X
    Categories: ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 73-74

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 73

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตัวสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี

หากไม่เข้าใจเซียวอ๋อง บางทีตอนนี้นางอาจโกรธ หลงคิดว่าเขาแค่คิดหลอกใช้ความสามารถของนางให้ทำงานเพื่อตนเอง แต่ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี บุรุษที่อยู่ตรงหน้าคอยฝึกปรือฝีมือตนเองอยู่ตลอด อุบายแตกต่างจากสมัยปะทะกับนางตอนอยู่ภูเขาไป๋ลู่ไปแล้ว แตกต่างจากฝานจิ่งที่ใจร้อนต้องการเห็นผลในทันที ความก้าวหน้าและการเติบโตของเขานั้นหนักแน่นมั่นคงอย่างยิ่ง

ขณะที่นางในตอนนี้เทียบกับเขาแล้วกลับตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งไม่มีความก้าวหน้าจนน่าอับอาย ต่อให้เซียวอ๋องไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันคับแคบดั่งกบก้นบ่อน้ำของตนเอง พื้นที่เล็กๆ อย่างภูเขาไป๋ลู่ไม่อาจเทียบกับประสบการณ์พิชิตใต้หล้าตั้งแต่เหนือจรดใต้ สร้างความสงบให้แว่นแคว้นของเซียวอ๋องได้

เขาถามว่า ‘สนุกเต็มที่หรือไม่’ แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนรู้ว่าถ้าหากวันนี้บนสนามฝึกเซียวอ๋องเป็นผู้บัญชาการทัพด้วยตนเอง ชัยชนะที่ได้รับไม่มีทางเป็นแค่การคว้าจังหวะชิงธงผู้บัญชาการมาได้เหมือนตอนกลางวันวันนี้อย่างแน่นอน จะต้องเป็นชัยชนะแบบราบคาบ ต่อให้เป็นขุนนางบู๊ที่เรื่องมากกว่านี้ก็ยังหยิบจับเรื่องอะไรมาพูดวิจารณ์ไม่ได้

ดังนั้นหลังจากคิดกระจ่างตรงจุดนี้ นางรู้เรื่องที่เซียวอ๋องเจตนาผลักนางขึ้นแท่นบัญชาการแล้วกลับไม่ได้เกิดความหงุดหงิดที่ตกหลุมพรางเขาเหมือนเมื่อก่อน นางคิดแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “หม่อมฉันไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการฝึกทหารมานานแล้ว เมื่อกลางวันนี้มิกล้าสนุกเต็มที่แต่อย่างใด…มิหนำซ้ำยังค่อนข้างบกพร่อง ถ้าหากไม่ได้ภาพร่างค่ายกลที่ท่านอ๋องทรงจงใจทิ้งเอาไว้ช่วยชี้แนะก็เกือบจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะทรงเห็นส่วนรวมเป็นสำคัญ อย่าได้ฝากฝังความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกองทัพไว้ที่ตัวหม่อมฉันอีกเด็ดขาด หม่อมฉัน…ไม่ใช่บัณฑิตจูเก๋อผู้ชอบเอาชนะคนนั้นนานแล้ว”

ดวงตาของเซียวอ๋องหรี่ลงน้อยๆ เพราะคำพูดของนาง ก่อนดึงตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด มือเชยคางนางไว้แล้วเอ่ย “ทำตัวเหมือนยายแก่เช่นนี้ หรือท่านลุงเจ้าไม่รักษาสัญญา แอบสับเปลี่ยนหญิงชรามาแต่งงานกับข้าแทน จะต้องพิสูจน์ให้ดีเสียแล้ว!”

พูดจบแล้วกลับปลดเปลื้องเสื้อของนางในรถม้า ดูจากเจตนายังตั้งใจจะปลดเอี๊ยมออกตรวจสอบอย่างเปิดเผยอีกด้วย

ความคิดของคนต่ำทรามผู้นี้นางไม่เคยตามทัน ชั่วขณะก่อนยังถกปรัชญาชีวิตกันลึกซึ้ง ชั่วขณะต่อมากลับเลื่อนมือลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว เล่นสนุกกับการตรวจของขึ้นมา

ล้อรถม้ากำลังแล่น องครักษ์มากมายเพียงนี้ล้อมหน้าล้อมหลัง เขาคิดจะทำอะไรกัน

นางยื่นมือไปปิดริมฝีปากที่คิดจะล่วงเกินของเซียวอ๋องทันที ก่อนเอ่ยเสียงเบาด้วยดวงหน้าแดงก่ำ “ขอท่านอ๋องโปรดทรงสำรวมด้วยเพคะ แม่ทัพใหญ่สองคนของพระองค์เพราะว่า ‘กิน’ เนื้อสดใหม่ที่หอคณิกามากเกินไป จวบจนตอนนี้ยังจุกจนหมดสติอยู่เลย ตอนนี้ต่างรับรู้กันไปทั่วไหวหนาน ถ้าหากพระองค์ทรงทำเช่นนี้บนถนนในชนบทกลางป่าเขาอีก ถ้าอย่างนั้น ‘ความกล้าหาญ’ ของกองทัพเซียวบนเตียงนารีก็จะยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว”

เซียวอ๋องจะยอมหยุดได้อย่างไร เขาใช้ปลายลิ้นอุ่นร้อนไล้เลียนิ้วมือดุจต้นหอมที่ปิดปากเขาอยู่ พร้อมกับเอ่ยเสียงอู้อี้ “ข้าเดาผิดไปแล้ว นี่ใช่คนแก่ที่ใดกัน อ่อนนุ่มอย่างยิ่งต่างหาก…สองวันมานี้อยู่ในหมู่บ้านไม่ได้อาบน้ำ หลังจากกลับจวนรอชะล้างคราบสกปรกแล้ว ค่อยทะนุถนอมชายาตัวนุ่มนิ่มของข้าดีๆ อีกที…”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนแทบจะถูกองค์ชายอันธพาลผู้นี้ไล่ต้อนจนสติเตลิด นางเอ่ยเสียงเบา “ใบหน้าของท่านอ๋องทรงแก่นัก ขูดผิวข้าเจ็บไปหมดแล้ว…”

เซียวอ๋องรู้ว่านางหมายถึงตอหนวดเคราของตนเองที่ผุดขึ้นมาใหม่ช่วงนี้ จึงยิ้มชั่วร้ายเอ่ย “ไม่แก่จะคั้นน้ำเต้าหู้สดใหม่ออกมาได้อย่างไร คืนนี้จะให้เจ้าได้รู้ถึงความดีงามที่ซ่อนอยู่…”

คืนนั้นกลับถึงจวนแล้ว เซียวอ๋องไม่แม้แต่จะกินอาหารเย็นก็รีบร้อนอาบน้ำแล้วเข้าไปในห้องของชายารองทันที

เดิมทีเซวียเฟิงกับโต้วหย่งเพิ่งฟื้น กำลังก้มหน้าคุกเข่าอยู่ในห้องโถงใหญ่ของจวนเซียวอ๋อง รอเซียวอ๋องมาต่อว่า แต่นึกไม่ถึงว่าเซียวอ๋องกลับมาแล้วจะหายไปที่เรือนหลัง ตอนที่หัวหน้าเว่ยมาแจ้งว่าดึกเกินไป ท่านอ๋องพักผ่อนแล้ว พวกเขานึกโล่งอกขึ้นมา รู้สึกว่าพ้นเคราะห์ไปชั่วคราว ถึงอย่างนั้นก็ยังคุกเข่ารออยู่ที่เดิม

ส่วนเซี่ยวชิงเดิมทีก็กังวลว่าสหายทั้งสองคนจะถูกลงโทษจึงตามมาด้วย แต่เมื่อได้ยินว่าเซียวอ๋องกลับถึงจวนก็ตรงไปตระกองกอดหญิงงามทันที ความรู้สึกดีอันน้อยนิดต่ออวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่เพิ่มขึ้นจากการซ้อมรบสลายหายไปในชั่วพริบตา

นางปีศาจผู้นี้! วางยาเสน่ห์ใส่ท่านอ๋องจริงๆ หรือไร

ฮั่วจวินถิงรู้สึกเช่นกันว่าตนเองถูกพิษ แค่แยกจากกันไม่กี่วันก็กระหายจนร้อนใจ หลังจากรีดเค้นหยาดพิรุณจนหยดสุดท้าย เหงื่อร้อนออกท่วมร่างถึงได้กอดสตรีบอบบางในอ้อมแขน จุมพิตปลายจมูกที่มีเหงื่อผุดพรายของนางอย่างพึงพอใจ

เนื่องจากเมื่อครู่นี้รีบร้อนมาปลดปล่อยความปรารถนา จึงไม่ได้สนใจบุรุษป่าเถื่อนสองคนที่โดนวางยาหญ้าตามฝันเลยสักนิด สมควรทิ้งพวกเขาให้กระสับกระส่ายอยู่ตรงนั้นสักพักเช่นกัน

ทั้งสองคนตระกองกอดกันสักพัก เซียวอ๋องเรียกคนให้ยกน้ำอุ่นเข้ามาข้างใน หลังจากอาบน้ำเสร็จ หัวหน้าเว่ยยืนสอบถามอย่างระมัดระวังอยู่ตรงประตู “ท่านแม่ทัพเซวียกับท่านแม่ทัพโต้วยังไม่กลับไป ตอนนี้เปลือยท่อนบนรัดหนามคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูจวนขอรับ”

เซียวอ๋องสวมเสื้อผ้าไปพลางแค่นเสียง “ปล่อยให้พวกเขาคุกเข่ากันต่อไป”

หัวหน้าเว่ยฟังออกถึงน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ไม่กล้าเกลี้ยกล่อมต่อ เพียงถอยออกไปอย่างนอบน้อม

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับรู้สึกว่าเซียวอ๋องใจแคบกับแม่ทัพทั้งสองเกินไป อยากจะเกลี้ยกล่อมแต่ก็ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับกิจทหาร มีท่าทีอยากพูดแต่ก็ไม่ยอมพูด

เซียวอ๋องหันมาเอ่ยกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยน “เยี่ยนเอ๋อร์คิดเห็นต่างออกไปหรือ”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นเซียวอ๋องถาม จึงตอบตรงๆ “แม่ทัพทั้งสองท่านพลาดไปโดยไม่เจตนา เติ้งไหวโหรววางแผนใส่คนที่ไม่ทันตั้งตัว ขนาดท่านอ๋องยังตกหลุมพรางอยู่ที่หมู่บ้านชิงเขอไจ้ แล้วจะสร้างความลำบากให้แม่ทัพทั้งสองท่านอีกไปไย มิหนำซ้ำขณะนี้เป็นช่วงซ้อมรบที่สำคัญ เป็นเวลาที่ต้องใช้งานคน หวังว่าท่านอ๋องจะทรงไตร่ตรองให้ดีด้วยเพคะ”

เซียวอ๋องหน้าเคร่งขรึมลง ดูแล้วไม่อาจทนฟังคนอื่นตำหนิเขา

ในตอนที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลอบหัวเสียที่ตนเองพูดมาก เซียวอ๋องกลับแสดงสีหน้าระรื่นเอ่ย “เยี่ยนเอ๋อร์พูดถูก รบกวนเจ้าไปเชิญแม่ทัพทั้งสองกลับไปแทนข้าแล้วกัน”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของเซียวอ๋องก็นึกแปลกใจ ก่อนจะเข้าใจเจตนาของเขาโดยพลัน ตั้งใจให้นางเป็นคนออกหน้า ซื้อน้ำใจจากคนสนิทของเซียวอ๋องพวกนี้

ในการซ้อมรบครั้งนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย่อมมองออกว่าเซี่ยวชิงเก็บความเป็นอริต่อนางเอาไว้ไม่น้อย ทว่าก็สมเหตุสมผลเข้าใจได้ ในเมื่อต่างก็เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน จะลดความระแวงลงในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร

ทว่าอย่างเซียวอ๋องเขาไม่รู้สึกระแวงฐานะกบฏในอดีตของนางสักนิดเลยจริงๆ หรือ เหตุใดอยากให้นางกับคนสนิทของเขาปรองดองกันประหนึ่งพี่สะใภ้กับน้องชายอย่างไรอย่างนั้น!

“รีบไปเถิด แล้วก็บอกพวกเขาด้วยว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงในจวน เรียกพวกเขาสองคนรวมถึงเซี่ยวชิงมาดื่มสุราด้วยกัน ปรึกษาเรื่องศึกทางน้ำในวันมะรืน…ถึงเวลาต้องรบกวนชายารักเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเองอีก!”

“…”

หลังจากคุกเข่าท่ามกลางสายลมฤดูหนาวของไหวหนานอยู่หนึ่งชั่วยาม ต่อให้เป็นบุรุษร่างเหล็กก็ยังตัวสั่นอยู่ดี ยามเงาร่างสะโอดสะองของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนปรากฏตัวท่ามกลางม่านราตรีที่เริ่มมีหมอกลง ถูกแสงเรืองรองของโคมด้านหลังปกคลุมทับ กลับให้ความรู้สึกลวงตาประหนึ่งพระโพธิสัตว์ลงมาโปรด…

เนื่องจากแขกในงานเลี้ยงของเซียวอ๋องล้วนเชิญแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิท ทั้งยังสั่งอาหารฝีมืออวี้ฉือเฟยเยี่ยนด้วยตนเอง ดังนั้นวันรุ่งขึ้นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงลุกขึ้นไปเตรียมตัวทำอาหารแต่เช้า หลังจากเข้ามาในห้องครัวใหญ่ก็ได้เห็นวัตถุดิบวางอยู่ละลานตา เซียวอ๋องสร้างสายสัมพันธ์อันดีไม่น้อยที่หมู่บ้านชิงเขอไจ้ บรรดาญาติพี่น้องถวายของป่าจำนวนมากให้ ไก่บ้านกับกระต่ายอ้วนบรรจุอยู่เต็มตะกร้า แล้วยังมีไข่ไก่ป่าลายพร้อยด้วย เพื่อเป็นการรับรองเซียวอ๋อง หัวหน้าหมู่บ้านจึงเชือดหมูหนึ่งตัว ไส้หมูสดใหม่ยังเหลืออยู่อีกยาวเหยียด

หัวหน้าเว่ยมองเห็นวัตถุดิบสดใหม่พวกนี้แล้วกล่าวตำหนิคนครัวของจวน “เอาอาหารธรรมดาพวกนี้มาวางไว้ตรงนี้ได้อย่างไร”

แต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกลับยิ้ม อดนึกถึงครั้งแรกที่เข้าวังไม่ได้ ภาพเหตุการณ์ฮ่องเต้แห่งต้าฉีนำทุกคนในครอบครัวย่างไส้กินกัน ในเมื่อต่างเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าตั้งแต่สมัยอยู่ซินเหยี่ย คิดดูแล้วน่าจะชื่นชอบรสชาติของบ้านเกิดมากกว่าเช่นเดียวกัน…ดังนั้นจึงเอ่ยห้ามหัวหน้าเว่ย “แม้ไม่ใช่วัตถุดิบที่ดูดีอะไร แต่ถ้าเอาไปทำอาหารอย่างเหมาะสมก็จะให้รสชาติอร่อยไปอีกแบบ”

พูดจบแล้วนางก็บอกให้เป่าจูยกไส้หมูกับวัตถุดิบอื่นๆ กลับห้องครัวเล็กของตนเอง หลังจากจัดเตรียมวัตถุดิบอื่นเรียบร้อยแล้ว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็ล้างไส้ให้สะอาด ตามด้วยสับเนื้อแล้วปรุงรสด้วยกานพลูกับผงเครื่องเทศ ก่อนกรอกลงในไส้ จากนั้นรมควันด้วยหญ้าหอม นำลงย่างในกระทะอีกที ปิดท้ายด้วยราดน้ำกระเทียมแล้วจัดใส่จาน

ในเมื่อมีแต่ขุนนางบู๊มาที่นี่ ต่างฝึกฝนกันทั้งวันทั้งคืน เสียเหงื่อเยอะ น่าจะเป็นคนชื่นชอบรสชาติจัดจ้านกันทั้งนั้น อาหารอื่นที่เหลือจึงใช้น้ำพะโล้เป็นรสหลัก ช่วงที่อยู่ไหวหนานนี้นางอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ อีกทั้งในมือก็มีตำราอาหารลับเล่มนั้น จึงเข้าครัวไปฆ่าเวลาบ่อยๆ ฝีมือทำอาหารของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก้าวกระโดดขึ้นพรวดพราดจริงๆ บางครั้งเวลาว่างยังอดเย้ยหยันตนเองไม่ได้ ฝีมือระดับนี้ไม่เป็นรองยวนยางแล้วด้วยซ้ำ อนาคตเปิดร้านอาหารได้สบายๆ

เมื่ออาหารร้อนๆ ที่ชายารองทำเองกับมือถูกจัดวางขึ้นโต๊ะ กลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่วทั้งห้อง เดิมทีเซวียเฟิงกับโต้วหย่งมีเรื่องในใจ รู้สึกผิดอยู่เต็มอกแล้วจะกินอะไรลงได้อย่างไร แต่เมื่อได้กลิ่นอาหารเหล่านี้ทั้งสองยังคงหยิบตะเกียบเงินขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว รอเซียวอ๋องขยับตะเกียบก่อนแล้วจึงกินอย่างตะกละตะกลาม แม้แต่เซี่ยวชิงยังเลิกระแวง กินอย่างเรียกได้ว่าตั้งอกตั้งใจมาก

โดยเฉพาะไส้กรอกย่างจานนั้นอร่อยอย่างที่ไม่อาจพรรณนา เอามากินเป็นกับแกล้มคู่สุราจะยอดเยี่ยมที่สุด

เซวียเฟิงอดกลั้นไม่ได้เอื้อมมือคีบชิ้นสุดท้าย เดิมตั้งใจยกให้เซียวอ๋อง แต่นึกไม่ถึงว่าเซี่ยวชิงจะไร้มารยาท ยื่นตะเกียบไปคีบชิ้นสีเหลืองกรอบชิ้นสุดท้ายเข้าปากตนเอง นี่ทำให้ทั้งเซวียเฟิงกับโต้วหย่งต่างถลึงตาใส่เซี่ยวชิงอย่างอำมหิต

“นึกไม่ถึงว่าฝีมือทำอาหารของชายารองจะยอดเยี่ยมเพียงนี้ วันนี้กระหม่อมได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายรอง ทั้งยังมีลาภปากอีก ช่างโชคดีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” เซวียเฟิงเอ่ยชมอย่างอดไม่ได้หลังจากวางตะเกียบลง

เซียวอ๋องจิบสุราพลางยิ้มเอ่ย “ชายารองคนนี้ของพวกเจ้ามีความทะนงตนสูงมาก ไม่ว่าเรื่องใดก็เรียกร้องความสมบูรณ์ไร้บกพร่อง อย่างกับข้าวของวันนี้มองดูคล้ายมีแต่อาหารของชาวบ้านทั่วไป ทว่าฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ลุกไปลงมือทำแล้ว ยุ่งอยู่หลายชั่วยามถึงเสร็จเรียบร้อยดีหมด”

เดิมทีเซวียเฟิงไม่มีการไปมาหาสู่อะไรกับชายารองของเซียวอ๋อง บอกตามตรงว่าชายารองคนหนึ่งก็แค่ของเล่นฆ่าเวลาในห้องของท่านอ๋องเท่านั้น ถึงแม้จะได้ยินว่าชายารองผู้นี้ถูกเซียวอ๋องอุ้มเข้าจวนด้วยตนเองตอนพิธีแต่งงาน แต่นั่นก็แค่เพราะเพิ่งโปรดปราน แค่ความรักใคร่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

แต่เมื่อวานนางกลับเกลี้ยกล่อมเซียวอ๋องที่เดือดดาลให้ละเว้นพวกเขาสองคนได้ วันนี้ยังเป็นคนเข้าครัวทำอาหารในงานเลี้ยงที่เซียวอ๋องเชิญพวกเขามา นี่ก็มากพอจะเห็นได้ว่าชายารองผู้นี้มีตำแหน่งอย่างไรในจวนอ๋องแล้ว

บทที่ 74

เดิมทีเซี่ยวชิงไม่รู้ว่าอาหารเป็นฝีมือของชายารอง หลังจากได้ยินถึงกระจ่างแจ้ง มิน่าครั้งนี้เซียวอ๋องไม่ได้จัดงานเลี้ยงที่ห้องโถงด้านหน้า แต่จัดขึ้นในห้องรับแขกเล็กของเรือนชายารอง พริบตานั้นไส้กรอกย่างกรุบกรอบชิ้นสุดท้ายในปากเขาก็กลืนไม่ลงแล้ว เขามองผ่านบานหน้าต่างของห้องจัดงานเลี้ยงออกไป บังเอิญเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนเดินออกมาจากห้องครัวเล็กพอดี อาจเพราะยุ่งมาทั้งเช้า จอนผมจึงชื้นเหงื่อเล็กน้อย กำลังยืนพิงขอบประตูพักผ่อน ทอดสายตามองภูเขาจินหลงที่อยู่ห่างออกไปพอดี

มองจากความอ่อนโยนของนางเวลานี้ ยากจะจินตนาการออกว่านางคือหัวหน้าโจรหญิงแห่งภูเขาไป๋ลู่ที่เคยสร้างปัญหาผู้นั้น ที่ยากจะจินตนาการมากกว่านั้นคือความสุขุมกล้าหาญ บัญชาการทัพหลังม่านของนางเมื่อวานนี้…

หลังดื่มสุราครบสามรอบก็ได้เวลาเข้าสู่ประเด็นหลัก เซียวอ๋องจ้องโต้วหย่งกับเซวียเฟิงแล้วเอ่ยอย่างเข้มงวด “สถานการณ์ในทุกวันนี้ไม่เหมือนการสู้รบตามปกติ ตอนนี้พวกเรากับฝ่ายศัตรูปะปนอยู่ที่เดียวกัน ถ้าหากไม่เพิ่มความระวังตัว เกรงว่าครั้งหน้าจะไม่ใช่แค่การล้มอยู่ในอ้อมกอดสตรีเรียบง่ายแค่นั้น ข้าไม่อยากช่วยเก็บศพกล่าวคำไว้อาลัยแทนพวกเจ้าหรอกนะ”

เซวียเฟิงกับโต้วหย่งต่างรับฟังกันอย่างรู้สึกผิด เอ่ยขอรับผิดกับเซียวอ๋องอีกครั้ง

ตอนนั้นเองเซี่ยวชิงถามขึ้นมา “ท่านอ๋อง พระองค์ว่าศึกทางน้ำในวันพรุ่งนี้พวกเราจะมีโอกาสชนะมากเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวอ๋องตอบ “ถ้าหากทุ่มอย่างสุดกำลังอาจชนะได้ แต่ข้ากลับหวังให้วันพรุ่งนี้พวกเจ้าจะแพ้อย่างไม่เสียหน้า”

หลังได้ยินประโยคนี้แล้วชวนให้คนงุนงงสับสน ทั้งสามคนต่างร้องตกใจ ไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร

“สมัยก่อนที่ราชสำนักกับไหวหนานสงบศึกกัน อนุญาตให้ไหวหนานตั้งตนเป็นเอกเทศกับให้หนานลู่กงเป็นผู้ปกครอง เดิมทีก็เป็นแค่แผนชั่วคราว บัดนี้บ้านเมืองสงบสุข ราชสำนักมั่นคง เจตนากำราบไหวหนานของฝ่าบาทเพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่ไรมากองทัพเรือของไหวหนานแข็งแกร่งกว่าของราชสำนัก พวกเราเอาชนะทางบกได้แล้ว ถ้าหากรบชนะกองทัพทางน้ำที่เลื่องชื่อของไหวหนานอีก ฝ่าบาทจะต้องตัดสินพระทัยกำราบไหวหนานแน่นอน เกรงว่าจะเกิดศึกใหญ่ขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายในชั่วข้ามคืน

อย่างไรก็ตามการทำสงครามต้องใช้เวลา สถานที่ และผู้คนที่เหมาะสม ตอนนี้เรื่องคนพอจะฝืนนับว่าเอื้ออำนวยเพราะว่าพวกเราทลายรังโจรสำเร็จ แต่ว่าจังหวะเวลากับสถานที่ล้วนเป็นของไหวหนาน ราชสำนักไม่มีทางจบศึกได้โดยเร็ว สงครามจะต้องยืดเยื้อแน่นอน ถึงเวลาชาวบ้านต้องระเหเร่ร่อน ส่วนทรัพยากรที่ราชสำนักสั่งสมมาหลายปีว่างเปล่าลง จัดการแผ่นดินไม่เหมาะสม มีพวกที่อยู่ไม่สุขฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายขึ้นอีก ต่อให้สุดท้ายคว้าชัยชนะก็เกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี ไหวหนานเป็นเพียงเมืองเมืองหนึ่ง ไม่ว่าจะกำลังคนหรือกำลังทรัพย์ล้วนไม่อาจสู้ราชสำนักได้ ดังนั้นอำนาจใหญ่ยังอยู่ที่ราชสำนัก ขอแค่ฝ่าบาทเลือกเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองตามลำดับขั้น ไหวหนานอาจจะทุ่มสุดกำลังก่อกบฏ ไม่ก็อาจจะกลับคืนสู่ราชสำนักในท้ายที่สุด ดังนั้นศึกทางน้ำในวันพรุ่งนี้พวกเราจะต้องแพ้แต่ไม่ยับเยิน ทั้งไม่อาจเพิ่มความเหิมเกริมของหนานลู่กง ให้เขาเกิดความคิดไม่ซื่อ แล้วก็ไม่อาจปล่อยให้ทูตจากราชสำนักสบโอกาสถวายฎีกาเรื่องพวกเราด้วย”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจัดการในห้องครัวเล็กเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปพักผ่อนในห้องนอนด้านข้างห้องโถงจัดงานเลี้ยง เนื่องจากอยู่ในเรือนเดียวกัน คำพูดของเซียวอ๋องจึงลอยขาดๆ ห้วงๆ เข้ามา

ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องในเรือนถูกไล่ออกไปหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่มีแค่นางกับเป่าจูสองคน ได้ยินถ้อยคำของเซียวอ๋องแล้วอวี้ฉือเฟยเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ…บางทีแรกเริ่มอาจจะยังมีความไม่ยอมรับอยู่บ้าง แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้ของเซียวอ๋องก็รู้สึกจริงๆ ว่าบุรุษที่ปกติมักทำตัวทะเล้นหน้ายิ้มต่อหน้านางผู้นี้ถึงจะเป็นผู้บัญชาการตัวจริง

เขาหลุดพ้นจากขอบเขตของแพ้ชนะ มองไกลไปถึงผู้คนในใต้หล้านานแล้ว นางเทียบกับเขายังคงอ่อนหัดเกินไป…

 

ศึกทางน้ำวันรุ่งขึ้นจัดที่แม่น้ำจินสุ่ย หลังจากทั้งสองกองทัพตั้งทัพเสร็จ บนที่นั่งรับชมมีเสียงกระซิบกระซาบกับเสียงหัวเราะดูแคลนดังขึ้น ที่แท้กองทัพเรือฝั่งหนานลู่กง ทัพกลางเป็นเรือรบขนาดใหญ่ห้าลำ รอบๆ โอบล้อมด้วยเรือรบขนาดกลางยี่สิบลำ เรือรบขนาดเล็กอีกสามสิบลำลอยอยู่ใกล้เคียงไม่หยุดนิ่ง ให้บรรยากาศเคร่งขรึมน่าเกรงขามกดดัน เทียบกันแล้วกองทัพของเซียวอ๋องเรียบง่ายมากเกินไป นอกจากเรือรบขนาดกลางไม่กี่ลำ ที่เหลือล้วนเป็นเรือรบลำเล็กรูปแบบต่างๆ มิหนำซ้ำรูปแบบยังแตกต่างกัน มีเรือเหยี่ยวแบบต้าฉี แล้วก็มีเรือเล็กที่ต้าเหลียงเหลือทิ้งเอาไว้ มีกระทั่งเรือที่ดัดแปลงมาจากเรือประมง ยังแขวนแหจับปลาอยู่ด้วยซ้ำ ถึงแม้จำนวนจะมีมากกว่ากองทัพเรือของหนานลู่กงเป็นทบทวี แต่เทียบกับกองทัพเรือของหนานลู่กงแล้วสภาพก็ไม่ต่างจากขอทาน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่บางคนส่ายหน้าถอนหายใจ กองทัพบกของเซียวอ๋องแข็งแกร่งกว่าของไหวหนานมากก็จริง แต่พอมาเป็นกองทัพเรือกลับคนละระดับโดยสิ้นเชิง มีบางคนเอ่ยชี้แนะไปพลางแค่นหัวเราะเยาะเย้ยไปพลาง

เมื่อการซ้อมรบเริ่มต้น กองทัพเรือของเซียวอ๋องบุกเร็วทันที เรือรบขนาดเล็กนับร้อยลำไล่ตามกันแล่นเข้าปะทะกับกองทัพของหนานลู่กง ส่วนกองทัพเรือของหนานลู่กงไม่ร้อนรน ไม่ลนลาน ใช้เรือรบขนาดกลางกันเรือเล็กของเซียวอ๋องเอาไว้วงนอก ส่วนเรือรบขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางคอยยิงปืนใหญ่โจมตีใส่เรือรบของเซียวอ๋องไม่หยุด ปืนใหญ่ยิงออกไปแล้วทิ้งรอยดินเหลืองขนาดใหญ่เท่าโอ่งน้ำไว้บนเรือลำเล็กทันที ขณะที่เรือรบลำเล็กเสาะหาโอกาสโจมตีกองทัพเซียวอ๋องไม่หยุด

ในไม่ช้ากองทัพเซียวอ๋องก็สูญเสียเรือรบลำเล็กไปหลายสิบลำ ขณะที่ฝั่งหนานลู่กงนอกจากเรือลำเล็กไม่กี่ลำแล้วแทบจะไม่สูญเสียอะไร เซวียเฟิงที่อยู่บนแท่นบัญชาการผงกศีรษะ หลังจากสัญญาณธงเปลี่ยนก็ได้เห็นว่ากองทัพเรือที่กระจายตัวกันสู้ใครสู้มันของกองทัพเซียวมารวมตัวกันกะทันหัน เรือสิบลำจับกลุ่มเป็นกองทัพย่อย พากันเล็งเป้าหมายแล้วรุมเข้าโจมตี ถึงแม้เรือลำเล็กของกองทัพเซียวจะเป็นกองทัพเบ็ดเตล็ด พละกำลังในการโจมตีอ่อนกว่ากองทัพเติ้งมาก แต่ว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ยากจะรับมือกับศัตรูสี่มือ มดรุมกัดช้างตายได้ เรือสิบลำรุมเรือลำเดียว กองทัพเติ้งเองก็ต้านไม่ไหว ถึงแม้จะทำลายเรือของกองทัพเซียวไปมากแล้ว แต่เรือรบของกองทัพเติ้งที่ถูกรุมโจมตีเองก็ทยอยกันถูกปืนกระสุนดินเหลืองตัดสินว่าเรือจมเช่นเดียวกัน จากนั้นกองทัพเซียวก็จะเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีใหม่

ผู้บัญชาการกองทัพเติ้งเองก็ตื่นตระหนก รีบสั่งให้เรือรบขนาดกลางกับขนาดใหญ่เข้าแก้ไขสถานการณ์ แต่เรือรบขนาดกลางจำนวนหนึ่งกับเรือรบขนาดเล็กยี่สิบลำของกองทัพเซียวกลับผละจากพื้นที่สงครามแต่เดิมของตนเองกะทันหัน จัดกระบวนทัพเป็นทรงกรวยแล้วพุ่งเข้าใส่เรือรบขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ขณะที่เรือรบลำเล็กจำนวนหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่เรือรบขนาดกลางที่ป้องกันเรือรบขนาดใหญ่ตรงๆ จากนั้นบนเรือเล็กล่อเป้าที่ไร้ผู้คนพลันเกิดเสียงระเบิดกับควันหนาขึ้นมากะทันหัน เรือรบลำเล็กกับเรือรบขนาดกลางของกองทัพเติ้งที่โดนชนถูกตัดสินว่าจมลงทะเลเพลิงพร้อมกันในทันที ส่วนเรือรบยี่สิบลำของกองทัพเซียวที่ลอยอยู่แนวหลังก็จัดทัพเดินเรืออ้อมกองทัพเรือทั้งสองฝ่ายที่ปะทะกันอยู่ พุ่งเข้าหาแท่นบัญชาการของกองทัพเติ้ง และอาศัยจุดเด่นด้านจำนวนที่มากกว่าตรึงกองทัพเติ้งเอาไว้ ไม่ให้พวกเขามาช่วยเหลือทางแท่นบัญชาการ

กองทัพเติ้งไม่พัวพันกับกองทัพเซียวต่ออีก คิดแต่จะสลัดหลุดเพื่อไปปกป้องแท่นบัญชาการ สุดท้ายตอนที่กองทัพเรือลอบโจมตีของเซียวอ๋องยังเหลืออีกสามสิบจั้งก่อนถึงแท่นบัญชาการกองทัพเติ้ง กองทัพเติ้งก็สามารถทำลายกองทัพเซียวลงได้ทันกาล การซ้อมรบจบลงที่ตรงนี้ กองทัพเซียวแทบจะเสียชีวิตทั้งกองทัพ ขณะที่กองทัพเติ้งสูญเสียไปเพียงหนึ่งในสาม

ทูตต่างแคว้นบางส่วนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหนานลู่กงร้องชื่นชมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทั้งยังชำเลืองมองไปทางเซียวอ๋องที่อยู่บนแท่นบัญชาการ ก่อนจะผิดหวังที่พบว่าเซียวอ๋องมีสีหน้าเป็นปกติ อดไม่ได้ลอบค่อนขอดว่าหน้าด้านหน้าทนจริงๆ

แต่บางส่วนที่ตาแหลมกลับพบว่าถึงแม้กองทัพเติ้งจะคว้าชัยชนะครั้งใหญ่ สีหน้าของหนานลู่กงกลับดำทะมึนอย่างหนัก คล้ายเป็นคนแพ้สงครามเสียเอง ขณะที่ขุนนางกับแม่ทัพต่างแคว้นที่มีความเข้าใจเรื่องกองทัพต่างตกตะลึง มองคล้ายเซียวอ๋องพ่ายแพ้ยับเยิน แต่อย่าลืมว่ากองทัพเรือของไหวหนานได้หนานลู่กงดูแลอย่างยากลำบากมายี่สิบกว่าปีถึงมีความสามารถอย่างในตอนนี้ และกองทัพเรือที่นำออกมาซ้อมรบในครั้งนี้ก็เกือบจะถึงเจ็ดส่วน ทว่ากลับเสียหายถึงหนึ่งในสามภายในศึกเดียว

หันกลับมามองทางเซียวอ๋อง เรือที่ใช้ส่วนใหญ่ต่างเป็นเรือเก่ากับเรือประมงดัดแปลง สิ้นเปลืองเวลากับเงินทองไม่มากเท่าไรก็สามารถสร้างกองทัพเรือ ‘ขอทาน’ ขนาดเดียวกันออกมาได้อีกครั้ง ถ้าหากเกิดศึกใหญ่ขึ้นจริงๆ เซียวอ๋องสิ้นเปลืองน้อยมากก็ทำให้กองทัพเรือไหวหนานบาดเจ็บหนักได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้หนานลู่กงไม่ผิดหวังเคืองโกรธ ถึงขั้นที่แอบหวาดกลัวได้อย่างไร มิหนำซ้ำกองทัพที่ลอบโจมตีเมื่อครู่นี้ถึงแม้จะถูกทำลายลง แต่ก็แล่นไปถึงบริเวณที่คุกคามแท่นบัญชาการได้แล้ว

นี่มิใช่เป็นการบอกว่าในสงครามของจริง ขอแค่เซียวอ๋องส่งกองทัพที่ผ่านการฝึกฝนอย่างดีมาอ้อมแนวป้องกันของตนเองสำเร็จ จะมีโอกาสกำจัดตนเองทิ้งได้หรอกหรือ หนานลู่กงยิ่งคิดยิ่งตกใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัวภายหลัง แววตาที่มองเซียวอ๋องดูอึมครึมผิดปกติ

ส่วนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนอยู่บนที่นั่งรับชมฝั่งสตรีจากจวนต่างๆ รับฟังคำพูดแสดงความเสียดายแทนเซียวอ๋องจากบรรดาสตรีรอบกายก็เพียงยิ้มน้อยๆ ก่อนผงกศีรษะเบาๆ ให้กับหนานลู่กงฮูหยินเว่ยเซวียนซื่อที่อยู่ด้านข้าง

เพียงแต่ครั้งนี้หนานลู่กงฮูหยินผู้อ่อนโยนกลับยิ้มอย่างฝืดฝืนอยู่บ้าง

การซ้อมรบครั้งเดียวช่วยลดทอนบรรยากาศตึงเครียดของไหวหนาน เซียวอ๋องเพิ่มความมั่นคงให้กับสถานการณ์การปกครองละแวกจินสุ่ย รวมถึงขยายขอบเขตปกครองเมืองชายแดนได้อีกก้าว ต้าฉีนั้นรับเครื่องราชบรรณาการทุกสิ้นปี หลังจากแต่ละท้องที่เก็บรวบรวมเงินภาษีประจำปีเรียบร้อยก็จะจ่ายให้กับราชสำนัก เซียวอ๋องพิจารณาถึงชาวบ้าน ตัดสินใจลดภาษีให้กับราษฎรในพื้นที่การปกครองของเขา ในฐานะพ่อค้าเกลือรายใหญ่ที่ยึดครองการค้าเกลือไผ่ทั่วทุกหนแห่งเอาไว้ เซียวอ๋องช่วยจ่ายค่าภาษีแทนราษฎรในพื้นที่ไหวหนานให้อย่างใจกว้าง

นี่ทำให้ราษฎรของไหวหนานยกย่องสรรเสริญอย่างมาก! แต่ที่ทำให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมีความสุขมากที่สุด กลับเป็นเรื่องที่น้องชายน้องสาวของนางจะแวะมาเยี่ยมนางที่ไหวหนานด้วยกัน

ท่านลุงในฐานะผู้อาวุโสย่อมไม่มีเหตุผลให้มาฉลองปีใหม่ที่จวนของหลานสาว ขณะที่เสียนเกอเอ๋อร์รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่เล็กๆ อยู่ในท้องถิ่นหนึ่ง ฝึกฝนมาหนึ่งปีเต็มแล้ว พอถึงช่วงสิ้นปีสามารถกลับมาเยี่ยมครอบครัวได้พอดี จึงขอลาหยุดล่วงหน้า พาน้องสาวอวี้ฉือจิ้งโหรวนั่งเรือสินค้าของไหวหนานที่บรรทุกเกลือไผ่ไปขายเสร็จกลับมาด้วยกัน อวี้ฉือเฟยเยี่ยนส่งรถม้าไปรอรับญาติผู้น้องที่ท่าเรือล่วงหน้า รวมถึงสั่งให้หัวหน้าเว่ยเตรียมเรือนแยกสองแห่งสำหรับให้ทั้งสองคนพักอยู่

อวี้ฉือจิ้งโหรวเลิกม่านก้าวลงจากรถม้า ขณะนี้ตรงกับช่วงฤดูหนาวจัดของไหวหนาน เด็กสาวสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว ประดับปิ่นหยกบุปผา ขับเน้นให้ดูอ่อนหวานน่ารักยิ่งขึ้น เดิมอวี้ฉือเฟยเยี่ยนหลงนึกว่าจะได้เห็นดวงหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวานของอวี้ฉือจิ้งโหรวตอนลงจากรถม้า แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นเด็กสาวร้องไห้จนตาคู่งามแดงก่ำ บวมปูดดั่งผลเหอเถา เมื่อมองเห็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่ยืนรออยู่หน้าประตูจวนก็เอ่ยเรียกญาติผู้พี่เสียงสั่นแล้วไม่ยอมพูดอะไรอีก

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสะดุ้งตกใจ นึกว่าเสียนเกอเอ๋อร์กับอวี้ฉือจิ้งโหรวสองพี่น้องทะเลาะกันบนเรือจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงทักทายกันสั้นๆ แล้วพาพวกเขาเข้าจวน หาโอกาสดึงตัวเสียนเกอเอ๋อร์มาคุยด้วย “เจ้าเข้าไปทำงานในที่ว่าการเมืองแล้วก็ควรจะมีความเป็นผู้ใหญ่ เหตุใดยังทะเลาะกับน้องสาวเจ้าอีก ทำให้นางร้องไห้จนมีสภาพดูไม่ได้เช่นนี้”

เสียนเกอเอ๋อร์ยิ้มขื่นอย่างจนใจ ก่อนเอ่ย “ญาติผู้พี่ มีบางอย่างที่ท่านไม่ทราบ สาเหตุที่ซ่อนอยู่นี้ช่างชวนให้คนพูดได้ยากนัก!”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนช้อนสายตาขึ้นจ้องเขม็งมองเสียนเกอเอ๋อร์โดยไม่รู้ตัว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: