บทที่ 4
กว่าจะถึงด่านชายแดนซึ่งเชื่อมกุณฑ์ชาลากับพูรัมด้วยสะพานเหล็กก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว แสงสปอตไลต์จากทั้งสองฝั่งเผยให้เห็นประตูรั้วเหล็กที่เปิดกว้าง ด่านชายแดนที่ควรจะเงียบเหงาเพราะเลยเวลาปิดด่านกลับครึกครื้นด้วยขบวนต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ของพูรัมเกือบห้าสิบชีวิต
“ถึงแล้ว ไปเถอะลิสสา”
“ขอบคุณนะลุง”
“ไม่เป็นไร”
“แล้วเราจะติดต่อลุงยังไง ขอเบอร์ได้ไหม ลุงช่วยเราไว้ตั้งหลายครั้ง อย่างน้อยเราควรตอบแทนลุงบ้าง”
“เธอจะลากองครักษ์มาจับฉันเหรอ”
รอยยั่วเย้าในดวงตาดำจัดคู่นั้นพานให้เจ้าหญิงน้อยหวนนึกถึงเรื่องราวตอนสิบเอ็ดขวบที่เจอลุงเป็นครั้งแรกขึ้นมา วันนั้นเธอลากองครักษ์มาจับเขาจริงๆ นั่นแหละ คิดแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน ไม่นึกว่าคนที่เธอช่วยชีวิตในวันนั้นจะกลายมาเป็นผู้ช่วยชีวิตเธออีกหลายครั้งในเวลาต่อมา
“เรื่องตั้งนานแล้ว ลุงอย่าล้อเราสิ เราอยากขอบคุณลุงจริงๆ นะ”
“ไว้ฉันจะมาหาเธอเอง”
ในเมื่อลุงปฏิเสธ หญิงสาวก็ไม่อยากซักไซ้ให้อีกฝ่ายอึดอัด
“งั้นเราไปก่อนนะลุง”
ลุงพยักหน้า ทอดตามองร่างเพรียวบางเดินผ่านเขตแดนของกุณฑ์ชาลาไปยังกลางทางเชื่อมสู่เขตแดนของพูรัมด้วยความรู้สึกใจหาย หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะเหนี่ยวรั้งช่วงเวลาระหว่างเราให้นานกว่านี้ เพียงแต่เขาไม่อาจเห็นแก่ตัว ปล่อยให้เธอตกอยู่ในอันตรายได้
ลลิสสาเดินไปเกือบสุดทางก็หันกลับไปโบกมือให้ลุงอีกครั้ง ก่อนย่างเท้าสู่เขตแดนของพูรัม
“พี่วตี!” ร่างเล็กโถมเข้าหาอ้อมแขนอุ่นของคนที่เป็นทั้งพี่สาวและแม่บุญธรรม “ลิสสาไม่คิดว่าพี่วตีจะมารับนะคะเนี่ย”
“ลิสสาหายไปทั้งคน จะให้พี่รออยู่ในวังเฉยๆ ได้ยังไง ฝ่าบาทก็อยากมาด้วย แต่ติดประชุมทางไกล ไม่งั้นคงตามพี่มาด้วยแล้ว”
“แค่พี่วตีมารับ ลิสสาก็ดีใจแล้วค่ะ”
รานีปัทมาวตีคลายอ้อมแขน ดันตัวเจ้าหญิงน้อยให้ออกห่างเล็กน้อย ก่อนเหลือบมองไปทางชายแปลกหน้าซึ่งยืนปะปนอยู่ในกลุ่มทหารเวรตรงหน้าประตู ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางสง่าผ่าเผยและเครื่องแต่งกายแปลกตาจากทหารชายแดนทำให้เขาดูสะดุดตา ทั้งที่ใบหน้าดูธรรมดา เหมือนคนมีอายุคนหนึ่งเท่านั้น
“คนที่ช่วยลิสสาเป็นใคร”
“เขาแจ้งพี่วตีว่าเป็นใครคะ”
“มหาดเล็กรายงานเพียงว่าคนของกุณฑ์ชาลาจะพาลิสสามาส่ง แต่ไม่ได้บอกว่าใครมาส่ง”
“ลิสสาเรียกเขาว่าลุงค่ะ”
“ลุงเหรอ”
“ค่ะ ลิสสาเคยช่วยเขาไว้ตอนลิสสายังเด็ก แล้วหลังจากนั้นเขาก็บังเอิญช่วยลิสสาไว้อีกหลายครั้ง”
“บังเอิญงั้นเหรอ”
คำถามของรานีปัทมาวตีเป็นคำถามที่ติดในใจของเจ้าหญิงน้อยมาตลอด เพียงแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ เธอหันไปทางด่านชายแดน หมายจะเรียกให้เขามาพบมหารานีแห่งพูรัม แต่กลับไม่เห็นเงาของเขาเสียแล้ว
“ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ค่ะ”
“ช่างเถอะจ้ะ ลิสสามาเหนื่อยๆ กลับกันเถอะ พี่ให้คนเตรียม ฮ. ไว้แล้ว”
“ค่ะพี่วตี ว่าแต่มีข่าวพี่มันจูไหมคะ ลุงบอกว่าทางกุณฑ์ชาลาส่งพี่มันจูกลับพูรัมแล้ว”
“คุณกาบีร์เพิ่งไปรับมันจูกลับจากสนามบินเมื่อเย็นนี้เอง ตอนนี้น่าจะใกล้ถึงวังแล้ว”
เจ้าหญิงลลิสสาพยักหน้าหงึกหงัก แต่สายตายังไม่วายวนเวียนอยู่แถวประตูฝั่งกุณฑ์ชาลา สีหน้าอาลัยอาวรณ์นี้ทำให้รานีปัทมาวตีฉุกใจ แสร้งเดินรั้งท้ายเพื่อเรียกราชองครักษ์มาสั่งการเสียงเข้ม
“ไปสืบมาว่าผู้ชายที่มาส่งลิสสาเป็นใคร…ด่วนที่สุด!”
เพราะอิดโรยจากการเดินป่ามาทั้งวัน เจ้าหญิงลลิสสาจึงตั้งใจว่าถึงตำหนักเมื่อไรจะทิ้งตัวดิ่งลงบนเตียงทันที ทว่าเสียงแง่งอนของพี่เลี้ยงกับอดีตคนรักทำให้ตนต้องยั้งฝีเท้า ไม่อาจเดินผ่านขึ้นบันไดไปยังห้องนอนตามใจคิด
“ใครรักคุณกาบีร์ พูดให้มันดีๆ นะ”
“มันจูอภัยให้ผมเถอะนะ นับจากนี้ผมจะไม่มีวันทำผิดต่อมันจูอีกแล้ว”
“เมื่อก่อนคุณกาบีร์ก็สัญญาว่าจะรักมันจูคนเดียว แล้วเป็นไงล่ะ”
“ผมยอมรับว่าตัวเองพลาด แล้วผมก็ชดใช้ด้วยการยอมตกนรกทั้งเป็นมาแล้ว มันจูเห็นใจผมเถอะนะ”
“ตกนรก? อย่างแม่นั่นคงทำให้คุณกาบีร์ขึ้นสวรรค์น่ะสิไม่ว่า”
ลลิสสาคิดว่าขืนเธอรออยู่ตรงนี้คงไม่ได้นอนกันพอดี จึงหันหลังเตรียมจะเดินอ้อมไปอีกทาง แต่จู่ๆ เสียงของมันจูกลับดังขึ้นเสียก่อน
“เจ้าหญิงน้อย เสด็จมาถึงนานรึยังเพคะ”
“ลิสสาเพิ่งมาถึงเองจ้ะพี่มันจู”
“เสียดายที่กระหม่อมไม่ได้ไปด้วย ไม่เช่นนั้นคง…”
“เฮอะ! อย่างคุณกาบีร์จะทำอะไรได้ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ”
“ผมยังแข็งแรงนะมันจู ถ้าไม่เชื่อ…”
“ต่อหน้าเจ้าหญิงยังขี้คุยอีก หัดอายบ้างเถอะคุณกาบีร์”
ลลิสสายิ้มบางๆ ให้กับผู้ใหญ่สองคนที่แง่งอนใส่กันทั้งที่อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว
“ลิสสาง่วงจัง ขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
“หม่อมฉันไปเตรียมน้ำให้สรงนะเพคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่มันจูอยู่คุยกับคุณกาบีร์เถอะ ลิสสาจัดการเอง อาบเสร็จแล้วก็จะนอนเลย”
ทว่าในความเป็นจริงเจ้าหญิงน้อยกลับข่มตาไม่หลับ เพราะข่าวลือและความคิดเห็นของชาวเน็ตที่พูดถึงเธอในทางเสื่อมเสียตลอดช่วงเวลาที่เธอหายตัวไป
‘หายไปตั้งสองวัน สวยๆ แบบเจ้าหญิงจะรอดเงื้อมมือโจรเหรอ’
‘ป่านนี้คงถูกย่ำยีไม่มีชิ้นดี’
และอื่นๆ อีกมากมายที่เธอทนอ่านไม่ไหว เรื่องราวของเธอถูกนำมาใส่สีตีไข่จนบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ หนึ่งในผู้สมัครนายกเทศมนตรีของเมืองหลวงปลุกกระแสชาตินิยมกล่าวหาว่ากุณฑ์ชาลาไม่ให้เกียรติเจ้าหญิงจากพูรัม ปล่อยให้เจ้าหญิงหายตัวไปถึงสองวัน
‘คงคิดว่าพูรัมเป็นไก่รองบ่อนล่ะสิ กุณฑ์ชาลาจึงไม่ออกมารับผิดชอบอะไร’
เมื่อความคิดเห็นของผู้สมัครคนหนึ่งเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนพูรัมได้ ผู้สมัครคนอื่นก็กระโดดเข้าร่วมวงหาแสง ออกความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา เกิดการโต้เถียงจนเป็นกระแสในโลกออนไลน์เลยเถิดมาจนถึงการประท้วงหน้าสถานทูต
“บ้ากันไปใหญ่แล้ว”
เจ้าหญิงลลิสสาถอนหายใจรัว รู้สึกเหมือนเธอได้กลายเป็นหมากในเกมการเมืองที่เหล่านักการเมืองหยิบฉวยมาหาคะแนนนิยมให้ตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนที่ต้องแบกรับความขัดแย้งนี้ก็คือเธอเอง
“มิน่าล่ะ ตอนลงจาก ฮ. พวกนางกำนัลถึงมองแปลกๆ”
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเผชิญข่าวลือมาก่อน ตรงข้ามเธอประสบมาตั้งแต่ยังเล็ก ไล่มาตั้งแต่แม่มีชู้ เธอไม่ได้มีเลือดสีน้ำเงิน พระราชบิดาไม่รัก พระราชมารดาทอดทิ้ง เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นข่าวลือส่วนตัวที่เธอชินแล้ว แต่คราวนี้ต่างออกไป เพราะกระแสแห่งความขัดแย้งถูกโหมกระพือเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ ละม้ายมีคนจงใจโหมไฟนี้ให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
คำถามคือใคร! และทำเพื่ออะไร!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.