บทนำ
ว่ากันว่าการแอบรักเป็นเรื่องขลาดเขลาและทำให้เรากลายเป็นคนโง่งม…
กีรติไม่เชื่อเช่นนั้น หรืออย่างน้อยก็ไม่เคยคิดว่าตนเป็นเช่นนั้น…กระทั่งระยะหลังมานี้
“ลาเต้ร้อนค่ะ”
เสียงเอ่ยพร้อมแก้วกาแฟถูกวางตรงหน้าเรียกสติของเขากลับมาอย่างรวดเร็ว และแม้ถ้อยคำนั้นจะไม่ได้นุ่มนวลอ่อนหวาน หากก็เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าคนฟังซับสีชมพูขึ้นจาง กีรติหันไปเก้กังพึมพำขอบคุณคนพูด ผะผ่าวอีกครั้งเมื่อเธอยิ้มรับคำก่อนผละออกไป
กระทั่งเหลือตนเองนั่งอยู่คนเดียวอีกครั้งนั่นแหละ เด็กหนุ่มจึงค่อยก้มลงมองสมุดจดตรงหน้า ความว่างเปล่าถูกครอบครองด้วยลายเส้นดินสอ มากมาย หลากหลาย ล้วนแต่เป็นโครงร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง…สูงเพรียวในชุดกระโปรงสีหม่นและผ้ากันเปื้อนไร้ลวดลาย ผมดำยาวถึงเอวถักเปียไว้อย่างหลวมๆ อยู่ตลอดแต่กลับไม่เคยลุ่ยออกมาสักครั้ง และใบหน้าของเธอ…ดวงตาเฉยชาคลุมเครือแววร้าวลึกข้างใน จนดูคล้ายกำลังแบกสัมภาระแห่งความโศกเศร้า ซัดเซพเนจรจากดินแดนทรงจำร้างไร้อันเป็นปริศนาคู่นั้น
มาลาริน…คือชื่ออันแสนบอบบางของเธอ และทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับหญิงสาวผู้นี้ก็มีเพียงชื่อของเธอกับร้านกาแฟลึกลับนามฟอร์บิดเดนคาเฟ่แห่งนี้เท่านั้น
กีรติจำได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในยามบ่ายอึมครึมชื้นไอฝน ตอนที่เขาอยากลองทำตัวเป็นเด็กหนุ่มหัวขบถหลังได้รับแรงกดดันจากแม่เรื่องอนาคตของตัวเอง ดื้อรั้น ขุ่นเคือง ทะยานพารถราคาแพงออกจากบ้านอย่างไร้จุดหมายและจบลงด้วยการหลงทางกลางซอยแปลกตา เบื้องหน้าร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งแทบจะหลบมิดชิดอยู่หลังพุ่มใบเขียวสดของต้นไม้ ราวจะหลีกเร้นตัวตนจากโลกใบนี้
…เริ่มแรก กีรติตกหลุมรักกาแฟของเธอก่อน ลาเต้ซึ่งมักจะมาพร้อมฟองนมโรเซ็ตตาของคุณมาลารินทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเชื่องช้าจนแทบจะหยุดนิ่ง เด็กหนุ่มใช้เวลาที่เหลือของวันนั้นนั่งละเลียดเครื่องดื่ม หลงลืมความขุ่นมัวซึ่งไม่รู้ว่าจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มองฝนหยาดผ่านกระจกสลับกับแมวอ้วนสีเทาบนเบาะพิเศษของมันโดยเฉพาะ ฟังเพลงแจ๊ซที่ไม่รู้จักกระทั่งเธอปิดร้าน…ก่อนจะกลับไปอีกครั้งในสองวันต่อมา และสัปดาห์ต่อมา และต่อมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก กว่าจะรู้ตัว สายตาของเขาก็ลอบติดตามหญิงสาวผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หลังเครื่องทำกาแฟและดูแลต้นไม้ที่ไม่มีวันนับได้หมดเหล่านั้นไปแล้ว
เมื่อมองจากภายนอก ดูอย่างไรเจ้าของร้านกาแฟซึ่งคะเนอายุราวยี่สิบเศษๆ (กีรติตัดสินเอาจากใบหน้าซึ่งแทบจะไร้ริ้วรอยแม้เพียงนิดนั่น) กับเขาที่เป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยก็มีช่องว่างอยู่มากโข แต่มันก็มีความรู้สึกเชื่อมโยงอันยากจะอธิบาย ในตอนที่เขามองลายฟองบนกาแฟของตนแล้ววาบหวามในใจ ยามตระหนักลึกๆ ว่าลวดลายตรงหน้าคือสิ่งที่เธอสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเขา เป็นกาแฟที่เธอทำขึ้นเพื่อเขาเพียงคนเดียว
เพ้อเจ้อไปหน่อย กีรติรู้ดี แต่นี่คือหลักฐานพยานของความสัมพันธ์ซึ่งบางเบายิ่งกว่าไอควันเหนือแก้วระหว่างทั้งสอง เท่าที่คนแอบรักคนหนึ่งจะเก็บสะสมได้นี่นา…
เมี้ยว…
แมวอ้วนบนเบาะส่งเสียงครางขึ้นเบาๆ ปรือตาหง่าวง่วง ก่อนพลิกท่านอน กระหวัดเรียกสติของชายหนุ่มกลับมายังปัจจุบัน ตอนที่ลมหอบใหญ่พัดฝนเม็ดแรกกระทบกระจกพอดี
“วันนี้กาแฟขมไปหรือเปล่าคะ”
เสียงคุ้นเคยตรงหน้าเรียกให้ชายหนุ่มรีบปิดสมุดวาดภาพอย่างรวดเร็ว มาลารินยืนเยื้องเขาไปไม่เท่าไหร่ เธอเพิ่งเก็บโต๊ะของลูกค้ากลุ่มสุดท้ายเสร็จจึงหันมาทักทายเมื่อเหลือแค่เขาในร้าน
“ไม่เลยครับ” กีรติหน้าแดง “อร่อยเหมือนเดิมเลย”
หญิงสาวยกยิ้มบางให้กับคำชมนั้น บอกไม่ได้ว่ากำลังพอใจหรือแค่รับตามมารยาท เธอเบนสายตาออกไปยังสายฝนด้านนอกซึ่งเริ่มตกหนักขึ้นพร้อมเสียงฟ้าผ่าจังหวะสั้นๆ จากที่ไหนสักแห่ง ขณะเอ่ยเสียงอ่อนจางคล้ายกระซิบกับตัวเอง
“จำได้ว่าวันแรกที่คุณติมาที่ร้านฝนก็ตก”
คนฟังเริ่มวูบไหวในหัวใจ ระรัวเร็วจนไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นได้กับหัวข้อสนทนาอันปุบปับ
“ใช่ครับ น่าจะเป็นช่วงนี้ของปีที่แล้วพอดี”
“พี่จำได้…วันนั้นคุณติเป็นลูกค้าคนเดียวของร้านค่ะ” มาลารินเด็ดใบแห้งจากกระถางฟอร์เกตมีนอตบนโต๊ะออก ก่อนหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง “ถ้าคุณติไม่เข้ามา วันนั้นทั้งวันคงไม่มีลูกค้าเลย สงสัยวันนี้เราคงต้องติดฝนกันเหมือนวันนั้นแล้วล่ะค่ะ…น้ำเปล่ามั้ยคะ”
กีรติไม่ได้ตอบรับเพราะมัวแต่ตื้นตันปนวาบหวามใจกับคำพูดของเธออยู่ ความรู้สึกที่ว่าเขามีตัวตนอยู่ในสักเสี้ยวความทรงจำของมาลารินทำให้เด็กหนุ่มเต็มตื้น ราวละอองไอบางเบาซึ่งค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้นทีละน้อย ดวงตาคมติดตามร่างเพรียวระหงเทน้ำใส่แก้วอย่างเป็นสุขอยู่ในสงบเงียบระหว่างทั้งสอง
“ความจริงวันนี้ผมนัดพี่ชายให้มาลองดื่มกาแฟที่ร้านนี้ดูครับ รายนั้นเค้าเป็นคอกาแฟ ตั้งแต่กลับไทยก็ยังไม่มีที่ไหนถูกใจสักร้าน” ว่าพลางจิบลาเต้ของตนบ้าง รสละมุนของนมสดเจือเมล็ดกาแฟคั่วขมอบอุ่นถูกมัดรวมกันผ่านลำคอ “แต่ฝนตกหนักขนาดนี้ คงจะมาไม่…”
กีรติชะงักคำพูดเมื่อเห็นเงาร่างสูงในชุดสูทสีดำกำลังกางร่มผ่านม่านสายฝนเข้ามายังสวนหน้าร้าน ทึมทึบท่ามกลางเงาไม้เปียกปอน สลัวมัวราวภาพวาด และทันทีที่เขาผลักประตูเปิด เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งต้อนรับก็สะท้อนแว่วพร้อมฟ้าซึ่งกระหึ่มก้อง แสงวาววาบเกรี้ยวกราดขึ้นอีกครั้งพอดี
“อ้าว พี่วิน นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีกฮะ…”
เพล้ง!!
ฉับพลัน โดยไม่มีใครตั้งตัวด้วยซ้ำ แก้วที่เพิ่งจะบรรจุน้ำจนเต็มก็ร่วงหล่น แตกกระจายทันที
กีรติหันกลับไปหามาลารินด้วยความเป็นห่วงก่อนจะถูกความพิศวงประดังประเด เมื่อหญิงสาวผู้มักจะมีท่าทีเฉยชากลับมีสีหน้าซีดเผือด ดวงตาที่สาดสะท้อนเพียงความโศกกลับคล้ายจะค่อยๆ แตกร้าวไม่ต่างกับแก้วของเธอ ขาเรียวใต้กระโปรงสีทึบก้าวถอยหลัง และราวกับหญิงสาวจะลืมหายใจไปชั่วขณะ จังหวะต่อมาเธอจึงสะท้านขึ้นมาเฮือกใหญ่…ก่อนจะนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นราวถูกสาป
ผู้มาใหม่จับจ้องเจ้าของร้านกับทุกท่าทางของเธอตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา ดวงตาสีเทาเย็นเยียบหากแปลบปลาบด้วยประกายซ่อนเร้นบางอย่างภายใน ก่อนจะกราดเกรี้ยว…เกลียดชังทิ่มแทง ดุจจะประกาศกร้าวต่อดินฟ้าว่าหญิงสาวตรงหน้าคือสิ่งเลวร้ายที่สุดบนโลกใบนี้
ริมฝีปากหยักลึกเหยียดยิ้ม พร้อมเอ่ยคำทักทายซึ่งดังอยู่ในการร่วงหล่นของพายุฝน
“ไม่ได้เจอกันนานนะ…มาลาริน!!”
1
10 ปีที่แล้ว
เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
เพล้ง!
เสียงแก้วซึ่งบังเอิญถูกปัดร่วงก้องไปทั่วร้านอาหารตามด้วยการสะอื้นฮึกฮักของเด็กหญิงตัวน้อย เรียกให้บริกรสาวรีบเข้าไปกวาดเสี้ยวเศษแหลมใสที่กระจัดกระจายด้วยกลัวจะเป็นอันตราย ก่อนหันไปยิ้มรับคำขอบคุณของแม่เด็กก่อนเปลี่ยนแก้วให้อย่างคล่องแคล่ว เธอเคยชินแล้วกับการรับมือเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรสักนิด
เสียงฟ้ากระหึ่มแทรกผ่านมาเป็นระยะท่ามกลางเงาอึมครึม ตอนที่มาลารินเดินกลับไปเช็กออเดอร์สุดท้ายในครัวพอดี
หญิงสาวผินหน้าไปมองถนนบรรยากาศสีหม่นด้านนอก ก้อนเมฆหนักๆ ทำให้พลบค่ำยิ่งดูสลักสลัวกว่าปกติ และไฟจากป้ายหน้าร้านก็คล้ายจะกะพริบไปแวบหนึ่ง…อาจตาฝาด หรือวงจรขัดข้อง หรือเพราะฝนใกล้ตก ดูเป็นไปได้ทั้งสิ้น
“ลูกค้าทำแก้วแตกอีกแล้วเหรอลี”
เสียงเบื่อหน่ายหลังเคาน์เตอร์บาร์ติดจะบ่นมากกว่าถามจริงๆ เรียกความสนใจของหญิงสาวกลับมายังพี่ปิ่น ผู้เป็นทั้งเจ้าของร้านอาหารไทยและเจ้านายของเธอ ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยื่นใบหน้าแหลมเหมือนแมววิเชียรมาศเหม็นโลกออกไปส่องเหตุการณ์ภายในร้านแวบหนึ่ง แล้วค่อยหันกลับมาออกคำสั่งอย่างเคยชิน
“นี่ คิดค่าแก้วลงในบิลด้วยนะ ช่วงนี้ยิ่งขายไม่ค่อยดีอยู่ นี่ ลี ได้ยินที่พี่พูดไหม”
“ลีวางบิลไว้ให้ตรงเคาน์เตอร์แล้วค่ะ”
มาลารินกล่าวตัดบทสนทนาพลางยกอาหารออกไป แค่การเป็นเด็กเสิร์ฟคนเดียวในร้านก็ทำให้เธอหัวหมุนมากพอแล้ว และพี่ปิ่นเองก็ว่างเกินกว่าจะมาผลักงานง่ายๆ อย่างการเฝ้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของตนให้คนอื่นทำอีก หญิงสาวลอบมองหยาดฝนที่กำลังเริ่มร่วงหล่นลงเป็นสายด้านนอกอีกครั้ง หยดพราวไหลลู่ผ่านใบไม้ซึ่งเริ่มเปลี่ยนสีตามฤดูกาลใหม่จนเปียกปอน…ฤดูร้อนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
แกร๊ง
เสียงผลักประตูก่อนที่ชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งจะเดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับมาลารินซึ่งรีบหันไปเอ่ยต้อนรับทันทีแล้วได้ให้ชะงักงันชั่วขณะ เธอกะพริบตาปริบๆ อีกสองครั้งจึงค่อยปรับสีหน้ากลับมายิ้มแย้มอย่างแยบยล กลับเป็นฝ่ายเด็กสาวอีกคนต่างหากที่แสดงอาการประหลาดใจจนออกจะลุกลนชัดเจน
มาลารินทบทวนความทรงจำในหัวอย่างเงียบงัน เธอไม่มีทางลืมเจ้าของบุคลิกหรูหราอย่างลูกเศรษฐีทุกกระเบียดกับใบหน้าไร้ที่ติดูนุ่มนิ่มเหมือนขนมสายไหมนี่ได้…ใช่ นิสัยชวนระอานั่นก็ด้วย
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ”
มาลารินทักทายพลางวางเมนูลงบนโต๊ะ แจกยิ้มเป็นมิตรอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กลับเป็นอีกฝ่ายที่ส่งสายตาไม่ชอบใจก่อนสะบัดหน้าพรืด หล่อนไม่เอ่ยอะไรซ้ำยังยกเรียวแขนขาวผ่องขึ้นกอดอกด้วยท่าทีแสดงอาการต่อต้าน
“รู้จักเหรอเกล”
เด็กหนุ่มที่มาด้วยกันเอ่ยถามด้วยท่าทางอย่างคนขวางโลก ดวงตาสีเทาประหลาดเบนมาทางมาลารินเพียงแวบสั้นๆ แล้วไม่ได้สนใจอีก และก็เป็นตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งสังเกตว่าเขาไม่ใช่ชาวต่างชาติอย่างที่เข้าใจตอนแรก อย่างน้อยสำเนียงภาษาไทยนั่นก็ชัดเจนดี แม้จะดูไม่เป็นมิตรไปสักหน่อย
“ไม่รู้สิคะ จำหน้าไม่ได้” เกลหรือเกวราไหวไหล่อย่างไร้แยแส หล่อนช้อนดวงตาคู่โตขึ้นมามองบริกรสาวอีกครั้งเพียงเพื่อจะทำให้ง้ำงอดกว่าเดิม “เกลไม่อยากกินแล้วค่ะวิน”
“เกลบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากกินอาหารไทย”
“งั้นเปลี่ยนร้าน…”
“ผมไม่อยากวนรถซ้ำซาก”
เด็กหนุ่มตัดบทสนทนาแค่นั้นก่อนก้มมองเมนูอาหารแล้วสั่งอย่างรวดเร็ว บ่งบอกชัดเจนว่าไม่คิดจะตามใจ
มาลารินจดออเดอร์มือเป็นระวิง เธอไม่ได้สนใจจะทักทายเกวราอีกในเมื่ออีกฝ่ายบอกเองว่าจำหน้าเธอไม่ได้…ก็ดีแล้ว หญิงสาวรำพึงในใจ ไม่อย่างนั้นคงได้ให้กระอักกระอ่วนกันทั้งสองฝ่าย…
“คนรู้จักเหรอลี”
พี่ปิ่นโผล่หน้าแมวแหลมออกจากเคาน์เตอร์อีกครั้งทันทีที่มาลารินกลับเข้ามาในครัว หล่อนสอดส่ายสายตาไปมาด้วยความใส่ใจเกินจำเป็นที่ไม่เคยปิดมิด ขณะเดียวกัน มาลารินกลับทำได้เพียงลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย…ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จำกัดความ ‘เจ้านายยอดแย่’ ได้ถูกมัดรวมอยู่ในตัวเจ้านายของเธอหมดแล้ว ตระหนี่ ขี้บ่น เอารัดเอาเปรียบ แล้วตอนนี้ก็ยังเร่าร้อนไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนแทบจะลุกโชนนี่อีก
“สงสัยลีจะจำผิดค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปัดส่งๆ
“แหม พี่ก็ว่า ทางนั้นแบรนด์เนมกันตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งคู่ จะมารู้จักคนหาเงินตัวเป็นเกลียวแบบลีได้ยังไง”
‘คนหาเงินตัวเป็นเกลียว’ ก้มมองรองเท้าผ้าใบขะมุกขะมอมของตน เก็บปอยผมทัดหูลวกๆ แล้วยกน้ำออกไปเสิร์ฟโดยไม่ได้เอ่ยอะไรกลับ
…จริงอย่างที่พี่ปิ่นว่า ความจริงแล้วคนสวยโดดเด่นอย่างเกวราไม่มีความจำเป็นจะต้องมารู้จักนักศึกษาหาเงินจ่ายค่าเทอมอย่างเธอสักนิด แต่ก็นั่นปะไร ในเมื่อความบังเอิญในโลกนี้มันมีเป็นกระบุงโกย
บอกไปใครจะเชื่อว่าเมื่อสามเดือนที่แล้วหญิงสาวต้องเจอหน้าเกวราทุกวัน วันละนานๆ หลายชั่วโมงเสียด้วย
…มาลารินทำงานเป็นบาริสต้าให้คาเฟ่ใกล้มหาวิทยาลัยช่วงกลางวัน และจำต้องวนเวียนในร้านท่ามกลางละอองรักหวานฉ่ำระหว่างเกวราและพี่ประณตเจ้าของคาเฟ่ผู้มีอายุห่างกันหลายปี แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งหล่อนก็เงียบหายไป ไม่ปรากฏตัว เหลือทิ้งไว้แต่ยิ้มหม่นเศร้าของชายหนุ่ม ซึ่งถูกขังค้างไว้ในบรรยากาศเดิมๆ ที่มีแต่ความทรงจำของทั้งคู่หลงเหลือ และก็เหมือนกับเหตุบังเอิญอีกร้อยพันที่คนเราต้องมี มาลารินไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่าจะได้มาเจอหล่อนอีกครั้งที่นี่ คืนนี้ เฉิดฉายเปี่ยมมนตร์สะกดดังเดิม ข้างกายผู้ชายคนใหม่
กระนั้นก็เถอะ เกวราจะมีความรักสักกี่ครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ มาลารินสลัดภาพเงาเหงาๆ ที่ทอดผ่านม่านแดดของพี่ประณตออกจากหัว ระบายยิ้มเป็นมิตรอย่างเด็กเสิร์ฟมืออาชีพก่อนยกผัดไทยออกไปบริการทั้งสอง
“ทานให้อร่อยนะคะ”
ไม่มีคำตอบกลับและหญิงสาวก็ไม่คิดจะรอฟัง มาลารินผละจากทั้งคู่อย่างรวดเร็วพอๆ กับท่าทีของเกวราที่ปรารถนาจะรีบกินรีบออกจากร้านอาหารแห่งนี้ชัดเจน
แต่เหมือนว่าอะไรๆ จะไม่ได้ง่ายดังที่เธอตั้งใจไว้…ให้ถูกคือเป็นเค้าลางความวุ่นวายระลอกใหญ่ทีเดียว
แกร๊ง!
เสียงช้อนตกพื้นเรียกให้มาลารินหันกลับทันที ในเสี้ยวขณะที่เกวราคู้ตัวลงพลางหอบหายใจ หล่อนก็ช้อนดวงตารื้นฉ่ำไปยังคู่เดตอย่างพรึงเพริด
“วิน…เกลแพ้กุ้ง”
“อะไรนะ!”
เด็กหนุ่มรีบเข้าไปประคองร่างบางอย่างรวดเร็วพร้อมกับพี่ปิ่นที่ลุกลนออกมาดูเหตุการณ์ด้วยใบหน้าซีดเผือด ขณะที่มาลารินรวบรวมสติก่อนเข้าไปช่วยประคองเกวราทันที
“ออกไป!”
เจ้าของดวงตาสีเทาปัดมือหญิงสาวออกพลางเหลือบมองอย่างเย็นชา บริกรสาวแทบอ้าปากหวอ เธอเคยเจอแขกไร้มารยาทมามากมายแต่ไม่เคยมีใครแสดงกิริยาไม่ถนอมน้ำใจกันถึงเพียงนี้ ขณะที่เจ้าของร้านเองก็ร้อนรนไม่แพ้กัน
“ให้…ให้โทรเรียกรถพยาบาลมั้ยคะ”
“ไม่ต้อง!” เกวราแผดเสียงบ้าง
พี่ปิ่นเริ่มหันรีหันขวางแสดงอาการปริวิตกชัดเจน…การฟ้องร้องในออสเตรเลียถือเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับร้านอาหาร เพราะนอกจากจะต้องเสียเงินมหาศาลแล้วในทางเลวร้ายที่สุดคือถูกสั่งปิดร้านไปเลย ด้วยความร้อนใจอันไร้ทางระบายนี้ หล่อนจึงหันมาปล่อยโทสะใส่ลูกน้องของตนแทน
“ลีไม่ได้บอกในครัวเหรอว่าลูกค้าแพ้กุ้ง”
“ลูกค้าไม่ได้บอกอะไรลีนี่คะ”
มาลารินทบทวนความทรงจำว่าไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเธอแน่ๆ ยืนยันได้อย่างหนักแน่นเสียด้วยซ้ำ ทว่าก่อนจะได้อธิบายเพิ่มเติม เกวราก็กล่าวแทรกขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ
“ฉันสั่งผัดไทยธรรมดา ใครจะไปรู้ว่าร้านคุณใส่กุ้งแห้งลงไปด้วย”
เพียงเท่านั้น มาลารินก็อ้าปากหวอ เกือบอุทานด้วยซ้ำ เป็นห่วงอีกฝ่ายอย่างจริงใจส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน แม่เจ้าประคุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าใครๆ ก็ใส่กุ้งแห้งในผัดไทยกันทั้งนั้น หนำซ้ำกุ้งที่ว่าก็โรยอยู่ข้างบนอย่างเห็นได้ชัดเจน เธอลอบมองเจ้านายผู้วนเวียนอยู่ในบ่วงแร้วของการตื่นตูมอย่างเสียเปล่าก่อนเบนไปประสานสายตากับเด็กหนุ่มร่างสูงโดยบังเอิญ เสี้ยววินาทีแรกหญิงสาวคิดว่าเขาอาจพอช่วยเป็นพยานให้เธอได้ ทว่าดวงตาสีเทาคู่นั้นกลับไร้ประกายเห็นใจใดๆ และมีแต่จะเหยียดยิ้มหยันอย่างไม่ปรานี
“ร้านแบบนี้ถูกสั่งปิดไปซะก็ดี”
“ว้าย! ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ค่อยๆ คุยกันก่อน ทางเรายินดีรับผิดชอบทุกอย่างค่ะ อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะพี่ขอ” พี่ปิ่นเหงื่อแตกพลั่ก กระวนกระวายราวหนูติดจั่นยิ่งกว่าเดิม
รอยเหยียดหยันฉายวาบเสี้ยวสั้นๆ คล้ายว่าเขากำลังดูละครฉากหนึ่งซึ่งไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตนสักนิด
“งั้นคุณจะลงโทษกับความสะเพร่าของพนักงานยังไง…”
คนไม่ผิดจะให้รับโทษอย่างไร หญิงสาวไม่อาจยอมรับความอยุติธรรมนี้ได้
“เดี๋ยวก่อนนะคะ ฉันสะเพร่าตรงไหน…”
“ลี! เงียบไปเลยนะ”
มาลารินแทบอ้าปากค้างกับการถูกตะคอกขัดทันที เธอสลับมองทั้งลูกค้าและเจ้านายที่หันมาเล่นงานตนพร้อมระลอกโทสะซึ่งค่อยๆ กระทบขึ้นในใจ
“แต่ลีก็มีสิทธิ์ปกป้องตัวเองนี่คะ ลีสะเพร่าตรงไหนในเมื่อลูกค้าไม่ได้บอกเรื่องแพ้กุ้งไว้เลย ลีไม่ได้มีพลังวิเศษนะคะ จะได้ไปอ่านใจใครต่อใครหรือบอกได้ว่าคนไหนแพ้อะไรบ้าง…”
“โอ๊ย! เงียบไปเลย อย่าไปเถียงลูกค้านะ” เจ้าของร้านชั่งใจชั่วครู่ก่อนผุดยิ้มมุมปากออกมาแวบสั้นๆ “งั้นเอาอย่างนี้ พี่จะลงโทษด้วยการหักเงินลีเหลือวันละสี่สิบดอลล์เป็นเวลาสองเดือนแล้วกัน”
มาลารินชะงัก ผุดฟองเดือดพล่านในห้วงอารมณ์โทสะอย่างที่ไม่อาจข่มลงได้อีก…พี่ปิ่นรู้ดีว่าเธอไม่อาจถามหาความยุติธรรมกับใครได้ มาลารินทำงานร้านอาหารเกินเวลาที่วีซ่านักเรียนกำหนดจึงรับเพียงเงินสดและไม่มีการใส่ชื่อลงระบบเป็นลายลักษณ์อักษร…ใช่ สิ่งที่เธอกำลังทำถือเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ไม่สามารถเรียกร้องใดๆ นอกจากก้มหน้ารับการตัดสินใจนี้หากยังอยากประคองวีซ่าของตนจนเรียนจบ!
แต่จะให้เธอทำงานในร้านอาหารที่มีเด็กเสิร์ฟเพียงคนเดียวแลกกับเงินวันละสี่สิบดอลลาร์ได้อย่างไร ที่สำคัญคือในสถานการณ์ที่พี่ปิ่นควรใช้สติพิจารณาและปกป้องลูกน้อง หล่อนกลับแสดงความเห็นแก่ตัวอันน่ารังเกียจด้วยการฉวยโอกาสลดค่าแรงถึงสองเดือนโดยไม่ถามความคิดเห็นของใครทั้งสิ้น!
มันไม่ใช่ความโกรธประเดี๋ยวประด๋าว หากแต่ทับถมมาก่อนแล้วจากพฤติกรรมหลายอย่างของอีกฝ่ายทีละเล็กละน้อย กระทั่งถึงฟางเส้นสุดท้ายในวันนี้นี่เอง
“พี่ปิ่นไม่ต้องหักเงินลีหรอกค่ะ” มาลารินกลืนระลอกโทสะอย่างสะกดกลั้น “เพราะลีจะขอลาออกเอง”
กล่าวจบหญิงสาวก็ถอดผ้ากันเปื้อนพลางก้าวเข้าไปคว้ากระเป๋าหลังร้าน เดินออกมายังบังเอิญเหลือบไปเห็นดวงตาสีเทาประหลาดไร้ทุกข์ร้อนนั่นชำเลืองตนอย่างเย็นชา ได้ยินแต่เสียงเรียกลนลานไม่ปะติดปะต่อของพี่ปิ่นตามหลังและ ซ่า…สายฝนร่วงหล่นไร้เมตตาทันทีที่ก้าวออกมาด้านนอก…
มาลารินกอดกระเป๋าแน่นโดยไม่คิดหันหลังกลับ หญิงสาวมองผ่านม่านฝนมัวซัวเบื้องหน้า หลอดไฟสีส้มสาดสะท้อนถนนใกล้เขตซีบีดี* ที่พร่างนองด้วยน้ำเปียกปอน ขณะย่ำเท้าตามทางเดินไปยังป้ายรอรถรางซึ่งมีชายไร้บ้านใบหน้ามอมแมมปักหลักเที่ยวกางร่มเดินขอเงินผู้สัญจรผ่าน
“…ขอสองดอลลาร์ มีสองดอลลาร์มั้ย”
คำพูดราวบทท่องซ้ำซากรั้งเธอไว้พร้อมมือซึ่งยื่นออกมาแบหราตรงหน้า ชัดเจนว่าต้องการเศษเหรียญดังกล่าวจากหญิงสาว
“ฉันดูเหมือนคนมีเงินเหรอคะ” คนเพิ่งออกจากงานถามเสียงเรียบ ไม่ได้คิดยอกย้อน ทว่าสงสัยจากใจจริง “เมื่อกี้ฉันเพิ่งทะเลาะกับเจ้าของร้านแถมยังโดนลูกค้าเหวี่ยงใส่ ไม่มีใครปกป้องฉัน และฉันก็เพิ่งขอลาออกมาแหละค่ะ”
ชายชราชะงัก มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางถอนหายใจด้วยสายตาเวทนา ซ้ำมิวายทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป
“ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละนังหนู…”
‘…ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ’ ถ้อยประโยคเรียบง่าย หากหนักอึ้งอย่างน่าประหลาด
หญิงสาวก้มมองสภาพมอมแมมของตน ท่ามกลางม่านหยาดฝนชื้นแฉะ ทอดสายตากลับไปยังเห็นแต่หลังไวๆ ของชายไร้บ้านเดินขึ้นรถรางอย่างไร้ทุกข์ร้อน ทิ้งให้เธอได้แต่พึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว จนใจหากก็ยอมรับในโชคชะตา
“แต่ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ซะหน่อย…”
หากจะกล่าวถึงลักษณะหนึ่งในตัว ก็เรียกได้ว่ามาลารินเป็นคนไร้ซึ่งสัญชาตญาณอย่างสิ้นเชิง
เธอไม่เคยเอะใจกับอะไรต่อมิอะไรที่มีแนวโน้มถึงโชคลางลี้ลับหรือความรู้สึกเหมือนเข็มแหลมซึ่งจะคอยจิ้มจึกจักอยู่ในอกก่อนเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ทั้งยังไม่ค่อยจะสังเกตสังกาอารมณ์ของตัวเองมากนักและออกจะทึ่มทื่อดื้อด้านเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวโทษว่าการทุ่มเทหาเงินเปลี่ยนตนให้กลายเป็นทาสรับใช้ทุนนิยมจนสึกกร่อนทางรายละเอียด แต่เปล่าเลย ความจริงคือมาลารินละเอียดอ่อนต่อทุกอย่างยกเว้นตนเองต่างหาก ถึงกระนั้นกว่าเธอจะตระหนักได้เวลาก็ล่วงเลยหลังจากนี้ไปนานมากแล้ว…
เหตุการณ์นี้เองก็ด้วย…ตั้งรับไม่ทันเลยสักนิด
เสียงเย้าแหย่คิกคักดังแว่วออกมาจากห้องนอนตอนกลับมาถึงที่พัก และนั่นเองที่ทำให้ลางสังหรณ์กะปลกกะเปลี้ยของหญิงสาวได้ตื่นจากจำศีลบ้าง มาลารินชะงักในทันที ค้างอยู่กับการชั่งใจครู่สั้นๆ พอจะเดาออกว่าเสียงข้างในเป็นของใครบ้าง นึกจะถอยออกมาแต่ก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกโชกจากฝนด้านนอก อีกอย่างหากจะว่าไปห้องนอนนี้ก็เป็นของเธออยู่ครึ่งหนึ่ง สุดท้ายจึงกลั้นใจยกมือขึ้นเคาะประตูก๊อกๆ ก่อนเปิดผาง
“ว้าย!”
หญิงสาวด้านในอุทานเสียงหลงพร้อมกับคู่รักของหล่อนที่รีบผุดลุกจากการกกกอดเมื่อครู่ด้วยความตกใจ และแม้พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรก ทว่ามาลารินก็อดเผยอยิ้มกระอักกระอ่วนส่งให้รูมเมตสาวก่อนเอ่ยทักทายไม่ได้
“สวัสดีพลอย สวัสดีไมค์”
เธอว่าพลางตั้งท่าจะหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า แต่แล้วก็ได้ให้ชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นเตียงยับยู่ยี่ราวกรำศึกหนักของตน จดจ้องจนแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดหรือพานคิดไปเอง ก่อนจะเบือนหน้ามาสลับมองหนุ่มสาวทั้งสองแล้วอดเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษขึ้นไม่ได้
“เมื่อเช้าเราว่าเราเก็บที่นอนดีแล้วนะ ทำไมถึงยับได้ล่ะ”
ไมค์หลุกหลิกสายตาไปยังแฟนสาว เห็นได้ชัดว่าที่มาลารินไม่พูดภาษาไทยเพราะต้องการให้เขารับรู้ด้วย ขณะที่คนถูกถามเพียงจัดแจงเผ้าผมให้เรียบร้อยพร้อมสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอันแยบยล
“ไม่รู้สิ ลีลืมเก็บรึเปล่า” หล่อนเอ่ยขณะกวักมือเรียกคนรักกลับขึ้นเตียงดังเดิม “อ้อ คืนนี้ไมค์จะมานอนที่นี่นะ”
“ในห้องนี้เหรอ”
มาลารินกะพริบตาปริบทันทีด้วยไม่รู้จะโกรธหรือตกใจก่อนเป็นอันดับแรก เพราะแม้จะได้ชื่อว่าเป็นรูมเมตกันทว่าเธอกลับไม่ได้มีความสนิทสนมกับอีกฝ่ายเท่าใดนัก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมาลารินและพลอยถือว่าฉาบฉวยอย่างยิ่งด้วยไม่ค่อยมีสิ่งใดให้เห็นพ้องต้องกัน การพูดคุยก็มีแค่คำทักทายสั้นๆ ยามเช้ากับราตรีสวัสดิ์ก่อนนอน กล่าวได้ว่าแรงจูงใจในการแชร์ห้องหาใช่มิตรภาพ หากแต่เป็นราคาจ่ายที่สามารถตกลงกันได้ต่างหาก
กระทั่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน…การพาคนรักมาหลับนอนในห้องซึ่งยังต้องแบ่งใช้กับรูมเมตดูจะมากเกินไปสักหน่อยกระมังในความคิดของมาลาริน
“อื้อ แต่จะไม่ไปรบกวนอะไรฝั่งเตียงของลีหรอก เราเห็นฝนตกหนักเลยไม่อยากให้เค้าตากฝนกลับ”
…แต่ที่เตียงเธอยับขนาดนี้ก็เพราะเพิ่งสังเวยให้กับกิจกรรมของทั้งสองคนไม่ใช่เรอะ! ความรู้สึกถูกเอาเปรียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าของวันทำให้หญิงสาวค่อยๆ ระบายลมหายใจอย่างสะกดกลั้น
“พลอย ถึงอย่างนั้นเราก็เป็นผู้หญิงนะ อีกอย่างเราจ่ายค่าห้องมาเพื่อแชร์สำหรับสองคน…”
“ทำไมลีเห็นแก่ตัวแบบนี้อะ”
มือที่กำลังจะวางกระเป๋าชะงักค้าง ถ้อยคำของคนที่ยังนอนไม่รู้สึกรู้สาบนเตียงเรียกให้มาลารินหันกลับไปเอ่ยถามทันที “พลอยว่าไงนะ”
“ความจริงห้องนี้เราก็เป็นคนไซน์ เราจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ ลีนั่นแหละที่มาแบ่งเช่าเอง”
หญิงสาวผู้ ‘ไซน์ห้อง’ อธิบายอย่างไม่ยี่หระ ไม่สนใจด้วยว่าบรรยากาศอึมครึมบางอย่างจะเลือนรอยยิ้มฝืนเฝื่อนของมาลารินให้ค่อยๆ จางลงเงียบเชียบ จริงอยู่ที่การไซน์ห้องหรือการเซ็นสัญญาเช่าเท่ากับว่าห้องนี้เป็นของผู้ลงนามนั้น มาลารินเป็นเพียงคนเข้ามาแชร์จ่าย แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อกล่าวถึงด้านปฏิบัติก็เท่ากับทั้งสองหารเงินกัน ใช่ว่าขออยู่ฟรีเสียที่ไหน
การถูกเอารัดเอาเปรียบหลายต่อหลายเรื่องกลายเป็นตะกอนที่ถูกตีขุ่น ผสมปนเปตามมูลเหตุทับถม สะเปะสะปะอยู่ในคำถามที่ว่าทำไมนะ ทำไม เหตุใดเรื่องเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นกับเธอ แล้วเหตุใดจะต้องจำยอม…เพราะไม่มีเงินหรือเพราะตนไม่เคยทักท้วงอะไรกันแน่
มาลารินหันไปเปิดตู้ คว้าเสื้อผ้าใส่กระเป๋า แล้วเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนก่อนตอบเสียงเรียบ
“งั้นก็แล้วแต่พลอยเถอะ คืนนี้เราไปนอนที่อื่นเอง”
ร่างระหงเดินออกจากห้องพร้อมความรู้สึกไม่ยินยอมซึ่งเอาแต่จะขุ่นข้องข้างใน กระนั้นฝนด้านนอกก็ยังใจดีกับเธอพอที่จะเหลือเพียงละอองน้ำโรยผ่านกับฟ้าร้องกระหึ่มอยู่ไกลๆ ยามก้าวพ้นอพาร์ตเมนต์…สู่เขตเมืองที่ผู้คนยังคงตามหามุมเงาเงียบงันเพื่อให้เสียงหัวใจของตนสะท้อนก้องดัง มาลารินกางร่ม เงยหน้ามองตึกสูงรายรอบกับวิบวับจากดาวกระจ้อยร่อยซึ่งหลงเหลือให้เห็นผ่านแสงไฟของเมืองเบื้องล่างแต่เพียงดวงเดียว
ระยิบระยับเลือนราง แล้วค่อยๆ เคลื่อนคว้างเดียวดาย…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 พ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.