X
    Categories: ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รักทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 9-10

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 9

หวังอวี้หล่างไม่นึกฝันว่าจะได้มาเจอกับองค์ชายรองที่นี่ เมื่อครู่นี้เขายังแสดงกิริยาเสียมารยาทอีกด้วย ในเวลานั้นจึงแอบประดักประเดิด

เพียงแต่เหตุใดเซียวอ๋องจึงถามถึงผ้าเช็ดหน้าในมือเขาเป็นพิเศษเล่า

ระหว่างที่พูด ร่างกายสูงใหญ่กำยำของเซียวอ๋องก็ค่อยๆ เดินเข้าหา นิ้วเรียวยื่นออกมาหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือของเขาไปอย่างง่ายดาย

หวังอวี้หล่างเบิกตากว้าง พูดไม่ออก รู้สึกว่าเซียวอ๋องซึ่งปกติพูดน้อยเย็นชาอยู่เสมอคนนี้ออกจะผิดปกติมากในวันนี้ เขาอยากชิงของรักกลับมาจากอีกฝ่าย ทว่าก็ไม่กล้าล่วงเกิน ได้แต่ค้อมกายลงรอให้เซียวอ๋อง ‘พินิจชม’ ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเสร็จ

เซียวอ๋องหลุบนัยน์ตาลงมองดูลายปักที่คุ้นตาในมือ ช่างเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่ปมด้ายตรงเข็มสุดท้ายที่ดูเงอะงะยังเหมือนกันไม่มีผิด…งานปักที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนำออกมาขายภายหลัง เขาก็สั่งให้คนไปซื้อเก็บมาหมดแล้ว ไม่เคยหลุดออกสู่ตลาด ถึงแม้ลายปักจะมาจากฝีมือคนสองคนอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ฮั่วจวินถิงกลับมองออกทันทีว่าผืนที่แย่กว่าบ้างเป็นฝีมือของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนผู้นั้น

วันนี้ได้มาเห็นฝีเข็มที่คุ้นตา เขาค่อยๆ เอ่ยปาก “ลวดลายบนนี้คือดอกต๋าต๋าฮวา ทนหนาวแต่ไม่กลัวร้อน พลังชีวิตทนทานอย่างมาก เพียงแต่ลายปักเช่นนี้หาได้ยาก ไม่รู้ว่าคุณชายหวังหาซื้อมาจากที่ใด ข้าเองก็อยากได้สักผืนเช่นกัน”

หวังอวี้หล่างตอบตะกุกตะกัก “ข้าวของจุกจิกพวกนี้ต่างซื้อเข้าจวนมารวมๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าบ่าวรับใช้ไปหามาจากที่ใดพ่ะย่ะค่ะ…”

เซียวอ๋องเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย “อ้อ? หากเป็นของที่บ่าวรับใช้ซื้อมา เกรงว่าคุณชายหวังคงไม่เห็นเป็นสมบัติมากเพียงนี้ พกติดกายไว้ไม่ห่างจริงหรือไม่ หรือว่าจะ…เป็นของแทนใจปักด้วยมือตนเองของสตรีนางใด”

ถ้าหากเป็นคำถามจากสหายสนิท หวังอวี้หล่างคงจะยิ้มขัดเขิน ยอมรับกลายๆ ไปแล้ว แต่ตอนนี้ผู้ที่ถามคำถามเขาคือองค์ชายรองแห่งต้าฉี ทั้งยังเป็นพี่ชายขององค์หญิงเล่อผิงผู้นั้น ควรจะตอบกลับอย่างไรค่อนข้างพูดยากแล้ว

ข่าวลือเสียหายในช่วงนี้ ถึงแม้จะบ่อนทำลายศักดิ์ศรีบุรุษอยู่บ้าง แต่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นคือการแต่งงานที่บิดามุ่งหมายจะปีนป่ายสูงนี้ไม่น่าจะลงเอยสำเร็จอีก แต่ดูจากท่าทีของบิดาก็คล้ายจะยังไม่เต็มใจ หลายวันก่อนส่งมารดาเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอีกครั้ง บอกว่าบุตรชายตนเองใสซื่อบริสุทธิ์ ยังเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ไม่เคยนอนกับสตรีคนใด ดังนั้นจึงหน้าบางไปบ้าง ใช่ว่าขึ้นเตียงแล้วจะไร้ความสามารถจริง เหมือนตั้งใจจะขอให้ฮองเฮาส่งนางกำนัลมาทดลองเข้าหออีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น

เรื่องหยามเกียรติเพียงนี้ยังจำเป็นต้องมีครั้งที่สองที่ไหนกัน หวังอวี้หล่างตัดสินใจกัดฟันเอ่ย “มิกล้าปิดบังเซียวอ๋อง เป็นของที่สตรีนางหนึ่งมอบให้กระหม่อมจริงๆ กระหม่อมได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาท เต็มพระทัยจับคู่สายเลือดขัตติยะกับกระหม่อม แต่คล้ายองค์หญิงเล่อผิงจะไม่ทรงยินยอม อีกทั้งกระหม่อมมีคนในดวงใจอยู่นานแล้ว หวังว่าองค์ชายรองจะสามารถตรัสยกเลิกการแต่งงานนี้ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท มิฉะนั้นหากปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมคู่หนึ่ง…”

เขาพูดถึงตรงนี้แล้วลอบเหลือบสายตาขึ้นมองสีหน้าของเซียวอ๋อง เพียงแค่มองก็ต้องใจกระตุกวาบ เห็นเซียวอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาหรี่ลง กำลังจ้องเขม็งมองเขาด้วยสายตาน่ากลัวแบบหนึ่ง

ผ่านไปสักพักสีหน้าเซียวอ๋องถึงค่อยๆ อ่อนลง “คุณชายของอัครเสนาบดีหวังช่างขวัญกล้านัก กล้าปฏิเสธน้องสาวของข้าต่อหน้าข้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากคำพูดนี้ของเจ้าเข้าหูเสด็จพ่อ สกุลหวังของพวกเจ้าจะโชคดีหรือประสบเคราะห์ร้ายมากกว่ากัน”

พูดจบแล้วออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ฉีกผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเป็นชิ้นๆ ก่อนสะบัดมือโยนทิ้งลงพื้น “ข้าจะเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ มิฉะนั้นหากทำให้ราชวงศ์เสียหน้า สตรีในดวงใจผู้นั้นของเจ้า…เกรงว่าจะเอาตัวรอดได้ยากเช่นกัน…”

เซียวอ๋องพูดจบแล้วหันตัวกลับจากไปอย่างเย็นชา ทิ้งให้หวังอวี้หล่างมองดูเศษผ้าเกลื่อนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด

สามวันต่อมา ไม่รู้เพราะเหตุใดฮองเฮาผู้ตั้งใจจะเปลี่ยนตัวราชบุตรเขยให้บุตรสาวก็เกิดเปลี่ยนความตั้งใจกะทันหัน ภายในวังส่งนางกำนัลไปหยั่งเชิง ‘สั้นยาว’ ของราชบุตรเขยใหม่

ไม่อาจทำผิดโองการราชวงศ์อีกครั้ง คราวนี้ตระกูลอัครเสนาบดีนับว่าเตรียมตัวพร้อม สั่งให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติหวังอวี้หล่างวางยาเพิ่มพลังหยางที่บุรุษในหอคณิกานิยมใช้ขวดหนึ่งใส่ถ้วยชาของเขา รอตอนที่บุตรชายอารมณ์งุ่นง่านยากจะทานทนถึงค่อยให้นางกำนัลเข้าไป รอบนี้นับว่าราบรื่น ผลของยานั้นรุนแรงเกินไป หวังอวี้หล่างที่อยู่ในสภาพมึนงงกอดร่างกายเย็นเฉียบกระทำตามสัญชาตญาณ ดิ้นรนกอดก่ายกันไปจนถึงครึ่งค่อนคืนหลัง

ฮูหยินอัครเสนาบดีที่ยืนฟังเสียงหอบแฝงสะอื้นของบุตรชาย ผสานกับเสียงครางอ่อนหวานของนางกำนัลผู้นั้นในห้อง มองดูหมัวมัวจากในวังหลวงที่เฝ้าอยู่ตรงประตูมีสีหน้าพึงพอใจเช่นเดียวกันก็รู้สึกโล่งอก รู้ว่าเหตุการณ์ขายหน้าในราชสำนักของสามีตนเองนับว่าหายไปพร้อมกับเตียงที่โยกคลอนแล้ว…เพียงแต่ประเดี๋ยวฟ้าสางต้องอย่าลืมจ่ายเงินให้กับนางกำนัลที่ทดลองเข้าหอ รวมถึงบรรดาหมัวมัวเหล่านี้ให้เอ่ยถ้อยคำน่าฟังต่อหน้าฮองเฮาจึงจะได้

 

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่ได้คิดถึงว่าผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจะก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่อะไรขึ้นมาได้

ความคิดทั้งหมดของนางมุ่งอยู่กับร้านโจ๊ก แม้ว่าน้องชายจะเข้าเรียนแล้ว แต่ค่าเรียนหลังจากนี้จะต้องสะสมตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วงนี้อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น ท้องฟ้าสว่างนานขึ้น ฮ่องเต้เลียนแบบราชวงศ์ก่อนออกพระราชโองการกำหนดให้ถนนทิศตะวันตกสายหนึ่งของเมือง ทุกวันแรกกับวันสิ้นเดือนอนุญาตให้ร้านค้าบนถนนเปิดกิจการถึงยามไฮ่

ต้าฉีอิงตามขนบประเพณีของราชวงศ์ก่อน วิถีชีวิตเปิดกว้าง เนื่องจากช่วงกลางวันแดดแรงเกินไป คุณหนูสูงศักดิ์หลายตระกูลจึงนิยมมาเดินเล่นบนถนน หาขนมกินในวันที่ตลาดกลางคืนเปิด พร้อมทั้งอาศัยม่านราตรีช่วยบดบัง เดินเฉียดไหล่คุณชายบัณฑิตที่สนิท ส่งสายตาสื่อความนัย ดังนั้นลูกค้าที่จ่ายเงินหนักจึงมีอยู่ไม่น้อย

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสืบข่าวมาแล้วว่าขอแค่จ่ายภาษีห้าพวงเฉียนก็สามารถตั้งแผงที่ตลาดกลางคืนได้ ดังนั้นวันรุ่งขึ้นหลังจากฮ่องเต้ออกพระราชโองการนางจึงไปที่ถนนตะวันตกของเมืองแต่เช้า อธิบายให้เถ้าแก่ร้านเชียนซิ่วฟัง ก่อนขออาศัยพื้นที่ข้างร้านของอีกฝ่ายวางโต๊ะเก้าอี้สองตัว แขกที่เข้าไปซื้อสินค้าในร้านเย็บปักของเขา สามารถแวะมานั่งที่ร้านโจ๊กได้ตามใจชอบ หากหิวแล้วก็สามารถกินโจ๊กสักชามได้

แต่ว่าหลังจากตั้งร้านที่ตลาดกลางคืนครั้งแรก โจ๊กอุ่นร้อนเต็มหม้อกลับขายไม่ออกสักชามเดียว อวี้ฉือจิ้งเสียนที่เลิกเรียนแล้วมาช่วยงานมองดูโจ๊กเต็มหม้อ นึกถึงว่ากิจการช่วงกลางวันสองสามวันมานี้เองก็ไม่ค่อยดี จึงเอ่ยอย่างหมดกำลังใจ “ญาติผู้พี่ พวกเรากลับกันเถิดขอรับ ไม่ต้องมาสิ้นเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ต่อแล้ว”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเองก็แอบร้อนใจ นางใคร่ครวญแล้วปลดผ้ากันเปื้อนออกพายวนยางเดินเตร่ดูแผงขายของในตลาดกลางคืนอยู่หลายรอบ นางพบว่าขอแค่เป็นแผงที่ขายน้ำหวานผลไม้ก็จะกิจการดีเป็นพิเศษ จึงแอบด่าความโง่งมของตนเองทันใด ที่ไม่ทันนึกถึงว่าตอนนี้เข้าฤดูร้อนแล้ว ต่อให้เป็นตอนเย็นอากาศก็ยังคงอบอ้าว ไฉนเลยจะกลืนโจ๊กอุ่นร้อนลงท้อง

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาขณะค่อยๆ เดินกลับไปหน้าแผงของตนเอง ก่อนจะถามขึ้นมากะทันหัน “จิ้งเสียน เจ้ายังจำโจ๊กเย็นที่สมัยเด็กพวกเราเคยกินตอนตามพวกท่านลุงเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังได้หรือไม่”

อวี้ฉือจิ้งเสียนไม่รู้เหตุใดญาติผู้พี่ถึงถามขึ้นมา แต่ตอนนี้เขากำลังร้อนจนเหงื่อหยด พอได้ยินญาติผู้พี่ถามเช่นนี้ก็นึกถึงชีวิตสุขสบายในวันวาน หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน เวลานี้เขาคงจะอยู่ในห้องหนังสือบ้านตนเอง กินผลไม้แช่แข็งไปพลางดื่มด่ำกับลมเย็นๆ จากพัดที่สาวใช้โบกให้ไปพลางอยู่เลย! จะเป็นเฉกเช่นตอนนี้ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเตาไอร้อนกรุ่น ค้อมตัวก้มศีรษะปลกๆ เพื่อเงินก้อนเล็กๆ ประทังชีวิตไม่กี่วันที่ใดกัน

ในเวลานั้นสภาพจิตใจเด็กหนุ่มหม่นหมองลงมาก เอ่ยอย่างไร้กำลัง “ญาติผู้พี่จะพูดถึงเรื่องนี้ทำอันใด ต่อให้จำได้แล้วอย่างไร เกรงว่าวันหน้าจะไม่มีโอกาสได้กินของว่างดับร้อนเช่นนั้นอีกแล้ว”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ไม่แน่หรอก!”

ตอนที่กินอาหารในงานเลี้ยงของวัง นางจำได้ว่ารสชาติที่นางกินคือโจ๊กเย็นรสผลไม้รวมฝีมือห้องเครื่อง บรรดาพ่อครัวของห้องเครื่องเลือกใช้พุทราหวานลูกเล็กที่เป็นเครื่องราชบรรณาการจากซีอวี้ รวมถึงลำไยลูกใหญ่ หั่นเนื้อมาแล้ว จับคู่กับข้าวสารหลวงคัดพิเศษจากเมืองนาข้าวแห่งเจียงหนาน หลังจากต้มจนเนื้อเละก็ส่งไปแช่แข็งในถ้ำน้ำแข็งใต้ดินของวังหลวง เวลานำมากินค่อยหั่นเป็นก้อนเล็กวางใส่ในชามทอง อมอยู่ในปากให้สัมผัสเย็นสบาย เมื่อละลายจะได้รสชาติโจ๊กเนื้อเนียนกลิ่นหอม ไม่ต้องเสียเวลาเคี้ยว เป็นของว่างดับร้อนที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ

ในเมื่อคิดหาหนทางได้แล้ว ต่อจากนี้ก็คือวิธีการทำออกมา ภายในเมืองหลวงหากไม่ใช่ตระกูลร่ำรวยก็ไม่มีทางมีถ้ำน้ำแข็ง ของว่างริมถนนประเภทนี้ยิ่งไม่มีทางหาน้ำแข็งที่ฟุ่มเฟือยมาได้

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนตัดสินใจดัดแปลงขนมหวานเย็นจานนี้เสียเลย หลังจากบดข้าวสารเป็นผง ค่อยเติมน้ำกับน้ำตาลก้อนต้มจนข้าวสุก จากนั้นอาศัยน้ำบ่อเย็นที่ตักขึ้นมานำของไปแช่ ค่อยจับคู่กับแตงหวานหั่นชิ้นเล็กอีกที รสชาติหอมหวานเย็นทั้งยังมีแตงหวานสดชื่น สองพี่น้องอวี้ฉือจิ้งเสียนกับอวี้ฉือจิ้งโหรวที่ตะกละตะกลามกินแล้วก็ชื่นชมไม่หยุดปาก

รอตลาดกลางคืนครั้งถัดมา ‘ขนมผงข้าว’ นี้เนื่องจากใช้วัตถุดิบชั้นดีจึงขายแพงกว่าโจ๊กปกติสามเท่า ทว่ายังคงขายได้หลายถ้วย เพียงคืนเดียวอวี้ฉือเฟยเยี่ยนคำนวณเงินที่เข้ามาในบัญชีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมากกว่ารายได้ตามปกติห้าวันไปมากโข หากเป็นเช่นนี้นางแทบอยากมาเปิดร้านในตลาดกลางคืนของถนนตะวันตกเสียทุกวัน!

นางตั้งใจนับเงินมากเกินไป จึงไม่ทันสังเกตว่าบนเหลาสุราที่ตั้งอยู่เยื้องกับร้านเชียนซิ่วมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังจับจ้องนางดีดลูกคิดคำนวณอยู่

“เซียวอ๋อง ในเมื่อหาตัวหัวหน้าโจรหญิงผู้นี้พบแล้ว เหตุใดไม่ทรงส่งคนไปจับตัวพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ที่พูดประโยคนี้เป็นบุรุษอายุสามสิบกว่าปี อยู่ในชุดคลุมยาวแบบนักรบสีคราม บริเวณเอวเหน็บกระบี่ยาวอยู่เล่มหนึ่ง

เขาเป็นแม่ทัพมากความสามารถของเซียวอ๋อง มีนามว่าเซี่ยวชิง

ในอดีตเนื่องจากองค์ชายรองไม่คุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศของที่นี่ จึงสู้กองทัพกบฏฝานจิ่งที่ปักหลักอยู่ที่นี่มานานปีไม่ได้ ทั้งยังเพราะตอนแรกดูถูกศัตรูจึงตกเป็นรอง พ่ายแพ้ให้กับคนของภูเขาไป๋ลู่หลายครั้ง ขณะที่กลิ่นอายสังหารคุกรุ่น จึงตั้งค่าหัวราคาแพงให้กับบัณฑิตจูเก๋อ เสนาธิการของกองทัพกบฏแห่งภูเขาไป๋ลู่ผู้นั้น

เนื่องจากไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่าย เซี่ยวชิงจึงได้รับคำสั่งให้หาวิธีซื้อตัวแม่ทัพคนหนึ่งของภูเขาไป๋ลู่ จนสืบข่าวมาได้ว่าเสนาธิการผู้มีกลยุทธ์เจ้าเล่ห์ไม่ธรรมดาคนนั้นเป็นสตรีวัยสาวสะพรั่งผู้หนึ่ง

ตอนที่ได้รู้ว่าความจริงตนเองพ่ายแพ้ให้กับสตรีนางหนึ่งนั้น ดวงหน้าหล่อเหลาของเซียวอ๋องดำทะมึนจนเรียกได้ว่าเป็นพญายมหน้าดำคร่าชีวิต อาจเพราะโดนโทสะโจมตีหัวใจเลยเกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาอย่างหาได้ยาก สั่งให้เขาหาวิธีการเอาภาพเหมือนของสตรีนางนั้นมาให้ได้

เพียงแต่ฝานจิ่งปกป้องเสนาธิการหญิงผู้นี้ของตนเองอย่างเรียกได้ว่าระมัดระวังรอบคอบ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์พบหน้า แม้แต่ไส้ศึกคนนั้นยังแค่บังเอิญเจอนางบนภูเขาครั้งเดียวเท่านั้น

ภายหลังตอนที่กองทัพกบฏถอนกำลังจากภูเขาไป๋ลู่ เนื่องจากรีบร้อนจากไปจึงทิ้งภาพเหมือนภาพหนึ่งเอาไว้ในกระถางเพลิง เพราะว่ากู้ออกมาจากกระถาง ส่วนขอบจึงถูกเผาไหม้หมดแล้ว ไม่รู้ว่าคนในภาพวาดนี้เป็นใคร แต่แม่ทัพที่ถูกซื้อตัวผู้นั้นเคยเห็นบัณฑิตจูเก๋อกับตาตนเอง บอกว่าภาพเหมือนนี้แทบจะเหมือนกับเจ้าตัวไม่ผิดเพี้ยน

ในตอนที่เขาถวายภาพเหมือนให้กับเซียวอ๋อง ไม่รู้เหตุใดองค์ชายรองจึงหรี่ตามองภาพเหมือนนี้เงียบๆ อยู่นาน หลังผ่านไปสามวันพลันออกคำสั่งให้ยกเลิกค่าหัวราคาสูง ทั้งยังเรียกตัวนักฆ่าที่ส่งออกไปกลับมาด้วย

หลังจากนั้นเคยประมือกับกองทัพกบฏเขาไป๋ลู่อีกหลายครั้ง อาจเพราะครั้งนี้เซียวอ๋องใจเย็นลง จึงสามารถสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับกองทัพกบฏภูเขาไป๋ลู่ได้หลายครั้ง แต่เขามักรู้สึกว่าองค์ชายรองกำลังออมมือ ทั้งที่หลายครั้งสามารถตัดรากถอนโคนได้ กลับดูเหมือนจงใจปล่อยให้คนหนีรอดไป

เฉกเช่นในตอนนี้ ไม่รู้เหตุใดหัวหน้าโจรหญิงถึงแยกตัวจากฝานจิ่งที่สถาปนาตนเองเป็นเซวียนอ๋องแห่งแดนเหนือมาขายโจ๊กอยู่ที่เมืองหลวง แค่เห็นก็รู้ว่ามีอุบายซ่อนอยู่ แต่เซียวอ๋องกลับไม่สนใจ ประหนึ่งรอให้หัวหน้าโจรหญิงผู้นี้ขายโจ๊กไปเรื่อยๆ จนเปิดร้านสาขาแยกได้อย่างไรอย่างนั้น

ครั้นได้ยินคำถามของเซี่ยวชิงแล้ว เซียวอ๋องยังคงมองลงไปข้างล่าง ชมสตรีที่ยุ่งอยู่หน้าแผงโจ๊กแล้วเอ่ยเรียบๆ “ในเมื่อนางตั้งใจจะกลับตัวเข้าสู่ชีวิตสามัญ เป็นการทำตามพระมหากรุณาธิคุณต่อใต้หล้าของเสด็จพ่อ รู้ว่าต้าฉีถึงจะเป็นสิ่งที่ราษฎรต้องการ ข้าย่อมมอบโอกาสกลับตัวกลับใจให้นาง” พูดจบแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนเตรียมออกจากเหลาสุรา “ประเดี๋ยวข้าจะไปลาดตระเวนนอกเมือง เจ้ากำชับคนที่เจ้าส่งไปให้คอยจับตาดูอวี้ฉือเฟยเยี่ยนผู้นี้ให้ดี ถ้าหากมีคนของกองทัพกบฏมาหานาง…จะต้องจับเป็นกบฏผู้นั้นโดยไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นให้ได้”

เซี่ยวชิงรับคำสั่ง ก่อนเดินตามองค์ชายรองลงจากเหลาสุราด้วยกัน แต่เพิ่งเดินถึงหน้าประตูกลับเห็นรถม้าคันหนึ่งมาจอด ได้เห็นรัชทายาทในชุดลำลองก้าวลงจากรถม้า เมื่อเห็นฮั่วจวินถิงก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “น้องรอง บังเอิญจริงเชียว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอเจ้าที่นี่”

ฮั่วจวินถิงเห็นรัชทายาทก็คารวะให้เขา จากนั้นเอ่ย “น้องยังมีกิจทหารติดพัน ขอเชิญท่านพี่ตามสบายขอรับ…”

พูดจบเตรียมหันตัวจากไป แต่รัชทายาทผู้นั้นกลับเหลือบสายตาขึ้น ชำเลืองมองไปทางร้านโจ๊กฝั่งตรงข้ามถนนคล้ายเจตนาไม่เจตนา ก่อนจะมองเห็นอวี้ฉือจิ้งโหรวที่อายุสิบสี่ปีในชุดกระโปรงยาวลายดอกอิงฮวายิ้มแย้มเอ่ยทักทายลูกค้า…

“ก่อนหน้านี้พ่อบ้านจวนพี่บอกว่าบังเอิญเห็นเจ้าในตลาดกลางคืนของถนนตะวันตก เดิมทียังไม่เชื่อ เซียวอ๋องผู้มีกิจธุระรัดตัวจะมีเวลาว่างมานั่งฆ่าเวลาอยู่ในเหลาสุรากลางเมืองตลอดทั้งคืนได้อย่างไร วันนี้เห็นกับตาพี่ถึงเข้าใจ ที่แท้เป็นดอกราตรีส่งกลิ่นหอมล่อลวงคนดอกนี้ที่ดึงดูดให้น้องชายเพลิดเพลินจนลืมกลับบ้านนี่เอง!”

รัชทายาทมองดูเด็กสาวที่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีสนอกสนใจ ปลายหางตาย่อมเห็นว่าฮั่วจวินถิงหยุดชะงักฝีเท้า

เซี่ยวชิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินชัด ลอบก่นด่าอยู่ในใจ เสแสร้งเก่งเสียจริง นี่มันบังเอิญที่ใดกัน ชัดเจนว่าส่งคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของเซียวอ๋องอยู่นานแล้ว! ถึงแม้ตำแหน่งรัชทายาทจะถูกกำหนดแล้ว แต่องค์ชายรองมีความดีความชอบสูงมากจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงรัชทายาท กระทั่งฮ่องเต้ยังระแวง เปลือกนอกรัชทายาททำทีเป็นมิตร แท้จริงกลับเจ้าเล่ห์อำมหิต ไม่รู้ว่าเขาจะลงมือขัดขาเจ้านายตนเองอย่างไรอีก

เซียวอ๋องได้ยินคำพูดของรัชทายาทแล้ว มองตามสายตาของอีกฝ่ายไปเห็นอวี้ฉือจิ้งโหรว หลังจากเงียบครู่หนึ่งก็เอ่ยเรียบๆ “แค่อาศัยเวลาว่างพักผ่อนเล็กน้อยเท่านั้น ให้ท่านพี่ขบขันแล้ว”

ฮั่วตงเหลยยิ้มพลางโบกพัดในมือเอ่ย “จิตใจรักของสวยงามไม่ว่าใครก็มี คนไม่เข้าใกล้สตรีมานานอย่างเจ้าถึงจะชวนให้คนหัวร่อฟันหัก มิสู้พี่ช่วยจัดแจงให้เจ้าเป็นอย่างไร”

บทที่ 10

เซียวอ๋องยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าเอ่ยด้วยความเคารพ “เจตนาดีของท่านพี่ น้องรับเอาไว้ด้วยใจแล้ว เพียงแต่เสด็จพ่อเพิ่งพระราชทานสมรสให้น้อง ถ้าหากเวลานี้มีปัญหาอื่นเพิ่มมา…เกรงว่าจะไม่ดี…”

เขาพูดจบแล้วบอกลาอีกครั้งก่อนขึ้นหลังม้าควบจากไป

ฮั่วตงเหลยเห็นฮั่วจวินถิงเดินทางออกจากตลาดแล้วถึงค่อยหุบรอยยิ้มลง

เมื่อครู่นี้ฮั่วจวินถิงไม่ได้โกหก บิดาจะมอบสมรสพระราชทานคู่ครองที่ดีให้กับองค์ชายรองผู้มัวยุ่งกับการศึกเหนือใต้จนไม่มีชายาเอกสักทีแล้ว

สตรีที่กำลังจะกลายมาเป็นชายาเอกผู้นี้คือบุตรสาวของเสิ่นเม่ากง…จิ้งคังอ๋องแห่งต้าฉี เสิ่นเม่ากงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ของฮ่องเต้ฉีตี้ เป็นสหายสนิท ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาเป็นพี่น้องแท้ๆ กับเสิ่นฮองเฮาแห่งต้าฉี

สกุลเสิ่นมีภูมิหลังเป็นคหบดีในซินเหยี่ย ทรัพย์สมบัติอู้ฟู่ ช่วงที่ฮั่วอวิ่นก่อกบฏแล้วขาดแคลนเงินทอง เวลานั้นเสิ่นเม่ากงเป็นประมุขของสกุลเสิ่น แต่ก็เป็นคนประเภทเก็บงำล้ำลึก ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจจนปฏิเสธความสัมพันธ์ กลับกันยังสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทรัพยากรทางการทหารล้วนได้สกุลเสิ่นช่วยสนับสนุน มิหนำซ้ำช่วงหลังของสงคราม เขาที่คบหาสหายกว้างขวางยังพยายามติดต่อกับผู้มีอำนาจของท้องที่ต่างๆ ปัดกวาดอุปสรรคให้กับฮั่วอวิ่นไม่น้อยด้วย

เรื่องที่หาได้ยากกว่านั้นคือเสิ่นเม่ากงเป็นคนรู้จักวางตัวอย่างมาก ไม่เคยวางท่าพี่ภรรยาฮ่องเต้ต่อหน้าผู้อื่น ต่อให้ตอนนี้ดูแลกรมอากร รับตำแหน่งสูง แต่ว่ายังคงขยันขันแข็งทำงาน ทุกวันตื่นตั้งแต่ไก่ขัน เป็นขุนนางคนแรกที่มาถึงราชสำนักเสมอ ผู้คนต่างพูดว่าเสิ่นกั๋วจิ้วผู้นี้พูดจามีน้ำหนักมาก ปกติไม่พูดมาก แต่ทุกข้อเสนอของเขาต่างไม่เคยถูกฮ่องเต้ฉีตี้ปฏิเสธ ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ฉีตี้สูงมาก

เสิ่นเม่ากงมีบุตรชายสองคน บุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายคนโตมีนิสัยเหมือนบิดา ทำอะไรสุขุม ช่วยบิดาทำงานอยู่ที่กรมอากร บุตรชายคนรองชวนให้คนผิดหวังอยู่บ้าง สนใจแต่ด้านบู๊ เป็นคนรับมือยากที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทว่าก็เป็นหัวหน้ากองกำลังทหารม้าสิบหกองครักษ์ของเมืองหลวง

ส่วนบุตรสาวคนเล็กเสิ่นหย่าจิ้งเองก็โดดเด่น อายุสิบห้าปีประดุจบุปผาบอบบางดอกหนึ่ง บุปผาสูงศักดิ์ดอกนี้จะร่วงลงบ้านของใครต่างเป็นเรื่องที่คนสนใจ

เดิมทีรัชทายาทมีความมุ่งมั่นจะคว้าญาติผู้น้องคนนี้มาครอง รัชทายาทเคยแต่งภรรยาเอกตั้งแต่อยู่ที่บ้านเกิดซินเหยี่ย ทว่าภายหลังในช่วงสงครามชุลมุน ภรรยาเอกหลี่ซื่อเสียชีวิตไประหว่างสงคราม ถึงแม้ภายในจวนของรัชทายาทจะมีชายารองกับอนุหลายคน แต่ตำแหน่งชายารัชทายาทยังคงว่างเว้นมาตลอด ฮั่วตงเหลยตระหนักว่าถ้าหากดึงตัวท่านลุงที่มองดูถ่อมตน แต่แท้จริงมีอำนาจมากในราชสำนักผู้นี้มาเป็นพวกได้ ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งรัชทายาทของตนเองก็จะยิ่งมั่นคงกว่าเดิม จึงเคยแสดงเจตนานี้ต่อหน้าเสิ่นฮองเฮามารดาของตนเอง หวังว่าจะรับตัวญาติผู้น้องผู้อ่อนหวานเข้ามาในตำหนักรัชทายาทได้

เสิ่นฮองเฮาเองก็หวังจริงๆ ว่าบุตรชายคนโตที่ตนเองรักเอ็นดูจะกลายมาเป็นบุตรเขยของพี่ชาย แต่มีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งคือเสิ่นหย่าจิ้งเป็นคนมีความคิดความอ่านของตนเองตั้งแต่เด็ก นางตกหลุมรักฮั่วจวินถิงญาติผู้พี่รองของตนเองมานานแล้ว

ตรงจุดนี้ของนางกลับเหมือนเสิ่นฮองเฮาผู้เป็นอาหญิง ถึงแม้จะมองดูสูงสง่าอ่อนหวาน ความจริงมีความดื้อรั้นสูงมาก ทันทีที่ตัดสินใจอะไรแล้วต่อให้เป็นพระราชโองการจากผู้มีอำนาจสูงสุดก็มิอาจเปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าฮั่วตงเหลยจะแสดงความกระตือรือร้นด้วยกี่ครั้งล้วนล้มเหลวกลับมา จึงหวังให้บิดาออกสมรสพระราชทานยกญาติผู้น้องให้กับตนเอง แต่นึกไม่ถึงว่าเสิ่นหย่าจิ้งผู้นั้นได้ยินข่าวแล้วกลับเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตามลำพัง แล้วก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร ส่งผลให้บิดาเปลี่ยนความคิด ออกพระราชโองการยกนางแต่งงานกับเซียวอ๋องฮั่วจวินถิงแทน

ถึงแม้รัชทายาทจะไม่นับว่าหลงรักญาติผู้น้อง แต่เจตนาลึกซึ้งเบื้องหลังการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นี้กลับทำให้เขานอนหลับไม่ลงตลอดทั้งคืน เหตุใดบิดาถึงทำเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่าเกิดความคิดเปลี่ยนตัวรัชทายาทหรอกนะ? ความคิดฮ่องเต้ยากจะคาดเดา ช่างชวนให้คนไม่สบายใจ…

ทว่าตลอดมาน้องรองสนใจแต่กิจทหาร ไม่แยแสสตรี ต่อให้ญาติผู้น้องสกุลเสิ่นเสนอไมตรีให้ก่อนก็ไม่เคยเห็นว่าอีกฝ่ายจะรักหยกถนอมบุปผาสักเท่าไร ครั้งนี้กลับถูกเด็กสาวขายโจ๊กริมถนนนางหนึ่งดึงดูดจนลืมกลับบ้านหลายต่อหลายครั้ง…

ฮั่วตงเหลยคิดมาถึงตรงนี้ก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ย้อนระลึกถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของฮั่วจวินถิง… ‘ถ้าหากเวลานี้มีปัญหาอื่นเพิ่มมา…เกรงว่าจะไม่ดี…’

พูดเช่นนี้แสดงว่าน้องรองตั้งใจจะแต่งญาติผู้น้องเข้าจวนอ๋องแล้วค่อยรับซีซือน้อยขายโจ๊กผู้นี้เข้ามาในอ้อมกอดตนเองอีกที นั่งเป็นชาวประมงรอรับผลประโยชน์เช่นนั้นหรือ

แม่ทัพพิโรธเพื่อสตรีในดวงใจ…เป็นประโยคงดงามที่มีมาแต่โบราณ เพียงแค่ไม่รู้ว่าน้องชายผู้ใจเย็นสุขุมตลอดมาของตนเอง หากเจอกับด่านปกป้องสตรีในดวงใจจะแสดงออกเช่นไร

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็หันตัวกลับมองเงาร่างบอบบางสีชมพูที่วุ่นวายอยู่ในร้านโจ๊ก แล้วเอ่ยกับองครักษ์ด้านหลัง “ไปเชิญตัวหัวหน้าเสิ่นแห่งกองกำลังทหารม้ามาที่ตำหนักข้า ไม่เคยร่วมดื่มกับเขาดีๆ มานานแล้ว…”

 

ไม่กี่วันต่อมาร้านโจ๊กมีแขกไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเยือน คุณชายร่างกำยำในชุดหรูหราที่ใบหน้ามีแต่เนื้อย้อยพาบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งมาที่ร้านโจ๊กสกุลอวี้ฉือ อวี้ฉือจิ้งโหรวกำลังล้างผักอยู่ด้านข้าง คุณชายผู้นั้นเข้าร้านโจ๊กมากวาดตามองรอบหนึ่ง ก่อนจับจ้องบนดวงหน้าที่งดงามของอวี้ฉือจิ้งโหรว มองสำรวจขึ้นลงแล้วหัวเราะเสียงเย็นเบาๆ เอ่ยกับตนเอง “เป็นคนน่ามองคนหนึ่ง มิน่าถึงเย้ายวนจนทำให้ว่าที่น้องเขยข้าไม่อาจละสายตา…”

ยวนยางที่อยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าของคุณชายผู้นั้นผิดปกติ ลอบร้องในใจทันทีว่าแย่แล้ว!

อวี้ฉือจิ้งเสียนไปเรียนที่สำนักศึกษา ตอนนี้คุณหนูไม่อยู่ร้าน ไปคำนวณบัญชีกับเถ้าแก่ร้านเชียนซิ่วกับนายท่านอวี้ฉือ ถ้าหากมีคนมาหาเรื่อง…คิดมาถึงตรงนี้ยวนยางก็หยิบมีดหั่นผักบนเขียงขึ้นมาเงียบๆ

บิดาของนางเป็นปรมาจารย์หมัดมวยชื่อดัง เคยฝึกวิชาหมัดมวยอยู่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ภายหลังเพราะว่าบิดาเสียชีวิต นางที่กลายเป็นเด็กกำพร้าจึงขายตัวเองเป็นทาสเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพ กลายมาเป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนู นางพอเป็นวรยุทธ์จึงสามารถปกป้องความปลอดภัยของคุณหนูได้ ดังนั้นวิชาหมัดมวยนี้ของนางจึงไม่ได้ถูกทิ้งร้างไป

แต่นึกถึงว่าที่นี่เป็นเมืองหลวง ไม่ได้อยู่ที่ภูเขาไป๋ลู่อีกต่อไป คิดแล้วยวนยางจึงวางมีดหั่นผักลง เปลี่ยนเป็นหยิบไม้จุดไฟท่อนหนาที่เพิ่งตัดมาใหม่แทน

คุณชายหน้าตาดุร้ายผู้นั้นนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางวางโตแล้วสั่งโจ๊กชามหนึ่งก่อน เพิ่งกินไม่กี่คำก็ร้องตำหนิออกมา “ให้ตายสิ ถุย! แมลงสาบตัวใหญ่เพียงนี้ เครื่องเคียงร้านโจ๊กแย่ๆ ของพวกเจ้ามีทั้งผักทั้งเนื้อครบเลยนี่!” พูดจบแล้วหยิบซาก ‘แมลงสาบ’ เปลือกดำหนวดยาวตัวหนึ่งออกมาจากชามโจ๊ก

คราวนี้ดีแล้ว ลูกค้าที่ยังนั่งกินโจ๊กอยู่ในร้านอีกจำนวนหนึ่งเห็นแล้วพากันอาเจียนแห้ง ลุกฮือออกไปโดยไม่ทิ้งค่าโจ๊กเอาไว้ด้วยซ้ำ

แมลงสาบตัวใหญ่เพียงนั้น แค่มองก็ไม่คล้ายพันธุ์ของจงหยวน เมื่ออวี้ฉือจิ้งโหรวหายตกใจแล้วเพ่งดูก็รู้สึกโมโหจนหัวเราะออกมาแทน คุณชายที่มาหาเรื่องผู้นี้ช่างไม่เลือกอะไรเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าไปจับด้วงเขายาวที่ไหนมาปลอมเป็นแมลงสาบ

โจ๊กเย็นมีอยู่ในชามแค่นั้น ถ้าหากแมลงเปลือกดำสักตัวตกลงไปจริงๆ ก็มองเห็นตั้งแต่ตักใส่ชามให้แล้ว จะยังวนไปให้เขาแหกปากร้องตำหนิที่ใดกัน

เวลานั้นจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “คุณชายท่านนี้ รอบๆ ร้านโจ๊กของพวกเราไม่ได้มีต้นไม้ที่ด้วงเขายาวชอบอยู่ แมลงตัวใหญ่เพียงนี้ไม่มีทางมองไม่เห็นตอนตัก แค่ท่านคนโจ๊กเล็กน้อยก็ลอยขึ้นมาแล้ว…คงไม่ใช่ว่าคุณชายไม่ทันระวังพาเข้ามาเองกระมัง”

คุณชายแต่งกายหรูหราผู้นั้นแค่นเสียงเย็น มองอวี้ฉือจิ้งโหรวที่ตักโจ๊กให้เขาพร้อมเอ่ยอย่างอำมหิต “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นร้านโจ๊กไร้คุณธรรม ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว สงสัยว่าโจ๊กที่ร้านเจ้าต้มออกมายังมีสิ่งของสกปรกอื่นอีกด้วย! ข้าคือเสิ่นคัง หัวหน้ากองกำลังทหารม้าสิบหกองครักษ์แห่งเมืองหลวง สงสัยว่าเจ้าเป็นพรรคพวกของกบฏราชวงศ์ก่อน มีเจตนาร้ายตั้งใจวางยาพิษแม่ทัพแห่งต้าฉี ทหาร! มาจับตัวสตรีนางนี้ไปไต่สวนที่จวนที่ว่าการโดยละเอียด!”

เมื่อเห็นชายฉกรรจ์หลายคนด้านหลังเขากรูกันเข้ามา ยวนยางรีบยกไม้จุดไฟขึ้นเหวี่ยงใส่พวกเขา เสิ่นคังที่เป็นผู้นำคนนั้นไม่ทันระวัง ขมับถูกไม้จุดไฟแฉลบเข้าให้ กลายเป็นรอยข่วนเล็กๆ หลายเส้นทันที เดิมทีเขาก็ถูกคนยุแยงให้จงใจมาหาเรื่อง คราวนี้เลือดขึ้นหน้า โมโหจนร้องโวยวายเสียงดังกว่าเดิม ยิ่งพูดเต็มปากเต็มคำมากขึ้น “นางสตรีป่าเถื่อน กล้าลงมือทำร้ายแม่ทัพของราชสำนัก ถ้าเจ้าไม่ใช่กบฏแล้วจะเป็นใครอีก!” พร้อมกับคว่ำโต๊ะเก้าอี้ ยกเท้าถีบยวนยางทันที

ทั้งสองคนต่อสู้พัวพันกัน ผ้ากันสาดของร้านโจ๊กเองก็ถูกกระชากล้มคว่ำ บริเวณปากตรอกเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้านรับชม ทว่าองครักษ์ของกองกำลังทหารม้าสิบหกองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ปากตรอกตั้งแต่แรก ทั้งยังแสดงป้ายคาดเอวบอกกับชาวบ้านว่าปฏิบัติหน้าที่ ในเวลานั้นทุกคนต่างพากันชมเรื่องสนุก ไม่มีใครไปแจ้งทางการอีก

ต่อให้ยวนยางผู้นั้นเก่งกาจกว่านี้ก็ยังเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง จะต่อกรกับหมาป่าหิวกระหายทั้งฝูงได้อย่างไร เพียงไม่นานก็ตกเป็นรอง

ในตอนที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนกับท่านลุงกลับมา บริเวณปากตรอกถูกปิดล้อมจนผ่านไม่ได้แล้ว นางนึกสังหรณ์ใจว่าเกิดเรื่องใหญ่ รีบเบียดฝ่ากลุ่มคนเข้าไปดูด้วยกันกับท่านลุง

ยวนยางกำลังขดตัวอยู่บนพื้น สองมือป้องกันศีรษะขณะถูกชายฉกรรจ์รุมกระทืบ ส่วนญาติผู้น้องถูกผู้ที่มาจับมัด ลากตัวกับพื้นไปข้างหน้า ดวงหน้าเล็กตกใจจนเผือดสี ถึงแม้ท่านลุงจะเป็นคนอ่อนแอ แต่เห็นบุตรสาวถูกข่มเหงรังแกเช่นนี้กับตาก็พุ่งเข้าไปปกป้องบุตรสาวดั่งคนเสียสติ ผลปรากฏว่าถูกเหวี่ยงตัวไปชนก้อนหินริมกำแพง ศีรษะเลือดไหลทันที

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสายตาเฉียบแหลม เพียงกวาดตามองก็เห็นป้ายคาดเอวที่แกว่งไกวไปมาบนตัวคนเหล่านั้น คาดเดาถึงตัวตนของพวกบุรุษชั่วร้ายพวกนี้ออก ในใจนางร้อนรน หลังจากประคองตัวท่านลุงขึ้นมาก็ตั้งใจจะฝืนพุ่งเข้าไปช่วยยวนยางที่ไม่อาจรับมือกับศัตรู ถูกต่อยตีจนใกล้สลบอยู่แล้ว

แต่ว่านางเพิ่งขยับตัวก็มีคนรั้งแขนนางไว้จากข้างหลัง “คุณหนูอวี้ฉือ อย่าเข้าไปจะดีกว่าขอรับ จะได้ไม่โดนลูกหลงบาดเจ็บ ให้ข้าน้อยรายงานลำบาก…”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเหลียวหน้ามองไป นึกไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษชุดครามสองคนที่คอยจับตามองนางมาตลอดหลายวันนี้

ช่วงที่ผ่านมาบุรุษทั้งสองคนคอยตามดูอวี้ฉือเฟยเยี่ยนทุกสภาพอากาศ เห็นพวกเขาทำงานกันเหน็ดเหนื่อย ยังเคยอาศัยโอกาสที่พวกอวี้ฉือจิ้งเสียนไม่ทันสังเกต ยกน้ำชาไปให้พี่ชายทั้งสองดื่มดับร้อนด้วยตนเอง

พี่ชายสองคนนั้นเห็นว่าถูกนางจับได้กลับไร้ความกระอักกระอ่วน หลังจากเอ่ยขอบคุณก็รับน้ำชามาดื่มจนหมดถ้วย จากนั้นทำงานต่อเช่นเดิม อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้ถือสา เพียงทำงานของตนเองต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็เฝ้าอยู่ตลอดวัน ไม่เคยมารบกวน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเซียวอ๋องผู้นั้นถึงจะล้มเลิกความคิดสืบข่าวเรื่องกองทัพกบฏจากนางเสียที

เวลานี้เมื่อนางเห็นพวกเขา ทั้งยังเห็นท่าทางขมวดคิ้วมองบุรุษโหดเหี้ยมจากกองกำลังทหารม้าพวกนั้นแล้วดูไม่คล้ายเป็นพวกเดียวกัน…

คิดมาถึงตรงนี้นางจึงหันมาเอ่ยขอร้อง “ขอให้นายท่านทั้งสองช่วยน้องสาวกับสาวใช้ที่น่าสงสารของข้าด้วย…”

นึกไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะเอ่ยอย่างลำบากใจ “ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยดูแลคุณหนูอวี้ฉือเฟยเยี่ยนให้ดีเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงคนอื่นขอรับ…”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนหันหน้าไปมองอย่างร้อนใจ มองดูท่านลุงที่เลือดอาบศีรษะ แต่ยังคงพยายามพุ่งเข้าไปด้วยสภาพโงนเงนก็กัดฟันกรามเอ่ยอย่างร้อนรน “ข้ามีความลับบางอย่างของกองทัพผดุงธรรมต้องการทูลเซียวอ๋อง ขอให้นายท่านทั้งสองลงมือเข้าช่วยด้วย ให้พวกเขาเลิกทุบตีคนเสียที…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทั้งสองคนก็หันมาสบตากันแล้วพุ่งร่างเข้าไปกะทันหัน ลงมือจัดการคว่ำชายฉกรรจ์จากกองกำลังทหารม้าที่หมายล้อมเข้ามากระทืบอวี้ฉือรุ่ยทันที ทั้งยังไล่กลุ่มบุรุษที่รุมทำร้ายยวนยางอยู่ให้ถอยออกไปด้วย

เสิ่นคังถูกพวกเขาทำให้ตกตะลึง ตวาดถาม “พวกเจ้าเป็นใคร! กล้าขวางการทำงานของกองกำลังทหารม้าอย่างนั้นรึ”

คนชุดครามผู้หนึ่งชูป้ายทหารของตนเองแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือองครักษ์ทหารม้าในสังกัดของเซียวอ๋อง ได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองความปลอดภัยของคุณหนูอวี้ฉือ หวังว่าใต้เท้าเสิ่นจะอำนวยความสะดวกให้ด้วยขอรับ”

เสิ่นคังเป็นบุตรชายคนรองของเสิ่นกั๋วจิ้ว นิสัยหยาบคาย รวมกับเคยมีความขัดแย้งเก่าเก็บกับเซียวอ๋อง เดิมทีก็เห็นองค์ชายรองผู้นั้นขัดตาอยู่แล้ว เขากับรัชทายาทสนิทสนมกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนบังเอิญได้ยินจากรัชทายาทว่าเซียวอ๋องที่เพิ่งรับพระราชโองการแต่งงานกับน้องสาวตนเองแอบไปส่งสายตาให้แม่ค้าขายโจ๊กต่ำต้อยผู้หนึ่งในตลาด จึงโมโหเลือดขึ้นหน้าอย่างห้ามไม่ได้

ท่านอาหญิงของเขาเป็นฮองเฮาองค์ปัจจุบัน สกุลเสิ่นอยู่ในต้าฉีพูดได้ว่าเปรียบประดุจตะวันกลางผืนฟ้า ส่งผลให้เขายิ่งไม่เห็นใครในสายตา เดิมทีเขาอยากให้น้องสาวตนเองแต่งงานกับรัชทายาท อนาคตน้องสาวกลายเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่แห่งต้าฉี เกียรติยศของสกุลเสิ่นจะได้สืบทอดต่อไปได้ แต่น้องสาวที่ปกติใจเย็นฉลาดเฉลียวของเขาครั้งนี้กลับเลอะเลือน จะต้องแต่งให้กับองค์ชายรองตัวซวยให้ได้เท่านั้น!

ต้องรู้ว่าแม้แต่คนที่มุทะลุอย่างเขายังมองออกว่าฮ่องเต้ป้องกันตัวจากบุตรชายคนรองของตนเอง! ระยะนี้กระจายอำนาจทางทหารบ่อยครั้ง ฮั่วจวินถิงเหลือทรัพย์สมบัติอยู่อีกไม่มาก ใครไม่รู้บ้างว่าเซียวอ๋องสูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้แล้ว

ดังนั้นเขาจึงมาหาเรื่องสตรีขายโจ๊กอย่างมั่นอกมั่นใจ ถ้าหากเซียวอ๋องผู้นั้นรู้กาลเทศะไม่โผล่หน้ามายังดี ถ้าหากฝืนออกหน้า เขาก็อยากรอดูว่าว่าที่น้องเขยผู้นี้ตั้งใจจะหาข้ออ้างเช่นไรมาคุ้มครองคู่นอนที่ยังไม่รับเข้าจวนผู้นี้

แต่นึกไม่ถึงว่าเซียวอ๋องกลับเป็นคนรู้จักรักหยกถนอมบุปผา ส่งองครักษ์สองคนมาปกป้องซีซือน้อยขายโจ๊กผู้นี้แต่เนิ่นๆ คำพูดของรัชทายาทไม่ได้ไร้มูลจริงๆ ด้วย!

เขาไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้ฉือที่องครักษ์สองคนพูดนั้นหมายถึงผู้อื่น เอาแต่โกรธแค้นอวี้ฉือจิ้งโหรวที่ถูกจับมัดอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องสาวตนเองเสิ่นหย่าจิ้งทำตัวขายหน้า ไร้ความสำรวมของคุณหนูในห้องหอ วิ่งไปขอร้องฮ่องเต้ด้วยตนเอง ผลลัพธ์เล่า? กลับสู้สตรียากจนจากตระกูลตกอับของราชวงศ์ก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ!

แต่ในเมื่อประกาศนามเซียวอ๋องออกมาแล้ว เขาไม่อาจไม่ไว้หน้าองค์ชายรองแห่งต้าฉี จึงสั่งให้คนหยุดมือ ก่อนประสานหมัดเอ่ยด้วยปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “ในเมื่อเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวอ๋อง ย่อมต้องเข้าใจน้ำหนักของคำว่า ‘กฎหมาย’ สองพยางค์นี้ กองกำลังสิบหกองครักษ์ของข้ารับผิดชอบความปลอดภัยของเมืองหลวง วันนี้ได้ยินคนรายงานว่าอวี้ฉือจิ้งโหรวเป็นกบฏของราชวงศ์ก่อน ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงหาโอกาสสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องใหญ่ ยังคงต้องจับตัวเข้าคุกไปไต่สวนโดยละเอียด! ถ้าหากเซียวอ๋องต้องการตัวคน ก็ขอเชิญไปที่จวนจิ้งคังอ๋อง สนทนาโดยละเอียดกับว่าที่พ่อตาของพระองค์ดีๆ แล้วกัน!”

พูดจบก็สั่งให้คนของตนเองยกตัวอวี้ฉือจิ้งโหรวที่ถูกปิดปากอยู่โยนขึ้นรถม้าแล้วเคลื่อนตัวจากไป

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเห็นดังนั้นก็เอ่ยอย่างร้อนใจ “พวกท่านรีบขวางพวกเขาเร็ว จะปล่อยให้พวกเขาพาตัวจิ้งโหรวไปไม่ได้!”

สองคนนั้นประสานหมัดเอ่ยขออภัย “เมื่อครู่นี้คุณหนูอวี้ฉือบอกแค่ว่าให้พวกเขาเลิกทุบตี ข้าน้อยทำตามคำสั่งแล้ว ถ้าหากคุณหนูยังมีคำขออื่น ขออภัยที่ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอให้คุณหนูไปทูลเซียวอ๋องจะเหมาะสมกว่าขอรับ…”

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกไม่ถึงว่าสองคนนี้จะทำงานได้ทื่อตรงเพียงนี้ ถึงกับทำตามที่บอกไว้ทุกพยางค์ ทว่าก็ตระหนักว่าพวกเขาสองคนทำอะไรกับหัวหน้ากองกำลังทหารม้าสิบหกองครักษ์ไม่ได้จริงๆ จึงขมวดคิ้วเข้าไปช่วยประคองยวนยางกับท่านลุงขึ้นมา สองคนนี้ต่างได้รับบาดเจ็บไม่เบา ยังดีที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเซียวอ๋องสองคนนั้นคล้ายจะรู้สึกขอบคุณน้ำชาของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน จึงเสนอตัวช่วยนางประคองทั้งสองคนกลับบ้าน ทั้งยังตามหมอมาให้

อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจิตใจพะวงหาสองฝั่ง รู้ว่าเด็กสาวอย่างอวี้ฉือจิ้งโหรวถูกขังคุก จะเจอกับการถูกเหยียดหยามเช่นไรล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่ายวนยางกับท่านลุงไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว นางจึงตามทั้งสองคนไปพบเซียวอ๋อง

ระหว่างนั่งรถม้าตามทั้งสองคนกลับมาเหยียบจวนเซียวอ๋องอีกครั้ง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ลอบให้กำลังใจตนเอง ตอนนี้อยู่ในเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง แต่นางกลับรู้สึกว่าสถานที่ซึ่งดูคล้ายหรูหราสูงศักดิ์แห่งนี้กลับซ่อนเร้นมังกรร้ายในบึงลึกเอาไว้ ชวนให้คนหวาดผวาเสียยิ่งกว่าสถานที่ยากจนข้นแค้นอย่างภูเขาไป๋ลู่ วันเวลาอันไม่สงบบนภูเขาไป๋ลู่สมัยก่อนเคยมีช่วงที่อันตรายยิ่งกว่าตอนนี้ แต่เวลานั้นนางมีผู้ใต้บังคับบัญชาให้สั่งการได้ ไม่เคยรับศึกตามลำพังตัวเปล่าเช่นนี้มาก่อน

แต่นางรู้ว่าไม่นานจากนี้จะต้องเผชิญกับสงครามโหดร้ายศึกหนึ่ง ซ้ำนางยังไม่อาจถอยหลังกลับ

ตอนที่ก้าวเข้าจวนอ๋อง ดวงอาทิตย์ลับลาไปทางทิศตะวันตกแล้ว อวี้ฉือเฟยเยี่ยนถูกสาวใช้ในจวนอ๋องนำทางมาจนถึงข้างบ่อน้ำพุร้อนที่สวนดอกไม้ด้านหลัง

วันนี้เซียวอ๋องหยุดงาน น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ริมบ่อน้ำพุร้อน จิบชาใสกระจ่างพลางเพลิดเพลินกับเสียงพิณที่นักบรรเลงพิณหญิงดีดคลอ ช่างใช้ชีวิตอย่างสบายใจยิ่ง

เรือนผมยาวที่สยายลงมาของเขาเปียกชื้นเล็กน้อย สวมชุดคลุมยาวผ้าป่านตัวหลวมสีเรียบ เพียงผูกปมที่เอวง่ายๆ เท้าเปล่าสวมรองเท้าไม้สักคู่หนึ่ง เคาะเท้าบนพื้นไปตามจังหวะเสียงพิณโบราณที่คลอเอื่อยอยู่เบาๆ

ตอนที่อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมาถึงจวน นางขอร้องซ้ำๆ ให้หัวหน้าขันทีรีบพานางไปพบเซียวอ๋อง แต่ไม่คาดคิดว่าจะมาเห็นเขาในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะสวมชุดคลุมตัวยาว แต่ว่านั่งขัดสมาธิ ต้นขากำยำที่มองเห็นมัดกล้ามเนื้อสองข้างนั้นเปิดเผยออกมาจนหมด นางอดสงสัยไม่ได้ว่าใต้ชุดคลุมยาวของเขาคล้ายว่าจะไม่ได้สวมใส่สิ่งใด…

ต่อให้เป็นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา อยากจะหงุดหงิด แต่ตนเองเป็นคนเรียกร้องขอพบเซียวอ๋องเอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นนางที่รบกวนความสงบของท่านอ๋อง ไม่อาจต่อว่าสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยของเขาได้

เซียวอ๋องผู้นั้นคล้ายได้ยินช่วงทำนองที่น่าสนใจ นิ้วซึ่งวางอยู่บนเข่าจึงเคาะตามจังหวะเบาๆ เปลือกตาหลุบลงเล็กน้อย ขนตาดกดำทิ้งเงาปรกลงใต้เปลือกตา ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะร้อนใจ แต่ก็ตระหนักว่าไม่อาจเสียมารยาทต่อหน้าองค์ชายรองผู้คาดเดาได้ยากผู้นี้ จึงคุกเข่าก้มหน้าลง เฝ้ารออยู่ด้านข้างเงียบๆ

ครู่ใหญ่จากนั้น นักบรรเลงพิณหญิงดีดเสียงดนตรีตัวสุดท้าย ก่อนอุ้มพิณขึ้นมาแล้วถอยจากไปเงียบๆ เซียวอ๋องผู้นั้นถึงได้ลืมตาขึ้นช้าๆ เอ่ยว่า “คุณหนูอวี้ฉือ ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน”

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: