บทที่ 2 ณัฐนนท์และบ้านของเขา
ณัฐรัมภาผลักประตูเดินเข้าสู่ร้านกาแฟอันเป็นสถานที่นัดหมาย ภายในร้านมีลูกค้าคลาคล่ำเหมือนทุกครั้งที่มาตามประสาเป็นร้านเชนดัง สาวสวยกวาดตามองไปรอบๆ ไม่แน่ใจว่าตนเองสามารถจำหน้าชายหนุ่มคนที่สลับมือถือกับเธอได้ เพราะเมื่อคืนเธอเมาหน่อยๆ หนำซ้ำแสงไฟในร้านอาหารกึ่งผับก็ค่อนข้างหลอกตาด้วย
หญิงสาวขยับไปยืนหลบมุมตรงข้างชั้นที่วางขายสินค้าแบรนด์ของร้านกาแฟเพื่อจะได้ไม่เกะกะลูกค้าคนอื่น แล้วเธอก็ไล่สายตาดูไปทีละโต๊ะอย่างช้าๆ จนกระทั่งหยุดตรงโต๊ะขนาดสองที่นั่งตัวหนึ่งซึ่งมีบุรุษคนหนึ่งครอบครองอยู่ เขากำลังมองมาเช่นกัน พอได้สบตากันเขาก็หยิบมือถือบนโต๊ะขึ้นมาชู เธอเลยแน่ใจว่าอีกฝ่ายคือคนที่ตามหาและเริ่มออกเดิน
“สวัสดีครับ”
ชายหนุ่มส่งรอยยิ้มมาทักทายตอนเธอเดินถึงโต๊ะ ณัฐรัมภาเห็นอย่างนั้นเลยส่งยิ้มตอบกลับไป ขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาดีกว่าที่เธอจำได้
“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ให้รอนะคะ”
“คุณมาตรงเวลานี่” เขายกแขนขึ้นดูนาฬิกา แล้วก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เธออีกที “ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อคืนตอนโทรคุยกันลืมแนะนำตัว…ผมณัฐครับ”
หญิงสาวเลิกคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะยกเป็นรอยยิ้มขำ
“ฉันรัมภาค่ะ” เธอตอบแล้วหันไปเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งให้เขา
“เหมือนผมจะทำให้คุณขำนะ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเลิกคิ้วบ้าง
“ชื่อของคุณพ้องกับชื่อของฉันน่ะค่ะ ชื่อจริงของฉันคือณัฐรัมภา” เธออธิบายทั้งรอยยิ้มพร้อมกับรับโทรศัพท์คืนจากเขา “ตอนเด็กๆ ฉันเคยชื่อนัทด้วย แต่ชื่อมันโหล คุณแม่เลยจับเปลี่ยนชื่อเป็นรัมภา”
“อ้อ” เขาหัวเราะน้อยๆ “ส่วนผมณัฐนนท์ครับ…คุณต้องปิดลอสต์โหมดใช่ไหม นั่งก่อนก็ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะ” จริงๆ ณัฐรัมภาไม่ได้อยากนั่ง แต่ก็เห็นว่าคงไม่งามถ้าจะยืนค้ำหัวเขาต่อไปเพื่อปลดล็อกมือถือ เธอเลยดึงเก้าอี้ตัวตรงข้ามเขาออกและทรุดลงนั่ง
“ผมชาร์จแบตให้คุณด้วย”
“ฉันก็ชาร์จแบตมาให้คุณเหมือนกัน” หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองเขานิดหนึ่ง พอได้สบตากันเขาก็ยิ้มให้แล้วก้มลงไปกดมือถือของตัวเองบ้าง เธอเลยหลุบตากลับลงมองจอเพื่อพิมพ์พาสโค้ด พอปิดโหมดสูญหายเรียบร้อยเธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
“มือถือคุณอยู่ในสภาพโอเคดีทุกอย่างใช่ไหม” ณัฐนนท์เงยหน้าขึ้นถามเธอ
“โอเคดีค่ะ มือถือคุณล่ะคะ” สาวสวยถามกลับ
“ไม่มีปัญหาครับ” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง “ดูเหมือนมือถือเราจะรุ่นเดียวกันนะ เมื่อคืนผมเลยสับสนเอามือถือใส่กระเป๋าคุณผิดเครื่อง”
“รุ่นเดียวกันจริงๆ แหละค่ะ”
สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ แล้วก็เป็นณัฐรัมภาที่เปิดปากก่อน
“ฉันขอตัวนะคะ ขอบคุณคุณมากๆ อีกครั้งด้วย”
“คุณมีธุระต่อหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีขอผมเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วได้ไหม” ณัฐนนท์พูดต่อทันทีที่สิ้นเสียงของเธอ
หญิงสาวที่กำลังจะฉวยกระเป๋าสะพายลุกยืนชะงัก เธอจ้องใบหน้าหล่อเหลา ทว่าเขาก็ยังคงยิ้มเหมือนเดิม แถมมีข้อเสนอเพิ่มเติมอีกต่างหาก
“หรือถ้าคุณหิว เปลี่ยนเป็นมื้อกลางวันก็ได้”
“ถ้าเป็นเพราะเรื่องที่มือถือเราสลับกัน ก็อย่างที่เราคุยกันเมื่อคืนนั่นแหละค่ะ มันเป็นความผิดของพวกเราคนละครึ่ง คุณไม่จำเป็นต้องไถ่โทษนะ” แม้ณัฐรัมภาจะค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดจะไถ่โทษ แต่เธอก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ผมไม่ได้จะไถ่โทษครับ” ในน้ำเสียงของณัฐนนท์เจือไว้ด้วยเสียงหัวเราะจางๆ “ผมแค่อยากรู้จักคุณ…เมื่อคืนตอนคุณคุยกับเพื่อน ผมว่าคุณน่ารักดี”
“หมายถึงตอนที่ฉันตบหัวเขาเหรอคะ” สาวสวยถามหน้าตาย
“นั่นก็ด้วย” คราวนี้เขาหัวเราะออกมาจริงๆ “อันที่จริงผมว่านั่นเป็นพาร์ตสำคัญเลยที่ทำให้ผมประทับใจจนอยากรู้จักคุณ”
“คุณเคยคิดไหมคะว่าตัวเองอาจมีรสนิยมแปลกๆ”
“ไม่เลย ผมเชื่อว่าตัวเองรสนิยมดี คราวนี้ก็เหมือนกัน”
ณัฐรัมภามองชายหนุ่มอย่างประเมิน เธอจับได้ถึง ‘ความแพรวพราว’ จากคนตรงหน้าได้ไม่ยากเลย ซึ่งนั่นไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ชายที่เธออยากพบเจอ โดยเฉพาะในวันที่เพิ่งเขี่ยกิ๊กจอมเจ้าชู้ทิ้งลงถังขยะ แถมเธอก็ไม่ได้นึกอยากจะเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่ในช่วงนี้ ทว่าพอมาคิดดูอีกที…อย่างน้อยเขาก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ถึงจะรู้ตัวว่าดูผู้ชายไม่ค่อยเป็น แต่การดื่มกาแฟกับเขาแก้วหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องคบหากับเขาจริงจัง ไม่แน่เธออาจจะได้เพื่อนใหม่หรือคอนเน็กชั่นดีๆ ก็ได้
“ฉันชอบจาวาชิพแฟรปปูชิโน”
“โอเคครับ” ณัฐนนท์ค้อมศีรษะรับ ดวงตาพราวระยับ
ชายหนุ่มถามรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เป็นต้นว่าไซส์แก้วที่ต้องการและองค์ประกอบพิเศษอย่างอื่นของเครื่องดื่ม จากนั้นก็ลุกจากโต๊ะเดินไปยังเคาน์เตอร์ ณัฐรัมภานั่งมองตามร่างสูงโปร่งไป ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าคิดถูกหรือเปล่า
แต่ยังไงก็ตัดสินใจไปแล้ว อะไรจะเกิดก็เอาเหอะ
หนึ่งชั่วโมงหลังจากตัดสินใจนั่งที่ร้านกาแฟต่อ ณัฐรัมภาก็ได้ค้นพบว่ามันไม่แย่เลย ณัฐนนท์เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะที่ดี เธอสามารถนั่งคุยกับเขาได้เรื่อยๆ โดยไม่เบื่อหรืออึดอัด ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาแค่ชวนเธอคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ทำตัวเป็นเพื่อนใหม่ที่เพิ่งทำความรู้จักกัน โดยไม่ได้พยายามรุกจีบเธออย่างใจร้อนเหมือนที่ผู้ชายบางคนทำ
หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาหัวข้อสนทนาของเธอกับเขาเรื่อยเปื่อยมาก ตั้งแต่เรื่องกาแฟ รสชาติของเมล็ดกาแฟที่ปลูกในสถานที่ต่างๆ อุปกรณ์การดื่มที่ช่วยส่งเสริมแนวคิดรักษ์โลก โดยที่ทั้งเธอกับเขาแทบไม่ได้พูดถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกันเลย จนกระทั่งเมื่อครู่ชายหนุ่มคุยถึงบ้านที่สร้างด้วยพริ้นเตอร์สามมิติซึ่งเขาเคยเห็นมา เธอก็เลยถาม
“คุณเรียนจบหรือทำงานในสายวิทยาศาสตร์หรือเปล่าคะ ฉันเดาจากที่เรานั่งคุยกันน่ะ”
“ครับ ผมเป็นนักวิจัย” ณัฐนนท์พยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม
“นักวิจัย? แบบนักวิทยาศาสตร์อะไรประมาณนั้นน่ะเหรอ” หญิงสาวทำตาโต
“ใช่ครับ ผมทำเกี่ยวกับด้านชีวเคมี…คุณดูตกใจนะ หน้าผมไม่ให้เลยใช่ไหม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่อาชีพนักวิจัยนักวิทยาศาสตร์เป็นอาชีพที่ฉันเคยอยากเป็นตอนเด็กๆ ฉันคิดว่ามันเท่มากเลย”
“ตอนเด็กๆ ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน พอมาทำจริงๆ ถึงรู้ว่าเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความอดทนและความพยายามเยอะมาก…แต่ก็นั่นแหละ มีอาชีพไหนบ้างที่ไม่ต้องอดทนและพยายาม มันต้องมีความลำบากสักอย่างนั่นแหละ”
“ก็จริง” ณัฐรัมภาหยุดนิดหนึ่ง “แล้วคุณจบจากต่างประเทศใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา พอเรียนจบผมก็ทำงานที่นู่นต่อสองปีแล้วถึงกลับมาไทย”
“จริงๆ คุณทำงานอยู่ที่นู่นน่าจะสบายกว่าที่ไทยนะ” เธอแปลกใจ
“ยังไงครอบครัวผมก็อยู่ที่ไทยนี่” ชายหนุ่มยิ้ม “ไม่แน่วันหนึ่งผมอาจจะไปทำงานที่เมืองนอกอีกก็ได้ แต่ตอนนี้ก็กลับมาทำอะไรที่อยากทำก่อน”
“ดีจัง ฉันเคยคิดว่าอยากไปเรียนต่อหรือไม่ก็ไปทำงานเมืองนอกบ้าง ไม่รู้จะได้ไปไหม” หญิงสาวพึมพำ “ฉันถามเรื่องคุณแล้ว ฉันก็ต้องบอกเรื่องของตัวฉันมั่งเนาะ…ฉันทำงานเป็นอินทีเรียดีไซเนอร์ค่ะ”
“อินทีเรีย” เขาเลิกคิ้ว “ว้าว เจ๋งมากเลยนะ ผมทึ่งทุกครั้งเวลาเห็นอินทีเรียเปลี่ยนบ้านหลังหนึ่งไปเป็นอีกหลัง เหมือนใช้เวทมนตร์เลย”
“คุณพูดซะฉันภูมิใจเลย ถึงแม้ฉันจะไม่ได้เป็นคนทำบ้านหลังที่คุณพูดถึงก็เถอะ” ณัฐรัมภาหัวเราะ ขณะเดียวกันเธอก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา รู้สึกว่าเขาให้ความเคารพนับถืออาชีพของเธอจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดตามมารยาท
“อาชีพคุณเจ๋งจริงๆ นะ คุณคิดดูสิ เสกบ้านเก่าๆ โทรมๆ ให้กลายเป็นบ้านใหม่ในแบบที่เจ้าของชอบได้ อาชีพที่ทำให้คนมีความสุขในการใช้ชีวิตได้นี่เจ๋งมากนะ” ดวงตาของเขาฉายแววชื่นชม “สำหรับผมนับถืออาชีพในสายของคุณเป็นพิเศษเลยนะ เพราะเวลาย้ายที่อยู่ผมมีปัญหาเรื่องนี้มาตลอด ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนสีไหนถึงจะเข้ากัน จนซื้อมาวางแล้วนั่นแหละถึงรู้ว่าพังพินาศ”
“ก็คงเหมือนที่ฉันนับถือคุณที่วิจัยเรื่องยากๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้ได้แหละค่ะ ตอนเด็กๆ ฉันว่าอาชีพนักวิทยาศาสตร์เท่ดี แต่พอโตขึ้นถึงรู้ว่าเรียนไม่ได้แน่ๆ แค่เห็นตารางธาตุฉันก็เป็นลมแล้ว”
“คุณตกแต่งภายในพวกบ้านอะไรแบบนี้ใช่ไหม แล้วมีแนวที่ถนัดเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ฉันทำหมดแหละค่ะ ลูกค้าชอบแนวไหนก็คุยกันได้…ที่ถามนี่อย่าบอกนะว่ากำลังหาคนแต่งบ้านให้อยู่”
“ใช่ครับ” ณัฐนนท์รับทั้งรอยยิ้ม “มันต้องมีอะไรพิเศษแน่เลยผมถึงได้มาเจอคุณ คือผมเพิ่งซื้อบ้าน เป็นบ้านโมเดิร์นลอฟต์ กำลังคิดว่าจะหาคนมาตกแต่งภายในให้พอดี เพราะถ้าผมซื้อเฟอร์นิเจอร์เองบ้านคงดูเละเทะไม่ต่างจากคราวก่อนๆ”
สาวสวยจ้องหน้าเพื่อนใหม่ เมื่อครู่เธอก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ใครจะไปนึกว่าจะได้คำตอบแบบนี้
“คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม”
“จริงจังทุกคำเลยครับ” ชายหนุ่มหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดบนหน้าจอสามสี่ทีแล้วยื่นมันให้เธอ “นี่ไงบ้านใหม่ของผม”
ณัฐรัมภารับมือถือเครื่องที่เมื่อคืนอยู่กับตนเองมา บนหน้าจอกำลังแสดงภาพบ้านสองชั้นสไตล์โมเดิร์นลอฟต์ เท่าที่เห็นดีไซน์เก๋ไม่น้อยทีเดียว และจากประสบการณ์การทำงานทำให้เธอทราบในทันทีว่าราคาก็น่าจะแรงไม่น้อยด้วย…แต่มานึกอีกที เขาทำงานอยู่เมืองนอกตั้งสองปี แถมได้ทุนไปเรียนก็น่าจะเป็นระดับหัวกะทิ การมีเงินกลับมาซื้อบ้านที่ไทยก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก
“คุณทำบ้านโมเดิร์นลอฟต์แบบนี้ได้ใช่ไหม”
“ฉันเคยทำค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับถนัด ไม่ได้ทำบ่อยด้วย” หญิงสาวส่งโทรศัพท์คืนให้เขา “แล้วก่อนหน้านี้คุณได้มองดีไซเนอร์คนไหนไว้บ้างไหม”
“ยังเลยครับ ผมเพิ่งจัดการเรื่องซื้อขายเสร็จเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง…คุณรับทำได้ไหม”
“รับน่ะรับได้ค่ะ แต่ฉันยังไม่อยากให้คุณปักใจ คุณควรลองหาดีไซเนอร์คนอื่นด้วย ลองดูพอร์ตโฟลิโอของแต่ละคนและลองคุยดูก่อนค่อยเลือก เรื่องบ้านนี่สำคัญมาก ควรจะได้แบบที่คุณถูกใจที่สุด” ณัฐรัมภาพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“โอเคครับ ผมจะหาคนอื่นด้วย” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แววชื่นชมฉายอยู่ในดวงตา “คุณจริงใจมากเลย”
“คุณพูดเองนี่ว่าอาชีพของฉันควรจะทำให้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อีกอย่างคุณโชคดีที่ช่วงนี้ฉันไม่ได้ร้อนเงิน” เธอพูดติดตลกปิดท้าย
สำหรับอาชีพในสายงานสถาปนิกหรือมัณฑนากร ต่อให้มีสังกัดบริษัทแต่ก็รับ ‘ฝิ่น’ หรืองานพิเศษนอกบริษัทกันเป็นเรื่องปกติ ในกรณีของเธอนั้น อาชวินผู้เป็นเจ้านายไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ ใครจะรับงานนอกอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่กระทบกับงานในบริษัทเขาก็ไม่มีปัญหา แต่ปกติถ้ามีคนติดต่องานมาแล้วเป็นงานใหญ่ที่ดูยุ่งยากเธอก็จะส่งต่อเข้าบริษัท สำหรับงานออกแบบตกแต่งภายในครั้งนี้ดูไม่ใหญ่โตก็ทำเองได้
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเธอไม่ได้รับงานนอกเลยเพราะขี้เกียจ บวกกับเริ่มมีคนคุยด้วย แต่ในเมื่อตอนนี้โสดสนิทแล้วก็หาเงินช็อปปิ้งดีกว่า
“บ่ายนี้คุณว่างไหมครับ เข้าไปดูที่บ้านกับผมได้หรือเปล่า ผมอยากให้คุณเข้าไปเห็นตัวบ้านของจริงเลย มีค่าใช้จ่ายก็ไม่เป็นไร ผมไม่มีความสามารถในการอธิบายอะไรแบบนี้จริงๆ แถมไม่มีรูปในบ้านให้คุณดูครบๆ ด้วยสิ”
“ก็ว่างอยู่ค่ะ บ้านคุณอยู่แถวไหนเหรอ”
ณัฐนนท์บอกชื่อหมู่บ้านกับย่านที่ตั้งให้เธอฟัง มันไม่ได้อยู่กลางใจเมือง แต่ในยุคนี้ก็ไม่ถือว่าไกลจนเดินทางลำบาก แถวนั้นมีรถไฟฟ้าผ่านแล้วด้วย
“โครงการนี้เอง ฉันเคยได้ยินชื่ออยู่นะ”
“งั้นเรามูฟไปกินมื้อเที่ยงเถอะ เสร็จแล้วเดี๋ยวไปดูบ้านกัน…คุณเลือกเลยครับว่าอยากกินอะไร”
หญิงสาวมองหน้าอีกฝ่าย จากที่คิดว่าแค่ดื่มกาแฟ ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นการกินข้าวด้วยแล้ว แถมการปฏิเสธก็ดูไม่สมเหตุสมผลเสียด้วย
แต่ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องงาน มันก็ไม่ถือว่าเขาเจ้าเล่ห์มัดมือชกหรอกมั้ง…
ณัฐรัมภาเลือกกินอาหารญี่ปุ่น เวลาส่วนใหญ่ระหว่างมื้ออาหารหมดไปกับการอธิบายวิธีการจ้างงานมัณฑนากร ซึ่งก็มีทั้งให้ออกแบบเฉยๆ และที่ให้ออกแบบควบประสานงานกับผู้รับเหมาที่เจ้าของบ้านจ้าง ไปจนถึงแบบที่ให้มัณฑนากรจัดการทุกอย่างให้เจ้าของบ้าน นอกจากนี้เธอก็เปิดพอร์ตโฟลิโองานของตัวเองให้ชายหนุ่มดูด้วย โดยเฉพาะพวกงานโมเดิร์นที่เคยทำ เพื่อที่ถ้าสไตล์ของเขาไม่ตรงกับของเธอก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีภาพการตกแต่งบ้านในหัวที่ชัดเจน เธอเปิดอะไรให้ดูเขาก็ทำท่าถูกใจไปหมด
หญิงสาวขอให้เขาตั้งงบประมาณสำหรับการตกแต่งภายในแบบไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ชัดเจน รวมถึงให้ลองนึกดูด้วยว่าอยากให้บ้านของตัวเองออกมาเป็นแบบไหนแน่ จากนั้นเธอก็ขับรถตามเขาไปที่หมู่บ้าน มันเพิ่งสร้างเสร็จพร้อมย้ายเข้าอยู่ไม่นานนี้เอง เท่าที่เห็นตอนนี้ในหมู่บ้านเพิ่งมีคนย้ายเข้ามาอยู่แค่ไม่กี่หลัง หลายหลังเห็นชัดว่ามีช่างกำลังทำงาน
ตัวบ้านมีพื้นที่ไม่มาก ที่สำคัญคือพอได้มาอยู่ในสถานที่จริงแล้ว ณัฐนนท์ก็ดูจะมีภาพในหัวชัดเจนมากขึ้นว่าเขาต้องการอะไรบ้าง มัณฑนากรสาวเลยสามารถจินตนาการต่อยอดได้ง่ายขึ้น
“คุณจะรีบย้ายเข้าไหมคะ”
“ไม่ครับ ผมยังมีสัญญาเช่าคอนโดฯ เหลืออยู่อีกเกือบครึ่งปีแน่ะ”
“อ้อ เวลาถมถืด สบายเลย”
ณัฐรัมภาพยักหน้ารับหงึกหงักแล้วหันไปมองพื้นที่ห้องครัว ในหัวนึกภาพว่าจะทำอะไรกับพื้นที่ส่วนนี้ได้บ้าง แต่ไม่ทันไรเธอก็ต้องหันไปหาชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
“ผมมาคิดดูแล้ว คุณทำบ้านให้ผมเถอะ”
“ตอนอยู่ห้างคุณรับปากฉันไม่ใช่เหรอ ว่าจะลองคุยกับดีไซเนอร์คนอื่นด้วยแล้วค่อยตัดสินใจ” เธอเลิกคิ้ว
“ผมขี้เกียจแล้ว” ณัฐนนท์พูดง่ายๆ “ผมไม่มีคนรู้จักในวงการคุณเลย แล้วผมคิดว่าคุยกับคุณเข้าใจกันดีด้วย แค่คิดว่าจะต้องมานั่งอธิบายซ้ำอีกรอบว่าผมชอบอะไรและต้องการอะไรก็ปวดหัวแล้ว ผมไม่ถนัดอะไรพวกนี้เลยจริงๆ ที่สำคัญผมโอเคกับราคาที่คุณเสนอมาด้วย”
“ถ้าคุณยืนยันแบบนั้นก็โอเคค่ะ”
หญิงสาวไม่คัดค้านเพราะดูแล้วงานไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพียงแต่งานนี้เธอต้องหาผู้รับเหมาและประสานงาน รวมถึงควบคุมการทำงานของช่างให้เขาด้วย เนื่องจากเขาต้องการจ้างเธอแบบเทิร์นคีย์ คือให้ทำทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
“ขอบคุณครับ” ณัฐนนท์ยิ้มกว้าง
“เอาล่ะ งั้นขั้นตอนคร่าวๆ ก็คือเดี๋ยวฉันจะกลับมาวัดขนาดของห้องต่างๆ ในบ้านนี้ แล้วก็ต้องเอาสัญญาให้คุณเซ็น พอเซ็นสัญญาเรียบร้อยและจ่ายเงินมัดจำแล้วฉันถึงจะเริ่มออกแบบ ไม่เกินสองสัปดาห์ก็น่าจะส่งแบบแรกให้คุณดูได้ค่ะ”
เขาหยุดนิดหนึ่ง ทำท่าครุ่นคิด
“จริงๆ ถ้าพรุ่งนี้คุณว่างพอจะเข้ามาวัดบ้านและสามารถเตรียมการเรื่องสัญญาได้พร้อม เรานัดเจอกันอีกรอบเลยก็ได้นะ”
“งั้นพรุ่งนี้นัดเจอกันที่บ้านนี้เวลาเดิมดีไหมคะ คุณสะดวกไหม”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มรับคำท่าทางสบายอกสบายใจ “ผมรอดแล้ว จะได้มีบ้านสวยๆ กับเขาบ้างเสียที…นี่คุณรู้ไหม เมื่อคืนผมยังคุยกับไทโรนเรื่องนี้อยู่เลย ไทโรนคือเพื่อนผม ที่คุณเจออยู่กับผมเมื่อวานน่ะ เพราะผมไม่รู้จะเริ่มต้นหาคนมาตกแต่งบ้านได้ยังไง จะหาจากในอินเตอร์เน็ตก็ไม่รู้จะเชื่อถือได้แค่ไหน”
“แต่นี่คุณก็เพิ่งรู้จักฉันไม่กี่ชั่วโมงนะคะ” ณัฐรัมภาชี้ให้เห็นความจริง ขณะเดียวกันก็ขำกับท่าทางของเขา
“อย่างน้อยมือถือผมก็ไปอยู่กับคุณคืนนึงและกลับมาหาผมแบบไม่บุบสลาย อีกอย่างผมว่าเราก็คุยกันเข้าใจดีนะ หรือคุณว่ายังไงล่ะ”
“ฉันจะทำงานของฉันให้ดีที่สุดค่ะ” หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถาม แล้วเธอก็ยกแขนขึ้นดูนาฬิกา “ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้เรานัดกัน ฉันต้องเลื่อนธุระของพรุ่งนี้ขึ้นมา”
“ผมกำลังว่าจะชวนคุณกินมื้อเย็นด้วยกันต่อพอดี” ณัฐนนท์ทำท่าเสียดาย
“เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” เธอยิ้ม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “อ้อ จริงสิ เรายังไม่ได้แลกเบอร์กันไว้เลย รอแป๊บนะคะ นามบัตรฉันอยู่ในรถ…”
“แลกเบอร์กันตรงนี้เลยก็ได้ครับ ผมไม่ได้เอานามบัตรมาด้วยซ้ำ”
เมื่อชายหนุ่มพูดแบบนั้นเธอก็ทำตามโดยไม่โต้แย้ง ทั้งสองแลกทั้งเบอร์และไอดีแชตกัน เธอบอกว่าจะส่งสัญญาให้เขาดูก่อน เผื่อมีจุดที่เขาต้องการแก้ไข แล้วเขาก็เดินไปส่งเธอที่รถ
ณัฐนนท์ยืนมองจนกระทั่งรถของหญิงสาวเลี้ยวหายไปตรงหัวมุม จากนั้นเขาก็หมุนกายเดินกลับเข้าสู่เขตบ้านพร้อมกับยกมือถือขึ้นมากด หลังจากฟังเสียงสัญญาณรอสายครบสามครั้งก็มีเสียงตอบรับเป็นภาษาอังกฤษ
“ว่าไง”
“ทำไมเสียงเป็นงั้นวะ อย่าบอกนะว่ายังไม่ตื่น” หนุ่มไทยถามกลับไปเพราะเสียงจากปลายสายแหบกว่าปกติ
“ตื่นแล้วสิวะ ป่านนี้แล้ว หิวเลยตื่นมากินข้าวเที่ยงจนจะหลับอีกรอบแล้ว” ไทโรนตอบกลับมา “เออ ว่าแต่โทรมาแบบนี้แสดงว่าได้มือถือคืนแล้วสิ ได้ทำความรู้จักกับคุณคนสวยตามที่ตั้งใจไว้ไหมล่ะ”
“แน่นอน แล้วก็ได้เธอมาตกแต่งบ้านให้ด้วย” หางเสียงของณัฐนนท์เจือไว้ด้วยเสียงหัวเราะ
“ตกแต่งบ้าน?” อีกฝ่ายทวนคำ “อ้อ เธอเป็นอินทีเรียดีไซเนอร์”
“ใช่ ก็ตีสนิทได้ง่ายๆ นะ…พรุ่งนี้ฉันนัดกับเธออีกรอบ ต้องเซ็นสัญญากัน”
“ไอ้เสือเอ๊ย” ไทโรนหัวเราะหึๆ “แล้วนี่จะยังไงต่ออีกล่ะ”
“ก็ไม่ยังไง ไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะกว่าจะตกแต่งบ้านเสร็จก็ต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือนๆ” ณัฐนนท์บอก “ส่วนแก ขุดตัวเองจากเตียงแล้วลุกขึ้นมาแต่งตัว เดี๋ยวฉันรับไปกินข้าวที่บ้านแม่”
“อะไรวะ จะไม่ถามความสมัครใจกันหน่อยเรอะ”
“แล้วแกจะไม่ไปหรือไง เห็นไปทีไรก็ชมอาหารอร่อย ชมว่าแม่ฉันสวยจนตัวท่านจะลอยอยู่แล้ว”
“เขาเรียกว่าอยู่เป็นโว้ย” ไทโรนหัวเราะอีก “เออๆ เข้ามารับฉันแล้วกัน กำลังคิดว่าเย็นนี้ขี้เกียจออกไปหาอะไรกินพอดี”
ณัฐนนท์วางสาย เขาหยุดยืนตรงกลางบ้านแล้วหันมองไปรอบๆ ด้วยความภาคภูมิใจกับบ้านในฝันที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ดูเหมือนเขาจะมีโชคด้วยที่ณัฐรัมภาเป็นมัณฑนากร เท่าที่ทราบข้อมูลและได้เห็นพอร์ตโฟลิโอเธอดูมีฝีมือไม่น้อยด้วย
นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ส.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.