บทที่ 75
ที่แท้นับตั้งแต่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเดินทางไปไหวหนาน ถึงแม้น้าชายของนางจะย้ายออกจากจวนอวี้ฉือโหว แต่อวี้ฉือจิ้งโหรวกับเซ่าจิ่งถังกลับไม่ได้ตัดการติดต่อกัน อวี้ฉือจิ้งโหรวเองก็อยู่ในวัยเพิ่งหัดมีความรัก เห็นว่าเซ่าจิ่งถังเป็นคนมีความสามารถ สุภาพสง่างาม จึงแอบมอบใจให้ แอบให้สาวใช้ข้างกายช่วยส่งจดหมายรัก มิหนำซ้ำยังฉวยโอกาสตอนมีตลาดกลางคืนลักลอบนัดพบกับเซ่าจิ่งถังผู้นั้นอยู่หลายครั้ง เดิมทีหลงคิดว่ารอเซ่าจิ่งถังสอบผ่านประสบความสำเร็จก็จะเป็นเวลาที่เขามาสู่ขอ แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันรอถึงการสอบขุนนางฤดูใบไม้ผลิ ในการละเล่นแสดงความสามารถที่ตลาดกลางคืนครั้งหนึ่ง เซ่าจิ่งถังอยากแสดงความสามารถต่อหน้าคนรัก รวมกับพอมีความรู้อยู่บ้างจริงๆ จึงตวัดพู่กันแต่งคำกลอนไพเราะประโยคหนึ่งออกมา เรียกเสียงฮือฮาชื่นชมจากผู้คนรอบข้าง คิดไม่ถึงว่าในกลุ่มคนจะยังมีบุตรสาวคนเดียวของรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมปกครองคนปัจจุบันอยู่ด้วย นามว่าเหลียงจยาเอ๋อร์ อายุสิบแปดปี เพราะว่าพอจะมีความสามารถ ทั้งยังเย่อหยิ่ง ไม่ว่าสหายบิดาจะแนะนำบุตรหลานขุนนางคนใดให้จึงล้วนแต่ไม่เข้าตา กลับเสียเวลามาถึงอายุปูนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ใต้เท้าเหลียงผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เห็นบุตรสาวเป็นไข่มุกบนฝ่ามือ ถึงแม้จะแอบกลุ้มใจ ทว่าก็ตัดใจบีบคั้นมากเกินไปไม่ลง
นึกไม่ถึงว่าเดิมทีมาเดินเล่นฆ่าเวลาในตลาดกลางคืน เพียงเหลือบเห็นโดยไม่เจตนาครั้งเดียว คุณหนูสกุลเหลียงกลับตกหลุมรักเซ่าจิ่งถัง เขาเป็นที่หนึ่งในการแต่งคำกลอน ได้รับรูปสลักของเทพเจ้าเหวินฉวี่ซิง* เป็นของรางวัล จึงทิ้งชื่อกับที่อยู่จวนไว้ให้ลูกจ้างร้านหนังสือนำของไปส่งที่จวนให้ ดังนั้นนางจึงแอบส่งสาวใช้ไปสอบถามชื่อสกุลกับจวนของเซ่าจิ่งถังแล้วจากไปเงียบๆ
หลังจากกลับถึงจวนก็ขอร้องให้บิดาไปสู่ขอ เดิมทีใต้เท้าเหลียงไม่พอใจที่บุตรสาวตนเองอยากแต่งงานกับคนไม่ประสบความสำเร็จผู้หนึ่ง รวมกับคนคนนี้เป็นญาติผู้น้องของชายารองเซียวอ๋องอีกด้วย ภายในใจยิ่งไม่เต็มใจมากกว่าเดิม
แต่จนปัญญาที่บุตรสาวดื้อรั้นหัวชนฝาขึ้นมาแล้วไม่ยอมกินข้าว ร่างกายผ่ายผอมลงทุกวัน รองเสนาบดีเหลียงไร้หนทาง รวมกับสืบข่าวจากอาจารย์ของสำนักศึกษามาแล้ว บอกว่าบัณฑิตผู้นี้ฉลาดหลักแหลม ไหวพริบดี ดูแค่จากความสามารถแล้วเป็นคนมีอนาคตอยู่มาก จึงโล่งอก ฝากแม่สื่อไปสู่ขอกับน้าชายของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนในที่สุด
ทางเซ่ากวงฉีเห็นคนของสกุลเหลียงมาสู่ขอกะทันหันก็ตกใจ หลังจากได้รู้ความเป็นมาจากแม่สื่อ ทั้งยังบอกว่าเป็นบุตรสาวคนเดียวของรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมปกครอง ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องมงคลที่ตกลงมาจากฟ้าจริงๆ
เนื่องจากอวี้ฉือจิ้งเสียนเข้าร่วมการสอบขุนนางฤดูใบไม้ร่วงก่อน แต่เพราะสายสัมพันธ์ฝั่งสตรีกับเซียวอ๋องจึงล้มเหลวกลับมา สุดท้ายได้แต่ไปเป็นเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ ในสถานที่ยากจนห่างไกลแห่งหนึ่ง อนาคตที่มืดมนเช่นนี้เซ่ากวงฉีเห็นในสายตาแล้วรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ กลัวว่าบุตรชายตนเองจะเดินซ้ำรอยของอวี้ฉือจิ้งเสียน การมาสู่ขอของใต้เท้าเหลียงเวลานี้ไม่แตกต่างจากฟางช่วยชีวิตเส้นหนึ่งที่มาทันท่วงที ถ้าหากเกาะกิ่งไม้สูงเช่นนี้ได้ บุตรชายของตนเองก็จะสลัดพ้นผลกระทบจากที่เซียวอ๋องสูญเสียความโปรดปรานเบื้องหน้าฮ่องเต้ได้
ยามนั้นจึงตอบตกลงแม่สื่อทันที บอกว่าอีกสองวันจะพาบุตรชายไปพบหน้าใต้เท้าเหลียงที่จวนสกุลเหลียง จากนั้นจึงไปหาบุตรชาย ท่าทีเก็บตัวผู้นิ่งเฉยกับทุกเรื่องของเซ่ากวงฉีลดทอนลงไปไม่น้อย บอกเรื่องสกุลเหลียงมาสู่ขอกับบุตรชายด้วยสีหน้าปีติยินดี เซ่าจิ่งถังได้ยินแล้วตกใจยกใหญ่ แอบอึกอักลังเล เซ่ากวงฉีเห็นสีหน้าของบุตรชายแล้วรู้ว่าจะต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน หลังจากซักไซ้โดยละเอียด ถึงได้รู้ว่าเขากับอวี้ฉือจิ้งโหรวแอบคบหากัน เวลานั้นเซ่ากวงฉีโมโหจนตบบุตรชายไปครั้งหนึ่งทันที เจ้าลูกเนรคุณช่างขวัญกล้านัก ในช่วงเวลาเช่นนี้ให้รีบปัดความสัมพันธ์กับเซียวอ๋องยังแทบไม่ทัน เหตุใดยังจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยอีก
หลังจากเกลี้ยกล่อมด้วยทั้งเหตุผลและความรู้สึก เซ่าจิ่งถังเองก็ถูกบิดาโน้มน้าวจนหวั่นไหว เกิดตัดสินใจไม่ได้ขึ้นมา เซ่ากวงฉีเห็นบุตรชายหวั่นไหวแล้วก็รู้ว่าความรักแบบผู้เยาว์นี้ไม่ได้จริงจังอะไร เวลานั้นจึงตั้งใจตีเหล็กตอนร้อน* วันรุ่งขึ้นส่งเทียบเชิญไปพูดคุยเรื่องสู่ขอที่จวนสกุลเหลียงทันที
เมื่อมาถึงจวนสกุลเหลียง เซ่าจิ่งถังถึงได้พบคุณหนูเหลียงที่ตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบ เมื่อได้เห็นแล้วก็แอบผิดหวัง เพราะว่ารูปโฉมของคณหนูเหลียงผู้นี้สู้อวี้ฉือจิ้งโหรวไม่ได้เลยสักครึ่ง แต่ก็เหมือนกับที่บิดาบอก ปณิธานของบุรุษพึงอยู่ที่ความเจริญก้าวหน้าบนเส้นทางขุนนาง ถึงแม้คุณหนูเหลียงจะไม่ใช่บุปผางามสะพรั่งดอกหนึ่ง ทว่าเป็นหินที่ปูเส้นทางขุนนางให้ได้ ยามนั้นจึงแสดงตนเป็นคุณชายผู้สง่างาม ให้คุณหนูเหลียงยิ่งใจเต้นมากกว่าเดิม
นับตั้งแต่นั้นเมื่ออวี้ฉือจิ้งโหรวสั่งให้สาวใช้ส่งจดหมายไปให้อีก ก็ประหนึ่งก้อนหินจมลงมหาสมุทร ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใดทั้งนั้น สุดท้ายนางกัดฟัน ตัดสินใจแอบไปหน้าประตูเรือนที่พ่อลูกสกุลเซ่าพำนักอยู่ชั่วคราว รอคุณชายเซ่าออกมา แต่นึกไม่ถึงว่าจะไม่ได้พบเซ่าจิ่งถัง กลับพบกับนายท่านเซ่าแทน ผลปรากฏว่านางถูกนายท่านเซ่าเอ่ยตำหนิต่อว่าด้วยสีหน้าเข้มงวด ไม่เพียงแค่นั้น ยังไปฟ้องอวี้ฉือรุ่ยอีกด้วย บอกว่าเขาอบรมสั่งสอนบุตรสาวไม่ได้ความ มาตอแยบุตรชายตนเอง ทั้งยังบอกตรงๆ ว่าบุตรชายตนเองหมั้นหมายกับคุณหนูสกุลเหลียงแล้ว ให้เขาดูแลบุตรสาวตนเองให้ดี เลิกคิดมาเกาะแกะอีก
อวี้ฉือรุ่ยผู้ไม่เคยรู้เรื่องอะไรทั้งนั้นได้ยินแล้วตื่นตกใจ บุตรสาวที่เรียบร้อยเชื่อฟังมาตลอดของตนเอง เหตุใดพอออกมาจากปากของนายท่านเซ่าแล้วกลับเป็นคนดูไม่ได้ความเพียงนี้ ยามนั้นจึงทะเลาะใหญ่โตกับอีกฝ่ายทันที หลังจากที่เขาไล่เซ่ากวงฉีกลับแล้วก็ไปหาบุตรสาว กลับเห็นนางซ่อนตัวอยู่ในห้องตามลำพังพร้อมถือกรรไกรเตรียมตัดเรือนผมงาม ทำเอาเขาตกใจรีบแย่งกรรไกรมา ในใจเองก็พอรู้แล้วว่าเรื่องที่เซ่ากวงฉีพูดไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมด
เพียงแต่บุตรสาวตนเองพบกับคนที่ไม่เหมาะสม ต่อให้ตัดผมเข้าสู่ทางธรรมเองก็เกรงจะไร้ประโยชน์ ยามนั้นได้แต่หลั่งน้ำตาไม่กล้าตำหนิบุตรสาวแรงๆ อีก ก่อนรีบเขียนจดหมายในคืนนั้น เรียกตัวเสียนเกอเอ๋อร์กลับมา ให้เขาเดินทางเป็นเพื่อนน้องสาวไปปรับสภาพจิตใจที่ไหวหนาน อีกทั้งมีญาติผู้พี่อย่างอวี้ฉือเฟยเยี่ยนอยู่ด้านข้าง จะต้องเกลี้ยกล่อมให้ผลดีกว่าบิดาอย่างเขาแน่นอน
หลังจากอวี้ฉือเฟยเยี่ยนฟังเรื่องราวทุกอย่างจากเสียนเกอเอ๋อร์แล้วก็นิ่งเงียบอยู่นาน ไม่พูดถึงว่าระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวใครผิดถูก แค่จากที่น้าชายไม่สนใจเกียรติของอวี้ฉือจิ้งโหรวบุกมาด่าทอเสียงดังถึงจวนก็ดูไม่มีความเป็นผู้อาวุโสสักนิดเดียวแล้ว ถ้าหากเป็นสตรีที่หน้าบางสักหน่อย เกรงว่ากรรไกรในมือจะไม่ได้จ่อตัดเรือนผม แต่เป็นจ่อลำคอตนเองแทน ถึงแม้ในใจจะแอบลำเอียง แต่ว่าด้านหนึ่งเป็นสกุลอวี้ฉือ อีกด้านก็เป็นท่านน้าฝั่งบ้านมารดา ต่อหน้าเสียนเกอเอ๋อร์ อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็ไม่สะดวกพูดอะไรตรงๆ ได้แต่ผงกศีรษะรับรู้ แล้วให้เสียนเกอเอ๋อร์ไปพบกับเซียวอ๋อง พี่เขยของเขาที่ห้องหนังสือก่อน
จากนั้นนางพาสาวใช้ข้างกายไปพบอวี้ฉือจิ้งโหรวที่เรือนหลัง
อวี้ฉือจิ้งโหรวสูญเสียท่าทีอันมีชีวิตชีวาแต่เดิมไปนานแล้ว นางนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง ดวงตากลมโตมองลวดลายบนผืนม่านอย่างเหม่อลอย เมื่ออวี้ฉือเฟยเยี่ยนเดินเข้ามาใกล้ถึงได้เอ่ยเรียกอย่างไร้กำลัง “ญาติผู้พี่”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนลูบผมของนาง เกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจ สิ่งที่ญาติผู้น้องพบเจอคล้ายคลึงกับนางมากเพียงใด ความผิดหวังและเจ็บปวดที่พบหลังฝากใจให้คนผิดต่อให้ไม่พูดออกมา นางเองก็เข้าใจได้นานแล้ว
อวี้ฉือจิ้งโหรวรู้ว่าพี่ชายจะต้องบอกเรื่องที่นางกับคุณชายเซ่าลักลอบพบกันให้ญาติผู้พี่ฟังหมดแล้ว จึงขบริมฝีปากรอฟังคำตำหนิจากญาติผู้พี่ แต่ใครจะคิดว่าญาติผู้พี่กลับไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น เพียงถอดเสื้อนอกและรองเท้าลายปัก นอนลงข้างกายนางเหมือนสมัยอยู่จวนอวี้ฉือโหวที่สองพี่น้องมักนอนร่วมเตียงเดียวกัน
“ญาติผู้พี่…ท่านไม่โกรธจิ้งโหรวหรือเจ้าคะ”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มน้อยๆ “เหตุใดต้องโกรธเจ้าด้วย พี่จะดีใจแทนเจ้ายังแทบไม่ทัน”
อวี้ฉือจิ้งโหรวได้ยินแล้วเบิกตากว้างโดยไม่รู้ตัว ก่อนถามเสียงเบาหวิว “เหตุใดญาติผู้พี่จึงพูดเช่นนี้”
“สตรีในใต้หล้าทุกวันนี้ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยบิดามารดาคำพูดของแม่สื่อในการหาคู่ครองที่พึ่งพาได้ เพียงเพราะการเลือกของบิดามารดา ไม่ว่าจะผิดหรือถูก สุดท้ายแล้วล้วนทำเพื่อบุตรสาว แต่ว่าในใจสตรีจำนวนมากยังคงหวังตามหาสามีที่ดีพบเอง ดังนั้นถึงได้มีละครงิ้วที่บุรุษสตรีมากความสามารถลักลอบพบกันโดยไม่อาจห้ามปราม แต่ว่าความรักลึกซึ้งบนแท่นแสดงงิ้ว ส่วนใหญ่ล้วนอยู่บนแท่นแสดงเท่านั้น เซ่าจิ่งถังผู้นั้นปกติแล้วดูมีความรักลึกซึ้ง แต่พออยู่ต่อหน้าชื่อเสียงผลประโยชน์ก็สามารถโยนไมตรีและคุณธรรมทิ้งไปได้ ถึงแม้จะชวนให้เสียใจ แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าผูกเวรกรรมกับเขา พบจุดจบถูกหย่ามากกว่าบ้าง
แต่หากแค่เพราะเจอคนไม่ดีจึงคิดตัดผม เช่นนั้นอารามชีทั่วใต้หล้าต้าฉีจะถูกสตรีหัวรั้นเติมจนเต็มไปหมดแล้ว ในเมื่อเขารู้สึกชอบคุณหนูสกุลเหลียง ก็ปล่อยให้เขาแต่งด้วยไป ใต้หล้ามีบุรุษดีๆ มาคู่กับเทพธิดางามของบ้านข้าอีกเยอะนัก”
อวี้ฉือจิ้งโหรวได้ยินถึงตรงนี้ก็เอ่ยสะอึกสะอื้น “แต่ต่อให้ผู้อื่นดียิ่งกว่านี้ สุดท้ายก็ไม่ใช่เขา…”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใช่แล้ว บุรุษที่ได้พบคนต่อไปไม่มีทางเป็นคนได้ใหม่ลืมเก่า พลิกสีหน้ากะทันหันเช่นเขาอีก เจ้าจะต้องรู้ว่าต่อให้บุรุษหล่อเหลากว่านี้ ผ่านไปหลายสิบปีใบหน้าก็จะขึ้นริ้วรอย กลายเป็นมันเทศปักหนวดเคราแบบแพะภูเขาอยู่ดี หากมีเพียงความสามารถล้นเหลือ แต่ยากไร้ ‘คุณธรรม’ ถึงเป็นคนก็เป็นเพียงสุภาพบุรุษจอมปลอมที่มีดีแค่รูปโฉมเท่านั้น ต่อให้ปากหวานมากกว่านี้ ถ้าหากพูดได้เพียงถ้อยคำที่ไม่มีวันเป็นจริง ก็เป็นเพียงแค่การผายลมที่ไร้กลิ่นเท่านั้น เมื่อก่อนเจ้ารู้สึกว่าเขาดี นั่นเพราะเขาเป็นคุณชายไร้พันธะ แต่ถ้าหากตอนนี้ยังรู้สึกว่าเขาดี ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นพวกเดียวกับหลานชายหัวหน้าหลิวเมื่อก่อน ต้องรอกินโคลนเข้าปากก่อนถึงรู้จักความสกปรกหรือ”
‘หัวหน้าหลิว’ ที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนพูดถึงคือหัวหน้าพ่อบ้านอาวุโสของจวนอวี้ฉือโหวสมัยต้าเหลียงยังอยู่ หลานชายของเขาชื่อ ‘สือโถว’ เกิดมาพร้อมนิสัยประหลาด ขนมของว่างที่คนอื่นมอบให้ไม่ชอบกินสักอย่าง ชอบกินแต่ของเหลือจากคนอื่น ของอย่างเดียวกัน กินที่คนอื่นเหลือเอาไว้จะเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ ทำเอาหัวหน้าหลิวโมโหชี้หน้าด่าทอว่าเขาเป็นคนตกต่ำไม่ได้เรื่องได้ราวอยู่บ่อยๆ
อวี้ฉือจิ้งโหรวกำลังเศร้าใจกับความรักที่เปลี่ยนแปลงของตนเอง จู่ๆ ได้ยินญาติผู้พี่พูดเรื่องไม่เกี่ยวข้องเช่นนี้ขึ้นมาก็ตกตะลึง จากนั้นคิดถึงสภาพสือโถวน้ำลายไหล เบิกตากว้าง ใช้ชีวิตเป็นสุนัขพันทางขอของกิน ก็ตะลึงอึ้งงันอีกที พลันรู้สึกตัวว่าญาติผู้พี่เอานางไปเทียบกับเขา จึงกระเด้งตัวขึ้นนั่ง ยื่นมือไปจั๊กจี้ญาติผู้พี่ด้วยความไม่พอใจทันที
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนหลบไปพลางหัวเราะไปพลาง “ไม่ได้อยากออกบวชหรอกหรือ เหตุใดโกรธง่ายเพียงนี้ ยังละทิ้งกิเลสไม่ได้จริงๆ ด้วย ดูซิว่าอารามแห่งใดจะกล้ารับเจ้า”
สาเหตุที่อวี้ฉือจิ้งโหรวคิดตัดผม นอกจากเพราะคนรักเปลี่ยนใจไปแต่งกับคนอื่น ยังเป็นเพราะเซ่ากวงฉีมาโวยวายถึงจวน ทำให้นางขายหน้ามากกว่า
ตอนนี้ได้ยินอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพูดถึงผ่านไปง่ายๆ เช่นนี้ ก็รู้สึกขึ้นมาเช่นกันว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมากมาย ญาติผู้พี่ของนางมีพลังวิเศษเช่นนี้ตลอด ทั้งๆ ที่ดูเป็นสตรีบอบบางอ่อนแอผู้หนึ่ง แต่ในเวลาสำคัญมักจะสงบจิตใจคนอื่นได้ทันท่วงทีเสมอ
บทที่ 76
เพราะการมาถึงของอวี้ฉือจิ้งโหรวกับเสียนเกอเอ๋อร์ จวนเซียวอ๋องจึงเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นมากะทันหัน ยามหัวหน้าเว่ยจัดเตรียมอาหารวันปีใหม่เองก็กระฉับกระเฉงเป็นพิเศษ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนพบว่าท่าทีของเสียนเกอเอ๋อร์ต่อเซียวอ๋องเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมัยก่อนตอนพบกับเซียวอ๋องที่เมืองหลวง มักมีความรู้สึกเฉยชาไม่แยแส แต่ตอนนี้ในความระวังตัวมีความนอบน้อมเพิ่มเข้ามาด้วย
ดูท่าการไปรับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในท้องถิ่นของเขาจะได้รับการฝึกฝนมาบ้างจริงๆ ความคึกคะนองในอดีตลดน้อยลง เพิ่มความสุขุมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ระหว่างมื้ออาหารเซียวอ๋องอดทนฟังเสียนเกอเอ๋อร์เล่าเรื่องที่เขาช่วยขุนนางท้องถิ่นของเมืองเล็กเก็บภาษี ซึ่งนอกจากรับฟัง เซียวอ๋องยังช่วยเสนอความคิดดีๆ ให้เสียนเกอเอ๋อร์ไม่น้อยด้วย
หลังจบงานเลี้ยงในครอบครัว เซียวอ๋องพาเสียนเกอเอ๋อร์กับอวี้ฉือจิ้งโหรวไปดูขั้นตอนการผลิตเกลือไผ่ที่นาเกลือ
หลังจากได้เดินดูรอบหนึ่ง เสียนเกอเอ๋อร์เองก็มีความเข้าใจขึ้นมา เมืองเล็กที่เขาอยู่เป็นเมืองยากจนกันดาร ชาวบ้านกินไม่อิ่มท้อง ภาษีที่เก็บได้ต่อปีเองก็ไม่มาก แต่ว่าสถานที่ของเขามีต้นไผ่เหมาเจริญงอกงาม ปกคลุมไปทั่วภูเขา ถึงแม้คุณภาพต้นไผ่เหมาไม่ดีพอ ไม่อาจนำมาใช้ในการผลิตเกลือไผ่ แต่ถ้าพลิกแพลงความคิด เอาไม้ไผ่เหมามาเผาเป็นถ่านไผ่แทนยังคงหารายได้ชดเชยได้บ้าง
เวลานี้มองดูโรงงานเกลือที่ไอร้อนเดือดระอุ รับฟังคนงานเกลือด้านข้างอธิบายให้เขาฟังว่าไม่ถึงหนึ่งปีก่อน ที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ทุรกันดารมีแต่โจรชุกชุม เลือดของคนหนุ่มก็ร้อนระอุขึ้นมาโดยพลัน
บุรุษมีชีวิตอยู่บนโลกพึงเป็นเช่นนี้ ถ้าหากอยู่ในกลียุคก็ควรพกดาบตะขอ สร้างชื่อเสียงทั้งตอนยังมีชีวิตอยู่และตอนสิ้นชีพ ถ้าหากอยู่ในยุคสงบสุขก็ควรใช้กำลังของตนเองช่วยเหลือใต้หล้า สร้างความผาสุกให้แก่ชาวบ้าน
แต่ก่อนในภาพจำของเสียนเกอเอ๋อร์ องค์ชายรองแห่งต้าฉีผู้นี้เป็นเพียงแค่นักรบห้าวหาญคนหนึ่ง ในฐานะขุนนางของต้าเหลียงกลับก่อกบฏ ซ้ำยังเป็นบุรุษที่ไม่สนใจความคิดของญาติผู้พี่ บังคับนางแต่งเป็นชายารองของเขา
อิงจากรูปโฉมของญาติผู้พี่ ต้องมาแต่งเป็นอนุโจรคนหนึ่ง! อวี้ฉือจิ้งเสียนเกลียดชังฮั่วจวินถิงถึงที่สุดจริงๆ
แต่เมื่อเขาสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงไม่ผ่าน พี่เขยที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาผู้นี้กลับเขียนจดหมายมาหาด้วยตนเอง ไม่ได้พูดเรื่องสอบขุนนางไม่ผ่าน เพียงแค่ถามว่าเขาอยากไปดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการปกครองชาวบ้านของจริงในที่ว่าการเมืองเล็กๆ ในชนบทหรือไม่
อวี้ฉือจิ้งเสียนที่เดิมทีมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คิดว่าตนเองจะต้องสอบผ่านแน่นอน หลายวันนั้นเอาแต่เก็บตัวอุดอู้อยู่ในจวน เพราะว่าจวนโหวอยู่ไม่ไกลจากสำนักศึกษา บางครั้งจะได้ยินเสียงสหายร่วมเรียนในอดีตที่สอบผ่านขุนนางคุยโวโอ้อวดระหว่างนำของขวัญไปขอบคุณอาจารย์ที่สำนักศึกษาด้วย
เสียงนั้นเทียบเท่ากับเข็มเล่มเล็กทิ่มแทงหัวใจเด็กหนุ่มที่เพิ่งออกพบปะผู้คนไม่นาน ดังนั้นหลังจากได้รับจดหมายของเซียวอ๋อง เขาจึงรับปากอย่างไม่ลังเลสักนิดเดียว
ตอนนี้ดูแล้วถึงแม้แรกเริ่มจะเป็นการหลบหนี แต่กลับจับพลัดจับผลูทำถูกโดยไม่เจตนา ถึงแม้จะเป็นแค่เจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในช่วงที่ผ่านมากลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเล่าเรียนในตำรามาก่อน
วันนี้ได้กลับมาพบหน้าพี่เขย อวี้ฉือจิ้งเสียนไม่ได้เย่อหยิ่งจองหองเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งที่เซียวอ๋องพูด เขาจะตั้งใจรับฟังอยู่เงียบๆ เสมอ
บรรยากาศระหว่างอวี้ฉือจิ้งเสียนกับเซียวอ๋องดูเป็นมิตรขึ้น อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็ลอบโล่งอก ถึงแม้เซียวอ๋องจะปฏิบัติต่อญาติผู้น้องของครอบครัวท่านลุงอย่างอดทนเป็นพิเศษเพราะนางก็ตาม แต่ถึงอย่างไรฮั่วจวินถิงก็เป็นองค์ชาย ถ้าหากน้องชายทำตัวเป็นเด็กไม่รู้ความ เอาแต่หาเรื่องเขา ยั่วโมโหเซียวอ๋องขึ้นมาได้จริงๆ ถึงเวลาคิดเล่นงานอวี้ฉือจิ้งเสียนขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพละกำลังมากมายเลยจริงๆ
สำหรับสองพี่น้องอวี้ฉือจิ้งเสียนกับอวี้ฉือจิ้งโหรวแล้ว วันเวลาที่อยู่ไหวหนานมีอะไรให้ทำเยอะมาก ช่วงใกล้สิ้นปี เมืองต้าฝู่ของไหวหนานมีประเพณีจัดงานเทพมังกร ถนนสายยาวที่เดิมทีเงียบเหงาถูกพ่อค้าหลากหลายประเภทจากทั่วทุกสารทิศเบียดเสียดกันแออัด เพราะว่าช่วงสิ้นปีการค้าขายดี ทุกคนต่างหวังให้ขายของหาเงินได้มากหน่อยก่อนปีใหม่ จะได้กลับไปฉลองวันปีใหม่ที่บ้านอย่างสบายใจ
ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของชายารอง จึงไม่อาจเดินเล่นบนถนนได้ตามใจชอบ แต่โรงน้ำชาใกล้กับถนนหลักนั้นคึกคักมาก เพราะว่าสตรีสูงศักดิ์ในท้องถิ่นมีความเคยชินหนึ่งที่ปฏิบัติตามกันมานาน โดยจะเหมาที่นั่งในโรงน้ำชาติดถนนในวันงาน รอรับชมขบวนแห่เทพมังกรบนถนน
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย่อมต้องเอาอย่าง นางสั่งให้หัวหน้าเว่ยเหมาโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดของท้องที่เอาไว้ ทั้งสามารถรับชมการแสดงบนท้องถนน แล้วยังเป็นโอกาสอันดีในการคบค้าสมาคมกับฮูหยินขุนนางท้องถิ่นไหวหนานได้ด้วย ถึงแม้ทุกวันนี้เซียวอ๋องจะครองใจชาวบ้านยากจนของไหวหนาน แต่คนใหญ่คนโตของท้องถิ่นจำนวนมากยังคงเอนเอียงหาหนานลู่กง ทางด้านนี้นางต้องค่อยๆ ลงแรงด้วย ในเวลาสั้นๆ ใจร้อนไปก็เปล่าประโยชน์
วันนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตื่นเช้ามาก กำชับให้เป่าจูยกน้ำอุ่นเข้ามาเตรียมล้างหน้าสระผม เป่าจูวางอ่างทองแดงที่บรรจุน้ำอุ่นจนเต็มบนโครงไม้หนานมู่แกะสลัก หยิบห่อผ้าที่ทำจากผ้าโปร่งทอประกายแช่ลงในน้ำ ข้างในใส่สมุนไพรพวกจูหลิง เมล็ดชา เจ้าเจี่ยวเอาไว้ วิธีการนี้ช่วยบำรุงผมดีที่สุด เรือนผมยิ่งสระยิ่งดกดำ
เนื่องจากกลิ่นของเจ้าเจี่ยวไม่น่าดม เป่าจูที่ละเอียดอ่อนจึงหยดน้ำกลิ่นดอกกุหลาบลงไปเพิ่ม อากาศภายในห้องนับว่าอบอุ่น อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงสวมเพียงเสื้อตัวหลวมนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมขาสูงด้านหน้าโครงไม้วางอ่าง ปล่อยผมที่ม้วนเอาไว้ลงมา ได้เป่าจูช่วยปรนนิบัติใช้กระบวยหยกแกะสลักหัวนกยูงตักน้ำมาราดเรือนผมดกดำช้าๆ
เซียวอ๋องยังไม่ลุก เขาหยิบไม้คทาหรูอี้หยกข้างหมอนขึ้นมาเลิกเปิดม่านตรงหน้าเตียงเบาๆ ดมไอร้อนกลิ่นบุปผาที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศ มองดูเงาร่างอรชรที่ปรากฏอยู่บนผ้าผืนบางด้านหลังฉากบังลม แล้วยกมุมปากขึ้นน้อยๆ
ระยะนี้เยี่ยนเอ๋อร์ของเขาอวบอิ่มงดงามมากขึ้นทุกวัน
ไม่ได้หมายความว่าอวี้ฉือเฟยเยี่ยนสมัยก่อนไม่งดงาม แต่ต่อให้เป็นสตรีงามเยาว์วัยกว่านี้ อยู่ในสถานที่ข้นแค้นอย่างภูเขาไป๋ลู่เช่นนั้น ถูกลมหนาวพัดบาดผิวอยู่หลายปี ต่อให้งดงามตั้งแต่เกิดก็ยากจะไม่เสื่อมโทรมลง นับประสาอะไรกับที่ภายหลังอวี้ฉือเฟยเยี่ยนผิดหวังในความรัก ยิ่งคร้านจะสนใจการแต่งตัวมากกว่าเดิม รวมกับทำงานบ้าน มือเพรียวคู่นั้นเปลี่ยนมาหยาบกระด้างมากขึ้นเช่นกัน
ทว่านับตั้งแต่แต่งเข้าจวนอ๋อง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนอกจากเข้าครัวเป็นครั้งคราว จับตะหลิวลงมือภายใต้ความช่วยเหลือของสาวใช้แล้ว นางก็ไม่เคยทำงานหนักอื่นอีก อีกอย่างเขาตั้งใจเลือกเป่าจูเป็นสาวใช้ให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยน ซึ่งเป็นสาวใช้ที่ชื่นชอบการแต่งตัวดูแลผิวพรรณ นับว่าดูแลเจ้านายของตนเองเป็นอย่างดี
เรื่องอื่นไม่พูดถึง เวลานี้ผิวพรรณทั่วทั้งร่างนางนั้นอ่อนนุ่มประดุจน้ำนม ละเอียดนวลเนียนอย่างยิ่ง มือที่เคยหยาบกระด้างคู่นั้น ทุกวันนี้นิ้วทั้งสิบเรียวยาว นุ่มนิ่มมาก โดยเฉพาะยามกอบกุม…
คิดมาถึงตรงนี้เซียวอ๋องก็หรี่ตาลง นึกถึงความอบอุ่นต่างๆ นานาในผ้าห่มเมื่อคืนนี้ ร่างกายช่วงล่างพลันร้อนผ่าวขึ้นมา แทบอยากจะจับตัวคนด้านหลังฉากบังลมมากอดรัดแรงๆ สักหน…
เวลานี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสระผมเสร็จแล้ว ใช้ผ้าพันเรือนผมเอาไว้ ค่อยๆ รีดน้ำออก เมื่อนางเงยหน้าก็มองเห็นเซียวอ๋องนอนตะแคงอยู่บนเตียง หรี่ตาเข้มลง
เนื่องจากอยู่ด้วยกันมานาน แค่เห็นสีหน้ายามนี้ของเขานางก็เดาออกทันทีว่าเขาคิดเรื่องสกปรกอะไรอยู่ จึงถลึงตาใส่น้อยๆ “ท่านอ๋องยังไม่ทรงยอมลุกอีก มิใช่จะไปล่าสัตว์กับพวกเซี่ยวชิงหรือเพคะ”
เซียวอ๋องเอ่ยเสียงยานคาง “เดิมทีอยากจะลุก แต่เห็นท่าสระผมของชายารักเย้ายวนใจคนมาก ทำเอาบนเตียงของข้ามีคทาหยกหรูอี้เพิ่มมาอีกอันโดยไร้เหตุผล ควรจะทำอย่างไรดี”
โชคดีที่เป่าจูยกน้ำออกไปแล้ว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกคำพูดไร้ยางอายอย่างไม่ปิดบังของเขาทำให้อับอายจนแก้มแดง เอ่ยเสียงเบา “หากมันไร้ประโยชน์แค่หักทิ้งไปก็พอเพคะ มีอะไรให้น่าหงุดหงิดกัน”
เซียวอ๋องได้ยินแล้วดวงตาเข้มหรี่ลง “ไยเป็นสตรีใจคออำมหิตเช่นนี้ พอใช้งานเสร็จก็หักทิ้ง หากวันหน้าอยากใช้อีกจะทำอย่างไร” พูดจบแล้วเขาก็ลงจากเตียง แขนแข็งแรงออกแรงเล็กน้อยก็อุ้มโฉมงามที่สวมเพียงเสื้อตัวเดียวขึ้นมา วางตัวลงบนเตียงหลังม่าน จากนั้นเพลิดเพลินกับผิวกายอ่อนนุ่มอย่างไม่เกรงใจสักนิดเดียว…
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เดิมทีตื่นแต่เช้า กลับได้ไปเข้าร่วมทันงานในตอนเย็น
ตอนที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนพาอวี้ฉือจิ้งโหรว รวมถึงสหายสนิทหลงเจินไปยังโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดของงานเทศกาล…ที่โรงน้ำชาหมิงเซียง ด้านล่างมีรถม้าหลากสีจอดอยู่แล้ว บรรดาบ่าวรับใช้นั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบบนเก้าอี้ด้านล่างโรงน้ำชา
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตาแหลมมองเห็นรถม้าของจวนหนานลู่กงทันที ดูท่าหนานลู่กงฮูหยินจะมาถึงนานแล้ว ไม่ยอมปล่อยโอกาสชักชวนคนมาเป็นพวกเช่นนี้เหมือนกัน
พวกนางมาช้ามาก ตอนที่เดินขึ้นโรงน้ำชาบรรดาสตรีสูงศักดิ์จากจวนต่างๆ จึงมากันครบหมดแล้ว ล้วนพากันหันมองชายารองจวนอ๋องที่เพิ่งเดินขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย
เนื่องจากทุกเดือนจะส่งเกลือไผ่ไปค้าขายระหว่างไหวหนานกับเมืองหลวง พวกชุดเครื่องประดับกับเสื้อผ้าแบบใหม่ล่าสุดของเมืองหลวงจึงถูกซื้อกลับมาประหนึ่งเป็นของไม่คิดเงิน
หัวหน้าเว่ยผู้ตระหนี่ถี่เหนียวเสมอ พอเป็นเรื่องของกินของใช้ของชายารองกลับใจกว้างอย่างมาก ตาแก่คนนี้หลักแหลมจะตาย จะประเมินความโปรดปรานของเซียวอ๋องไม่ออกได้อย่างไร อีกอย่างทุกวันนี้ภายในจวนยังขาดชายาเอก เกียรติของชายารองก็คือเกียรติของจวนอ๋อง ถ้าหากไม่อาจแต่งกายโดดเด่นเจิดจรัสพอให้เอาชนะเสน่ห์ของสตรีสูงศักดิ์แห่งไหวหนาน จะคู่ควรกับคำว่า ‘บ่าวผู้จงรักภักดี’ ได้อย่างไร
ดังนั้นทุกครั้งที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่น ล้วนเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลอกเลียนของสตรีสูงศักดิ์ พวกนางจะพิจารณาอย่างพิถีพิถันแล้วค่อยกลับไปทำตามอีกที ชุดที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสวมใส่วันนี้ชวนให้คนดวงตาทอประกายอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นชุดฤดูหนาว แต่ไม่รู้ว่าใช้ผ้าแบบใด แม้จะหนาทว่าใส่แล้วไม่ดูตัวบวม ช่วงล่างเป็นกระโปรงผ้าโปร่งร้อยจีบลากพื้น เพิ่มเอกลักษณ์ตรงเอวเป็นสายคาดเอวผืนกว้างรูปแบบคล้ายของบุรุษ ขับเน้นเอวคอดอรชร บนชายกระโปรงปักลายดอกฝูหลิงรูปแบบภาพวาดน้ำหมึกจางๆ ระหว่างขยับตัว ลายบุปผากึ่งผลุบกึ่งโผล่ ประหนึ่งให้คนได้กลิ่นหอมสง่างาม ท่อนบนเป็นเสื้อผ่าหน้าสีเขียวน้ำหมึก ตรงแขนเสื้อปักลายบุปผาสีเดียวกัน ส่วนทรงผมเองก็เกล้ามวยดอกโบตั๋นคล้อยซึ่งไม่ซ้ำแบบใคร คลุมบ่าทับด้วยขนเตียวสีขาว ให้กลิ่นอายใจกว้างสูงศักดิ์
วันนี้อวี้ฉือจิ้งโหรวเองก็แต่งตัวเป็นอย่างดี ตามติดอยู่ข้างหลังญาติผู้พี่ ถ้าหากเป็นสมัยก่อนเวลามีอวี้ฉือจิ้งโหรวอยู่ด้วย ญาติผู้น้องมักจะดูโดดเด่นกว่าเสมอ ทำให้มองไม่ออกถึงความงามของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน
มิฉะนั้นตอนแรกรัชทายาทก็คงไม่มีทางเข้าใจผิดคิดว่าคนที่น้องรองตนเองต้องตาคืออวี้ฉือจิ้งโหรว แต่ตอนนี้ความงามอันโดดเด่นเฉพาะตัวของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกหล่อเลี้ยงเพิ่มพูนตามวันเวลาสงบสุข ค่อยๆ เปิดเผยให้เห็นออกมา บรรยากาศผ่อนคลายสง่างามเช่นนั้น อวี้ฉือจิ้งโหรวจะเทียบเคียงได้อย่างไร
ยามนั้นกลับมีเพียงไม่กี่คนที่เคลื่อนสายตามองไปทางอวี้ฉือจิ้งโหรวที่หน้าตาน่ารักอ่อนหวาน
เว่ยเซวียนซื่อเองก็จับจ้องอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่ค่อยๆ ก้าวเดินมา มองประเมินขึ้นลงรอบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นเดินเข้าหา คารวะทักทายอวี้ฉือเฟยเยี่ยน จูงมือนางพาเดินไปยังโต๊ะหลักริมหน้าต่างโรงน้ำชาอย่างสนิทสนม
เว่ยเซวียนซื่อผู้นี้กลับเป็นผู้มีฝีมือด้านดีดหนังยาง รู้จักยืดหดอย่างเป็นธรรมชาติ นับตั้งแต่การซ้อมรบที่หนานลู่กงถูกเซียวอ๋องลอบตบหน้าอย่างแรง ระยะนี้หนานลู่กงก็เก็บตัวไม่น้อย ไม่กล้าผลีผลามเป็นการชั่วคราว
คนมีตาล้วนมองออกว่าสองคนนี้ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ช่วงเวลานี้สองบุรุษองอาจต่อกรกันอยู่ที่ไหวหนาน ไม่มีใครทำอะไรใครได้ แต่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างพากันแยกยืนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว
แต่เว่ยเซวียนซื่อผู้นี้กลับคล้ายไม่สนใจการต่อกรกันของบุรุษสักนิดเดียว ปฏิบัติต่อชายารองอย่างไร้ความตะขิดตะขวง สนิทสนมใกล้ชิด
ถ้าหากไม่ได้อ่านนิสัยของเว่ยเซวียนซื่อทะลุปรุโปร่งแต่เนิ่นๆ จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีอ่อนน้อมถ่อมตนผู้หนึ่งจริงๆ
ขบวนแห่เทพมังกรยังไม่เริ่มขึ้น ทุกคนต่างนั่งจิบชากินของว่าง สนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่ในโรงน้ำชา พูดกันถึงเรื่องประเดี๋ยวเห็นขบวนแห่เทพมังกรแล้วจะขอพร
หนึ่งในบรรดาฮูหยินดูแล้วใจร้อนอยากประจบสอพลอหนานลู่กงฮูหยิน เพิ่งพูดไม่กี่คำก็จงใจวกหัวข้อสนทนาไปที่เรื่องการซ้อมรบ “บุตรชายอายุเจ็ดขวบของข้าตั้งปณิธานอยากเป็นแม่ทัพทหารกองเรือเสียแล้ว โด่งดังบนคลื่นสมุทรอย่างหนานลู่กงมิใช่น่าเกรงขามมากหรอกหรือ วันนี้ยังขอข้าว่าถ้าเจอกับเทพมังกร ช่วยขอพรคุ้มครองให้เขาได้เป็นแม่ทัพในอนาคตด้วย!”
สตรีกลุ่มนี้ไม่รู้เรื่องเบื้องหลังของการซ้อมรบ จึงหลงคิดว่าหนานลู่กงคว้าชัยชนะอย่างงดงาม ไม่อาจคาดคิดได้ว่าจะประจบสอพลอผิดจุด
เว่ยเซวียนซื่อยกมุมปากน้อยๆ เอ่ยนิ่งๆ “บุตรชายของเจ้ามีปณิธานที่ดีนัก” แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ตอนนั้นเองบนถนนเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมา การแสดงกายกรรมก่อนหน้าขบวนแห่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
บุรุษแข็งแรงรูปร่างสูงใหญ่แปดคนเปลือยท่อนบน กล้ามเนื้อหัวไหล่ปูดนูน แบกโครงไม้ที่มีบุรุษสองคนนอนอยู่ ยกขาขึ้นเตะลูกเหล็กที่ขนาดใหญ่ราวไหใบใหญ่ส่งให้กันไปมา เว่ยเซวียนซื่อร้องเอ๊ะออกมา จับมืออวี้ฉือเฟยเยี่ยนชี้ลงไปเบื้องล่างแล้วเอ่ย “น้องหญิงดูสิ คนพวกนี้เรี่ยวแรงเยอะนัก เอ๊ะ ลูกเหล็กนี้ค่อนข้างคล้ายกับโล่เหล็กในการซ้อมรบหรือไม่”
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมองตามไป ลูกเหล็กนั้นคล้ายกับลูกเหล็กในการซ้อมรบอยู่บ้างจริงๆ เพียงแค่ขาดมีดปลายแหลมน่ากลัวพวกนั้น นางเพิ่งจะคิดขึ้นมา หัวใจกลับกระตุก ชะงักงันเล็กน้อย ก่อนหันหน้าไปทางเกวียนเล่มใหญ่ด้านหลังที่มีคนสวมชุดเจ้าแม่กวนอินกับเด็กรับใช้นั่งอยู่ “วันนั้นข้าไม่สบาย ไม่ได้ร่วมชมการซ้อมรบ ไม่ทราบหน้าตาของลูกเหล็กที่ว่า พี่หญิง ท่านดูสิว่าเจ้าแม่กวนอินทางด้านนั้นถึงจะงดงามจริงๆ…”
เว่ยเซวียนซื่อได้ยินแล้วหรี่ตาลงพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหน้าไปมองเกวียนบุปผาแห่เจ้าแม่กวนอินทางด้านนั้นแทน
กายกรรมในวันนี้ไม่ได้จัดขึ้นมาเฉยๆ ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะตอบสนองทันท่วงที แต่ถูกถามเข้าใส่กะทันหันเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดกว่านี้ก็จะรับมือไม่ทันจนเผยพิรุธอยู่ดี
ตอนนี้เว่ยเซวียนซื่อสามารถมั่นใจในเรื่องหนึ่ง…ชายารองจวนเซียวอ๋องผู้นี้ วันนั้นจะต้องอยู่ในการซ้อมรบด้วยอย่างแน่นอน!
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 27 มีนาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.