บทที่ 7
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนฝืนยิ้มเอ่ย “เซียวอ๋องเสด็จมาผิดเวลา โจ๊กในร้านขายหมดไปนานแล้วเพคะ”
เซียวอ๋องติดกระดุมคอเสื้อ ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยนิ่งๆ “คุณหนูหมายถึงอยากให้ข้ามาวันพรุ่งนี้อีกที?”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้อยากให้ตัวซวยผู้นี้แวะเวียนมาทุกวันจนสร้างความตกใจแก่น้องๆ จึงรีบเอ่ย “แต่ว่าผู้น้อยเก็บบางส่วนไว้ให้ตนเอง เดิมทีตั้งใจจะห่อกลับไปให้คนที่บ้านกิน หากท่านอ๋องไม่ทรงรังเกียจอาหารชาวบ้าน ผู้น้อยจะไปอุ่นมาให้ท่านอ๋องเพคะ”
นางพูดจบแล้วเปิดกล่องอาหารที่วางอยู่ด้านข้าง เทโจ๊กชามใหญ่กลับลงหม้อเล็กใหม่อีกครั้งอย่างฉับไว ก่อนเติมน้ำ อาศัยสะเก็ดไฟในเตาที่เหลือต้มจนเดือด ผุดฟองสีขาวขึ้นมา…
ในช่วงเวลานั้นภายในร้านโจ๊กเงียบสงบจนได้ยินแต่เสียงปะทุของหญ้ากับฟืน กลิ่นหอมของข้าวลอยมาเป็นระลอก
เซียวอ๋องนั่งตัวตรงอยู่ที่โต๊ะ หยิบกาน้ำชาขึ้นมารินชาดื่มด้วยตนเอง นัยน์ตาเข้มมองไล่ตามขอบถ้วยชา สำรวจไปถึงสตรีที่ทำงานอยู่ริมเตาไฟอย่างเชี่ยวชาญผู้นั้นเงียบๆ…
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับไม่มีเวลาสนใจสายตาละลาบละล้วงของบุรุษด้านหลัง นางในทุกวันนี้ไม่ใช่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์เมื่อห้าปีก่อนผู้นั้นนานแล้ว ถึงแม้ตอนที่อยู่บนภูเขาไป๋ลู่จะมียวนยางคอยปรนนิบัติ แต่ความลำบากยามเดินทัพไม่อาจเทียบเคียงกับความสุขสบายในห้องหอ การก่อไฟทำอาหารไม่นับเป็นปัญหาอีก เพียงแต่สถานการณ์อย่างในตอนนี้ แม้แต่ตัวนางเองยังแอบรู้สึกว่าโชคชะตากลั่นแกล้งคน
หากย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ตีให้ตายอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็ไม่มีทางนึกถึงว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ตนเองอุ่นโจ๊กให้กับองค์ชายรองเซียวอ๋องด้วยตนเอง นึกถึงสมัยก่อน มีครั้งหนึ่งเซียวอ๋องนำกำลังทหารมาโอบล้อมภูเขาไป๋ลู่ เลือกใช้กลยุทธ์ปิดล้อมโดยไม่สู้ ตีโอบภูเขาลูกนั้นจนไม่เหลือช่องโหว่ ตั้งใจจะทำให้กองทัพผดุงธรรมบนภูเขาหิวตายทั้งเป็น เวลานั้นเสบียงบนภูเขาเหลืออยู่ไม่มาก ทั้งยังตรงกับฤดูหนาวที่บนภูเขาไม่มีพืชพรรณงอกเงย กระทั่งจะขุดรากผักป่าขึ้นมากินยังทำไม่ได้ ส่งผลให้ทุกครั้งที่บรรดาทหารหิวโหยกันมากๆ จะมองไปทางค่ายทหารของเซียวอ๋องที่ตีนเขาด้วยสายตาอำมหิต อยากจะฉีกทึ้งเนื้อของฮั่วจวินถิงผู้นี้มาต้มเป็นน้ำแกงเนื้อกลิ่นหอมแก้หิวจริงๆ
ภายหลังนางคิดกลยุทธ์ ‘ให้สัมผัสความรู้สึกแบบเดียวกัน’ ขึ้นมาได้ หลังจากได้รับรายงานจากนกพิราบสื่อสาร และอาศัยช่วงพายุหิมะสามวันในตอนนั้น ส่งทหารกล้าซึ่งสวมรองเท้าเดินหิมะตัดจากแผ่นไม้คู่หนึ่ง ไถลตัวลงจากเนินเขาที่เดิมทีไม่อาจลงไปได้ ทะลวงผ่านจุดโอบล้อมที่อ่อนแอที่สุดของศัตรูอย่างรวดเร็ว ลงมือฉับไวอ้อมไปยังเส้นทางที่เสบียงของกองทัพต้าฉีจะต้องผ่าน ราดน้ำลงไปบนถนนหลวงสายนั้น ในช่วงฤดูหนาวจัด หยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง เปลี่ยนถนนสายนี้มาเป็นลานน้ำแข็งลื่นวาววับทันที
รถม้าขนส่งเสบียงหลายสิบคันเคลื่อนตัวโงนเงนอยู่บนถนน กีบเท้าเหล็กของม้ายิ่งกลายมาเป็นจุดถึงแก่ชีวิต หลังจากรถม้าคันแรกๆ พากันกลิ้งตกเนินเขาข้างถนน บรรดาทหารที่มัดเชือกป่านกันลื่นอยู่ที่เท้าก็กรูกันเข้าไปสังหารทหารคุ้มกันเสบียง หลังจากชิงเสบียงอาหารมาได้หลายสิบคันรถก็ลงมือเผาที่เหลือทั้งหมด
มิหนำซ้ำวิธีขนเสบียงขึ้นภูเขายิ่งละเอียดประณีต ช่างทหารบนภูเขาติดตั้งคานล้อไว้บนหน้าผาฝั่งหนึ่ง ยามวิกาลวันนั้น นางสั่งการทหารกลุ่มใหญ่แสร้งบุกโจมตีด้านหน้า ดึงดูดความสนใจของกำลังหลักกองทัพต้าฉี ตีบูรพาส่งเสียงประจิม* ลักลอบใช้ตะกร้าแขวนขนย้ายเสบียงขึ้นภูเขาทางด้านหลังของภูเขาได้อย่างแยบยล
กว่ากองทัพต้าฉีจะได้รับข่าวว่าเสบียงแนวหลังของตนเองถูกเผาไหม้จนหมดก็สายไปแล้ว รวมกับพายุหิมะมืดฟ้ามัวดินที่ตามมาติดๆ ถนนถูกปิดตาย ยากจะส่งเสบียงสนับสนุนมาอีกครั้ง ความหิวโหยยังคงอยู่ ทว่ากลับเปลี่ยนเป็นฝั่งกองทัพต้าฉีแทน พวกเขาได้แต่เสี่ยงถอนกำลังทหารท่ามกลางพายุหิมะ ทั้งยังถูกนางส่งทหารไล่ตามไปซ้ำเติม เล่นงานอย่างรุนแรงแสนสาหัสอีกครั้ง
หลังจากแก้ปัญหาถูกปิดล้อมในฤดูหนาวครั้งนั้นได้ นางเสนอกับฝานจิ่งให้พยายามขยับขยายพื้นที่ อย่าเอาแต่กระจุกตัวรวมกำลังหลักของกองทัพอยู่บนภูเขาไป๋ลู่ ป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก โดนปิดตายอยู่บนภูเขาอีก ส่วนเซียวอ๋องผู้นั้นเองก็เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นผู้หนึ่ง คอยเกาะติดไม่ปล่อยประหนึ่งปลิงดูดเลือด หลายปีมานี้ต่างผลัดกันแพ้ชนะ ถึงแม้ระยะนี้เพราะปัญหาทหารทางใต้จึงไม่มีเวลาไปสนใจทางเหนืออีก แล้วก็ไม่ไปบุกทลายรังครั้งใหญ่ แต่ก็กดดันขัดขวางกองทัพของฝานจิ่งเอาไว้อีกฝั่งของแม่น้ำอย่างเข้มงวด ยากที่จะขยายอาณาเขต…
ตอนนี้ดูแล้วข้าวที่ติดเอาไว้จะอย่างไรก็ต้องชดใช้คืน สมัยนั้นเคยทำให้เซียวอ๋องผู้นี้หิวท้องกิ่ว โดยไม่รู้ตัวก็ต้องชดใช้คืนให้ทีละชามๆ ดูท่าเครื่องเคียงฝีมือยวนยางจะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารดีจริงๆ หลังจากเซียวอ๋องกินเสร็จหนึ่งชามอย่างไม่รีบร้อนก็ยังขอเติมอีก นางต้องฝืนขูดก้นหม้อถึงเติมให้ได้อีกหนึ่งชาม
โจ๊กในกล่องอาหารถูกกินหมดแล้ว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้แต่เปิดไหข้าวสารตักข้าวใหม่ที่ล้างแล้วมาต้มหม้อใหม่ บังเอิญตอนนั้นเองท่านลุงอวี้ฉือรุ่ยก้าวเดินเร็วรี่มาจากอีกตรอกด้วยสีหน้ายินดี เขาเพิ่งดื่มสุรากลับมาจากจวนของใต้เท้าหลี่ ฤทธิ์สุราบนใบหน้ายังไม่เลือนหาย ฝีเท้าแอบโซซัดโซเซ ตัวคนยังไม่ถึงร้านโจ๊กก็ตะโกนเสียงดังแล้วว่า “เฟยเยี่ยน ลุงจัดการเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งให้เจ้าได้แล้ว การแต่งงานของเจ้ามีที่ไปแล้ว!”
เมื่อมาถึงร้านโจ๊ก ถึงแม้เขาจะเห็นว่ามีคนกำลังกินโจ๊กอยู่ผู้หนึ่ง แต่เขาไม่มีเวลาสนใจมองใบหน้าตรงๆ คิดว่าเป็นแค่ลูกค้าทั่วไปจึงสนใจแต่พูดข่าวใหม่ที่ตนเองได้รับมา “เฟยเยี่ยนเอ๊ย ใต้เท้าหลี่มีสหายร่วมงานคนหนึ่ง บุตรชายของเขาอายุสิบเก้าปี นิสัยซื่อตรง อายุนับว่าเข้ากัน บิดาของเขาได้ยินว่าบุตรสาวของแม่ทัพอวี้ฉือจะพูดคุยเรื่องแต่งงานก็ยินดีมาก ตั้งใจจะให้ภรรยาตนเองมาดูเจ้าด้วยตนเอง วันพรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องเปิดร้าน แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตามลุงไปดูตัว…”
อวี้ฉือรุ่ยพูดมาถึงตรงนี้ในที่สุดก็เหลียวกลับไปมองพวกคนที่คล้ายยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้าประตู พอตั้งใจมองแล้วเหมือนจะเป็นพวกองครักษ์ แต่ละคนต่างรูปร่างสูงใหญ่ หัวใจจึงกระตุกเล็กน้อย ค่อยหันไปมองสำรวจลูกค้าที่กำลังค่อยๆ จิบชาผู้นั้นอีกที ก่อนตกใจขวัญกระเจิงโดยพลัน
“มะ…เมื่อครู่นี้ผู้น้อยไม่ทันเห็น ไม่ได้คำนับเซียวอ๋อง ขอท่านอ๋องโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวอ๋องไม่แม้แต่จะมองบุรุษวัยกลางคนที่คุกเข่าขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้น เพียงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับปาก จากนั้นเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ใต้เท้าหลี่ที่รับราชการอยู่คนใดกัน สหายร่วมงานของเขาช่างเห็นแก่สายสัมพันธ์ในอดีตเสียจริง ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของอดีตแม่ทัพราชวงศ์ก่อนกลับยินดีเพียงนั้น หรือว่าอยากจะมีส่วนร่วมกับขุนนางภักดีต่อราชวงศ์ก่อนทั้งครอบครัว เขียนบทกวีใจทระนงที่งดงามออกมา?”
เจตนาร้ายในถ้อยคำของเซียวอ๋องไม่ว่าใครก็ฟังออกได้ อวี้ฉือรุ่ยร้อนใจแทบหลั่งน้ำตาของผู้อาวุโส แค่พลั้งเผลอไม่ทันระวัง หายนะก็ออกจากปากแล้วจริงๆ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นเซียวอ๋องมีทีท่าจะสร้างความลำบากให้ท่านลุงก็คุกเข่าลงตาม เอ่ยอย่างไม่เย่อหยิ่งไม่ต้อยต่ำ “เซียวอ๋องทรงคิดมากแล้ว ทุกวันนี้สกุลอวี้ฉืออาศัยเพียงการขายโจ๊กจืดจางสักชามหาเลี้ยงชีพ การกินอิ่มครบสามมื้อคือเรื่องใหญ่ในชีวิต ไม่มีเรี่ยวแรงทำอย่างอื่นอีก ท่านลุงเองก็แค่ทุ่มเทใจคิดถึงเรื่องการแต่งงานของผู้น้อย ความจริงผู้น้อยในฐานะแม่ค้าข้างถนน ครอบครัวเช่นนี้เป็นการปีนป่ายที่สูงเกินไป คิดว่าอีกฝ่ายคงเพราะท่านลุงขอร้อง ไม่สะดวกปฏิเสธ แค่อยากไว้หน้าท่านลุงเท่านั้น จะลงเอยได้อย่างไรเพคะ”
พูดจบแล้วนางชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “เหมือนว่าเซียวอ๋องจะยังทรงไม่อิ่ม ผู้น้อยกำลังต้มโจ๊กหม้อใหม่อีกหม้อ อีกประเดี๋ยวถึงจะเสร็จ แต่ว่าที่บ้านยังมีน้องๆ ที่ไม่ได้กินข้าว ไม่ทราบว่าจะให้ท่านลุงของผู้น้อยกลับไปดูแลน้องชายน้องสาวก่อนได้หรือไม่เพคะ”
อวี้ฉือรุ่ยถูกพฤติกรรมขวัญกล้าของหลานสาวทำให้ตกใจแข้งขาอ่อน รอฟังคำพูดของเซียวอ๋องอย่างกระวนกระวายใจ
เซียวอ๋องค่อยๆ หมุนถ้วยชาในมือเงียบๆ ปล่อยให้สองลุงหลานคุกเข่าอยู่บนพื้นเป็นเวลานานครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ย “ในเมื่อเป็นการแต่งงานที่ปีนป่ายอีกฝ่าย เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปเจอกันแล้ว หากเดือดร้อนถึงผู้อื่นเข้าจะไม่ดี…”
พูดจบเขาก็วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นยืน เงาร่างสูงใหญ่ทำให้ร้านโจ๊กที่คับแคบยิ่งดูไม่มีที่หายใจมากกว่าเดิม โชคดีที่เซียวอ๋องหาเรื่องจนพอใจแล้ว ยอมก้าวออกจากร้าน ตวัดกายขึ้นหลังม้าจากไปในที่สุด
อวี้ฉือรุ่ยถอนหายใจยาว แต่เมื่อคิดอีกทีว่าการแต่งงานที่ตนเองอุตส่าห์หามาอย่างยากเย็นถูกเซียวอ๋องเข้ามาแทรกแซงไม่เหลือชิ้นดีก็มีสีหน้าอยากร้องไห้อีกครั้ง นั่งทึ่มทื่ออยู่ที่เดิม
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นสภาพเช่นนี้ของท่านลุงแล้วรู้สึกทนไม่ได้ รีบช่วยประคองเขาขึ้นมาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของข้าเกินไป เรือแล่นถึงสะพานย่อมมีทางไปต่อ* จะลำบากไปไย ข้าให้ยวนยางไปซื้อเนื้อกับสุราแล้ว ท่านลุงกลับบ้านแล้วกินดื่มกับพวกเราดีๆ สักมื้อนะเจ้าคะ”
อวี้ฉือรุ่ยได้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนช่วยประคองลุกขึ้นยืน ยังคงมีสภาพหดหู่ หลังเดินออกจากประตูร้านโจ๊ก มองดูตรอกยาวที่ร้างผู้คนแล้ว เขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เซียวอ๋องแวะมาที่นี่ได้อย่างไร คงไม่ใช่ว่า…ต้องตาเจ้านะ?”
นึกถึงเหตุการณ์ที่เซียวอ๋องเรียกหลานสาวไปที่จวนก่อนหน้านี้ อวี้ฉือรุ่ยใจเต้นแรง หรือเพราะว่าเฟยเยี่ยนรูปโฉมงดงาม ส่งผลให้เซียวอ๋องผู้นั้นเกิดความปรารถนา? หากเป็นเช่นนี้ควรทำอย่างไรดี ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าหลานสาวของตนเองยอดเยี่ยมทุกประการ แต่สุดท้ายก็เป็นครอบครัวที่ตกอับมาจากราชวงศ์ก่อน นับประสาอะไรกับที่บิดาของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเป็นแม่ทัพต่อต้านกองทัพต้าฉีผู้เลื่องชื่ออีกด้วย ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่อาจจับคู่กันได้ ถ้าหากเข้าไปในจวนเซียวอ๋อง ไม่รู้เซียวอ๋องผู้นั้นเป็นคนเช่นไร ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็แค่หามเกี้ยวรับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเข้าประตูเล็ก มอบตำแหน่งอนุให้เท่านั้น
ชะ…เช่นนี้ควรทำอย่างไรดี
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินคำถามของท่านลุงแล้วขบขัน รู้สึกว่าท่านลุงจะคิดมากไปแล้วจริงๆ “ทุกวันนี้เซียวอ๋องผู้นั้นสูงศักดิ์เป็นถึงองค์ชายแห่งต้าฉี ในจวนจะขาดสตรีได้อย่างไร ถ้าหากคิดร้ายต่อหลานจริงๆ ครั้งก่อนหลานก็คงรักษาตัวรอดได้ยากแล้ว วันนี้อย่างมากคงแค่ผ่านทางมา เลยลองชิมอะไรแปลกใหม่ก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ!”
อวี้ฉือรุ่ยได้ยินแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผลมากเช่นเดียวกัน จึงโบกมืออย่างเสียดาย “เจ้าตัวโรคระบาดนั่นกินอาหารเลิศรสโอชาจนเบื่อแล้วหรือไร กินอิ่มไม่มีอะไรทำถึงได้แวะมากินโจ๊ก! ลุงเจ้าทุ่มสุดตัวถึงได้ขอร้องใต้เท้าหลี่สำเร็จเชียวนะ เฮ้อ! เสียดายกล่องเครื่องประทินโฉมลงรักทองฝังอัญมณีปี้สี่ ใบนั้นของข้าจริงๆ ในเมื่อพูดว่าจะให้ใต้เท้าหลี่แล้ว ก็ไม่สะดวกจะขอคืนกลับมา…”
คราวนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด พอจะเดาเหตุการณ์ทั้งหมดออกแล้ว เดิมทีนางได้ยินคำพูดของท่านลุงยังนึกสงสัย ไม่คิดว่าจะยังมีขุนนางภักดีไม่กลัวตายเพียงนี้อยู่อีก ที่แท้หาใช่ความนับถือต่อแม่ทัพอวี้ฉือเต๋อแห่งราชวงศ์ก่อน แต่เป็นเพราะว่าท่านลุงควักสมบัติก้นหีบใต้เตียงออกมา คงโอ้อวดทรัพย์สมบัติส่วนตัวมหาศาลให้ใต้เท้าหลี่ฟัง ใต้เท้าหลี่ผู้นั้นจึงโอ้อวดแบบเติมน้ำมันใส่ไฟเพิ่ม ส่งผลให้ผู้อื่นหลงคิดว่าอดีตตระกูลโหวของราชวงศ์ก่อน ถึงแม้จะอยู่อย่างถ่อมตนทว่าความจริงมีทรัพย์สมบัติอู้ฟู่ เป็นคหบดีที่ซ่อนเร้นตัวอยู่ จึงอยากจะดูตัวด้วยจริงหรือไม่!
คิดแล้วหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เพียงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ่นตลอดทางกลับบ้านของท่านลุง
ตอนนั้นเองยวนยางหิ้วเนื้อหมูห่อด้วยใบบัว รวมถึงสุราไหเล็กไหหนึ่งกลับมา ก่อนเข้าห้องครัวไปยุ่งง่วนกับการเตรียมอาหารเย็น ในเวลานั้นกลิ่นหอมเข้มข้นของเนื้อช่วยชะล้างความกลุ้มใจของท่านลุงในที่สุด คนทั้งครอบครัวลิ้มรสมื้ออาหารอุดมสมบูรณ์มื้อหนึ่งอันหาได้ยาก
หลังจากเปิดร้านโจ๊กโดยราบรื่น อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็ยุ่งกับเรื่องจัดแจงน้องชายเข้าเรียนในสำนักศึกษาต่อ หลายวันมานี้อาจารย์ของสำนักศึกษาข้างเคียงเคยแวะมากินโจ๊กอยู่หลายครั้ง นางล้วนให้ความสนใจ ตั้งใจดูแลรับรองเป็นพิเศษ ไม่คิดเงินค่าโจ๊กของอาจารย์ รวมถึงพูดเรื่องที่น้องชายของตนเองต้องการเข้าเรียนให้ฟังด้วย
สำนักศึกษาแห่งนี้คือ ‘สำนักศึกษาจงหลิง’ ป้ายชื่อติดหน้าสำนักศึกษาเป็นฝีมือของมหาปราชญ์ราชวงศ์ก่อน ถึงแม้ยุคสมัยจะผลัดเปลี่ยน แต่ชื่อเสียงโด่งดังของสำนักศึกษากลับไม่ลดลงสักนิดเดียว บัณฑิตในสำนักศึกษาถ้าเบื้องหลังครอบครัวไม่ได้พอมีพื้นฐานอยู่บ้างก็ไม่อาจเข้าร่วมสำนักศึกษาได้
แต่ว่าอาจารย์หวังผู้นั้นเป็นคนมีนิสัยสบายๆ ตอนอยู่ที่ร้านโจ๊กเคยลองทดสอบความรู้ของเสียนเกอเอ๋อร์ อวี้ฉือจิ้งเสียนได้รับการศึกษาส่วนตัวที่จวนโหวมาตั้งแต่เด็ก โดยมีท่านลุงเชิญอาจารย์ชื่อดังมาสอน รวมกับเขาเป็นคนหัวไว เดิมทีความรู้พื้นฐานไม่ได้ด้อย แค่หลายปีมานี้ร้างราห่างเหินไปบ้าง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ทำให้อาจารย์หวังผงกศีรษะติดต่อกัน รู้สึกว่าเป็นศิษย์ที่สั่งสอนได้!
สุดท้ายเขาบอกกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนว่าหากเสียนเกอเอ๋อร์อยากเข้าเรียน เขาช่วยแนะนำได้ แต่ว่าค่าเรียนปีละสี่สิบตำลึงนี้เป็นกฎของสำนักศึกษาหลวงไม่อาจลดราคา ไม่รู้ว่านางจะหามาได้หรือไม่
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไร้ความลังเล ตอบกลับทันทีว่าจะจ่ายค่าเรียนได้อย่างแน่นอน แค่ไม่รู้ว่าจะขอแบ่งจ่ายสองงวดเป็นช่วงครึ่งปีแรกกับครึ่งปีหลังได้หรือไม่ อาจารย์รู้ว่าให้ครอบครัวเล็กๆ หาเงินจำนวนเท่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงผงกศีรษะตอบตกลง บอกกำชับให้อวี้ฉือจิ้งเสียนเข้าเรียนเดือนหน้า
หลังจากอาจารย์กลับไปอวี้ฉือจิ้งเสียนถึงได้เอ่ยอย่างร้อนใจ “ญาติผู้พี่ ที่บ้านมีเงินมาจ่ายค่าเรียนแพงๆ เช่นนี้ที่ใดกัน ข้าไม่ไป!”
แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เด็กอย่างเจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องเงินทองหรอก ขอแค่กลับไปตั้งใจทบทวนบทเรียน อ่านตำราบทกวีสมัยก่อน อย่าให้เข้าเรียนแล้วเรียนตามไม่ทันจนทำให้สกุลอวี้ฉือเสียหน้าโดยเปล่าก็พอ!”
เวลาญาติผู้พี่คนนี้ตีหน้าเคร่ง แม้ปราศจากโทสะก็ดูกดดันน่าเกรงขาม อวี้ฉือจิ้งเสียนสามารถโต้เถียงกับบิดาตนเองได้ ทว่าไม่เคยกล้าทะเลาะกับญาติผู้พี่ เขาได้แต่ปิดปาก กลับห้องไปค้นหาตำราสมัยก่อนแล้ว
ระยะนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกับยวนยางเร่งทำงานตลอดทั้งคืน ออกงานปักชุดใหม่อีกชุดส่งไปที่ร้านเชียนซิ่ว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเสนอเรื่องขอเงินมัดจำล่วงหน้าบางส่วน เถ้าแก่ร้านเห็นว่างานปักชุดก่อนขายได้ไม่เลวจริงๆ หากำไรได้อย่างเรียกว่าราบรื่น จึงผงกศีรษะตอบตกลง
ดังนั้นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงหาเงินมาได้ครบ อีกทั้งรู้สึกว่าเงินพวกนี้เป็นเศษกระจัดกระจายเกินไป กลัวว่าตอนที่จ่ายเงินจะทำให้คนของสำนักศึกษาดูถูกน้องชายเอาได้ จึงแวะไปชั่งน้ำหนักที่ร้านแลกเงิน ละลายเงินก้อนแล้วหล่อให้เป็นก้อนตำลึง หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย วันเข้าเรียนนางรีบอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าตรู่ เอาถุงผ้าใส่ตำราใบใหม่ที่ยวนยางเย็บใส่ตำราเตรียมพร้อม ทั้งยังมอบเงินทองแดงบางส่วนให้เสียนเกอเอ๋อร์ สำหรับเอาไว้ซื้อของกินระหว่างคาบเรียน จากนั้นพาเขาไปยังสำนักศึกษา
ตอนที่เพิ่งเดินถึงหน้าประตูสำนักศึกษา บังเอิญเจอกับบัณฑิตท่าทางสุภาพ สวมชุดคลุมยาวหมวกครามผู้หนึ่งเข้า เดิมทีบัณฑิตผู้นั้นจะก้มหน้าหลบทางให้ แต่หลังจากเห็นดวงหน้าของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนชัดเจนกลับเบิกดวงตางดงามกว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยเรียกเสียงเบา “คุณหนูอวี้ฉือ?”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินแล้วเงยหน้า เมื่อมองสบตากับบัณฑิตผู้นั้นก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงว่าที่หน้าสำนักศึกษานางจะได้เจอกับหวังอวี้หล่าง…อดีตคู่หมั้นที่ถอนหมั้นกันไปแล้วผู้นั้นของนางเข้า
บทที่ 8
หวังอวี้หล่างผู้นี้นับได้ว่าเป็นบัณฑิตที่มีความสามารถของยุค บทกวีฝีมือเขาได้รับการส่งต่อแพร่หลาย เขาสนิทกับอาจารย์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของสำนักศึกษาบางคน สาเหตุที่มาที่นี่ก็เพื่อมาหาสหาย ไม่ได้คิดว่าจะมาบังเอิญเจอกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
ถ้าหากเจอกับนางเร็วกว่านี้เล็กน้อย เกรงว่าเขาจะดีใจอย่างออกนอกหน้า แต่เวลานี้เจอหน้านางกลับทำให้ความอึดอัดใจของเขาขมวดปมแน่นขึ้นมากกว่าเดิม
บิดาสนใจแต่ปรับหางเสือตามลมบนคลื่นทะเลราชสำนัก บังคับให้เขาถอนหมั้นกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยน เขาเป็นคนมีนิสัยสบายๆ ยึดถือธรรมเนียมจารีตความกตัญญู ย่อมไม่มีทางคัดค้านคำสั่งของบิดา นึกถึงตอนที่พบหน้ากับคุณหนูอวี้ฉือครั้งสุดท้าย ภายในศาลบรรพชนอันว่างเปล่า นอกจากบ่าวรับใช้สูงวัยไม่กี่คนก็คือเงาร่างผ่ายผอมของนาง ดวงหน้าสะอาดที่มักประดับรอยยิ้มหวานหลงเหลือเพียงความเย็นเยือกดุจหิมะเหมันต์ ภาพเหตุการณ์นั้นมักโผล่มาในความฝันซ้ำๆ ตลอดหลายปีนี้
บัดนี้บังเอิญพบเจอโดยไม่ทันตั้งตัวสักนิด หวังอวี้หล่างริมฝีปากสั่นระริกด้วยความตกตะลึง ดวงหน้าขาวสะอาดยิ่งดูซีดเผือดลงกว่าเดิม
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตระหนักว่าตอนนี้คุณชายสกุลหวังผู้นี้ไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กับตนเองอีกแล้ว นับประสาอะไรกับที่ดูจากสถานการณ์ในจวนเซียวอ๋องวันนั้น คุณชายหวังสูงศักดิ์เป็นถึงว่าที่ราชบุตรเขยขององค์หญิงเล่อผิงแล้ว ยิ่งไม่อาจพูดอะไรมากอีก นางจึงผงกศีรษะยิ้มน้อยๆ ตามมารยาท นับว่าทักทายแล้วเรียบร้อย ก่อนจูงมือน้องชายตั้งใจจะเดินเข้าสำนักศึกษา หวังอวี้หล่างผู้นั้นกลับคล้ายมีบางอย่างอยากพูดกับนาง ยังคงยืนขวางอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีอึกอัก ทว่าสุดท้ายคำพูดนับร้อยนับพันเหลือรวมเป็นประโยคเดียวว่า “คุณหนูอวี้ฉือ…ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน สบายดีหรือไม่”
อวี้ฉือจิ้งเสียนรู้จักเขาเช่นเดียวกัน เอ่ยเสียงเย็นชาขึ้นที่ด้านข้าง “ญาติผู้พี่ข้าออกห่างจากคนเห็นแก่ตัวชอบประจบประแจงผู้มีอำนาจ ย่อมต้องมีชีวิตสุขสบายใจกว่าเดิม ไม่รบกวนให้คุณชายหวังอวี้หล่างต้องเป็นห่วง”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นหวังอวี้หล่างมีท่าทีอับอาย ร้อนรนทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเพราะคำพูดของน้องชาย ก็กระตุกแขนเสื้อของเสียนเกอเอ๋อร์พร้อมเอ่ยเสียงเบา “ห้ามเสียมารยาทเช่นนี้” จากนั้นดึงตัวเขาแล้วรีบร้อนเดินจากไป
นางย่อมไม่เห็นว่าคุณชายบัณฑิตสง่างามผู้นั้นยังคงมองตามแผ่นหลังบอบบางของนางอย่างเบื้อใบ้
หลังจากพาน้องชายเข้าพบอาจารย์และกำชับให้น้องชายตั้งใจศึกษาเล่าเรียนแล้ว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็เดินออกมาจากสำนักศึกษา ไม่คาดคิดว่าเมื่อเดินถึงหน้าประตูจะได้เจอกับหวังอวี้หล่างที่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างประตู นางจึงก้มหน้าลงเตรียมเดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว
นึกไม่ถึงว่าหวังอวี้หล่างจะรวบรวมความกล้าฉวยโอกาสที่รอบข้างไร้ผู้คน จับมือนางดึงตัวเข้าไปในตรอกด้านข้าง จากนั้นรีบร้อนปล่อยมือนางออกเอ่ย “ข้าล่วงเกินแล้ว ขอคุณหนูได้โปรดอภัยให้ด้วย…”
ถ้าเปลี่ยนเป็นบุรุษอื่นเสียมารยาทเพียงนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนคงเงื้อมือตบใส่ หันตัวกลับหนีไปอยู่บนถนนใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่านนานแล้ว แต่นางเข้าใจนิสัยของคุณชายหวังผู้นี้ดี เขาเป็นเด็กหนุ่มไร้พิษภัยผู้หนึ่ง ภายในใจจึงไม่ได้หวาดกลัวมากมายนัก เวลานี้เห็นเขาขอบตาแดงระเรื่อทำตัวไม่ถูก แลคล้ายกระต่ายขาวตัวโตที่ถูกหมาป่าหิวกระหายรังแก นางเองก็ตัดใจตำหนิเขาไม่ลง ทำได้เพียงพยายามลดน้ำเสียงแข็งกระด้างลงถาม “คุณชายหวังมีธุระสำคัญอะไรอยากจะพูดหรือ เหตุใดต้องพามาที่นี่ด้วย”
หวังอวี้หล่างเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้อับอายหรือโกรธ ถึงได้สงบจิตใจลงเอ่ยเสียงเบา “ปีนั้นหลังจากบอกลากัน ท่านพ่อก็ขังข้าเอาไว้ในจวน ไม่ยอมให้ข้าไปหาเจ้าอีก…ภายหลังหนีออกมาผ่านประตูหลังอย่างยากลำบาก เมื่อไปที่จวนอวี้ฉือกลับได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่าเจ้าจากไปแล้ว…ข้าแค่อยากบอกว่าที่ถอนหมั้นในปีนั้นเป็นเจตนาของบิดา ในใจข้า…คุณหนูอวี้ฉือถึงจะเป็นสตรีหนึ่งเดียวในชีวิตที่ข้าอยากแต่งงานด้วย…”
เดิมทีอวี้ฉือเฟยเยี่ยนหลงนึกว่าคุณชายหวังแค่อยากขอโทษด้วยประโยคตามมารยาทเช่นชาตินี้ไร้วาสนา จึงเตรียมตัวเอ่ยตอบรับให้คุณชายนิสัยอ่อนโยนผู้นี้รู้สึกดีขึ้นบ้าง กลับนึกไม่ถึงว่าคุณชายผู้นี้จะเอ่ยถ้อยคำรักลึกซึ้งจำพวก ‘ไม่สมหวังในรัก’ ออกมา ชวนให้คนรับมือไม่ถูกเสียยิ่งกว่าคำตัดรอนน้ำใจเสียอีก
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรีบเอ่ยขัดคำพูดที่เหลือของเขา เอ่ยเสียงเบาว่า “เวลานั้นทั้งท่านและข้าต่างอายุน้อย ทุกอย่างมีบิดามารดาเป็นผู้จัดเตรียม เรื่องราวบนโลกเปลี่ยนผันมากมาย ท่านอัครเสนาบดีหวังทำเช่นนั้นก็นับว่ารู้จักอ่านสถานการณ์ ต่อให้ท่านพ่อข้ายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่อาจขัดเคือง ในฐานะลูกย่อมต้องเชื่อฟังบิดามารดา ข้าไม่เคยเกลียดหรือแค้นคุณชาย ทุกวันนี้เองก็มีชีวิตสุขสงบดี ขอให้คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ คิดแล้วท่านอัครเสนาบดีหวังน่าจะเตรียมคู่ครองที่เหมาะสมให้กับคุณชายแล้ว หวังว่าคุณชายจะทะนุถนอม อย่าได้ทำผิดต่อคนตรงหน้า…”
ไม่พูดถึงคู่ครองที่บิดาจัดเตรียมให้ยังดี ทันทีที่พูดถึงกลับทำให้หวังอวี้หล่างตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อให้เป็นบัณฑิตอ่อนแอก็มีช่วงเวลาที่ถูกบีบคั้นจนตรอก เพียงนึกว่าอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็ได้ยินข่าวลือน่าขายหน้าพวกนั้น เขาก็แทบอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนี้ หวังอวี้หล่างกำหมัดแน่นต่อยใส่กำแพงอิฐในตรอกซ้ำๆ หลายหมัด เนื้อหลังมือขวาแตกเละ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตื่นตกใจยกใหญ่
นางไม่รู้ว่าเหตุใดหวังอวี้หล่างถึงทำตัวผิดปกติเช่นนี้ แต่หากมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับราชบุตรเขยของราชวงศ์ใหม่คงไม่ดีแน่ จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากสาบเสื้อออกมาให้หวังอวี้หล่างห้ามเลือดที่มือ ทั้งเอ่ยปลอบลวกๆ สั้นๆ แล้วหันตัวกลับจากไป
เมื่อวานตอนย่ำค่ำ หลงเจินส่งบ่าวรับใช้มาบอกว่าโต้วหย่งผู้นั้นโดนส่งตัวไปทำงานต่างเมือง ไม่อยู่เมืองหลวง อยากชวนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนไปนั่งสนทนาแก้เบื่อที่เรือนของนาง วันนี้เพราะว่ามาส่งน้องชายเข้าเรียน ร้านโจ๊กหยุดกิจการหนึ่งวัน ดังนั้นหลังออกจากสำนักศึกษาในยามที่นางเดินทางกลับบ้านก็เรียกยวนยางที่อยู่ทำอาหารให้ท่านลุงเรียบร้อยแล้วไปยืนรอหน้าปากตรอก รอรถม้าของเรือนหลงเจินมาแล้วขึ้นรถม้าไปด้วยกัน
เรือนแยกของหลงเจินอยู่บริเวณรอบนอกของเมืองหลวง ไม่นับเป็นเรือนหลังใหญ่โต แต่ดีที่ค่อนข้างใหม่ อิฐกระเบื้องกำแพงล้อมรอบต่างเป็นรูปแบบที่นิยมในตอนนี้ ภูเขาจำลองและดอกไม้ใบหญ้าในลานเรือนล้วนผ่านการตกแต่งด้วยฝีมือหลงเจิน ดูไม่ธรรมดา เป็นสถานที่พำนักเงียบสงบแห่งหนึ่งจริงๆ
เมื่อเข้าเรือนไปพบหลงเจิน สองสหายพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันสักพัก หลงเจินตาแหลมเห็นว่าตรงแขนเสื้อชุดกระโปรงผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเปรอะเลือดเล็กน้อยก็ร้อง “ตายแล้ว” ออกมาเบาๆ รีบดึงแขนเรียวของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนมาตรวจสอบดูว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถึงได้รู้ตัวว่าตอนที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับหวังอวี้หล่างโดนเลือดของเขาเข้า จึงยิ้มบอกว่า “เป็นเลือดหมูที่กระเด็นโดนตอนหั่นเนื้อ”
หลงเจินได้ยินว่าอวี้ฉือเฟยเยี่ยนต้องหั่นเนื้อด้วยตนเองก็ถอนหายใจยาว “ที่แท้ต้องทำงานใช้แรงพวกนี้ด้วย? ถ้าทำให้มือคู่งามหยาบกระด้างเข้าจะทำอย่างไร สุดท้ายก็เพราะในอดีตท่านแม่ทัพอาวุโสอวี้ฉือตัดใจให้เจ้าแต่งงานเร็วไม่ลง ถ้าหากแต่งงานตั้งแต่ก่อนหน้าสงคราม ต่อให้สกุลหวังไร้ยางอายมากกว่านี้ก็ไม่อาจทำเรื่องอัปลักษณ์อย่างฉีกสัญญาแต่งงานหลังจากว่าที่พ่อตาเสียชีวิตออกมาได้หรอก หากมีลูกสักคน ตอนนี้เจ้าก็สุขสบายไปแล้ว…”
แม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนได้ยินแล้วจะไม่เห็นด้วย แต่ก็เพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบคำ กลับเป็นหลงเจินหลงนึกว่าตนเองขุดบาดแผลในใจสหายขึ้นมา จึงรีบเอ่ยแก้สถานการณ์ “แต่สกุลหวังที่ปรับหางเสือตามลมก็ไม่ได้พบจุดจบที่ดีอะไรเช่นกัน เพราะเรื่องทดลองเข้าหอขององค์หญิงเล่อผิง สกุลหวังเลยขายหน้าหมดสิ้นแล้ว…”
ได้ยินถ้อยคำเช่นนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็เงยหน้าขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ พร้อมกับถามอย่างแปลกใจ “ทดลองเข้าหอ?”
หลงเจินโบกมือบอกให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องทุกคนออกไป ถึงได้เล่าความเป็นมาเป็นไปให้ฟัง
เพราะว่านางมีฐานะเป็นอนุของแม่ทัพผู้ใต้บังคับบัญชาเซียวอ๋อง ปกติแล้วไปมาหาสู่กับอนุที่เลี้ยงไว้ข้างนอกของจวนอื่นอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน เรื่องซุบซิบนินทาที่น่าสนใจเช่นนี้ย่อมสืบมาได้ไม่น้อย รวมกับในใจนางนึกขัดเคืองสกุลหวังอยู่แต่เดิม จึงใส่ใจมากเป็นพิเศษ
ต้องรู้ว่าบิดาของนางกับอัครเสนาบดีหวังผู้นั้นเคยเป็นคนรู้จักเก่ากัน ที่สมัยนั้นเส้นทางขุนนางของอัครเสนาบดีหวังราบรื่น ไม่อาจขาดการสนับสนุนจากบิดานาง ช่วงแรกที่นางประสบเคราะห์ถูกจับตัวอยู่ในจวนแม่ทัพ มีชีวิตแบบอยู่ไม่สู้ตาย เคยพยายามฝากคนส่งจดหมายให้กับสหายเก่าของบิดาผู้นี้ พร่ำพรรณนาความทุกข์ทรมานของตนเอง หวังว่าเขาจะช่วยพูดให้ต่อหน้าเซียวอ๋อง ให้โต้วหย่งยอมปล่อยตนเองกลับเจียงหนานไปอยู่กับมารดาได้
แต่ท่านลุงอัครเสนาบดีผู้เคยใจดีในอดีตกลับตอบจดหมายมาฉบับเดียว โดยเขียนแบบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองว่า
‘เรื่องในครอบครัวยากจะสอดมือเข้ายุ่ง ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้’
ความแล้งน้ำใจเพียงนี้ชวนให้คนหนาวเหน็บไปถึงหัวใจจริงๆ
หลงเจินคิดถึงตรงนี้แล้วยิ้มเย็นเอ่ย “น้องหญิงไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีหวังมีใจอยากเกาะสายเลือดฮ่องเต้ อุตส่าห์หาการแต่งงานที่ดูสูงศักดิ์มาให้บุตรชายตนเองได้อีกแล้ว ตั้งใจจะเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงเล่อผิงผู้นั้น แต่ว่าพฤติกรรมขององค์หญิงเล่อผิงเรียกได้ว่าแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร หลังจากได้ยินว่าฝ่าบาททรงเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ กลับไปขอร้องให้ฮองเฮาส่งนางกำนัลผู้หนึ่งไปที่จวนอัครเสนาบดี สั่งให้นอนร่วมเตียงกับคุณชายหวังผู้นั้นหนึ่งคืน ทดลอง ‘สั้นยาว’ ดูแล้วถึงจะยอมลดเกียรติอภิเษกด้วย!”
ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะยังไม่ได้แต่งงาน ทว่ามีความรู้กว้างขวาง คำใจกล้าจากปากคอเราะรายของหลงเจินทำให้หน้านางแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงเบา “พี่หญิงช่างกล้าพูด! ไฉนเลยจะมีเรื่องเหลวไหลปานนี้”
หลงเจินเลิกคิ้วเรียว ยิ้มอย่างสาแก่ใจยิ่งนัก “เป็นอย่างไร องค์หญิงแห่งต้าฉีพระองค์นี้ชวนให้คนเปิดหูเปิดตาจริงหรือไม่ คนสกุลหวังเองก็ไร้ความรู้ รับพระราชเสาวนีย์ประเภทนี้แล้วน่าจะทำอะไรไม่ถูก ก็ไม่รู้ว่าคุณชายในตระกูลผู้นี้เคยได้รับการสั่งสอนหรือยัง จู่ๆ รีบร้อนลงสนามถูกขังอยู่ในห้องกับนางกำนัลผู้นั้น อาจเพราะไม่ได้เตรียมตัวพร้อมพอ จึงขาดกลิ่นอายของบุรุษ พอวันรุ่งขึ้นนางกำนัลกลับวัง องค์หญิงเล่อผิงก็โวยวายจะถอนหมั้นด้วย!”
คราวนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนพูดไม่ออกแล้วจริงๆ คิดเพียงว่ามิน่าวันนี้ในตรอกตนเองแค่พูดถึง ‘คู่ครองที่ดี’ ขึ้นมา คุณชายหวังผู้นั้นถึงได้ทั้งอับอายทั้งโกรธจนต่อยกำแพง…
แต่เรื่องเกี่ยวพันถึงเรื่องส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์ เหตุใดกระทั่งอนุที่เลี้ยงไว้ข้างนอกยังได้ยินข่าวเล่า
หลงเจินหยิบขนมซิ่ง ในจานพลางเล่าต่อ “สุดท้ายเป็นเพราะหวังเยี่ยนถิงขาดคุณธรรมของขุนนางสูงศักดิ์ มีอดีตขุนนางราชวงศ์ก่อนหลายคนเก็บหางรับตำแหน่งอยู่ในราชสำนักต่อ แต่มีใครที่ใดทำตัวโอ้อวดเยี่ยงเขาบ้าง ทุกคนยังจดจำถ้อยคำชื่นชมประจบประแจงฮ่องเต้พระองค์ก่อนของเขาได้ ตอนนี้กลับอดรนทนไม่ไหวแซ่ซ้องสรรเสริญฮ่องเต้พระองค์ใหม่แล้ว คนที่รออัครเสนาบดีหวังโชคร้ายมีอยู่ถมเถไป!”
ประโยคนี้นับว่าจริง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าหวังเยี่ยนถิงไร้ศีลธรรม ยังพลอยเดือดร้อนถึงคุณชายบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นที่เป็นบุตรชายของเขาแล้ว
ความจริงเรื่องลับของราชวงศ์เรื่องนี้ยังมีอย่างอื่นซ่อนอยู่อีกมาก ถึงแม้หวังอวี้หล่างจะเป็นคนสบายๆ ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดี แต่ตอนที่วังหลวงส่งนางกำนัลมาทดลองเข้าหอ ต่อให้มารดาจะเอ่ยโน้มน้าว เกลี้ยกล่อมให้เขายอมทำตามเพียงใด แต่ความทะนงตนของบัณฑิตนั้นไม่อาจแปดเปื้อนมลทิน
เขาถูกบิดาบังคับให้แต่งงานเป็นเรื่องหนึ่ง หากจะต้องถูกคนบังคับจับจูงให้ทำเรื่องไร้ยางอายเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
ในคืนทดลองเข้าหอ เขาที่ถูกขังอยู่กับนางกำนัลผู้นั้นทำตัวเหมือนกับหลิ่วเซี่ยฮุ่ย ที่นิ่งไม่ไหวติง ไม่ว่านางกำนัลจะปลดเปลื้องอาภรณ์อย่างไรก็ไม่เคยเหลือบแลมอง เมื่อนางกำนัลปีศาจผู้นั้นมานั่งพิงซบอ้อมอกเขาก่อนเอง เขายังตวาดตำหนิออกมาอีกด้วย
นางกำนัลผู้นั้นเองก็นึกโมโห วันรุ่งขึ้นหลังจากกลับวังหลวงจึงบอกกับองค์หญิงว่าราชบุตรเขยท่านนี้เกรงจะใช้ไม่ได้ ดีไม่ดีอาจเป็นหมันแต่กำเนิดผู้หนึ่ง คราวนี้องค์หญิงเล่อผิงไม่ยอมแล้ว น่าเสียดายที่องค์หญิงผู้นี้หลงลืมว่าบิดาของนางไม่ใช่ขุนนางตัวเล็กๆ ของซินเหยี่ยอีกต่อไป นางเองก็ไม่ใช่สตรีทั่วไปในจวน ตอนนี้ฮ่องเต้ร้อนใจอยากเอาชนะใจคน ให้ขุนนางมีความสามารถของราชวงศ์ก่อนทำงานเพื่อตนเอง ถ้าหากเพราะความเหลวไหลของบุตรสาวทำให้ตระกูลอัครเสนาบดีอับอาย มิใช่จะกลายเป็นเรื่องตลกในประวัติศาสตร์หรอกหรือ ฮ่องเต้นึกหงุดหงิดเสิ่นฮองเฮาด้วยซ้ำ ทว่าเสิ่นฮองเฮามีนิสัยแสบสันมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้เขาเป็นฮ่องเต้ ความกลัวภรรยาก็ยังคงอยู่ ทำได้เพียงตำหนิบุตรสาวและบอกว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง หลังจากองค์หญิงไปโวยวายกับบิดาไม่ประสบผล จึงไปหาบรรดาพี่ชายที่จวนแต่ละคนต่อ หวังให้พี่ชายช่วยออกหน้าโน้มน้าวบิดา ผลกลับกลายเป็นโวยวายจนทุกคนรู้กันถ้วนหน้า ทำให้คุณชายสูงศักดิ์ผู้รักษาขนบประเพณีกลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถเรื่องสตรีไปแทน
เดือดร้อนให้ช่วงนี้หวังอวี้หล่างเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้วเงยหน้าไม่ขึ้น วันนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ของเซียวอ๋อง…บุตรชายของรองเสนาบดีกรมทหารหวงเจิ้นแต่งงาน ในฐานะแม่ทัพคนโปรดของเซียวอ๋อง อนาคตของหวงเจิ้นย่อมไร้ขอบเขต งานมงคลของผู้สูงศักดิ์คนใหม่เช่นนี้ จะขาดเงาร่างของอัครเสนาบดีหวังไปได้อย่างไร
ดังนั้นหวังอวี้หล่างได้แต่ตามบิดาไปร่วมแสดงความยินดีด้วย แต่เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าในกลุ่มคนมีสายตานับไม่ถ้วนลอบมองประเมินตัวเขาตั้งแต่บนจรดล่าง เสียงซุบซิบไม่เคยหยุดลง จึงอยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างรู้สึกหายใจไม่ออก
เขาสบโอกาสอ้างมาเข้าห้องน้ำ แล้วหลบไปอยู่ในสวนดอกไม้ด้านข้างตามลำพัง พรูลมหายใจออกมา
ในตอนที่รอบข้างปราศจากผู้คน เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ซักสะอาดแล้วผืนนั้นออกมาจากสาบเสื้อ
รอยเลือดบนผ้าผืนนี้ถูกซักออกแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยแอบหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ขึ้นมาชื่นชมนับครั้งไม่ถ้วน หวังอวี้หล่างเป็นคนใสซื่อ สมัยที่หมั้นหมายกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็ตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนจะไม่เคยพูดคุยเปิดอกกัน แต่แค่ได้ยินคุณหนูผู้นั้นสนทนากับคนในครอบครัวก็รู้แล้วว่าสตรีผู้นี้ศึกษาเล่าเรียนมีความรู้ ไม่ใช่บุคคลไร้ความสามารถที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอ นับตั้งแต่นั้นจิตใจของเด็กหนุ่มก็อยู่บนตัวว่าที่ภรรยาผู้อ่อนหวานทั้งหมด ถึงแม้จะไม่อาจอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ว่าภายในใจกลับดื่มด่ำกับความรู้สึกหวานล้ำนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว
ย้อนนึกถึงสีหน้ากังวลยามเห็นตนเองได้รับบาดเจ็บของคุณหนูอวี้ฉือในวันนั้น หวังอวี้หล่างสูดดมกลิ่นผ้าเช็ดหน้าอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งยังยกขึ้นแนบริมฝีปาก ปลายนิ้วลูบไล้ฝีเข็มถี่ยิบบนผืนผ้า ระลึกถึงดวงหน้าดุจภาพวาดของสตรีในดวงใจอย่างลุ่มหลง ทั้งยังจินตนาการว่าตนเองกับคุณหนูอวี้ฉือทำเหมือนในบทละครงิ้ว ขัดขืนคำสั่งของบิดามารดา หนีตามกันไปท่ามกลางแสงจันทร์ หาสถานที่ซ่อนเร้นตัวตนใช้ชีวิตดั่งเทพเซียน สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง เคารพซึ่งกันและกัน…
ฉับพลันนั้นตรงปลายอีกฝั่งของทางเดิน เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังมา “ลวดลายบนผ้าเช็ดหน้าของคุณชายหวังช่างแปลกใหม่เสียจริง ไม่รู้ว่าจะให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่”
หวังอวี้หล่างได้ยินแล้วตกใจ เมื่อเหลือบสายตาขึ้นก็เห็นบุรุษหล่อเหลาร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ นัยน์ตาลึกล้ำดุจศรแหลมคมจับจ้องมายังผ้าเช็ดหน้าที่ตนเองยกแนบริมฝีปากผืนนั้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ก.พ. 68
Comments
comments
No tags for this post.