X
    Categories: ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 5

เถ้าแก่ร้านตกใจจนเบิกตากว้าง โบกไม้โบกมือเอ่ย “แม่นาง นี่มันสิงโตอ้าปากกว้าง นี่! เห็นว่าพวกงานปักของเจ้าเป็นงานปักหลวงจากวังหรือไร ไม่ได้ๆ มิเช่นนั้นเจ้าเอาไปคุยกับร้านอื่นดูแล้วกัน!”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยังคงยิ้มแย้มตามเดิม “เถ้าแก่ร้าน ท่านพูดว่างานปักของพวกเราไม่ได้ดีเลิศนั้นเป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่ข้าขายมิใช่งานปัก แต่เป็นลวดลายเหล่านี้ ถึงแม้ร้านเย็บปักของท่านจะเป็นร้านใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง แต่ระยะนี้ทั้งสีสันและรูปแบบของสินค้าต่างก็เลียนแบบจากร้านวั่นชู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งหมด ทั้งยังตั้งราคาถูกลงกว่าสามส่วน ผลกำไรจึงไม่มาก เนื่องจากเลียนแบบผู้อื่นจึงออกผลงานได้ช้ากว่าหนึ่งเดือน เวลาออกสินค้ามารูปแบบนี้ก็มีดาษดื่นทั่วทั้งถนนแล้ว ปริมาณสินค้าที่ขายได้ก็ไม่ดี ผลงานปักที่เหล่าฮูหยินชั้นสูงในเมืองหลวงเต็มใจซื้อจะเน้นคำว่า ‘โดดเด่นแตกต่าง’ นี้ และรูปแบบพวกนี้จะต้องเป็นหนึ่งเดียวของเมืองหลวง แน่นอนว่าหลังจากนี้หนึ่งเดือนตอนที่ร้านอื่นๆ เลียนแบบลวดลายเหล่านี้แล้ว ข้าย่อมออกแบบใหม่ส่งมาให้เถ้าแก่ร้าน แต่หากเถ้าแก่ร้านไม่เห็นงานปักของข้าอยู่ในสายตา ข้าก็จะนำไปเสนอให้กับร้านวั่นชู่แทนแล้ว…”

พูดจบนางก็เก็บสินค้าหันตัวกลับเตรียมจากไป ประโยคเหล่านี้พูดแทงใจดำเถ้าแก่ร้านเข้าแล้ว เขาจึงเอ่ยรั้งพวกนางเอาไว้ หลังจากหยิบลวดลายต่างๆ ขึ้นมา ยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าควรรับพวกมันไว้ในราคาสูงหรือไม่

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนอ่านความลังเลบนสีหน้าเถ้าแก่ร้านออก จึงยิ้มเอ่ย “เอาเช่นนี้แล้วกันเจ้าค่ะ ข้าจะทิ้งเอาไว้สามแบบก่อน เถ้าแก่ร้านมอบเงินให้ข้าหนึ่งตำลึงก็พอ ท่านเอาพวกมันเป็นต้นแบบให้เหล่าหญิงเย็บปักเลียนแบบ ถ้าหากขายดี ท่านค่อยส่งคนไปแขวนโคมผ้าโปร่งสีเหลืองหน้าประตูเรือนที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของตรอกอู๋ถงเพื่อตามหาข้า ข้าค่อยขายลวดลายอื่นๆ ให้ท่านอีกทีเป็นอย่างไร”

เถ้าแก่ร้านพิจารณาแล้วผงกศีรษะตอบตกลง

ด้วยเหตุนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงทิ้งงานปักสามแบบเอาไว้ ส่วนงานอื่นๆ นางก็ห่อกลับแล้วเดินออกจากร้านเชียนซิ่ว เตรียมเดินทางกลับบ้าน

ตอนนั้นเองก็มีรถม้าคันหนึ่งจอดลงที่ฝั่งตรงข้ามของร้าน ตรงหน้าร้านคู่แข่งวั่นชู่มีสตรีสูงศักดิ์แต่งกายหรูหราผู้หนึ่งถูกสาวใช้ประคองลงจากรถม้า

พอสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นเหลือบมองมาเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโดยบังเอิญเข้าก็ละสายตาไปไม่ได้อีก

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย การมองครั้งนี้นางไม่ตั้งใจ ทว่ากลับจดจำรูปโฉมของสหายเก่าขึ้นมาได้ นางอยากจะเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากแสดงออกว่ารู้จักกับนางหรือไม่ ตอนนั้นเองสตรีสูงศักดิ์เห็นแววตาลังเลของนางก็รู้ว่าจะต้องเป็นสหายเก่าแน่นอน จึงร้องเรียกด้วยความประหลาดใจระคนยินดีออกมา “เยี่ยนเอ๋อร์?! เจ้าจำข้าได้หรือไม่”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนค่อยๆ แย้มยิ้มออกมา “ข้าจะลืมพี่หญิงหลงเจินได้อย่างไรเล่า”

สตรีที่เพิ่งก้าวลงจากรถม้าก็คือสหายสนิทสมัยวัยเยาว์ของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน อดีตคุณหนูตระกูลติ้งกั๋วโหวหลงเจิน วันนั้นตอนที่นางเข้าไปในจวนติ้งกั๋วโหวซึ่งปัจจุบันกลายเป็นจวนเซียวอ๋องแล้ว ยังคะนึงหาสหายสนิทสมัยวัยเยาว์ผู้นี้อยู่เลย ไม่นึกว่าจะได้มาบังเอิญพบกันที่นี่

เดิมทียังเป็นกังวลว่าช่วงแรกที่ทัพต้าฉีบุกเข้าเมืองหลวง ติ้งกั๋วโหวดื่มสุราพิษที่จวน สละชีพเพื่อบ้านเมือง โรยราไปพร้อมกับความรุ่งเรืองของต้าเหลียง สหายผู้นี้ของตนเองจะมีชีวิตลำบากแสนเข็ญ แต่ตอนนี้ดูแล้วยังคงไร้ปัญหาด้านความเป็นอยู่

หลงเจินเองก็ตื่นเต้นมาก นางไม่สนใจจะไปเดินซื้องานปักในร้านอีก แต่เข้าไปจับมืออวี้ฉือเฟยเยี่ยนไว้ ตั้งใจจะดึงอีกฝ่ายไปสนทนารำลึกความหลังด้วยกันในโรงน้ำชาใกล้ๆ

แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมีท่าทีลังเล นางตระหนักดีว่าตอนนี้ทุกกิริยาวาจาของตนเองล้วนอยู่ในสายตาขององค์ชายรอง ด้วยห่วงว่าหลงเจินสนิทสนมกับนางเกินไปแล้วจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย จึงเอ่ยปฏิเสธอ้อมค้อม “วันนี้ได้พบกับคุณหนูหลงเจิน นับว่าปล่อยวางความกังวลลงได้แล้ว แต่ที่บ้านยังมีธุระรอให้เฟยเยี่ยนกลับไปจัดการ ขอบอกลากันตรงนี้ ขอเชิญคุณหนูหลงเจินตามสบายเถิด”

หลงเจินได้ยินประโยคนี้แล้วใบหน้าเปลี่ยนสี ถามเสียงเย็น “หรือเจ้าเป็นเหมือนกับสหายเก่าคนอื่นๆ รังเกียจที่คุณหนูตระกูลโหวอย่างข้าเป็นอนุให้กับบุรุษป่าเถื่อนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวอ๋อง”

ถึงแม้หลงเจินจะเอ่ยอย่างเย็นชา ทว่าน้ำเสียงกลับสั่นเครือเล็กน้อย อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินแล้วตกใจยิ่งกว่า เมื่อช้อนสายตาขึ้นมองหลงเจินอีกทีก็พบว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะสวมชุดงามหรูหรา แต่ดวงหน้าโทรมหมองนั้นต่อให้ทาแป้งชาดหนาก็ยังปกปิดไม่มิด

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นอารมณ์ของหลงเจินพลุ่งพล่านก็รีบจับมืออีกฝ่ายเอ่ยว่า “พี่หญิงคิดเช่นนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ทุกวันนี้เฟยเยี่ยนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เกรงว่าจะทำให้พี่หญิงเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้น”

หลงเจินรู้ว่าตนเองเสียกิริยาไป ทว่าหลังจากได้ยินอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพูดเช่นนี้ เห็นนางแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบธรรมดา พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่บิดานางตายแล้วก็เข้าใจขึ้นมา กุมมือนางตอบพร้อมเอ่ยว่า “เดี๋ยวนี้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ ทุกวัน มีชีวิตผ่านไปได้หนึ่งวันนับเป็นหนึ่งวัน จะเดือดร้อนไม่เดือดร้อนอันใดเล่า!” พูดจบหลงเจินก็จูงมืออวี้ฉือเฟยเยี่ยนขึ้นรถม้า พาไปยังโรงน้ำชาใกล้ๆ ด้วยกัน

โรงน้ำชาช่วงเช้าเงียบเหงาไร้ผู้คน แต่หลงเจินยังคงเลือกนั่งในห้องส่วนตัวอันเงียบสงบที่อยู่ด้านในสุดกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนตามลำพัง

หลังจากไล่สาวใช้ที่ตนเองพามาด้วยออกไป หลงเจินยังไม่ทันพูดอะไรก็หลั่งน้ำตาลงมาสองสายก่อนแล้ว

ที่แท้ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนหลบหนีออกจากวังหลวง ได้ข่าวว่าพลาดท่าตกหน้าผา เสด็จสวรรคตโดยไร้พระศพ สถานการณ์ในเมืองหลวงจึงเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา รากฐานเก่าแก่นับร้อยปีของต้าเหลียงล้มลงในวันเดียว ท่านอ๋อง ท่านโหว แม่ทัพ เสนาบดีทุกคนในต้าเหลียงพลันกลายเป็นหมอกควันไป

ติ้งกั๋วโหวได้ยินข่าวสวรรคตของฮ่องเต้พระองค์ก่อนแล้วก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เดิมทีนางจะติดตามมารดาออกจากเมืองหลวง จนใจที่รถม้าเพิ่งออกจากประตูเมืองก็เจอกับกองทัพของแม่ทัพอารมณ์ร้อนโต้วหย่งซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวอ๋อง รถม้านางถูกขวางทางไป จากนั้นนางที่ขดร่างตัวสั่นงันงกอยู่ในอ้อมกอดมารดาก็ถูกกระชากตัวลงจากรถม้าอย่างหยาบคาย ด้วยรูปโฉมที่อ่อนหวานของนางจึงถูกโต้วหย่งผู้นั้นต้องตาเข้า ถูกอุ้มพาตัวขึ้นหลังม้ากลับเข้าเมืองหลวง ในคืนเดียวกันนั้นก็ถูกลากเข้าไปในม่านมุ้งย่ำยีจนไม่เหลือสภาพ โชคดีที่โต้วหย่งได้คุณหนูตระกูลโหวแล้วรู้สึกแปลกใหม่ หลังจากเล่นสนุกจนสาแก่ใจก็สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งตัวมารดานางกลับบ้านเดิมที่เจียงหนาน รั้งแค่นางให้เป็นอนุของจวนแม่ทัพ

“ข้าเองก็อยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายเลียนแบบสตรีมากคุณธรรม แต่พอนึกถึงมารดาแล้วตัดใจจากไปไม่ลง สุดท้าย…ข้าก็ยังสู้บิดาไม่ได้ ไม่อาจยกคุณธรรมสูงส่งแล้วจากไปโดยไม่สนใจพวกเราสองแม่ลูกได้…” ครั้นนึกถึงความทรมานที่ทนผ่านมาในจวนแม่ทัพหลายปีนี้ น้ำตาของหลงเจินก็ไหลไม่หยุด เดิมทีโต้วหย่งผู้นั้นเป็นคนขายเนื้อคนหนึ่งในซินเหยี่ย หลังจากฮั่วอวิ่นก่อกบฏ เขาเองก็จับมีดเชือดสัตว์สองเล่มเข้าร่วมกองทัพด้วย เพราะเขารบได้อย่างห้าวหาญจึงกลายมาเป็นแม่ทัพคนโปรดของฮั่วจวินถิง ทว่าภรรยาเอกของเขาเดิมก็เป็นสตรีบ้านนอกคนหนึ่ง นิสัยหยาบคายไร้มารยาท เวลากินข้าวแคะฟัน เวลาชมงิ้วก็สะบัดรองเท้าปักลายหลุด ยกเท้าขึ้นมาเกาแกรกๆ สตรีนางนี้เป็นคนที่มารดาของโต้วหย่งสู่ขอมาให้เขาโดยเฉพาะ โต้วหย่งเองก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไร แต่ติดที่ตอนเขาเข้าร่วมกองทัพนางคอยดูแลรวมถึงจัดงานศพให้กับมารดา ด้วยความรู้สึกขอบคุณจึงไม่อาจหย่าอีกฝ่าย ทว่าเตียงของภรรยาเอกนับได้ว่าเย็นยะเยือกอ้างว้างมาตลอด

เมื่อเป็นเช่นนี้ยามที่นางเห็นสภาพคุณหนูสูงศักดิ์ของหลงเจินก็ให้อิจฉาริษยา วันๆ เอาแต่ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอก บ้างก็ว่านางสำส่อน

หลงเจินใช้ชีวิตเป็นคุณหนูตระกูลโหวมาสิบหกปี เคยพบเจอสตรีฝีปากจัดจ้านไร้เหตุผลระดับล้างดินโคลนออกจากขาไม่สะอาดเช่นนี้เสียที่ใด จึงอัดอั้นตันใจ รู้สึกว่าแม่ทัพโต้วกับสตรีนางนี้เป็นหม้อรั่วกับฝาขึ้นสนิม ถือเป็นคู่สร้างคู่สมกัน ส่วนตนเองเมื่อชาติก่อนสั่งสมบุญบารมีไม่มากพอ ชาตินี้มารับโทษตกอยู่ในขุมนรกทั้งเป็น

ยังดีที่แม้โต้วหย่งจะเป็นคนนิสัยป่าเถื่อน แต่พอเห็นสภาพนางร่างกายทรุดโทรมลงทุกวัน สุดท้ายยังคงเกิดจิตใจรักหยกถนอมบุปผาขึ้นมาบ้าง จัดเตรียมเรือนแยกไว้นอกจวนแม่ทัพ ให้นางย้ายออกไปพักอยู่อาศัย หลงเจินถึงได้พอหายใจหายคอบ้าง

หลงเจินเล่าเหตุการณ์ที่ตนเองพบเจอมาจนจบก็ถามเรื่องของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนต่อ

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มน้อยๆ เอ่ย “หลังจากท่านพ่อจากไป ข้าก็อาศัยอยู่ที่บ้านนอก ไม่นานมานี้เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาตามหาท่านลุงของข้าเจ้าค่ะ วันนี้เอาพวกงานปักไปขายในร้านเย็บปัก บังเอิญได้มาเจอกับท่านเข้าพอดี”

เดิมทีหลงเจินรู้สึกสงสารเวทนาสิ่งที่ตนเองพบเจอ กระทั่งตอนนี้ได้เห็นการแต่งกายของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน ถึงแม้นางจะอายุสิบแปดปี อยู่ในช่วงวัยสาวสะพรั่ง ทว่ากลับสวมอาภรณ์แบบเก่าๆ บนเรือนผมดกดำไม่มีเครื่องประดับทอประกายช่วยขับเน้นสักอันเดียว คาดว่าการแต่งงานในวันหน้าของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนคงยากจะสมดังใจปรารถนา…ที่แท้ข้ามีชีวิตลำบากเช่นนี้ เยี่ยนเอ๋อร์ก็ลำบากอีกแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน ชั่วเวลานี้นางจึงวางความกลัดกลุ้มใจของตนเองลง แล้วหันมากังวลใจถึงชีวิตภายหลังจากนี้ของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแทน

นึกถึงว่าตอนที่ตนเองออกมาจากจวน สาวใช้พกเงินมาไว้สำหรับซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ด้วย จึงสั่งให้สาวใช้หยิบถุงเงินออกมายื่นให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนทั้งหมดทันที

ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่เคยรับเงินทองจากผู้อื่น ย่อมต้องรีบร้อนปฏิเสธทันควัน หลงเจินกลับถลึงตาใส่ “เวลาเช่นนี้ยังทำตัวสูงส่งไม่แตะต้องเงินทองพวกนี้อีกหรือ ความสูงส่งช่วยหุงข้าวสารสุกได้หรือ”

อดีตคุณหนูตระกูลโหวผู้นี้ท้ายที่สุดแม้ผ่านการขัดเกลาจากจวนแม่ทัพมาหลายปี แต่ก็ยังติดนิสัยปากร้ายหยาบคายจากฮูหยินใหญ่ผู้นั้นมาอยู่บ้าง นางยัดถุงเงินเข้าไปในอ้อมอกของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย่อมต้องเข้าใจเจตนาของหลงเจิน ถ้าหากนางยังปฏิเสธอีกจะดูยโสโอหังแทนแล้ว จึงยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นข้าก็ได้แต่รับน้ำใจจากท่านแล้ว”

ตอนที่ออกมาจากโรงน้ำชา หลงเจินมอบป้ายแผ่นหนึ่งให้กับอวี้ฉือเฟยเยี่ยน พร้อมบอกที่อยู่ของเรือนตนเองกับนาง “ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรก็บอกให้ท่านลุงเจ้าพกป้ายนี้มาหาข้า แต่เจ้าอย่ามาด้วยตนเองเป็นอันขาด หากถูกโต้วหย่งผู้นั้นพบเห็นเข้า บุรุษป่าเถื่อนเช่นนั้นสามารถทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามออกมาได้ทุกอย่าง”

หลังจากบอกลากับหลงเจิน อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็กลับบ้านพร้อมกับยวนยาง คนชุดครามสองคนนั้นตามอวี้ฉือเฟยเยี่ยนมาทั้งวัน พอถึงตอนเย็นก็มีหนึ่งคนแยกตัวกลับไปรายงานที่จวนอ๋อง

 

เซียวอ๋องฟังการเดินทางตลอดทั้งวันนี้ของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้วก็จิบชาในมือช้าๆ จากนั้นเอ่ยว่า “ไปที่ร้านนั้นแล้วซื้องานปักสามแบบที่นางปักด้วยตนเองกลับมา”

คนผู้นั้นได้ยินคำสั่งของเซียวอ๋องแล้วรับคำสั่งออกไป

เซียวอ๋องวางถ้วยชาลง ลุกเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องนอน สาวใช้เลิกม่านของห้องด้านในให้ ที่ข้างเตียงแขวนภาพวาดโฉมงามซึ่งฉีกขาดไม่สมประกอบภาพหนึ่งเอาไว้

เซียวอ๋องหยุดยืนชื่นชมตรงหน้าภาพวาด นัยน์ตาลึกล้ำตั้งใจมองคนในภาพ โฉมงามในภาพนี้กลับอยู่ในชุดบุรุษ เพียงแต่เรือนผมไม่ได้เกล้าเป็นมวยของบุรุษ กลับถักเป็นเปียยาวสีดำสนิทพาดไว้ตรงทรวงอก ในมือนางถือแผนที่นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ ทิวเขาห่างไกลและเมฆคล้อยต่างช่วยขับเน้นให้นางโดดเด่นงามจับตา นัยน์ตาหงส์ของสตรีผู้นั้นทอดมองไกลออกไป แววตาดุจเมฆที่เลื่อนลอย ดูท่าผู้ที่วาดภาพนี้คงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้ชมภาพ ว่าไม่อาจเข้าใจโฉมงามหมดจดในภาพวาดนี้

ต่อให้ภาพวาดนี้จะได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดีเพียงใดก็มิอาจพ้นถูกไฟแผดเผา เมื่อแรกที่เอาภาพออกมาจากกระถางเพลิง ส่วนขอบถูกเปลวเพลิงลามเลียไหม้เกรียม ต่อให้ภายหลังเซียวอ๋องจะหาช่างมาซ่อมแซมก็ยังคงไม่สมบูรณ์อยู่ดี

แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องซ่อมแซมแล้ว เซียวอ๋องยกมือขึ้นปลดภาพวาดลงจากผนัง

ในเมื่อตัวคนมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าแล้ว หากคิดหนีไปจากกำมือข้าอีกก็ยากดุจขึ้นสวรรค์แล้ว!

บทที่ 6

ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะพูดอย่างมั่นใจต่อหน้าเถ้าแก่ร้านเชียนซิ่ว แต่ผลการขายของงานปักนี้จะเป็นเช่นไร ความจริงนางเองก็ไม่แน่ใจนัก ลวดลายประณีตที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ พวกนั้นก็เป็นแค่ลายที่นางจำมาตอนอยู่บนภูเขาไป๋ลู่ โดยเห็นจากพรมของพ่อค้าลักลอบขายสินค้าระหว่างซีอวี้ กับปอซือ หลังจากดัดแปลงรูปแบบและคู่สีเล็กน้อยก็นำลวดลายออกมาใช้งาน

วิธีนี้คล้ายการจับเสือมือเปล่าอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้นางเคยตั้งใจเฝ้าสังเกตการแข่งขันระหว่างร้านเชียนซิ่วกับร้านวั่นชู่มาโดยตลอด แล้วอาศัยปมในใจของเถ้าแก่ร้านมาใช้หาผลประโยชน์ก็เท่านั้น

แต่คิดไม่ถึงว่าตอนบ่ายวันถัดมาเถ้าแก่ร้านจะมาขอซื้องานปักที่เหลือของนางด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังนัดหมายว่าอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ให้ส่งมอบลวดลายใหม่ให้เขาอีกชุดหนึ่ง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนฉงนใจว่าเหตุใดจึงขายออกได้รวดเร็วเพียงนี้

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่รู้ว่าเมื่อวานหลังจากแยกกับหลงเจิน อีกฝ่ายมีใจอยากช่วยสนับสนุนนาง จึงตัดใจจากร้านวั่นชู่ หันไปซื้อของที่ร้านเชียนซิ่วแทน หลังจากดูลวดลายแล้วก็จงใจขอลวดลายใหม่ๆ เมื่อเห็นเถ้าแก่หยิบออกมาแสดงสามแบบ บอกว่าเพิ่งรับมาเมื่อเช้านี้ก็รู้ว่าเป็นผลงานปักของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน หลงเจินไม่ถามราคาก็สั่งลวดลายเช่นนี้ทีเดียวสิบชุดในคราวเดียว เถ้าแก่ร้านย่อมยินดีจนหน้าระรื่น รีบลอกลายส่งให้บรรดาหญิงเย็บปักที่โรงเย็บปักทันที

ไฉนเลยจะรู้ว่ามีเงินก้อนใหญ่กว่านี้รออยู่ในเวลาต่อมา ช่วงเย็นมีบุรุษมาระบุขอซื้องานปักสามลายที่เพิ่งส่งมาเมื่อเช้าวันนี้อีก เถ้าแก่ร้านดวงตากลอกไปรอบหนึ่ง อ้าปากเรียกราคายี่สิบตำลึง นึกไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นจะไม่ต่อรองราคาด้วยซ้ำ จ่ายเงินให้ในทันที

ผลลัพธ์หลังจากคำนวณรวมๆ แล้ว ผลกำไรของเถ้าแก่ร้านล้นเหลือ ย่อมต้องยินดีที่จะรับงานปักเพิ่มอีก

ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะสงสัย แต่ในเมื่อเถ้าแก่ร้านยอมรับซื้อ นางย่อมไม่มีทางปฏิเสธเช่นกัน จึงห่องานปักที่เหลือขายให้กับเถ้าแก่ร้านไปทั้งหมด

คราวนี้เงินที่ได้จากการขายงานปักรวมกับที่หลงเจินยัดเยียดให้นางก่อนหน้านี้ก็มีมากถึงยี่สิบตำลึง ทว่านางไม่ได้มอบเงินก้อนนี้ให้กับท่านลุง มิฉะนั้นเงินพวกนี้จะหมดลงในไม่กี่วันอีกครั้ง สถานการณ์ยามนี้นางไม่อาจออกจากเมืองหลวงในเวลาอันใกล้ ถึงอย่างไรก็ต้องอดทนต่ออีกสักระยะ รอจนเซียวอ๋องผู้นั้นหาเบาะแสอื่นใดของกองทัพกบฏจากนางไม่ได้แน่แล้ว อีกฝ่ายถึงจะยอมคลายที่คีบเหล็กของเขาออกให้

การขายงานปักเช่นนี้ไม่ใช่แผนการระยะยาวอะไร อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเล็งร้านโจ๊กตรงหัวมุมถนนไว้ เดิมทีกิจการของร้านโจ๊กร้านนั้นไม่เลวเลย ถึงเป็นแค่กิจการเล็กๆ แต่ก็มากพอให้เลี้ยงดูคนในครอบครัวไม่กี่คนได้โดยไร้ปัญหา ทว่าท่านลุงโจวเจ้าของร้านโจ๊กล้มป่วยกะทันหัน ตายไปเมื่อเดือนก่อน ส่วนบุตรสาวคนเดียวของเขาก็แต่งงานแล้ว ร้านโจ๊กไม่มีคนดูแลจึงตั้งใจจะขายต่อ

ดังนั้นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงพายวนยางไปเจรจาราคากับบุตรสาวของท่านลุงโจว รับช่วงต่อร้านโจ๊กเล็กๆ แห่งนั้นมาด้วยเงินสิบตำลึง สามีของบุตรสาวท่านลุงโจวทำงานอยู่ที่จวนผู้ว่าการเมืองหลวง เนื่องจากตอนที่ซื้อร้านต่ออวี้ฉือเฟยเยี่ยนเสนอราคาไม่ต่ำ บุตรสาวของท่านลุงโจวจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนี้เมื่ออวี้ฉือเฟยเยี่ยนเปิดร้าน สามีของนางจะช่วยดูแลทางด้านนั้นให้มาก ไม่มีทางปล่อยให้มีเจ้าหน้าที่มารบกวนอย่างแน่นอน

ทว่าเมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว ทางท่านลุงกลับให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยอวี้ฉือเฟยเยี่ยนออกไปยืนขายโจ๊ก ถึงครอบครัวจะตกอับ ทว่าศักดิ์ศรีในชีวิตบั้นปลายของขุนนางสูงศักดิ์ยังคงอยู่ การจำนำทรัพย์สมบัติในบ้านถือว่าบรรพบุรุษช่วยปกปักรักษา แต่จะให้ตกต่ำถึงกับลดขั้นไปเป็นพ่อค้าแม่ค้านั้นไม่ได้เด็ดขาด! ไม่มีวัน! ไม่มีทาง!

ท่านลุงได้ยินข่าวเรื่องอวี้ฉือเฟยเยี่ยนซื้อต่อร้านโจ๊กจากปากของอวี้ฉือจิ้งโหรว เวลานั้นในบ้านยังมีแขกอีกหนึ่งคนคือใต้เท้าหลี่นามว่าหลี่ฉยง ขุนนางเก่าตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน เป็นสหายสนิทของท่านลุง เดิมทีเขาเป็นขุนนางตรวจสอบลำดับรองขั้นสี่ในกรมอากรของต้าเหลียง น่าเสียดายที่พอฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยน ตำแหน่งขุนนางก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจดจำได้ว่าท่านลุงเคยพูดด้วยความภาคภูมิใจว่าใต้เท้าหลี่ยังคงรับราชการอย่างมั่นคง เป็นขุนนางในราชสำนัก อยากจะรบกวนเขาให้ช่วยหาคนหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉมให้กับนาง รอใต้เท้าหลี่ว่างมาหาท่านลุงร่วมดื่มสุรากันในลานเรือน ฟังพวกเขาสนทนาเรื่อยเปื่อยกันแล้วถึงได้เข้าใจ ในเวลานี้ใต้เท้าหลี่ไม่ได้ทำงานในกรมอากรแล้ว แต่มารับตำแหน่งขุนนางอยู่ที่ประตูเมืองตะวันตกแทน…เปิดเช้าปิดเย็น หน้าที่การงานไม่มีอะไร มั่นคงมากจริงๆ!

เมื่อท่านลุงได้ยินว่าหลานสาวจะเปิดร้านโจ๊กก็โมโหไม่พอใจทันควัน

ครั้นเห็นท่านโหวเฒ่าอารมณ์เสีย ใต้เท้าหลี่ก็ดื่มสุราไปจอกหนึ่ง ต่อด้วยกินถั่วลิสงคั่วไปหลายเม็ด ถึงค่อยเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เดิมทีนี่เป็นเรื่องในบ้านเจ้า ข้าไม่ควรจะสอดปากยุ่ง แต่ลุงเจ้าเพิ่งจะพูดกับข้าเรื่องให้มองหาบ้านสามีที่เหมาะสมสำหรับหลานสาวผู้เพียบพร้อม ตอนนี้เจ้าตั้งใจจะไปขายโจ๊ก พูดไม่น่าฟังสักหน่อย…เกรงว่าจะจัดการเรื่องที่ท่านลุงเจ้าฝากฝังได้ยากแล้ว…”

ท่านลุงได้ยินใต้เท้าหลี่เอ่ยถ้อยคำลังเลเช่นนี้พลันยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม “เจ้าฟังสิ! เพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยอาจทำให้เรื่องใหญ่ตลอดบั้นปลายชีวิตเสียหาย! เชื่อลุง วันพรุ่งนี้รีบขายร้านโจ๊กนั้นเสีย ยืนตากแดดตากลมมีอะไรให้น่าทำกัน”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองอวี้ฉือจิ้งโหรวที่มองมาอย่างรู้สึกผิดเพราะตนเองปากมาก ก็ยิ้มพลางจับมืออีกฝ่าย จากนั้นเอ่ยกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านว่า “ท่านลุงเป็นห่วงเฟยเยี่ยน เฟยเยี่ยนเข้าใจดี แต่เฟยเยี่ยนไม่อยากแต่งงานจริงๆ เจ้าค่ะ ต่อให้แต่งไปเฟยเยี่ยนก็ไม่พอใจอยู่ดี มิสู้อยู่ข้างกายท่านลุง ดูแลน้องชายน้องสาวทั้งสองคนให้ดี ทุกวันนี้จิ้งโหรวเองก็เติบโตขึ้นแล้ว ถ้าหากท่านลุงมีความตั้งใจเช่นนี้ก็หาบ้านสามีที่เหมาะสมให้กับจิ้งโหรวก่อนดีกว่า ทางเสียนเกอเอ๋อร์เองก็ไม่ได้ไปเข้าเรียนนานแล้ว ต่อให้อนาคตไม่คิดเป็นขุนนาง แต่บุรุษก็ควรมีความรู้แตกฉาน ความคิดความอ่านถึงจะกระจ่างแจ้ง เรื่องพวกนี้ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น ออกไปขายโจ๊กริมถนนแล้วอย่างไรกัน เฟยเยี่ยนเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว ท่านลุงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” นางพูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป

อวี้ฉือรุ่ยถูกพูดใส่จนไร้คำพูดเถียงกลับ สุดท้ายแล้วนิสัยของหลานสาวผู้นี้ของเขายังคงเหมือนกับบิดานางที่เสียชีวิตไป ทันทีที่ตัดสินใจแล้วต่อให้ใช้วัวเก้าตัวมาฉุดก็รั้งไว้ไม่อยู่ ส่วนตัวเขาเป็นคนนิสัยอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร ควรเกลี้ยกล่อมหลานสาวที่ดื้อรั้นผู้นี้อย่างไรยังนับว่าน่าปวดหัวจริงๆ

ทว่าสองพี่น้องอวี้ฉือจิ้งเสียนกับอวี้ฉือจิ้งโหรวกลับสนับสนุนกิจการเล็กๆ ของญาติผู้พี่อย่างยิ่ง ทรัพย์สมบัติสามหีบของบิดาใกล้เห็นก้นหีบเต็มทีแล้ว ความถี่ในการนำสิ่งของไปจำนำน้อยครั้งลงเรื่อยๆ วันเวลาอันแสนอัตคัดขัดสนเปิดเผยให้เห็นผ่านอาหาร พวกเขาไม่ได้ลิ้มรสเนื้อหลายวันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ สองพี่น้องอยู่ในวัยกำลังโต ตกดึกมักนอนฝันเห็นขาหมูราดน้ำแดงจนกัดผ้าห่มต่างขาหมู ก่อนสะดุ้งตื่นด้วยความหิวโหย ถึงแม้ทั้งสองคนจะอ่อนเยาว์กว่า แต่ก็มองออกว่าการพูดจาและการปฏิบัติตัวของญาติผู้พี่อายุสิบแปดปีคนนี้พึ่งพาได้มากกว่าบิดา หากญาติผู้พี่เปิดร้านโจ๊ก การได้กินอาหารอิ่มท้องสักมื้อก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายไปด้วย

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นสองพี่น้องสกุลอวี้ฉือตื่นแต่เช้า หน้าร้านโจ๊กไม่กว้างมาก พวกเขาช่วยญาติผู้พี่กับยวนยางใช้ไม้ไผ่ค้ำยันผ้ากันฝนหน้าร้านโจ๊กจนเสร็จเรียบร้อย ทั้งยังจัดโต๊ะเก้าอี้ เพียงไม่นานควันอาหารก็ลอยขึ้นจากเตา ร้านโจ๊กนับว่าเปิดกิจการแล้ว

แม่ครัวคือยวนยาง สมัยอยู่จวนแม่ทัพนางถูกย้ายจากห้องครัวมารับใช้คุณหนู ภายหลังไปที่ภูเขาไป๋ลู่ ลำไส้ของคุณหนูไม่ดี ไม่ชินกับอาหารการกินบนภูเขา ก็ได้ยวนยางต้มน้ำแกงทำอาหารให้ด้วยตนเอง เรื่องฝีมือย่อมไม่ต้องพูดถึง เครื่องเคียงที่ปรุงเมื่อคืนนี้ใช้น้ำมันพริกเป็นส่วนผสมปรุงรส จากนั้นหมักเอาไว้หนึ่งคืนรสชาติกำลังได้ที่ กินคู่กับโจ๊กจะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารให้กินมากขึ้นอีกหลายชาม นับประสาอะไรกับที่รสชาติโจ๊กไก่ของยวนยางยังเข้มข้นมาก คนที่หิวท้องกิ่วยามเช้าจะปฏิเสธอาหารอร่อยที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ประเภทนี้ได้อย่างไร

เนื่องจากร้านโจ๊กตั้งอยู่ใกล้สำนักศึกษาแห่งหนึ่ง จึงมีบัณฑิตอายุน้อยผ่านไปผ่านมามากมาย บวกกับมีเจ้าของเก่าช่วยดูแล ตั้งแต่เปิดร้านตอนเช้าจึงมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่น้อย อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนั่งล้างถ้วยชามกับตะเกียบอยู่ด้านข้าง อมยิ้มมองน้องชายน้องสาวตักโจ๊กกันอย่างงุ่มง่าม พร้อมกับงอนิ้วนับเหรียญสำริดคำนวณบัญชีไปด้วย

นกนางแอ่นที่เคยอยู่ใต้ชายคาจวนสูงศักดิ์ ท้ายที่สุดยังคงต้องร่อนลงในลานบ้านปุถุชน

ท่านลุงยังคงติดอยู่ในภาพฝันงดงามของตระกูลโหวในอดีต แต่สองพี่น้องจำเป็นต้องตื่นจากฝันกาลก่อน เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดด้วยการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็เช่นเดียวกัน ต้องพยายามลืมเรื่องสงครามการฆ่าฟันในอดีต เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตอันเรียบง่าย กินอาหารสามมื้อต่อวันเช่นนี้…

สามวันต่อมา อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคำนวณบัญชีดูแล้วพบว่าผลกำไรของร้านโจ๊กอาจไม่นับว่าอู้ฟู่ แต่เมื่อคำนวณโดยละเอียดกลับมากพอประทังชีวิตของคนทั้งครอบครัว ทว่าพอยุ่งง่วนเช่นนี้ หลังจากหมดวันคนก็ปวดเอวเมื่อยหลัง สองพี่น้องคู่นั้นผ่านช่วงแปลกใหม่ตอนแรกไปแล้ว ต่างพากันร้องบ่นว่าเหนื่อย หลังจากกลับถึงบ้านก็จะล้มลงบนเตียงนอนหลับสนิทไป อาจเพราะท่านลุงโมโหอวี้ฉือเฟยเยี่ยนอยู่ หลายวันมานี้จึงยังไม่เห็นเขาแวะมาดูที่ร้านโจ๊กสักครั้งเดียว

วันนี้เมื่อล่วงสู่ช่วงย่ำค่ำ ลูกค้าที่มากินโจ๊กก็เหลือแค่เพียงบางตา อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกำชับให้ยวนยางเตรียมเก็บร้าน จากนั้นไปซื้อเนื้อติดมันสองชั่งมาจากร้านขายเนื้อบนถนนข้างเคียง เอามาตุ๋นทำพะโล้หนึ่งหม้อ ให้รางวัลน้องชายน้องสาวที่เหน็ดเหนื่อย แล้วก็จะได้ให้พวกเขาลิ้มรสชาติหวานล้ำของการลงแรงทำงานเองด้วย นอกจากนี้ยังจะไปซื้อสุราเลิศรสไหหนึ่งมาให้ท่านลุงที่ดูจะยังอารมณ์เสียอยู่

หลังเก็บร้านเสร็จเรียบร้อยอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็ให้น้องชายน้องสาวกลับบ้านไปพักผ่อนก่อน ส่วนยวนยางนำเงินไปซื้อเนื้อที่ร้านขายเนื้อ นางที่ยังอยู่ร้านต่อตามลำพังตักน้ำจากบ่อน้ำด้านข้างมาครึ่งถัง เตรียมจะล้างเหงื่อบนใบหน้า รอดับไฟในเตาแล้วก็กลับบ้านได้

ตอนนั้นเองท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ม้าตัวใหญ่กลุ่มหนึ่งวิ่งห้อตะบึงตรงมาหา เสียงกีบเท้าม้าดังสะเทือนเข้าหู สุดท้ายค่อยๆ หยุดลงที่หน้าตรอก อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเช็ดน้ำบนใบหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษหล่อเหลาในชุดคล่องตัวขี่ม้ามาหยุดตรงหน้าร้านโจ๊ก บุรุษร่างสูงใหญ่นั่งตัวตรงบนหลังม้า ชุดขี่ม้าสีขาวหิมะถูกแสงอาทิตย์อาบย้อมเป็นสีแดงก่ำ ดวงหน้าหล่อเหลาที่หันหลังให้แสงมองเห็นได้สลัวราง

ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะรู้ว่าเขาส่งคนมาจับตามองนาง แต่ไม่เคยคิดว่าองค์ชายรองผู้มีภาระหน้าที่รัดตัวจะหาเวลาว่างแวะมาที่นี่ด้วยตนเองในสถานการณ์ที่ยังไร้ซึ่งเบาะแสทัพกบฏ นางจึงอดตกตะลึงไม่ได้

เซียวอ๋องโยนแส้ม้าให้กับองครักษ์ด้านข้างแล้วตวัดกายลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว เด็กเลี้ยงม้าจูงม้าออกจากตรอกแคบให้ทันที

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรีบคำนับเซียวอ๋อง จากนั้นถามเสียงเบา “เย็นแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะทรงแวะมาหาผู้น้อย ทรงมีธุระอันใดหรือเพคะ”

เซียวอ๋องเดินเข้าร้านโจ๊กอย่างเป็นธรรมชาติ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ผสานกลิ่นเหงื่อซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวบุรุษลอยปะทะจมูกของนาง ดูท่าเซียวอ๋องน่าจะเพิ่งกลับมาจากการฝึกทหารเสร็จ เวลานี้ทั้งที่อากาศเย็นสบาย บริเวณสาบเสื้อของเขากลับชุ่มเหงื่อ

เขาได้ยินคำถามแผ่วเบาจากอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้วไม่ได้พูดอะไร นัยน์ตาดำขลับจ้องเขม็งมองดวงหน้าสดที่ไม่ทาแป้งเขียนคิ้ว และเปียกน้ำอยู่เล็กน้อยของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน ก่อนค่อยๆ พับแขนเสื้อตนเองลง ตามด้วยปลดกระดุมคอเสื้อ…

เมื่อเห็นโฉมงามพิสุทธิ์ผู้ใช้ผ้าสีเรียบโพกศีรษะเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ เขาถึงได้ก้มตัวลงอาศัยน้ำในถังที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนใช้เหลือเมื่อครู่นี้เริ่มล้างหน้าเสียงดัง

การกระทำเหนือความคาดหมายเช่นนี้ช่างชวนให้คนไร้คำพูดสุดขีด อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรู้สึกว่าถ้าแสดงออกว่าอับอายหงุดหงิดจะดูเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่นางก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก…จึงได้แต่ยืนอย่างสำรวมอยู่ด้านข้าง

เซียวอ๋องล้างหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อจนเปียกโชกเสร็จ หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ เช็ดใบหน้าและลำคอ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างมองเห็นชัดว่าผ้าในมือเขาผืนนั้นเป็นงานปักชิ้นหนึ่งที่นางขายให้กับร้านเชียนซิ่ว

หลังจากเซียวอ๋องเช็ดหน้าเสร็จก็วางผ้าลงด้านข้าง ก่อนนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งแล้วเอ่ยปากอย่างสบายใจ “เอาโจ๊กมาหนึ่งชาม”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: