าหมายถึงห้าตำลึง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ม.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.