4
แม้จะลอบเตรียมตั้งรับอยู่บ้าง แต่มาลารินก็ไม่เคยคิดเลยว่าเจตนาปกปิดโยงใยระหว่างกวิน เกวรา และพี่ประณตของตนจะจบลงรวดเร็วปานนั้น
นอกจากอาการแปลกๆ ในคืนวันฝนตกครั้งก่อน ระยะหลังมานี้กวินก็ถือว่าปกติดี และแม้จะยังมีท่าทางเบื่อหน่ายหญิงสาวเสียเต็มประดา ทว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งเธออีก ความพยายามจะขโมยกุญแจนั่นก็ด้วย มาลารินไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มล้มเลิกความตั้งใจจริงๆ หรือเพราะขี้เกียจหาว่าเธอซ่อนเอาไว้ตรงไหนบ้างกันแน่
อย่างไรก็ตาม งานในคาเฟ่ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยมือแม้จะมีรายรับมั่นคงทุกเดือนแล้ว การทำกาแฟยังเป็นสิ่งที่หญิงสาวโปรดปราน เธอเสพติดความรู้สึกคล้ายถูกโอบล้อมด้วยกรุ่นกลิ่นแบบเฉพาะกับฟองอวลลวดลายต่างๆ และไหนจะรอยยิ้มละมุนละไมของประณตที่ทำให้มาลารินรู้สึกสงบใจ ซ้ำยังมักจะคอยปลอบขวัญวันอ่อนล้าหลังรบรากับเด็กร้ายกาจคนนั้น โดยที่ชายหนุ่มเองไม่รู้ตัวสักนิดด้วย
ทำใจให้เชื่อยากเหลือเกินว่าเป็นญาติกัน ให้บอกว่าเทวากับซาตานยังเป็นไปได้มากกว่า…
“ว่าไงลี โอเครึเปล่า”
เสียงทักดึงสติหญิงสาวกลับมายังเครื่องทำกาแฟตรงหน้า มาลารินหยุดเช็ดหัวเป่าลมก่อนหันไปสบตากับประณตซึ่งยืนเยื้องกันพลางยิ้มแหย เธอมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนจับใจความอะไรไม่ได้เลย
“พี่ณตว่าไงนะคะ”
“โหยพี่ มันไม่ได้ฟังที่เราคุยกันเลยอะ” พี่ภพผละจากการเก็บแก้วมายุแยงทีเล่นทีหยอก แล้วได้ให้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากประเดี๋ยวนั้นเมื่อคนถูกแหย่หันไปมองตาเขียว “ดู๊ดูมองเข้า หน้าดุอย่างกับหมา”
“กัดเก่งเหมือนหมาด้วย ลองมั้ยพี่”
“พี่ณตดูมันดิ”
บทสนทนาไร้สาระกลายเป็นเรื่องคุ้นชินกันภายในร้านยามว่างจากลูกค้าอยู่แล้ว ประณตจึงเพียงขบขันโดยไม่มีทีท่าจะเข้าไปห้ามจริงจัง ร่างสูงหันไปขยับกระถางใบเดหลีที่ใกล้จำศีลให้รับแสงแดดอ่อนจากหน้าต่างพลางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“เย็นนี้ภพชวนไปฉลองวันเกิด ลีสะดวกรึเปล่า”
“วันเกิดพี่ภพอีกตั้งสองอาทิตย์ไม่ใช่เหรอคะ”
คนถูกชวนมุ่นคิ้ว แล้วจึงค่อยกระจ่างในคำอธิบายต่อมาจากเจ้าของงาน
“เพื่อนคนอื่นเค้าสะดวกกันวันนี้พอดีนาซี่ อีกอย่างพี่ประณตก็บอกว่าถ้าเป็นตอนเย็นก็สะดวกตลอด ตอนนี้แกเองก็ไม่ได้ไปทำงานเด็กเสิร์ฟนั่นแล้วด้วยนี่”
มาลารินโคลงหัวตามคำพูดของอีกฝ่าย เธอไม่ได้คิดเรื่องตัวเองด้วยซ้ำขณะที่ภพเอ่ย แต่กลับไล่เรียงไปถึงตารางเรียนของกวินแทน ลอบพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองเมื่อทบทวนได้ว่าพรุ่งนี้เขาจะว่างทั้งวันจึงไม่จำเป็นต้องตามจ้ำจี้จ้ำไชอะไรตอนกลางคืน ปล่อยทางนั้นเที่ยวบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก หักดิบไปเลยคงไม่ดี
แท้จริงแล้วเธอไม่อยากเข้มงวดกับเด็กหนุ่มเท่าใดนัก หากความประพฤติของเขาไม่ได้คึกคะนองสุดโต่งเธอก็ยินดีจะมองข้าม หญิงสาวค้นพบว่ากวินมีความอหังการแบบที่เก็บกดความไม่พอใจเพื่อย้อนทำร้ายอีกฝ่ายให้เจ็บกว่าเดิม อย่างเมื่อครั้งเธอบังคับให้เขาไปนั่งเรียนครานั้น เด็กหนุ่มก็เอาคืนด้วยการขโมยกุญแจเพื่อขังเธอให้ทุลักทุเลท่ามกลางสายฝน ใช่…ถ้าไม่ติดว่าแอบซ่อนกุญแจสำรองไว้ มาลารินก็ไม่รู้ว่าเรื่องต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร
ดังนั้นถ้าวันนี้เธอไม่เข้าไปวุ่นวายอะไรกับเขา อีกฝ่ายคงจะผ่อนคลายขึ้นกระมัง…
ริมฝีปากอิ่มยิ้มพราย ยักคิ้วให้เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ทันที
“พี่ภพเลี้ยงปะ”
“แกเคยเห็นฉันขี้งกกับน้องกับนุ่งรึไง”
อีกฝ่ายเท้าเอวด้วยท่าทางฉุนเฉียวทว่าไม่จริงจัง เรียกเสียงหัวเราะปลอดโปร่งจากคนฟังจนเจ้าของร้านต้องลอบหันมายิ้มตามเงียบๆ ขณะที่เธอพยักหน้าหงึกหงักรับคำคู่สนทนาโดยไม่ทันสังเกตเห็นแม้แต่น้อย
“งั้นไม่เมาไม่กลับเลยนะพี่”
บาร์ที่ภพเลือกอยู่ไม่ไกลจากเขตซีบีดีเท่าใดนัก เป็นตึกสีดำสามชั้นในย่านซึ่งคึกคักยามค่ำคืน แยกโซนดื่มกินกับคลับเต้นชัดเจนทั้งยังมีบริเวณดาดฟ้าให้สังสรรค์ อย่างที่แม้มาลารินจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อนแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเคอะเขินอะไร หญิงสาวค้นพบว่าการมองผู้คนท่ามกลางม่านเงาสลัวรางสร้างความรู้สึกเพลิดเพลินประการหนึ่ง
เสียงหัวเราะผสมดนตรีพลุกพล่าน รอยน้ำตาของหัวใจเมามายบางดวงวาววับผ่านหน้าเธอไป และทำให้หญิงสาวพลันว่างโหวงอยู่ลึกๆ เมื่อตระหนักว่าร่างกายซึ่งเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงบรรเจิดของราตรีลวงเหล่านั้นดูดุจจะลบเลือนเรื่องราวแล้วไขว่คว้าเพียงมายาฝัน แม้รู้ดีว่าท้ายที่สุดทุกอย่างจะกลับสู่ความจริงเมื่อย่ำรุ่ง
อาจเพราะเหตุนี้กระมังจึงมีคำว่าดื่มเพื่อเมามาย บางทีเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากเมา เมาให้ลืม เมาให้เลือน…
สัมผัสเย็นจากขวดแก้วแตะแก้มเรียกดวงตาดำขลับของเธอกลับมาพร้อมสายลมเย็นที่พัดผ่านบาร์ดื่มบนดาดฟ้า บริเวณซึ่งคนไม่พลุกพล่านนี้ทำให้หญิงสาวมองเห็นรอยยิ้มของพี่ประณตสะท้อนแสงไฟสีส้มนวลชัดเจน อีกฝ่ายหัวเราะขบขันขึ้นเบาๆ ขณะยื่นเครื่องดื่มมาให้ แม้มาลารินจะยิ้มแหยพลางอ้อมแอ้มตอบ
“ลีคออ่อนน่ะค่ะ กินเหล้ากินเบียร์ไม่เก่ง”
“พี่รู้ เลยเอาแอปเปิ้ลไซเดอร์* มาให้” ชายหนุ่มบอกพร้อมหันด้านฉลากขวดเป็นการยืนยัน
คนคออ่อนรับขวดไซเดอร์มาจิบ กลืนฟองซ่ารสหวานปะแล่มปนเปรี้ยวเฝื่อนๆ นั่นลงคอ ซ้ำยังเผลอทำปากจุ๊บจั๊บ ก่อนพึมพำขอบคุณพี่ประณตซึ่งนั่งลงข้างกันตอนที่ลมประสมไออุ่นจากฮีตเตอร์เชยผ่าน เธอชอบอากาศเย็นแต่ไม่เป็นมิตรกับความเหน็บหนาว การนั่งใกล้เครื่องทำความร้อนจึงชวนให้วางใจกว่าออกไปเกาะขอบระเบียงรับลม
หญิงสาวเบนสายตาออกไปมองทิวทัศน์ดาดฟ้าตึกอีกครั้ง ระยับแสงจากดวงไฟของเขตเมืองทอดยาวไกลลิบจรดรอยมืดดำซึ่งค่อยๆ กลืนหายไปบริเวณระหว่างเงาภูเขาตะคุ่มสักแห่งที่เธอไม่รู้จักชื่อกับท้องฟ้าเบื้องบน
“พออากาศเริ่มหนาว วิวข้างบนนี้ดูแปลกตายังไงก็ไม่รู้”
เสียงทุ้มข้างกันเรียกความสนใจจากมาลารินอีกครั้ง เธอไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มชวนคุยหรือแค่รำพึง หากก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“พี่ณตเคยมาร้านนี้ด้วยเหรอคะ”
“อ๋อ…อื้อ เกลเคยพามาน่ะ”
ประณตตอบเรียบง่าย ขณะที่คนฟังกลับรู้สึกเหมือนเพิ่งเหยียบกับระเบิดในดินแดนต้องห้ามจนแทบอยากกัดลิ้นเสียให้ตายประเดี๋ยวนั้น เธอลอบมองดวงตาซึ่งทอดเงาสีหม่นนั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ลังเลกับการสรรหาคำปลอบอย่างไรให้ดูแนบเนียน โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกลับสังเกตเห็นอาการทั้งหมดเช่นกัน
ประณตระบายยิ้มจางพลางเอ่ยต่อ
“ความจริงยังไงพี่กับเกลก็ไปกันไม่รอดหรอก เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งอายุ รสนิยม ความคิดความอ่าน” เขาหัวเราะอายๆ “ก็ต้องขอบใจเค้าแหละที่ทำให้ชีวิตพี่พอจะมีสีสันขึ้นมาบ้าง ถึงสุดท้ายจะรู้ก็เถอะว่าสีพวกนั้นมันไม่เหมาะกับพี่เอาซะเลย”
ริ้วลมหนาวพัดเรือนผมสีปีกกาของเขาอย่างเหงาๆ แล้วท่ามกลางความเงียบซึ่งร่วงหล่นโดยไร้สัญญาณเตือนนั้นเอง มาลารินก็รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ สักแห่งข้างใน…ล้นรื้นขึ้นมาราวกับจะมองเห็นว่าโชคชะตาของเธอกับเขาถูกลิขิตมาในรูปรอยเดียวกัน…เพียงแต่หญิงสาวไม่รู้ว่าเรื่องราวของตนจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น และจะฝากรอยลึกยาวนานยิ่งกว่า
“พี่ณต…”
เธอรู้สึกว่าควรเอ่ยอะไรสักอย่าง อาจเป็นถ้อยคำชวนฮึกเหิมปลุกเร้ากำลังใจ หรือปลอบโยนอย่างอ่อนหวาน แต่ก็อับจนถ้อยคำแต่เพียงเท่านั้น สุดท้ายจึงปล่อยให้ความเงียบเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยแทนตน
“เอ ภพหายไปไหนเนี่ย สงสัยลงไปเต้นกับเพื่อนที่คลับข้างล่าง” ราวกับล่วงรู้ความคิด ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องอย่างลื่นไหลแทน “เบื่อรึเปล่าลี อยากเต้นบ้างมั้ย”
“ลีถนัดนั่งเฉยๆ มากกว่าค่ะ เต้นไม่เก่ง” คนถูกชวนยิ้มแหย
“เหมือนพี่เลย”
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหญิงสาวก็ตระหนักขึ้นมาได้ตอนนั้นเองว่าเธอไม่เคยแบ่งปันช่วงเวลาเช่นนี้กับประณตสองต่อสองมาก่อน ในอวลไออบอุ่นของเขามักมีบรรยากาศร้านกาแฟอันเรียบง่ายเป็นฉากหลังอยู่ตลอดเวลา ทว่าพี่ประณตในคืนนี้กลับแตกต่างออกไป ชายหนุ่มมีรอยยกยิ้มท่ามกลางเสียงอึกทึกและระยับไฟเบื้องล่างซึ่งทอดยาวสุดลูกตา กระนั้นภายใต้ความสับสนวุ่นวายรอบกายก็กลับยิ่งทำให้พี่ประณตของเธอดูมั่นคงกว่าที่เคย
ความรู้สึกยุบยิบกลางอกทำให้มาลารินยกขวดไซเดอร์ขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ เกาแก้มเก้กังหาเรื่องทำไปเรื่อย
“เราไปดูพี่ภพกันหน่อยมั้ยคะ ไม่ใช่ว่าไปเมาแอ๋อยู่ไหนต่อไหนแล้ว”
“เอาสิ พี่ก็หวั่นๆ อยู่ กลัวว่าภพจะสนุกจนเลยเถิด”
เรียบง่ายเพียงเท่านั้น และเธอก็อาจจะแค่เดินสะดุดบันได หรือชนคนเมา หรือมึนหัวเสียเองจากการซัดไซเดอร์ไม่ยั้งเมื่อครู่ ทว่าท่ามกลางความน่าจะเป็นมากมายทั้งหลาย หญิงสาวกลับไม่คิดเลยว่าเมื่อทั้งสองเดินลงไปยังบริเวณคลับชั้นล่างซึ่งนอกจากจะเจอพี่ภพเต้นแร้งเต้นกากับกลุ่มเพื่อนตามที่คาดไว้ กลับยังมีชายหญิงอีกคู่ท่ามกลางสลัวแสงวูบไหว แนบชิดกันในม่านควันราวติดค้างอยู่กับภาพฝันยวนเย้า และทำให้ร่างสูงข้างเธอพลันชะงักค้าง ก่อนเผลอพึมพำชื่อซึ่งทำให้มาลารินชาดิกไปทั่วร่าง
“กวิน…เกวรา?”
ดวงตาเรียวยาวหันไปเขม้นมองตามประณตทันที
…แล้วเธอก็มองเห็น แสงสลัวกับเส้นไฟสีแดงหม่นปาดป่ายในฟลอร์เต้น นำพาผู้คนให้เคลื่อนไหวไปกับจังหวะเพลงละตินอันเร่าร้อน กวินยืนอยู่ตรงนั้น โดดเด่นท่ามกลางความไม่แน่นอนของค่ำคืน ราวเป็นคนของดินแดนปริศนาจากโลกคู่ขนานอีกฟากฝั่ง…เหมือนปีศาจซึ่งแฝงกลืนอยู่ในหมู่ผู้คน และยังมีร่างอิ่มของเกวราเกี่ยวก่ายเคลียเคล้าอยู่ไม่ห่าง ดวงหน้างามหลับตาพริ้ม ชัดเจนว่ากำลังบรรเจิดเพลิดเพลินอยู่กับแสงไฟและคนข้างกาย
มาลารินขยี้ตา จับจ้องเข้าไปในภาพความเคลื่อนไหวตรงหน้าจนรู้สึกคล้ายจะวิงเวียนขึ้นมาตงิดๆ ครั้นลอบเหลือบไปมองประณตก็เห็นเขายังชะงักค้างอยู่เช่นนั้น ซ้ำยังไม่อาจอ่านสีหน้าได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“พี่…ณตคะ”
หญิงสาวแสร้งสะกิดอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว หากก็โมโหตัวเองนิดหน่อยที่น้ำเสียงแหลมสูงเกินพอดี
“นู่นแน่ะพี่ภพ ดิ้นอย่างกับโดนน้ำร้อนลวก”
ใช้เวลาสักพักประณตจึงผละสายตาจากทั้งสองและมองตามคำกล่าวของเธอ ชัดเจนว่าคงตั้งใจจะทำเป็นมองไม่เห็นเช่นกัน
“ภพเมาแล้วรึเปล่าน่ะ”
“เดี๋ยวลีไปดูให้ค่ะ พี่ณตรอตรงนี้แหละ”
มาลารินตั้งใจจะเป็นหน้าด่านปกป้องคนเป็นเจ้านายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หญิงสาวพาตัวเองแทรกผ่านหลากหลายร่างซึ่งกำลังยักย้ายตามเสียงดนตรีอย่างลื่นไหล หลบท่าเต้นสะเปะสะปะจนไปถึงร่างบึกบึนของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่และผองเพื่อนของเขา ก่อนสะกิดแขนยิกแล้วป้องปากเรียกแข่งกับเพลงอึกทึก
“พี่ภพ! เมารึยาง!”
“ฮะ?”
“เมายาง! โอเคป่าว!”
หญิงสาวว่าพลางทำมือโอเคเป็นเชิงถาม ขณะที่เจ้าของวันเกิดเพิ่งจะเข้าใจความหมายพร้อมทำท่าทางแบบเดียวกันตอบกลับ ทั้งที่ยังไม่หยุดออกสเต็ปสักจังหวะเดียว
มาลารินไม่อยากกวนเวลาคนกำลังสนุก เธอพยักหน้ารับหากก็มิวายเอ่ยย้ำ
“ลีกับพี่ณตอยู่ชั้นดาดฟ้านะ ถ้าเมาก็ขึ้นไปหา อย่ากลับเอง”
“คร้าบโผม!”
ภพหัวเราะเอิ๊กอ๊ากพร้อมยกนิ้วรับทราบเรียบร้อย ขณะที่คนเป็นน้องไม่อาจเลือกทางใดได้อีกนอกจากพยักหน้าหงึกหงักวางใจ หญิงสาวหันหลังกลับไปเบียดขอทางออกอีกครั้งและเกือบจะไปถึงประณตอยู่แล้วตอนที่มือหนาของใครบางคนพลันคว้าแขนเธอไว้แน่น กระชากรั้งจนต้องหันกลับไปมองก่อนได้ให้สะดุ้งโหยง
…โดยไม่ได้ตั้งใจ เธอก็ร่วงหล่นลงไปในม่านสีเทาราวควันบุหรี่ซึ่งจับจ้องโดยไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางวูบไหวของแสงไฟราวภาพลวง แล้วมาลารินก็เพิ่งจะสังเกตตอนนั้นเองว่าภายในดวงตาของกวินช่างเวิ้งว้าง ราวกับมรสุมหลงฤดูซึ่งสะบัดคว้างอย่างเดียวดายในจักรวาล มันดิ่ง ลึก ไม่อาจสะท้อนอะไรได้เลยกระทั่งตัวเขาเอง…
“ตามมาทำไม”
เสียงห้าวของเด็กหนุ่มเรียกสติกลับคืนทันที เป็นเหตุให้หญิงสาวบิดแขนออกจากมือราวคีมเหล็กนั่นอย่างนึกฉุน
“ไม่ได้ตาม”
“ไม่ได้ตามแล้วมาอยู่นี่ได้ไง”
“…วิน”
เกวราเข้ามาเกาะแขนของอีกฝ่ายพลางใช้ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมายังเธอ พิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าจนหญิงสาวเพิ่งจะสังเกตตามว่าการแต่งตัวของเธอทั้งสองช่างแตกต่างกัน มาลารินในเสื้อคอเต่าทึมทึบกับกางเกงยีนตัวหลวมโพรก กับเกวราในเดรสสั้นราวตุ๊กตาบาร์บี้ไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิด เจ้าหล่อนดูจะพึงใจไม่น้อยกับข้อสังเกตนี้ หากก็ดูจะไม่ชอบใจนักที่คู่ควงของตนผละเข้ามาหาเธอ
“นี่มันเด็กเสิร์ฟที่มีปัญหาคนนั้นไม่ใช่เหรอคะ เค้ากวนอะไรวินอีก” เสียงหวานแหลมคมพุ่งใส่กันไม่ไว้หน้า
เห็นชัดว่ากวินยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เธอกลายเป็นคนดูแลให้อีกฝ่ายฟัง มาลารินจึงไม่คิดเอ่ยถึง เธอรีบสะบัดแขนอย่างแรงจนเป็นอิสระก่อนยักไหล่ชี้แจงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เรื่องบังเอิญน่ะค่ะ…ฉันมากับพี่ประณต” ประโยคหลังตั้งใจเน้นย้ำกึ่งจะให้สัญญาณเตือน
เกวราพลันนิ่งค้างขณะที่เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วคล้ายจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เธอมากับใครนะ”
“เอาเหอะ จะเต้นจะดื่มอะไรก็ตามสบาย ไม่ต้องมาสนใจฉัน…แต่เอาให้พอดีๆ หน่อยแล้วกัน อย่าไปเมาจนมีเรื่องอีกล่ะ”
“พูดอะไรเนี่ย” สาวน้อยอีกคนเริ่มมีทีท่าไม่พอใจ “คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาเจ้ากี้เจ้าการ”
“เฮ้อ น่ารำคาญใช่มั้ย ถึงได้บอกไงว่าวันนี้ไม่ต้องสนใจฉัน” คนโดนเหวี่ยงระบายลมหายใจตอบอย่างใจเย็น
เพราะไม่อยากเสียเวลาไปกับการต่อล้อต่อเถียงที่ดูไม่สิ้นสุด จบคำมาลารินก็หมุนตัวกลับไปหาประณตโดยไม่อินังขังขอบเด็กหนุ่มอย่างที่ปากว่าจริงๆ
ไม่…แม้กระทั่งหันกลับไปมองว่ามีประกายกรุ่นบางอย่างค่อยๆ พาดผ่านแววตาคู่นั้น เป็นระลอกคลื่นที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่อาจอธิบายได้
…กวินรำคาญที่เธอเอาแต่วิ่งตามเขาราวไม่รู้เหน็ดรู้หน่ายก็จริง ทว่าการทำทีราวกับปล่อยอิสระให้กันเช่นนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…ที่แน่ๆ คือเขาไม่ชอบ ทั้งสีหน้าปราศจากทุกข์ร้อน น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยไร้แยแส ท่าสะบัดหน้าหันหลังกลับ…ทุกอย่าง เขาไม่ชอบทุกๆ อย่างที่ยายผู้หญิงบ้านั่นเพิ่งจะแสดงออกมา!
มาลารินลอบมองพี่ประณตเป็นระยะขณะเดินกลับขึ้นไปนั่งรับลมบนชั้นดาดฟ้าตามเดิม เจ้านายของเธอยังคงมีรอยยิ้มอ่อนๆ ระบายอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แต่หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเปลี่ยนไปก็คงเป็นเงาหม่นจางๆ ซึ่งลอบปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา ทออ่อนระหว่างสับสนกับจนใจ และทำให้คนลอบมองต้องสะบัดร้อนสะบัดหนาวอยู่กับความกังวลอย่างไร้สุ้มเสียงและทำได้เพียงปล่อยให้ความเงียบไหลผ่าน เธออยากเอ่ยคำพูดเท่ๆ ปลอบโยนชายหนุ่ม อาจจะลอกมาจากหนังสักเรื่องหรือนิยายสักเล่ม เกือบจะเค้นสมองออกมาได้แล้วด้วยซ้ำ ก่อนจะต้องชะงักงันเมื่อจู่ๆ ร่างสูงของเด็กหนุ่มก็เดินตามเข้ามา โดยมีเกวราซึ่งแสดงออกชัดเจนว่าไม่เต็มใจอย่างยิ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลัง
“มาทำอะไรเนี่ย”
มาลารินอดถามด้วยความประหลาดใจกึ่งจะฉุนนิดๆ ไม่ได้ ทว่ากวินกลับไม่คิดตอบคำถามเธอ ร่างสูงพาตัวเองนั่งลงตรงข้ามกัน ปรายตาเพียงผาดๆ พร้อมแสยะยิ้มเยาะก่อนหันไปเอ่ยกับชายอีกคนแทน
“ไม่ยักรู้ว่าคุณอาก็มาเที่ยวที่แบบนี้ด้วย”
“คุณอาเหรอ…”
คราวนี้กลับเป็นเกวราที่เผลอทวนคำด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ใบหน้าเนียนซีดลงอย่างรวดเร็ว หล่อนไม่ได้ถามหาคำอธิบายจากกวินด้วยซ้ำ ดวงตากลมโตเหลือบมองประณตเพียงครู่สั้นๆ แววปริวิตกกะเทาะผ่านปราการข้างในก่อนรีบเบนไปทางอื่นทันที กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มต่างหากที่กล่าวต่ออย่างไม่สนใจใคร
“ผมลืมแนะนำเหรอ เกล นี่อาประณต คุณอาของผมเอง”
ไอ้เด็ก…
หญิงสาวสะเทือนเลือนลั่นอยู่ในใจคนเดียวท่ามกลางความพยายามกลบซ่อนท่าทีกระอักกระอ่วนของเกวรา รายนั้นหน้าซีดเผือดคล้ายจะล้มอยู่รอมร่อแล้ว
มาลารินยกขวดไซเดอร์ในมือขึ้นซดอึกๆ จนเกลี้ยง ปล่อยให้อวลฟองชุลมุนพลุ่งพล่านลงท้องด้วยหวังจะกลบเสียงหัวใจครึกโครม ครั้นชำเลืองไปเห็นว่าดวงตาสีเทาคู่นั้นกำลังจับจ้องตนอยู่ก็ได้ให้มุ่นคิ้วพร้อมจ้องกลับ หมายมาดตอบโต้แต่เพียงสงัดงัน สายตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร จะขุ่นเคืองอะไรกันนักหนาในเมื่อคืนนี้เธอให้อิสระเขาเต็มที่แล้ว…
“วิน ดูวิวตรงนั้นสิคะ สวยมากเลย”
เกวราตัดสินใจทำลายบรรยากาศขมึงตึงด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หล่อนลากแขนร่างสูงไปยังขอบระเบียงก่อนชี้ชวนดูระยับไฟเบื้องล่าง กีดกันเด็กหนุ่มออกจากความเป็นไปได้อันจะลุกลามถึงอดีตอย่างสุดความสามารถ และทิ้งให้มาลารินกับประณตถูกปกคลุมด้วยความเงียบใบ้ดังเดิม
สายลมยามราตรีพลิ้วผ่านทั้งสองไปวูบสั้นๆ นำความเย็นเข้าชำแรกบรรยากาศหนักอึ้ง ก่อนที่ประณตจะค่อยๆ หันหน้ามาหาหญิงสาว ระบายลมหายใจอย่างคนที่ตกตะกอนความคิดกับจัดระเบียบอะไรต่อมิอะไรข้างในเสร็จสิ้นแล้ว
“ลีรู้อยู่แล้วเหรอว่าเกลกำลังคบกับวิน”
มันเป็นคำถามที่ไม่ได้คาดคั้นหรือเจือกระแสรวดร้าวประเภทใดเป็นพิเศษ หากกลับสร้างความรู้สึกอันยากจะตอบกลับหรือโกหกได้ คนถูกถามยิ้มแหย น้ำเสียงของพี่ประณตบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการคำตอบจากเธอ ฟองพรายจากไซเดอร์ในท้องยังผุดพล่านจนโลกของหญิงสาวเริ่มวูบไหว กระนั้นมาลารินก็ยังลอบผินหน้าไปพินิจท่าทีฉอเลาะของเด็กสาวกับสายตาร้ายกาจสีเทาควันบุหรี่ที่เอาแต่จะฉายแววหยามเหยียดกับเกลียดชังโลกทั้งใบนั่น ก่อนจะได้ให้ขำพรืดออกมาเบาๆ ห้ามตัวเองไม่ได้ซ้ำยังไร้สาเหตุ หันมาอีกครั้งก็เห็นแต่รอยยิ้มอบอุ่นของเจ้านายแบบที่ทำให้เผลอยิ้มตาม
“ถ้าลีเป็นเกวรา ลีจะเลือกพี่ณตแทนเด็กบ้านั่น”
เสียงเอ่ยออกจะอ้อแอ้เล็กน้อยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ มาลารินพยักหน้าหงึกหงักยืนยันคำพูดราวจะย้ำว่าเป็นความจริงทุกประการ
“ยังไงก็ต้องพี่ณตอยู่แล้ว…แต่เสียดายที่ลีไม่ใช่น้องเกล ลีไม่มีสิทธิ์เลือกแทนเค้า”
กล่าวจบก็เอนตัวไปตามทิศทางพระพายพัดผ่านราวจะไหลกลืนไปในระบายสายลม หญิงสาวหลับตา ปล่อยให้ปอยผมเคลียคลอปรางแก้ม ใต้เวิ้งฟ้ามืดสนิทกับแว่วเสียงบทเพลงของคนหลงทาง มาลารินไม่รู้ว่าถ้อยคำของตนจะกลายเป็นผลึกติดค้าง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชั่วขณะนั้นประณตจะพึมพำตอบกลับมา…ด้วยถ้อยคำเบาหวิวซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยิน
“แสดงว่าถ้าเลือกได้…ลีจะเลือกพี่เหรอ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 พ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.