ณัฐรัมภา
By Andra
บทนำ
ณัฐรัมภาดึงดูดความสนใจของใครหลายคนไว้ได้ในทันทีที่ก้าวเข้าสู่ร้านอาหาร ทว่าเธอก็ไม่ได้ใส่ใจนักด้วยชินชาเสียแล้ว ปลายนิ้วยาวเรียวที่เคลือบไว้ด้วยอะครีลิกไล่สีและกากเพชรวิ้งวับดึงแว่นกันแดดอันโตออก เผยให้เห็นดวงหน้าสวยรูปไข่ที่ได้รับการแต่งแต้มสีสันอย่างประณีต ดวงตาที่กลมโตกว่าปกติด้วยความช่วยเหลือของคอนแทกเลนส์กวาดมองไปรอบๆ
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าได้จองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ” บริกรหนุ่มปราดมาทักทายอย่างรวดเร็ว
“แวะมาหาคนน่ะค่ะ เขามีโต๊ะอยู่แล้ว” หญิงสาวตอบ ก่อนจะทำร้องออกมาเบาๆ “อ๊ะ นั่นไง เจอแล้ว…ขอบคุณนะคะ”
ณัฐรัมภาโปรยยิ้มหวานให้พนักงานหนุ่มน้อยซึ่งน่าจะเป็นเด็กนักศึกษาที่มาทำงานพาร์ตไทม์ จากนั้นเธอก็พาร่างในชุดเดรสสั้นรัดรูปที่ช่วยขับเน้นทรวดทรงองค์เอวของผู้สวมใส่เดินลึกเข้าไปในร้าน รองเท้าส้นสูงสีแดงเข้ากันส่งให้ท่อนขายิ่งดูยาวเรียวชวนมอง และแม้ช่วงคอของชุดจะปาดขวางเผยให้เห็นเนินอกรำไร ทว่าเสื้อครอปตัวสั้นสีขาวที่คลุมอยู่ก็ช่วยให้องค์ประกอบทั้งหมดดูเซ็กซี่กำลังดีมีระดับ
หญิงสาวหยุดยืนข้างโต๊ะอาหารขนาดสองที่นั่งซึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่งจับจองอยู่ ทั้งสองหันมามอง แล้วฝ่ายชายก็ทำท่าตกใจราวกับเห็นผี ขณะที่ผู้มาใหม่เพียงหยักยิ้มเย็น
“คุณคือผู้หญิงที่ทิ้งข้อความ ลงรูป แท็กชื่อ พยายามทำให้โลกสงสัยว่าเป็นกิ๊กกับผู้ชายคนนี้ใช่หรือเปล่าคะ”
ผู้หญิงคนนั้นอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ณัฐรัมภาก็หยิบภาพปึกหนึ่งจากกระเป๋าสะพายออกมาโปรยบนโต๊ะ มันเป็นภาพของสองหนุ่มสาวตรงหน้าในอิริยาบถสนิทสนมเกินเพื่อนที่เธอลงทุนจ้างนักสืบเอกชนไปตามเก็บภาพมา จากนั้นเธอก็พูดต่อโดยไม่รอฟังคำตอบ
“ที่ต้องถามเพราะพอดีฉันรู้มาว่าผู้ชายคนนี้คุยกับผู้หญิงหลายคนพร้อมกัน แต่เอาจริงๆ แค่คุยกับผู้หญิงครั้งละมากกว่าหนึ่งคน จะสอง สาม สี่ หรือมากกว่านั้นมันก็คือสารเลวน่ะแหละจริงไหม…วันนี้ฉันแค่จะแวะมาบอกคุณว่าฉันไม่เอาหรอกค่ะผู้ชายสั่วๆ แบบนี้ ความจริงคุณควรมาบอกฉันตรงๆ มากกว่า พยายามบอกแบบแอ๊บๆ มันเหนื่อยนะฉันเข้าใจ…อ้อ นี่ฉันเอาภาพของผู้หญิงคนอื่นมาให้คุณด้วย เผื่อคุณรู้ข้อมูลไม่หมด จะได้ไปเตือนผู้หญิงพวกนั้นให้ครบๆ ว่าไม่ให้ยุ่งกับไอ้สารเลวนี่”
สาวเปรี้ยวในชุดแดงพูดเสียงเรียบเรื่อย ทว่าด้วยความที่เธอโดดเด่นดึงดูดสายตาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน บวกกับเธอไม่ได้ออมเสียงสักนิด ลูกค้าโต๊ะรอบๆ จึงหันมามองเป็นตาเดียว และเธอก็พูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้สองหนุ่มสาวตรงหน้าโต้ตอบ
“ขอสรุปสั้นๆ ง่ายๆ จะได้ไม่เสียเวลา เดี๋ยวฉันมีประชุมกับลูกค้าต่อ เอาเป็นว่าฉันจะไม่ยุ่งกับผู้ชายคนนี้แล้ว ขยะแขยง…จะว่าไปการที่เขามาจีบฉันแล้วคุณไม่ได้ตามมาตบฉันแสดงว่าคุณไม่มีสิทธิ์นั้น เท่าที่ดูคุณก็ไม่น่าจะสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องยอมทนเป็นแค่คนในเงาของผู้ชายสั่วๆ แบบนี้นะ แต่เอาเหอะ มันไม่ใช่กงการของฉัน ขอบคุณคุณด้วยแล้วกันที่ทำให้ฉันเห็นธาตุแท้ของไอ้กะหลั่วนี่!”
ณัฐรัมภาโปรยยิ้มหวานอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนกายเดินออกจากร้านอาหารที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เธอส่งยิ้มหวานเป็นพิเศษให้บริกรหนุ่มน้อยคนเดิมอีกหนก่อนจะผลักประตูออกจากร้าน แล้วสวมแว่นกันแดดเพื่อปกป้องดวงตาจากแสงแดดแรงกล้าของยามเที่ยงวัน…และปิดบังดวงตาแข็งกร้าวซึ่งซ่อนไว้ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในร้านอาหารด้วย
ไม่น่าหลงปล่อยให้ไอ้สารเลวนี่ตามจีบเลย! เสียเวลาชีวิตจริงๆ!
บทที่ 1 คืนเมาๆ ที่ได้เจอเสือ
“เจ๊ ดื่มได้แต่อย่าหนักได้ป่ะ พอเจ๊เมาหนักแล้วพวกผมแบกเจ๊ลำบาก”
สุรทินบอกหน้าเมื่อยเมื่อเห็นณัฐรัมภากระดกเหล้าเข้าปากติดต่อกันเหมือนกลัวจะไม่เมา…ปกติแล้วเขามักจะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ ยกเว้นเวลาเหนื่อยหน่ายใจสุดขีดถึงจะเปลี่ยนสรรพนามเป็น ‘เจ๊’ อย่างในตอนนี้
“เสียใจด้วยนะไอ้หมู วันนี้ฉันตั้งใจจะเมาให้แกแบกกลับบ้าน” หญิงสาวตบบ่าอีกฝ่ายแปะๆ แถมทำหน้าเห็นอกเห็นใจ
‘ไอ้หมู’ ทำหน้าเมื่อยกว่าเดิม จากนั้นก็ตวัดสายตาไปหาเพื่อนร่วมงานสาวอีกคนที่เขาลากมาด้วยกัน อีกฝ่ายอยู่ในชุดโบฮีเมียนเหมาะจะไปนั่งรอบกองไฟมากกว่ามาเที่ยวกลางคืน ทว่าเธอก็ยอมติดตามมาด้วยเพราะรู้ว่าต้องมีคนมาช่วยดูแลณัฐรัมภา
เรื่องมันเริ่มมาจากตอนที่มัณฑนากรสาวมือหนึ่งแห่งบริษัทสถาปนิก Archwin กลับเข้าออฟฟิศเมื่อเย็น จะว่าผิดปกติหน่อยๆ ก็ได้ เพราะเธอกลับมาถึงก่อนเวลาเลิกงานแค่นิดเดียว ปกติถ้าใครออกไปทำงานข้างนอกและคำนวณแล้วว่าหากกลับออฟฟิศมาก็ไม่มีเวลาเหลือให้ทำงานต่อได้ก็จะถือโอกาสเลิกงานกลับบ้านไปเลย ไม่ย้อนเข้าออฟฟิศอีก ซึ่งอาชวินผู้เป็นเจ้านายใหญ่ก็ไม่ว่าอะไร ตราบใดที่ไม่มากจนเกินไป
เมื่อเย็นนี้มองเผินๆ เหมือนณัฐรัมภาจะเอาของกลับมาเก็บ ทว่าด้วยชุดเดรสสีแดงเด่นสะดุดตาก็ทำให้คนช่างพูดอย่างสุรทินอดกระเซ้าไม่ได้
‘วันนี้ชุดแดงฟาดมากนะพี่รัมภา มีเดตต่อเหรอ’
‘มีเดธ เมื่อเที่ยงเพิ่งไปบอกยกกิ๊กให้กิ๊กอีกคนของมันมา’ หญิงสาวพูดเสียงเรียบ สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด
‘เฮ้ย! อย่าบอกนะว่านายธนาคารที่ตามจีบพี่รัมภาอยู่’ เขาถึงกับเหวอ
‘เออสิ ไอ้บ้านั่นจีบผู้หญิงทีละครึ่งโหลได้ เฮงซวยยืนหนึ่ง!’ ณัฐรัมภาตอบแล้วขมวดคิ้ว ‘แล้วนี่ทำไมทั้งออฟฟิศเหลือกันอยู่แค่สองคน ไปไหนกันหมด’
‘ไปทำงานสิค้าบ เมื่อเย็นวานก็นั่งไล่กันอยู่ว่าใครไปไหนมั่ง บ่ายวันนี้ไปประชุมไม่ก็ไปไซต์กันหมด ส่วนพวกเด็กๆ ไปซ้อมรับปริญญา หักแก๊งที่เป็นไข้หวัดใหญ่ก็เหลือกันอยู่สองคนนี่แหละ’
‘ก็พูดตอนฉันปั่นงานอยู่ จะไปได้ยินได้ไง’ เธอไม่เห็นว่าเป็นความผิดของตนเอง ‘แล้วนี่มีนัดหรือจะไปไหนกันต่อไหม ถ้าไม่ก็ไปดริ๊งก์กันดีกว่า เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง’
แม้จะฟังดูดี ทว่าเอาเข้าจริงสุรทินก็หันไปสบตากับจิระประไพ มัณฑนากรอีกคนของบริษัทด้วยสายตาเลิ่กลั่ก อีกฝ่ายทำท่าเหมือนถอนหายใจไม่ออกทั้งท่าทางและเสียง ก่อนที่จะพยักหน้ารับเบาๆ…แล้วด้วยเหตุนี้ตอนนี้เขากับจิระประไพจึงได้มานั่งอยู่ในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง โดยพวกเขานั่งอยู่โซนนอกร้านซึ่งมีบรรยากาศสบายๆ แต่ก็ยังสามารถได้ยินเพลงจากโซนผับด้านในได้ชัดเจน
ปกติณัฐรัมภาไม่ค่อยเที่ยว แต่ถ้าให้สังสรรค์ก็ไม่มีปัญหา เรื่องดื่มไม่ค่อยต้องห่วงเธอเองก็คอแข็งใช้ได้ ยกเว้นกรณีที่เลิกกับแฟน เพราะเธอมักจะดื่มจนเมาหนัก ผลคือพวกพี่น้องเพื่อนร่วมงานใน Archwin มักจะต้องไปส่งหญิงสาวที่คอนโดฯ เสมอ และเพื่อความสะดวกสุรทินเลยต้องชวนจิระประไพมาด้วยในฐานะที่เป็นผู้หญิง ตัวเขาขับรถไปส่งรุ่นพี่สาวได้ แต่บางกรณีถ้ามีผู้หญิงด้วยกันอยู่ด้วยจะสะดวกกว่า เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย เนื่องจากยากที่จะบอกว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“เอ้า ไหนๆ เจ๊ตั้งใจจะเมาให้หัวทิ่มก็รีบๆ เดี๋ยวผมต้องไปส่งจีอีก” สุรทินไม่รู้จะทำอย่างไรกับณัฐรัมภา สุดท้ายเขาเลยปลงเอง
“ขอบใจที่มาด้วยกันนะประไพ” สาวรุ่นพี่เอื้อมไปแตะท่อนแขนของมัณฑนากรรุ่นน้อง
ความจริงแล้วจิระประไพมีชื่อเล่นว่า ‘จี’ ทว่าเธอมักจะเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ประไพ’ เพราะก่อนหน้าจิระประไพจะมาทำงานใน Archwin สุรทินมักแซวณัฐรัมภาเรื่องชื่อที่ฟังไฮโซและโดดเด่นกว่าคนทั่วไป พอมีจิระประไพเธอเลยรู้สึกเหมือนมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จึงจัดการเปลี่ยนชื่อเล่นของอีกฝ่ายให้ดูแปลกไม่ซ้ำใครเหมือนชื่อเล่นเธออีกคน
“พี่รัมภาไม่เคยทิ้งจี แล้วจีจะทิ้งพี่รัมภาได้ไง” จิระประไพใช้ปลายนิ้วดุนแว่นทรงกลมขึ้นไปตามสันจมูก
ณัฐรัมภาเป็นเหมือนเจ๊ใหญ่ในออฟฟิศ โดยเฉพาะในฝั่งงานออกแบบตกแต่งภายในซึ่งมีเธอเป็นพนักงานคนแรกของสายนี้ ภาพลักษณ์ภายนอกของเธอคือสาวสวยเปรี้ยว แต่งตัวเก่ง แสบ ร้าย ซึ่งตัวจริงของณัฐรัมภาก็เหมือนภาพที่คนอื่นมองมานั่นแหละ ทว่าในอีกมุมที่คนนอกไม่ค่อยได้เห็นคือเธอมีความเป็นพี่สาวใจดี ดูแลเพื่อนร่วมงานดีมาก โดยเฉพาะรุ่นน้อง เวลาน้องๆ มีปัญหาเรื่องงานเธอก็มักจะแนะนำให้คำปรึกษา ถ้าน้องๆ ต้องทำงานดึกและเธอว่างก็มักจะอยู่เป็นเพื่อน โดยเฉพาะหากมีน้องผู้หญิงที่ไม่มีรถเธอก็จะตระเวนไปส่งกลับบ้านเลยทีเดียว
กับสุรทินแม้ปกติจะตีกันและลับฝีปากกันมากกว่าคุยแบบธรรมดา แต่เอาเข้าจริงณัฐรัมภาก็คอยช่วยเหลือดูแลเขามาตลอด ดังนั้นในเวลาแบบนี้เขาจึงไม่อาจปล่อยให้หญิงสาวมาเมาตามลำพังจนเสี่ยงอันตราย ยิ่งสวยเอ็กซ์แบบนี้มีสิทธิ์จะโดนฉวยโอกาสเยอะมาก
“แต่จีขอพูดอะไรหน่อยนะ จีรู้ว่าพี่รัมภากำลังเซ็ง แต่การเมาแบบนี้มันไม่ดีต่อตัวพี่รัมภาเองนะ”
“พี่รู้” ณัฐรัมภาไม่มีวี่แววว่าจะโกรธเคืองที่โดนรุ่นน้องเตือนตรงๆ เธอก้มลงจิ้มเอ็นข้อไก่ทอดส่งเข้าปาก
“จะว่าไปตอนเลิกกับแฟนสองคนก่อนหน้านี้เจ๊ก็ไม่ได้มาเมานี่ คนนี้เพิ่งอยู่ในระยะจีบด้วยซ้ำ หรือเจ๊ชอบคนนี้มาก” สุรทินอดถามไม่ได้
“เปล่า แล้วสองคนก่อนหน้านี้ก็มีที่เป็นแฟนแค่คนเดียว อีกคนแค่คุยๆ กิ๊กๆ” ณัฐรัมภาแถลง “คนนี้ฉันก็ชอบเขาแหละ คุยกันก็คลิกดี แต่แบบ…คิดดูสิหมู มีคนเข้ามาจีบฉันเยอะแยะ แต่ก็มีแค่พวกห่วยแตกแบบนี้ นี่ขนาดฉันคัดพวกที่เห็นว่าไม่โอเคทิ้งไปแล้ว ไอ้พวกเจ้าชู้ทัศนคติพังยังเล็ดลอดมาอีก มันน่าเซ็งไหม…แล้วไอ้บ้านี่มันกิ๊กผู้หญิงเป็นคอลเล็กชั่นนะ ฉันดันเพิ่งมาสงสัยเพราะผู้หญิงอีกคนพยายามแสดงตัว มันน่าโมโหไหมล่ะที่ฉันตาถั่วเปิดโอกาสให้มันจีบ คุยกับมันทั้งที่มันชาติชั่วขนาดนี้ ดีนะที่ยังไม่หลงผิดถึงขั้นไปคบกับมัน!”
“ผมว่าบางทีเจ๊อาจจะดูผู้ชายไม่เก่งอ่ะ เจ๊น่าจะให้คนอื่นช่วยดูนะ ในออฟฟิศก็คนเยอะแยะ อย่างพี่วินพี่วีก็น่าจะช่วยได้” ชายหนุ่มออกความเห็น
ที่ผ่านมาจะว่าสาวรุ่นพี่รีบร้อนมีแฟนก็ไม่ได้ เพราะเท่าที่เห็นณัฐรัมภาก็ใช้เวลาพอสมควร และด้วยความที่เป็นคนสวยแถมดูเปรี้ยวๆ ทำให้มีคนมาจีบเยอะ ตัวเลือกเยอะ แต่เจ้าตัวก็ไม่ชอบใครง่ายๆ ด้วย สุดท้ายส่วนใหญ่จะถอยไปเองหลังจากตามจีบเธอได้พักหนึ่ง
ปัญหาก็คือทั้งที่ใช้เวลาพยายามดูอย่างดี ณัฐรัมภาก็ยังมักเลือกได้คนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีทั้งพวกเจ้าชู้เงียบ แอบบ้าอำนาจ และอารมณ์ร้อน ซึ่งพวกนี้ล้วนมาแสดงให้เห็นตอนคบกันเป็นแฟนแล้ว ส่วนที่ดีๆ ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ติดปัญหาอื่น เท่าที่รู้ก็เป็นต้นว่าไลฟ์สไตล์ไปกันไม่ได้ หรือไม่น่าจะเข้ากับครอบครัวฝ่ายชายได้อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ช่วยไม่ได้ ที่แน่ๆ กลุ่มหลังนี้มีน้อยกว่า มองรวมๆ แล้วสุรทินจึงลงความเห็นว่าณัฐรัมภาน่าจะมีปัญหาเรื่องการดูผู้ชาย
“พี่วินเขาจ้างฉันมาเป็นดีไซเนอร์ ไม่ใช่จ้างมาเป็นลูกสาว” หญิงสาวกลอกตา “นานๆ ให้ช่วยทีก็คงพอได้แหละ แต่จะให้มานั่งสแกนทั้งหมดนี่ก็เกินไปหน่อยป่ะ”
“ก็เอาแค่คนที่คิดว่าจะคบจริงจังมาให้ช่วยกันดูก็ได้ เจ๊จะได้ไม่ต้องเฟลซ้ำซ้อนแบบนี้ไง”
“ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าบางทีฉันอาจจะต้องคำสาป เกิดมาสวยเซ็กซี่เบอร์นี้เลยต้องแลกกับการเจอผู้ชายห่วยๆ ไม่รู้จบ ฉันเริ่มปลงแล้วว่าอาจจะต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต มานึกดูมันก็อาจจะไม่แย่นะ พวกเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักแล้วแต่งงานมีลูกยังบอกเลยว่าถ้าย้อนเวลาได้ก็คงเลือกอยู่เป็นโสด”
ณัฐรัมภาถอนหายใจ ขณะที่สุรทินทำหน้าเมื่อยอีกรอบ ครั้นจะขัดก็พูดไม่ออกเพราะอีกฝ่ายดันสวยเซ็กซี่จริงๆ เสียด้วย เพียงแต่มันก็เป็นคำพูดที่ฟังแล้วน่าหมั่นไส้มากเช่นกัน
“จีว่ามันอาจแค่ยังไม่ถึงเวลาที่พี่รัมภาจะได้เจอเนื้อคู่ก็ได้ อย่างที่เขาพูดกันไงว่าถ้าคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน อีกอย่างพี่รัมภาก็เพิ่งยี่สิบแปดนี่นา ยังมีเวลาอีกนะ” จิระประไพออกความเห็น
“ถึงพี่จะเพิ่งยี่สิบแปด แต่ก่อนจะแต่งงานเราก็ต้องคบกับอีกฝ่ายนานจนพอจะแน่ใจด้วยไม่ใช่เหรอ เป็นผู้หญิงนี่ลำบากนะ ถ้าแต่งงานตอนอายุเยอะแล้วอยากมีลูกก็ยิ่งต้องคิดหนัก ถ้าจะไม่มีลูกก็ต้องหาผู้ชายที่ไม่อยากมีลูกเหมือนกันอีก” ณัฐรัมภาพูดเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า “แต่เอาเหอะ จริงๆ พี่ก็อยู่คนเดียวได้แหละ พี่แค่สงสัยเฉยๆ ว่าตัวเองอาจจะต้องคำสาปให้เจอแต่ผู้ชายห่วยๆ ไม่ก็คนที่ไม่พอดีกัน”
“นี่เจ๊ถอดใจเรื่องหาแฟนแล้วจริงดิ” สุรทินมองรุ่นพี่ด้วยสายตาเคลือบแคลง
“มีประโยคไหนยะที่ฉันบอกว่าถอดใจ แกไม่ได้ดื่มนี่ เมาอากาศหรือไง” สาวสวยขมวดคิ้ว “ฉันแค่บอกว่าเซ็งและสงสัย…นี่แกยังไม่เคยไปคุยกับลูกค้าแบบเดี่ยวๆ ใช่ป่ะ เวลาไปคุยกับลูกค้าคนเดียวจะเมาดิบแล้วมโนเอาเองแบบนี้ไม่ได้นะ”
“โอ๊ย เจ๊…จะมาเลกเชอร์ด้วยอินเนอร์ดีไซเนอร์อะไรตอนนี้เนี่ย!” เขาร้อง
“เออ แกนี่ยังไง ฉันเมาอยู่ยังจะต้องให้สอน อาการหนักนะ” ณัฐรัมภาส่ายหน้าไปมาคล้ายเอือมระอา
“เจ๊ นี่ถ้าผมไม่เป็นคนดี ผมทิ้งเจ๊แล้วเนี่ยรู้ป่ะ”
“ส่วนใหญ่คนเขาก็พูดกันแต่ว่าให้รอ เดี๋ยวจะได้เจอคนที่ใช่เอง ความรักจะมาเองอะไรประมาณนั้นใช่ไหม” สาวสวยทำหูทวนลมแล้วหันไปหาจิระประไพ “ที่ผ่านมามีแต่คนเข้ามาหาพี่เองตลอดเลยนะ จนนี่พี่ชักจะคิดแล้วว่าหรือพี่ควรลองเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกมั่งเผื่อจะเวิร์ก”
“จีว่าพี่รัมภาควรรอให้หายเมาแล้วค่อยคิดเรื่องนี้” มัณฑนากรรุ่นน้องตอบหลังจากอึ้งไปนิดหนึ่ง
“บางทีไอเดียดีๆ ก็ได้มาตอนเมานะขอบอก” ณัฐรัมภาหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วไล้วนรอบขอบแก้วเหล้าเล่นไปมา “มานึกๆ ดู การจีบกันนี่เสียเวลาเหมือนกันนะ เวลาเบื่อๆ นี่วันไนต์สแตนด์ก็ดูน่าสนใจดี”
“เจ๊เมาแล้วล่ะ” สุรทินถอนหายใจปลงๆ “เอ้า จีรีบๆ ชงเหล้าให้เจ๊รัมภา เอาให้เมาหลับไปเลย ปล่อยให้เมาแค่นี้เดี๋ยวเจ๊ได้ไปชวนใครวันไนต์สแตนด์แน่ๆ เป็นภัยต่อผู้ชายไปอีก”
“ไอ้หมู ฉันนั่งหัวโด่อยู่นี่ด้วยนะ!” รุ่นพี่สาวคนสวยแหว
“ก็ต้องอยู่ดิ ถ้าเจ๊ไม่นั่งหัวโด่อยู่นี่ผมกับจีจะมานั่งที่นี่ทำไม เอ้า ดื่มๆ รีบเมารีบกลับ…เออ แต่นึกอีกที ไม่ต้องรีบมากนะเจ๊ เมื่อกี้ผมสั่งเอ็นข้อไก่ทอดไปอีกจานยังไม่ได้เลยอ่ะ ให้มันมาเสิร์ฟแล้วผมกินเสร็จก่อนละกัน”
เอ๊า อะไรกันเนี่ย
ณัฐรัมภาหันไปมองหญิงสาวคู่หนึ่งที่กำลังส่งเสียงดังมีปากเสียงกันอยู่แถวหน้าห้องน้ำ แม้สมองจะทำงานเชื่องช้ากว่าปกติด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่เธอก็ประเมินได้ว่าเรื่องไม่น่าจะจบง่ายๆ ดังนั้นเลยตัดสินใจว่าจะเดินกลับไปที่โต๊ะก่อน
ท้ายที่สุดหญิงสาวก็ไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมาหนัก แค่ดื่มพอกรึ่มๆ ให้หายเซ็งเท่านั้น เธอเกรงใจรุ่นน้องทั้งสอง หลังจากเห็นสุรทินกับจิระประไพกินข้าวกันเสร็จแล้วเธอเลยบอกว่าจะกลับ ทั้งคู่แปลกใจแต่ก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดไปพร้อมกัน จากนั้นหญิงสาวก็มาเข้าห้องน้ำ รุ่นน้องเลยตามมาด้วย คนรอเข้าห้องน้ำเยอะตามเคย เธอเลยนัดแนะกับจิระประไพไว้ว่าจะออกมารอตรงหน้าปากทางเข้าห้องน้ำซึ่งมีที่ว่างให้ยืนรอได้สะดวกกว่า
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อทำท่าจะมีเรื่องกันแบบนี้ณัฐรัมภาก็ต้องขอจรลีก่อน รุ่นน้องออกมาเจอสถานการณ์ก็น่าจะเข้าใจ แต่เพื่อความแน่ใจเธอเลยก้มลงหยิบมือถือขึ้นมากดเพื่อส่งข้อความบอกอีกฝ่ายให้ไปเจอกันที่โต๊ะ ทว่าแค่เปิดแอพพลิเคชั่นแชตขึ้นมา ยังไม่ทันได้กดไล่หาชื่อจิระประไพ ร่างงามในชุดเดรสสีแดงก็เสียหลักเพราะชนเข้ากับใครบางคน
“ขอโทษครับ”
ใครบางคนคนนั้นเป็นผู้ชาย โชคดีที่เขาไวพอจะคว้าแขนณัฐรัมภาไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้ม แต่ถึงเธอจะไม่ล้มเครื่องมือสื่อสารก็ร่วงหล่นจากมือเรียว พร้อมกับที่สายกระเป๋าสะพายไหลลงจากบ่า
“เฮ้ย!” เธอร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไรๆ ผมว่ามันน่าจะโอเคนะ เพราะมันหล่นบนเบาะ”
บุรุษอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาโน้มตัวมาหยิบมือถือ เขาพูดภาษาไทยติดสำเนียงแบบคนต่างชาติ พอได้มองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดแล้วณัฐรัมภาก็ตระหนักว่าเขาเป็นชาวต่างชาติจริงๆ
ผู้ชายคนที่หญิงสาวเดินชนปล่อยมือจากเธอ ก่อนจะหันไปรับมือถือจากเพื่อน ทว่าเขาก็ไม่ได้ส่งคืนให้เธอทันทีและพลิกมันไปมา
“เท่าที่เห็นไม่มีรอยแตกร้าวหรืออะไรนะ” เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ “แล้วคุณโอเคใช่ไหม”
“โอเคค่ะ เมื่อกี้เหมือนฉันจะเป็นคนเดินมาชนคุณ ขอโทษด้วย”
“พี่รัมภา! เป็นอะไรหรือเปล่า” สุรทินเดินฝ่าผู้คนมาถึงโต๊ะที่เกิดเหตุ สีหน้าแตกตื่นระคนกังวล
“ไม่เป็นไร ฉันแค่ชนคุณคนนี้” ณัฐรัมภาพยักพเยิดไปหาชายหนุ่มผู้ซึ่งเวลานี้กำลังคุกเข่าลงตรงข้างโต๊ะเพื่อเก็บกระเป๋าสะพายให้เธอ
“ผมลองคลำๆ บนพื้นแล้วไม่เจออะไร น่าจะไม่มีอะไรร่วงหล่นจากกระเป๋าคุณนะ” เขาบอกหลังจากลุกขึ้นยืน พอหย่อนมือถือลงในกระเป๋าสะพายแล้วก็ยื่นส่งมันให้หญิงสาว
“ขอบคุณมากค่ะ” ณัฐรัมภารับกระเป๋าคืนมาอย่างโล่งอก
“แล้วจีล่ะ อย่าบอกนะว่าพี่ลืมจี” พอเห็นสถานการณ์คลี่คลายแล้วสุรทินก็นึกถึงเพื่อนร่วมงานอีกคนขึ้นมาได้
“จะลืมได้ไง” หญิงสาวถลึงตาใส่หนุ่มรุ่นน้อง “ฉันกำลังจะส่งข้อความไปบอกประไพอยู่เนี่ยว่าให้ไปเจอกันที่โต๊ะ มีคนจะตบกันตรงหน้าห้องน้ำ ฉันไม่มีที่ยืนรอเลยจะกลับโต๊ะก่อน”
“อ้อ งั้นเดี๋ยวผมโทรหาจีเลยดีกว่า ที่ผมลุกมาจากโต๊ะก็เพราะได้ยินว่ามีคนมีเรื่องกันที่ห้องน้ำนี่แหละ ผมกลัวพี่ไปตบกับใคร”
“ไอ้บ้า!”
ณัฐรัมภาตีหัวสุรทินไปหนึ่งทีอย่างอดรนทนไม่ได้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าผู้ชายคนที่เธอเดินชนยังยืนมองอยู่ เธอเลยรีบสาวเท้าออกเดินเพื่อกลับไปยังโต๊ะของตัวเองที่ด้านนอกร้านตามความตั้งใจเดิม ปล่อยให้สุรทินเดินตามมาที่ด้านหลัง
วันนี้อุตส่าห์ซึ้งๆ ว่ามีน้องดี ไอ้หมูทำเสียเส้นอีกแล้ว!
ณัฐนนท์ยืนมองสองหนุ่มสาวเดินห่างออกไป จนทั้งสองหายไปในกลุ่มคนแล้วเขาจึงหันกลับเข้าหาโต๊ะ
“ดูเป็นผู้หญิงที่มีสีสันดีนะ ตัวจริงก็ดูดีกว่าในรูปด้วย ขนาดว่าในรูปก็สวยแล้วนะ” ไทโรนซึ่งกำลังนั่งกินกับแกล้มออกความเห็น
“อือฮึ” หนุ่มไทยส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงเห็นด้วยพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนเบาะโซฟา
“ถือว่าโชคเข้าข้างเรามากเลยนะที่บังเอิญอยู่ใกล้ๆ จนได้มาเจอเป้าหมายแบบนี้ แถมเธอยังเดินผ่านโต๊ะเราพอดีด้วย”
“อือฮึ” ณัฐนนท์ยังทำเสียงแบบเดิม
“จะไม่พูดอะไรสักคำเลยหรือไง” ไทโรนเลิกคิ้ว “ว่าแต่ทำไมเมื่อกี้ไม่ฉวยโอกาสทำอะไรสักอย่างล่ะ อย่างน้อยก็ทำความรู้จักหรือขอเบอร์ไว้…หรือตั้งใจจะแกล้งทำเป็นบังเอิญไปติดต่องานเขาหลังจากนี้”
“ทำไมถึงคิดว่าฉันไม่ได้ทำอะไรสักอย่างล่ะ” หนุ่มไทยเลิกคิ้วแล้วยกมือถือขึ้นมาชู
ทีแรกเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีเขียวไม่เข้าใจ จนกระทั่งสังเกตเห็นเคสโทรศัพท์มือถือ…ปกติเคสมือถือของเพื่อนเป็นสีน้ำเงิน แต่เคสโทรศัพท์ในมืออีกฝ่ายตอนนี้เป็นโทนสีแดง ซึ่งการที่สีเคสมือถือเปลี่ยนไปก็คงไม่ได้เป็นเพราะแสงไฟในร้านด้วย
“เฮ้ นี่ไม่ใช่มือถือแกใช่ไหม”
“อาฮะ” ณัฐนนท์ยิ้มกริ่ม ดวงตาฉายแววร้ายๆ
“อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้แกสับเปลี่ยนมือถือ”
“ถ้าไม่ให้บอกฉันก็พูดอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไอ้เสือ!” ไทโรนหัวเราะ
“สถานการณ์มันเป็นใจด้วย ตอนหยิบมือถือของเธอขึ้นมา เท่าที่เห็นหน้าตาบวกกับน้ำหนักและสัมผัสฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นรุ่นเดียวกับเครื่องฉันหรือไม่ก็ต้องเป็นรุ่นใกล้ๆ กัน ดังนั้นถ้าฉันจะสับสนจนมือถือสลับกันก็ไม่แปลก จริงไหม” หนุ่มไทยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“แล้วนี่ตั้งใจจะรอให้เขาติดต่อมาหรือว่ายังไงล่ะ”
“ก็แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าคืนนี้กลับถึงคอนโดฯ แล้วเขายังไม่ติดต่อมา ฉันก็ต้องติดต่อไปเอง”
“แกนี่มันไวจริงๆ” หนุ่มอเมริกันยกแก้วเครื่องดื่มมาจรดริมฝีปาก “แต่เท่าที่เห็นเมื่อกี้สาวสวยคนนี้ก็น่าจะไม่ใช่เล่นๆ นะ”
“นั่นสิ” ณัฐนนท์เห็นพ้อง บนใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง สายตาจับจ้องโทรศัพท์ในมือ “ชักอยากเจออีกรอบไวๆ แล้วสิ”
ณัฐรัมภาทิ้งตัวลงบนโซฟาขนาดสองที่นั่งในห้องพักคอนโดฯ ของตนเองอย่างแรงหลังจากหย่อนกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะกาแฟตัวเล็กแล้ว ถึงจะไม่ได้เมาขนาดไร้สติ ทว่าตอนนี้เธอก็มึนเอาเรื่องทีเดียว รวมถึงง่วงมากด้วย
หลังออกจากร้านอาหารกึ่งผับ หญิงสาวก็ให้สุรทินขับรถของเธอพาจิระประไพไปส่งบ้านก่อน จากนั้นจึงค่อยวนกลับมาส่งเธอที่คอนโดฯ แล้วเธอก็ควักกระเป๋าให้รุ่นน้องหนุ่มนั่งแท็กซี่กลับบ้าน รวมถึงคิดว่าสัปดาห์หน้าคงจะต้องเลี้ยงข้าวอีกฝ่ายอีกสักมื้อเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของเขา
มัณฑนากรสาวยื้อสติของตัวเองไว้ได้ทันฉิวเฉียดก่อนที่จะเผลอหลับ เธอรีบเตือนตัวเองว่าต้องล้างเครื่องสำอางเพื่อไม่ให้หน้าเป็นสิว ความกลัวหน้าพังช่วยให้สามารถยันตัวลุกจากโซฟาได้สำเร็จ ร่างในชุดเดรสสีแดงเดินโซซัดโซเซเข้าห้องน้ำ นอกจากล้างเครื่องสำอางแล้วก็อาบน้ำด้วยเลย แต่นอกจากมันจะไม่ช่วยให้เธอสดชื่นขึ้น กลับยังส่งผลในทางตรงข้าม คือยิ่งง่วงหนักกว่าเก่าเสียอีก ทว่าเธอก็ยังอุตส่าห์สั่งตัวเองให้ออกไปเก็บกระเป๋าสะพายเข้ามาในห้องนอนเพื่อเอามือถือมาชาร์จแบตเตอรี่จนได้
ตาของณัฐรัมภาแทบปิดสนิทแล้วตอนหยิบมือถือออกมา เธออาศัยความเคยชินเสียบสายชาร์จได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็น แต่กระนั้นสัมผัสบางอย่างที่แปลกไปก็ทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นมองมือถือของตัวเอง เพราะนึกได้ว่าเมื่อหัวค่ำเธอทำมันหลุดมือ ดังนั้นก็ไม่แน่ว่าเคสโทรศัพท์อาจเสียหาย ทว่าเธอกลับพบเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้น…
เดี๋ยวนะ เคสมือถือของเราไม่ใช่สีนี้ รูปร่างหน้าตาก็ไม่ใช่…เฮ้ย!!!
หญิงสาวตาสว่างในบัดดล เธอพลิกมือถือไปมาหลายรอบอย่างแตกตื่น…ถึงจะเป็นมือถือรุ่นเดียวกัน แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่มือถือของเธอแน่ๆ!
หรือว่า…
ณัฐรัมภานึกถึงเหตุการณ์ตอนเธอเดินชนกับชายแปลกหน้าจนโทรศัพท์หลุดจากมือขึ้นมาได้ เธอไม่แน่ใจว่าตอนนั้นในมือของเขาถือโทรศัพท์อยู่หรือเปล่า แต่มันก็เป็นไปได้ว่าตอนเขาก้มลงไปเก็บมือถือใส่กระเป๋าให้เธออาจเกิดความสับสนบางอย่าง เขาคงไม่ได้มีเจตนาจะขโมย เพราะไม่อย่างนั้นมือถือของเธอคงหายไปโดยไม่มีอีกเครื่องมาแทนแบบนี้
หญิงสาวพยายามตั้งสติ จากนั้นก็กดเรียกหน้าจอให้สว่างขึ้นมา ไม่มีข้อความใดๆ ที่ฟ้องว่าเจ้าของเครื่องกำลังตามหามือถือของตัวเองอยู่ มีเพียงข้อความให้ปลดล็อกตามปกติเท่านั้น
บางทีเขาอาจจะยังไม่รู้ตัวก็ได้
จากที่กำลังจะทิ้งตัวลงนอนณัฐรัมภาก็เปลี่ยนเป็นลุกจากเตียงเพื่อไปเปิดคอมพิวเตอร์ เธอใช้เวลาไม่นานก็ล็อกอินเข้าสู่แอ็กเคาต์เพื่อเริ่มทำการตามหาโทรศัพท์มือถือที่หายไป ก่อนอื่นเธอกดเช็กตำแหน่งที่ตั้งและพบว่ามันกำลังเคลื่อนไหว น่าจะอยู่บนรถสักคัน เธอเลยกดเข้าสู่โหมดล็อกเครื่องสำหรับมือถือที่สูญหาย จากนั้นก็พิมพ์ข้อความขอให้ติดต่อกลับไปที่เบอร์ของสุรทินหรือไม่ก็อีเมล เพราะเธอมีมือถือแค่เครื่องเดียวและที่คอนโดฯ ก็ไม่มีโทรศัพท์พื้นฐาน ปิดท้ายด้วยการสั่งให้มือถือส่งเสียงร้องเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนจะปิด ทว่ายังไม่ทันเริ่มภาวนาว่าขอให้ตนเองคิดถูกที่อีกฝ่ายแค่หยิบมือถือผิด มือถือเครื่องที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ก็ส่งเสียงร้อง
บนหน้าจอมือถือปรากฏชื่อ ‘ไทโรน’ มันไม่ใช่ชื่อคนไทย และเธอก็นึกถึงหนุ่มต่างชาติซึ่งนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชายที่เธอเดินชนขึ้นมาทันทีเลยรีบรับสาย
“คุณทำโทรศัพท์หายใช่ไหมครับ” เสียงถามลอยมาทันที
“ใช่ค่ะ คุณคือคนที่ฉันชนที่ร้านอาหารเมื่อหัวค่ำหรือเปล่า”
“ใช่ครับ แล้วผมก็เป็นเจ้าของมือถือที่อยู่กับคุณตอนนี้ด้วย ดูเหมือนมือถือเราจะสลับกัน ผมก็เพิ่งรู้ตัว…น่าจะเป็นความผิดของผมเองด้วย ผมคงสับสนจนเอามือถือตัวเองหย่อนใส่กระเป๋าของคุณ”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น…” ณัฐรัมภาพึมพำ
“ตอนนี้คุณอยู่บ้านแล้วหรือเปล่าครับ บ้านคุณอยู่แถวไหน”
หญิงสาวบอกย่านที่ตั้งคอนโดฯ ไป
“อืม…คุณต้องรีบใช้มือถือไหม ถ้าไม่รีบเรานัดเจอแล้วแลกมือถือกันพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า พอดีตอนนี้ผมขับรถออกมาส่งเพื่อนที่นอกเมือง กว่าจะกลับเข้าเมืองคงอีกเป็นชั่วโมงๆ มันน่าจะดึกมาก อีกอย่างนี่ผมใช้มือถือเพื่อนโทรด้วย ถ้าแยกกับเพื่อนผมก็จะไม่มีมือถือโทรหาคุณ ดึกๆ แบบนี้มีที่ให้นัดเจอน้อย”
“พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบหลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ดึกแล้วมีสถานที่ให้นัดเจอได้น้อยกว่าตอนกลางวัน อีกทั้งเวลานี้เธอเองก็ทั้งมึนและง่วง ไม่รู้จะถ่างตารอเขาได้ตลอดรอดฝั่งไหม ที่สำคัญถึงโทรศัพท์ของเธอจะอยู่กับเขา ทว่าโทรศัพท์ของเขาก็อยู่กับเธอเช่นกัน…พอคิดแบบนี้แล้วก็สรุปได้ว่า ถึงไม่รู้จักอีกฝ่ายแต่ก็น่าจะพอวางใจได้ว่าเขาคงไม่เบี้ยว
“งั้นเรานัดกันเลยดีกว่า คุณเลือกสถานที่กับเวลาเลยครับ เดี๋ยวผมไปหาคุณเอง”
ณัฐรัมภานิ่งคิดอีกครู่ ก่อนจะเลือกร้านกาแฟดังในห้างใกล้กับคอนโดฯ พอเขาออกปากว่าสะดวกทั้งร้านและห้างเธอเลยจัดแจงนัดเวลาต่อ
“โอเคครับ เอาตามนี้ ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณต้องวุ่นวาย”
“ฉันก็ผิดด้วยเหมือนกัน” สาวสวยพึมพำ
ปกติเธอค่อนข้างติดมือถือ แต่ด้วยความเมาและต้องนั่งรถเธอเลยไม่คิดจะเล่นโทรศัพท์ให้เสี่ยงเวียนหัวพะอืดพะอม แถมตอนแยกจากผู้ชายแปลกหน้าคนนี้เธอก็โดนสุรทินกวนอารมณ์ เลยไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดีว่าข้าวของอยู่ครบถูกต้องหรือเปล่า
“งั้นเอาเป็นว่าเราผิดกันคนละครึ่ง” เขาสรุปง่ายๆ “เจอกันพรุ่งนี้นะครับ กู๊ดไนต์”
“แล้วเจอกันค่ะ” ณัฐรัมภาตอบกลับไปแบบมึนๆ จากนั้นเขาก็วางสายไป ทว่าในหัวเธอก็ยังมีคำว่ากู๊ดไนต์ของชายหนุ่มวนเวียนอยู่
มันเป็นคำบอกลาที่ไม่ได้แปลกประหลาดพิสดารอะไร เพียงแต่เธอไม่ใช่คนรู้จักของเขานี่สิ หรือบางทีเขาอาจไม่รู้ว่าจะปิดบทสนทนาอย่างไรไม่ให้ห้วนเกินไปก็ได้…
หญิงสาวปิดคอมพิวเตอร์ รู้สึกว่าตนเองชักจะคิดอะไรไร้สาระไปหน่อย จากนั้นเธอก็กลับไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง โดยเอามือถือของเขาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงตรงจุดที่เธอมักจะวางโทรศัพท์เป็นประจำ ตอนนั้นเองที่เธอพลันตระหนักว่าลืมถามชื่อของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่เขาไม่ได้ถามชื่อของเธอ
พอกันเลย ณัฐรัมภานึกแบบมึนๆ พร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างและเอื้อมไปปิดไฟนอน พอสบายใจเรื่องมือถือแล้วความง่วงกับความมึนก็หวนกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอก้าวเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย แต่ก่อนจะหลับก็ยังมีความคิดหนึ่งวนเวียน
คำว่า ‘กู๊ดไนต์’ ของเขาสำเนียงกร๊าวใจมากเลย นักเรียนนอกหรือเปล่าก็ไม่รู้
(โปรดติดตามตอนต่อไป…)
Comments
comments
No tags for this post.