X
    Categories: LOVEณัฐรัมภาทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ณัฐรัมภา บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 5 ความบังเอิญที่ตั้งใจ

“เฮ้ย พวกแกอย่าทำงานเพลินนะ ยังไงพักกินข้าวก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเผางานต่อ”

ณัฐรัมภาร้องบอกเพื่อนร่วมงานกว่าครึ่งออฟฟิศซึ่งยังนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองแม้จะถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว พอได้ยินเสียงตอบรับอือออเธอจึงระบายลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปยังโถงลิฟต์ด้านหน้า ขณะเดียวกันก็บอกตัวเองว่าหลังกินข้าวเสร็จคงจะต้องแวะซื้อของกินจำพวกแซนด์วิชหรือขนมปังจากร้านสะดวกซื้อมาเผื่อไว้ เธอเชื่อว่าถึงตอนนั้นก็น่าจะมีคนที่ยังนั่งทำงานไม่ได้ลุกออกไปกินข้าวเที่ยง

วันนี้ในออฟฟิศ ‘เดือด’ มาก ไม่ใช่เพราะมีใครทะเลาะกัน แต่วันนี้มีงานต้องส่ง คือบ่ายนี้มีงานโปรเจ็กต์หนึ่งต้องส่งให้อาชวินดูก่อนที่เขาจะเอาเข้าที่ประชุมตอนสี่โมงเย็น อันที่จริงงานนี้ควรจะเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน ทว่าที่ไม่เสร็จเนื่องจากเมื่อวานนี้ก็มีอีกงานที่ต้องเร่งทำเพื่อเอาไปประชุมกับลูกค้าเช้านี้ ถึงขั้นที่ต้องอยู่กันดึกดื่นทีเดียว อาชวินเองก็ทราบว่าตอนนี้พนักงานเริ่มไม่พอดีกับงานที่รับมา เขาประกาศรับสมัครสถาปนิกเพิ่มแล้ว แต่คนที่มาสมัครก็ยังไม่เข้าตา ดังนั้นตอนนี้ทุกคนก็ต้องอดทนและช่วยกันไปก่อน

ส่วนณัฐรัมภากับแก๊งมัณฑนากรซึ่งมีกันอยู่สามคนถ้วนไม่สามารถช่วยงานสถาปนิกได้ ดังนั้นพวกเธอเลยสามารถออกมาพักเที่ยงกินข้าวได้ตามปกติ

บริษัท Archwin ไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจกลางใจเมือง แต่ก็อยู่ในย่านที่ได้ชื่อว่าเก๋ไก๋ นอกจากใกล้รถไฟฟ้าแล้วยังมีห้างและร้านรวงมากมาย ของกินก็มีตั้งแต่ถูกมากไปจนถึงแพงมาก…ปกติแล้วพวกพนักงานของ Archwin ไม่ค่อยกินข้าวรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะแยกย้ายกันไปตามเมนูที่อยากกิน อย่างณัฐรัมภาเองถ้าไม่มีใครอยากกินอะไรเหมือนกันเธอก็ไปกินคนเดียวได้โดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

อย่างไรก็ตาม วันนี้เธอมาที่ ‘ร้านเจ๊เขียว’ กับมัณฑนากรรุ่นน้องอีกสองคน ชาวออฟฟิศในละแวกนี้ล้วนต้องเคยเป็นลูกค้าร้านเจ๊เขียว เพราะขายอาหารตามสั่งราคาไม่แพงและมีเมนูค่อนข้างหลากหลาย เพียงแต่ที่ตั้งของร้านอยู่ในซอกหลังตึก ส่วนใหญ่เลยมีแค่คนในพื้นที่ที่จะรู้จักร้านนี้

“อ้าว หมู เพิ่งกลับจากไปไซต์ใช่ไหม แล้วนี่อู้หรือไง ทำไมเดินมาทางนี้ไม่ไปออฟฟิศ” ณัฐรัมภาร้องทักสุรทินที่บังเอิญเดินมาเจอกันตรงหน้าทางเข้าซอกตึกเพื่อไปร้านขายอาหารตามสั่ง

“โอ้โห รัวเป็นชุด” หนุ่มรุ่นน้องทำหน้าเมื่อย “เอาทีละเรื่องนะ ผมเพิ่งกลับมาจากไซต์ แต่นี่ยังไม่ได้กินข้าวเลยจะแวะกินข้าว ไม่ได้อู้…แล้วนี่พวกพี่จะมากินข้าวเหมือนกันใช่ไหม”

“อืม แกก็จะกินร้านเจ๊เขียวใช่ป่ะ งั้นไปด้วยกัน” สาวสวยพยักพเยิดแล้วเดินเลี้ยวเข้าสู่ซอกตึกที่นำไปสู่ร้านอาหาร “แต่ยังไงเดี๋ยวแกรีบกลับออฟฟิศหน่อยนะ ตอนนี้พวกที่เหลือกำลังเผางานกันหน้าไหม้แล้ว”

“งานห้างใช่ไหม”

“นั่นแหละ พี่วินต้องเอาไปประชุมสี่โมงเย็นไง”

สุรทินไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงถอนหายใจแบบปลงๆ เท่านั้น…จริงอยู่ที่เขามีสิทธิ์จะใช้เวลาพักของตัวเองให้ครบชั่วโมง แต่พอฟังจากณัฐรัมภาแบบนี้แล้วจะไม่รีบกลับไปก็ยังไงอยู่ ถึงปกติเขาจะไม่ได้เป็นสมาชิกทีมที่ทำโปรเจ็กต์นี้ ทว่าที่ผ่านมาถ้าใครว่างก็มักจะข้ามไปช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ของโปรเจ็กต์ที่ตัวเองไม่ได้ทำ ยิ่งเวลาน้อยๆ งานเร่งๆ แบบนี้ยิ่งต้องช่วย

“แล้วทำไมหมูไม่กินข้าวที่อื่น ถ่อกลับมากินถึงนี่เลย” จิระประไพซึ่งเดินตามหลังสุรทินถามบ้าง

“ตอนแรกก็ว่าจะกินแถวไซต์งาน แต่ตอนออกมามันเที่ยงพอดี ร้านไหนๆ คนก็เยอะ พอขึ้นรถมาแล้วก็ขี้เกียจแวะกลางทาง เลยคิดว่ามากินร้านเจ๊เขียวดีกว่า บ่ายแล้วคนก็น่าจะน้อย ไม่ต้องรอนาน”

ที่ Archwin พักกลางวันกันตอนบ่ายโมง ข้อดีคือร้านอาหารจะคนน้อยกว่าตอนเที่ยงหน่อย แต่ข้อเสียก็คือตัวเลือกร้านอาหารอาจน้อยตามไปด้วยเช่นกัน เพราะบางร้านแถวนี้เปิดขายอาหารเที่ยงสำหรับพวกคนทำงานโดยเฉพาะ ดังนั้นถ้าลงมาช้าบางทีอาหารก็หมดไปแล้ว ส่วนร้านเจ๊เขียวนั้นขายจนถึงช่วงเย็น เวลานึกอะไรไม่ออกหรือไม่รู้จะกินอะไรคนส่วนใหญ่จึงมาที่ร้านนี้กัน

ณัฐรัมภาตั้งใจจะกินสุกี้แห้งแต่ปรากฏว่าสุกี้หมด เธอเลยปล่อยให้น้องๆ สั่งอาหารก่อน ส่วนตัวเองก็ยืนมองป้ายเมนูอาหารขนาดใหญ่บนกำแพงแบบมึนๆ เลือกไม่ถูกว่าควรจะกินอะไรดี

“คุณรัมภา”

หญิงสาวหันตามเสียงเรียก แล้วเธอก็ทำตาโตเมื่อเห็นณัฐนนท์ยืนอยู่ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็ทำท่านึกขึ้นได้

“อ้อ ผมนึกออกแล้ว คุณเคยบอกว่าออฟฟิศอยู่แถวนี้”

“ใช่ค่ะ แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้…อย่าบอกนะว่าคุณทำงานอยู่ใกล้ๆ เหมือนกัน”

“เปล่าครับ ผมมางานสัมมนาที่โรงแรมตรงปากซอย มันจัดบ่ายสอง ผมเลยว่าจะมาหาอะไรกินก่อน เพื่อนผมเคยทำงานแถวนี้บอกให้ไปกินที่โรงอาหารของกรมอะไรสักอย่างตรงนั้น แต่ผมไปแล้วแทบไม่มีอะไรเหลือให้กิน เขาเลยบอกให้เดินมาตรงนี้แทน” ชายหนุ่มชี้มือชี้ไม้ประกอบ “ตอนแรกผมเกือบหาไม่เจอแล้ว พอดีเห็นคนกลุ่มนึงเดินเลี้ยวเข้าซอกตึกพอดีเลยตามมา…น่าจะกลุ่มของคุณนี่แหละมั้ง”

“ร้านนี้ต้องคนแถวนี้ถึงจะรู้จัก” ณัฐรัมภาพยักหน้ารับ

“แล้วมีเมนูอะไรแนะนำไหมครับ”

“ร้านนี้ก็อร่อยหมดแหละค่ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับหันไปโปรยยิ้มหวานส่งให้เจ๊เขียว อดคิดไม่ได้ว่าเขาก็ช่างถามต่อหน้าแม่ค้า ถ้าเธอตอบไม่ดีมีหวังโดนร่อนจานใส่

“นี่คุณกำลังจะสั่งอะไรเหรอ”

“ฉันกำลังลังเลระหว่างข้าวผัดขี้เมาไข่เจียวหรือข้าวผัดกะเพราปลาหมึก…อืม ตกลงเอาเป็นข้าวผัดกะเพราปลาหมึกแล้วกันค่ะเจ๊” ประโยคหลังเธอพูดกับเจ้าของร้าน จู่ๆ ก็ตัดสินใจได้ขึ้นมาเสียเฉยๆ

“งั้นผมเอาข้าวผัดขี้เมาไข่เจียว” ณัฐนนท์เลือกเมนูง่ายๆ

มัณฑนากรสาวมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้ว แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มขันเท่านั้น

“คุณมากับเพื่อนที่ทำงานใช่ไหม” ชายหนุ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง

“ค่ะ” ณัฐรัมภาหันไปมองกลุ่มรุ่นน้อง ทั้งสามกำลังมองมาทางเธอเหมือนกัน “แต่เดี๋ยวฉันนั่งกินข้าวกับคุณก็ได้ค่ะ คุณจะได้ไม่ต้องนั่งกินคนเดียว”

“ไม่ต้องก็ได้ ผมเกรงใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเคยบอกให้ฉันเลี้ยงข้าวทั้งขอโทษและขอบคุณไง แล้วก็จะได้คุยงานด้วยเลย ทีเดียวคุ้ม” เธอบอก จากนั้นก็เดินไปบอกแก๊งรุ่นน้องว่าบังเอิญเจอเพื่อนเลยจะไปนั่งกินข้าวกับอีกฝ่าย

ณัฐนนท์ค้อมศีรษะให้เพื่อนร่วมงานของหญิงสาวเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะเดินตามเธอไปนั่งที่อีกโต๊ะซึ่งอยู่ห่างออกมาพอสมควร

“ผมดีใจนะที่คุณจะมานั่งกินข้าวด้วย แต่คุณจะคุยงานกับผมจริงเหรอ”

“จริงสิคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เสาร์อาทิตย์นี้คุณจะได้มีเวลาว่าง ไม่ต้องมาเจอฉันไง”

สุดสัปดาห์นี้ณัฐรัมภามีนัดส่งงานร่างแรกให้อีกฝ่าย โดยเธอเสนอว่าจะส่งลิงก์ให้เขาไปเปิดดู เขาตกลงแต่ก็บอกว่าถ้ามีจุดต้องแก้ไขเยอะอาจจะขอนัดเจอเธออีกที เพราะเขาไม่ถนัดการคุยรายละเอียดสำคัญๆ ทางโทรศัพท์ เหตุผลนี้ก็พอเข้าใจได้ เนื่องจากเธอเคยเจอลูกค้าที่ใช้คำพูดสื่อสารไม่ตรงกับที่ใจคิดอยู่บ้าง แต่นึกไปนึกมาเธอว่าเจอเขาบ่อยไปก็คงไม่ดี ไม่ใช่กลัวหวั่นไหว ทว่าในเมื่อเขาแสดงท่าทีแบบนี้เธอจึงคิดว่าเรื่องไหนเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง

“คุณทำงานร่างแรกเสร็จแล้วเหรอ” ณัฐนนท์เลิกคิ้วถาม

“ยังไม่เสร็จทั้งหมดหรอกค่ะ แต่มันก็พอมีอะไรให้คุณคอมเมนต์ได้แล้วแหละ”

“ผมทำให้คุณอึดอัดหรือเปล่า”

คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังหงายแก้วและรินน้ำจากเหยือกต้องเหลือบไปมองคนถาม เธอพบว่าเขากำลังมองตรงมาอย่างจริงจัง ซึ่งเธอก็ตัดสินใจตอบกลับไปตรงๆ

“ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ แต่ถ้ามีอะไรมากกว่านี้ก็ไม่แน่”

“ผมขอโทษนะ” ณัฐนนท์ระบายลมหายใจ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณอึดอัดหรือรู้สึกแย่…ตั้งแต่กลับมาอยู่ไทยผมไม่เคยเจอใครที่คิดว่าน่าสนใจเหมือนคุณ ผมเลยอยากรู้จักคุณ”

“ฉันถือว่านี่เป็นคำชมนะ” ณัฐรัมภายิ้ม “แต่คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ อย่างที่บอกแหละว่าฉันยังไม่ได้รู้สึกอึดอัด และถ้าอึดอัดเมื่อไหร่ฉันจะพูดแน่ๆ ต่อให้คุณเป็นลูกค้าของฉันก็เถอะ”

“แต่เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”

“ชัวร์สิคะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ คุณคุยสนุกออก” หญิงสาวก้มลงเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วเธอก็ส่งยิ้มให้เขาอีกรอบ “และดูท่าทางคุณไม่ใช่คนเรื่องมากด้วย”

“นี่คุณกำลังกดดันไม่ให้ผมขอแก้งานเยอะหรือเปล่าเนี่ย”

“ฉันเป็นมืออาชีพนะคะ การที่ลูกค้าขอแก้งานเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ฉันจะกดดันลูกค้าได้ไง”

ณัฐรัมภาทำตาโตและใช้เสียงสูงกว่าปกติหนึ่งคีย์ในแบบที่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าแกล้งทำ จากนั้นเธอก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มลงกดมือถือครู่หนึ่งแล้ววางมันลงบนโต๊ะพร้อมหันหน้าจอให้เขาดู

“อันนี้คือห้องรับแขกค่ะ”

“นี่ผมแค่ตั้งใจจะมาหาข้าวกินเฉยๆ นะเนี่ย” ณัฐนนท์หัวเราะเหมือนขำไปด้วย จากนั้นเขาก็ก้มลงเพ่งพินิจภาพบนหน้าจอ

หญิงสาวปล่อยให้เขาลากนิ้วซูมเข้าซูมออกเพื่อดูภาพให้ชัด ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อรวบผม บังเอิญเหลือบไปเห็นว่าสุรทินกำลังมองมา พอได้สบตากันเขาก็ทำท่าชี้ไปที่ณัฐนนท์แล้วขยับปากแบบไม่มีเสียง ซึ่งเธอก็พอเดาได้ว่าเขาน่าจะจำได้ว่าอีกฝ่ายคือชายหนุ่มคนที่เคยเจอกันในร้านอาหารกึ่งผับ

ปกติเห็นความจำสั้นจนเกือบเสื่อมอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ไหงคราวนี้ถึงจำได้…ไอ้หมูยิ่งปากมากแถมซอกแซกอยู่ด้วยสิ ขี้เกียจเล่าจัง

ณัฐรัมภาเลี้ยงข้าวเที่ยงณัฐนนท์ตามที่บอกไว้ ขณะเดียวกันงานก็คืบหน้าพอสมควร เขาอยากให้เธอปรับบางจุด โดยมากไม่ใช่จุดใหญ่ เธอเลยไม่หนักใจ

“ไปส่งฉันที่ออฟฟิศ?” หญิงสาวหันไปมองเขาแบบงงๆ หลังจากเดินนำเขาออกจากตรอกซอกตึกแล้วอีกฝ่ายบอกว่าจะเดินไปส่งเธอที่ออฟฟิศ “ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวคุณต้องไปเข้าร่วมงานสัมมนาไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่รีบหรอกครับ งานแบบนี้ช่วงเริ่มก็ต้องมีอารัมภบทกันอีก เดินไปส่งคุณได้สบายเลย”

เมื่อชายหนุ่มยืนยันความตั้งใจ ณัฐรัมภาก็ไม่ได้คัดค้านอีก เธอปล่อยให้เขาถือร่มกันแดดเดินตามเธอไปยังอาคารออฟฟิศซึ่งอยู่ห่างไปราวร้อยเมตร แต่เมื่อถึงแล้วเธอก็ไม่ได้เลี้ยวเข้าไปทันทีและเดินต่อไปยังร้านสะดวกซื้อแทน

ตอนแรกสาวสวยไม่ได้อธิบายเนื่องจากกำลังเล่าให้เขาฟังว่าย่านนี้มีร้านรวงเก๋ๆ อะไรบ้าง และมีการเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะเขาบอกว่าเคยมาแถวนี้สมัยยังไม่ได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา มันดูเปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้ทีเดียว เธอกับเขาคุยกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอเลี้ยวเข้าใต้ชายคาของร้านสะดวกซื้อแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาจึงทำหน้างงๆ นิดหนึ่ง

“ฉันจะแวะซื้อของแป๊บนึงค่ะ”

“อืม จะว่าไปผมควรหาลูกอมเปรี้ยวๆ ไว้เหมือนกัน จะได้ไม่เผลอหลับ”

“ด็อกเตอร์อย่างคุณเคยหลับในห้องเรียนด้วยเหรอ” มัณฑนากรสาวเลิกคิ้วทำท่าแปลกใจ

“ทำไมทำท่าแบบนั้นล่ะ คนจบปริญญาเอกก็แค่คนที่มีโอกาสได้นอนหลับในห้องเรียนมากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นแหละ” ณัฐนนท์ยิ้มขำๆ ขณะหุบร่มแล้วเดินตามเธอเข้าสู่ร้านสะดวกซื้อ “พูดกันจริงๆ โดยทั่วไปผมว่าผมเป็นนักเรียนที่ดีนะ ผมชอบเรียน แต่ก็มีอาจารย์หรือผู้บรรยายบางคนที่เหมือนเป็นยานอนหลับพูดได้น่ะ”

“ฉันว่ายังไงเลเวลการทนต่อยานอนหลับพูดได้ของคุณก็ต้องสูงกว่าของฉันแน่เลย” เธอหัวเราะกับการเปรียบเทียบของเขาก่อนจะเลี้ยวไปดูตรงเชลฟ์วางขนมปัง ขณะที่ชายหนุ่มรั้งอยู่แถวชั้นวางลูกอมใกล้แคชเชียร์

ณัฐรัมภาหยิบๆ วางๆ ขนมปังกับแซนด์วิชหลายแบบ ปกติเธอไม่ค่อยกินอะไรแบบนี้เลยไม่รู้ว่าชิ้นไหนอร่อย ดังนั้นเธอเลยพิจารณาจากหน้าตาน่ากินเป็นหลัก หญิงสาวใช้เวลาเลือกอยู่พักใหญ่ จนชายหนุ่มกลับมาพร้อมกับลูกอมแล้วเธอก็ยังเลือกขนมปังไม่เสร็จ

“อันนี้อร่อยนะ” เขาชี้ไปยังขนมปังชิ้นหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้างแซนด์วิชที่เธอเพิ่งเอื้อมไปแตะ

“อันนี้เหรอคะ” หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาพลิกไปพลิกมา จากนั้นก็เอามันไปรวมกลุ่มกับขนมปังที่เลือกไว้แล้วในอ้อมแขนอีกข้าง

ณัฐนนท์ผละไปอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไร ขณะที่เธอก็ก้มหน้าก้มตาเลือกขนมปังต่อ แต่ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับตะกร้าในมือ พอเห็นว่าเขายื่นมันมาตรงหน้าเธอเลยปล่อยขนมปังในอ้อมแขนลงในตะกร้า

“คุณคงไม่ได้ซื้อไปกินเองใช่ไหม มันเยอะมากเลยนะ”

“ฉันจะซื้อไปให้พวกที่ออฟฟิศค่ะ คือวันนี้งานเร่งมาก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาฉันว่าน่าจะมีคนไม่ได้พักเที่ยงแน่ๆ…สถาปนิกในออฟฟิศเป็นผู้ชายซะเยอะ พวกนี้กินจุด้วย”

“คุณใจดีจัง” เขาแสดงความชื่นชมทั้งทางสายตาและคำพูด

“ถ้าฉันยุ่งจนไม่มีเวลาพักเที่ยงจะได้ใช้พวกนี้ไปซื้อของกินให้มั่งไงคะ” ณัฐรัมภาพูดติดตลก

“ถ้าตอนผมทำธีสิสมีคนแบบคุณอยู่ใกล้ๆ ก็ดีสิ” ชายหนุ่มทำท่าเสียดาย “อันที่จริงมีคนแบบคุณอยู่ใกล้ๆ ตอนไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรุ่นน้องดูรักและเคารพคุณจัง”

หญิงสาวสะดุดหูกับคำพูดของเขา ทว่าเธอก็เลือกจะปล่อยผ่านแล้วหย่อนขนมปังลงตะกร้าอีกชิ้น จากนั้นก็ก้มลงพินิจจำนวนขนมปังและตัดสินใจว่าซื้อเท่านี้น่าจะพอแล้ว

“คุณจะซื้ออย่างอื่นอีกไหมคะ”

ณัฐนนท์ส่ายหน้า มัณฑนากรสาวเลยเดินไปที่แคชเชียร์ ระหว่างที่รอพนักงานคิดเงินอยู่นั้นก็มีผู้หญิงสองคนเดินเข้ามา สีหน้าท่าทางดูงุนงง ทั้งสองตรงไปหาพนักงานแล้วเอ่ยทักเป็นภาษาอังกฤษติดสำเนียง เท่าที่ฟังน่าจะพยายามถามหาร้านอะไรสักร้าน ภาษาอังกฤษของทั้งสองค่อนข้างกระท่อนกระแท่น แถมมีภาษาอื่นแซมมาเป็นระยะด้วย ฟังแล้วน่าจะเป็นภาษาจีน…

ณัฐรัมภาเงยหน้าขึ้นมาจากการหยิบถุงผ้าร่มที่พับจนเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ออกจากกระเป๋าสะพาย เธอนึกสงสัยว่าจะพอช่วยพนักงานที่ดูมึนอย่างชัดเจนได้ไหม เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษของสองนักท่องเที่ยวก็ฟังค่อนข้างยาก ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดีอยู่นั้นผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างตัวก็ส่งเสียงขึ้นมา แถมเป็นภาษาจีนเสียด้วย

สองสาวหันขวับมาทันที พวกเธอดูแปลกใจมากทีเดียว ก่อนที่จะพร้อมใจกันพุ่งตรงมาหาณัฐนนท์แล้วรัวภาษาจีนใส่เป็นชุด ชายหนุ่มพูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาจีนสั้นๆ เธอเดาเอาเองจากภาษามือว่าเขาน่าจะกำลังบอกว่าใช้ภาษาจีนได้แค่นิดหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็สามารถสื่อสารกับสองสาวจนได้ความ แล้วก็หันมาถามเธอ

“คุณรู้จักร้านอาหารของดาราไหม เห็นว่าอยู่แถวนี้”

“ดารา?” สาวสวยเลิกคิ้วนิดหนึ่ง พอเห็นว่าสาวจีนยื่นหน้าจอมือถือมาเธอเลยยื่นหน้าเข้าไปดูแล้วร้องอ๋อ จากนั้นก็อธิบายที่ตั้งร้านอาหารที่ว่าให้เขาฟัง “จะว่าไป…มันก็น่าจะมีอยู่ในแมปมือถือนะ แต่แถวนี้ร้านก็เรียงติดกันเป็นพืด อาจจะหลงๆ สับสนก็ได้”

ชายหนุ่มหันไปอธิบายตำแหน่งที่ตั้งของร้านให้สองสาวชาวจีนฟังด้วยภาษาจีนสลับกับภาษาอังกฤษ พร้อมกันนั้นเขาก็หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดค้นหาร้านในแผนที่เพื่อเอาไปเทียบกับแผนที่ในมือถือของอีกฝ่าย

ณัฐรัมภาหันกลับไปจ่ายเงิน และเธอก็หยิบแพ็กลูกอมแบบแท่งของเขาให้พนักงานคิดเงินรวมไปด้วยกันเลย หลังจากขอให้พนักงานช่วยเอาของทั้งหมดใส่ถุงผ้า เธอก็ถามพนักงานว่ามีเศษกระดาษกับปากกาไหม อีกฝ่ายช่วยหาให้ พอได้มาเธอก็เขียนประโยคสั้นๆ ลงไปแล้วสะกิดเรียกณัฐนนท์

“คุณบอกทางเสร็จยังอ่ะ ยังไงให้เขาเอากระดาษนี้ติดไปดีไหม เผื่อหลงหรือหาไม่เจอจริงๆ ก็ยื่นถามคนแถวนั้นได้”

ชายหนุ่มมองข้อความบนกระดาษ มันเขียนเป็นคำถามว่าร้านอาหารนี้อยู่ตรงไหนคะ แล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“คุณฉลาดจัง” เขาชมทั้งรอยยิ้มก่อนจะรับกระดาษไป หลังจากคุยกับสองสาวเรื่องตำแหน่งที่ตั้งร้านอีกรอบแล้วเขาก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ทั้งสอง พร้อมกับอธิบายว่าข้อความภาษาไทยเขียนว่าอะไร

นักท่องเที่ยวสาวทั้งสองหันมาขอบอกขอบใจเธอเป็นภาษาไทยติดสำเนียงเป็นการใหญ่ แล้วณัฐนนท์ก็พาพวกเธอออกจากร้านสะดวกซื้อไปยืนชี้ทิศทางให้อีกหนตรงหน้าร้าน ณัฐรัมภาหิ้วถุงผ้าตามออกไป พอสองสาวจากไปแล้วและชายหนุ่มหันกลับมา เธอก็ส่งยิ้มให้เขาก่อนจะหยิบแพ็กลูกอมขึ้นมาชู

“ของแถมล้างปากสำหรับมื้อกลางวันค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ณัฐนนท์รับลูกอมไป จากนั้นก็หลุบตามองถุงผ้าในมือเธอ “ให้ผมช่วยถือดีไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ มันไม่หนัก และออฟฟิศฉันก็อยู่ตรงนั้นเอง” หญิงสาวชี้นิ้วไปที่อาคารสำนักงาน

“งั้นผมเป็นพนักงานถือร่มแล้วกัน”

คราวนี้เธอไม่ได้คัดค้านและปล่อยให้เขากางร่มจนเรียบร้อยแล้วจึงค่อยออกเดิน

“คุณพอใช้ภาษาจีนได้ด้วยเหรอ มันคือจีนกลางใช่ไหม”

“ใช่ จีนกลาง แต่จะบอกว่าใช้ได้ก็ไม่ถึงขั้นนั้น คือผมก็ใช้ได้แค่คำเบสิกๆ น่ะแหละ” ณัฐนนท์หยุดนิดหนึ่งก่อนจะยิ้ม “ตอนเรียนที่อเมริกาผมมีแฟนเป็นคนจีน”

“แบบนี้นี่เอง” เธอหัวเราะ ได้ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่าการมีแฟนต่างชาติจะทำให้เรียนภาษาของชาตินั้นได้ดี ซึ่งเธอก็ค่อนข้างเชื่อว่าน่าจะจริง

“แต่ก็คบกันไม่นานหรอกครับ เลยได้ภาษามาแค่พอฟังคนด่าออก”

“อันนั้นประเด็นสำคัญเลยนะ” หญิงสาวแกล้งทำตาโต “จริงๆ ฉันสนใจเรียนภาษาจีนอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้จะไปเรียนที่ไหน”

“ไปตามมหาวิทยาลัยสิ คนเรียนเยอะ ไม่แพงด้วย ยกเว้นคุณอยากเรียนตามเวลาที่ตัวเองสะดวกนะ อันนั้นคงต้องจ้างอาจารย์สอนตัวต่อตัว”

“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้จริงจังขนาดนั้น คืออย่างน้อยก็อยากลองก่อนว่าไหวไหม ถ้าไหวและชอบก็ค่อยว่ากันอีกทีว่าจะไปถึงขั้นนั้นหรือเปล่า” เธอบอก “คุณเคยเรียนภาษาในมหา’ลัยเหรอคะ”

“เปล่า แต่ผมรู้จักคนสอนในมหา’ลัย เป็นเพื่อนผมเองนี่แหละ ช่วงเสาร์อาทิตย์เขาจะเปิดคอร์สให้คนทั่วไปสมัครเรียนได้”

“อ้อ งั้นคุณมีมหา’ลัยไหนแนะนำไหม”

ณัฐนนท์เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งออกมา หญิงสาวนึกตามแล้วพบว่ามันตั้งอยู่ในพื้นที่รถไฟฟ้าผ่าน ถือว่าสะดวกพอสมควร เธอเลยตั้งใจว่าเดี๋ยวกลับขึ้นไปบนออฟฟิศแล้วคงต้องค้นหาข้อมูลดูสักหน่อย

“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันลองหาข้อมูลดู เผื่อจะได้เรียนสักที”

ณัฐรัมภาหยุดเดินตรงหน้าอาคารออฟฟิศ เขาเลยหยุดตาม ตามองป้ายที่บอกชื่อบริษัทซึ่งตั้งอยู่ในอาคารแห่งนี้

“บริษัทคุณชื่อ Archwin ใช่ไหม ที่อยู่ชั้นสาม”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวไม่แปลกใจที่เขาเดาได้ เพราะในอาคารมี Archwin บริษัทเดียวที่เป็นบริษัทสถาปนิก “ขอบคุณที่เดินมาเป็นเพื่อนนะคะ ส่วนเรื่องบ้านถ้าแก้อะไรๆ เรียบร้อยแล้วฉันจะส่งให้คุณดูอีกที”

“โอเคครับ ไว้เจอกันนะ” ณัฐนนท์หุบร่มและพับเก็บจนเรียบร้อยแล้วจึงค่อยส่งคืนให้เธอ

มัณฑนากรสาวเอ่ยขอบคุณ ส่งยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าอาคารไป…ชายหนุ่มยืนมองจนประตูทางเข้าอาคารสวิงตัวปิดเรียบร้อยแล้วเขาจึงหมุนกายออกเดิน ทว่าเขาก็ไม่ได้รีบร้อนเลยสักนิด ไม่ใช่ไม่แคร์ว่าจะไปเข้าร่วมงานสัมมนาสาย แต่ความจริงก็คือมันไม่มีงานสัมมนาที่ว่าเลยต่างหาก

ช่วงนี้เขาค่อนข้างว่าง เพราะแล็บในจีนยังฝุ่นตลบที่ข้อมูลถูกขโมยออกไป ทางนั้นยังจัดการอะไรๆ ไม่เรียบร้อย ทางไทยเลยทำอะไรไม่ได้มาก เขามีข้อมูลอยู่แล้วว่าณัฐรัมภาทำงานที่ไหนเลยตัดสินใจลองมาดูเผื่อจะได้เจอเธอ เพราะลำพังแค่การนัดเจอช่วงวันหยุดไม่น่าจะเพียงพอให้เขาตีสนิทเธอได้ในระดับที่ต้องการ ปรากฏว่าเขาก็ได้พบกับเธอจริงๆ เสียด้วย ถือว่าวันนี้มาไม่เสียเที่ยว ที่สำคัญคือจากท่าทีของเธอแสดงให้เห็นว่าเขาคิดถูกแล้วที่มา

อันที่จริงชายหนุ่มไม่ได้หวังอะไรมาก แค่ขอโอกาสให้ได้เข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างคอมพิวเตอร์ของปรพลสักครั้งก็เพียงพอแล้ว ส่วนจตุภูมินั้นน่าจะยากเกินไป ต่อให้เขาได้ยินข่าวมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนอีกฝ่ายไปที่บ้านของปรพลโดยที่ณัฐรัมภาอยู่ด้วยก็ตาม

ครั้งนี้ณัฐนนท์โชคดีที่จู่ๆ ก็มีประเด็นภาษาจีนขึ้นมาโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย และถ้าหญิงสาวไปสมัครเรียนตามที่บอกเขาไว้จริงๆ อะไรๆ ก็จะยิ่งง่ายขึ้นอีก…แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็วางใจเรื่องการตกแต่งบ้านหลังใหม่ของตัวเองได้ เพราะณัฐรัมภาเป็นมัณฑนากรที่มีสไตล์เข้ากับความชอบของเขาพอสมควร ที่เหลือก็แค่หาทางได้เจอปรพลในแบบที่หมอนั่นจะไม่ฉุกใจสงสัยเท่านั้นเอง

 

(ติดตามตอนต่อไปในเล่ม…)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: