X
    Categories: With Loveณ ภวังค์สุดฝั่งฟ้าทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ณ ภวังค์สุดฝั่งฟ้า บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 6

5

ปัจจุบัน

ประเทศไทย

ทันทีที่ประตูรั้วขนาดใหญ่เปิดอ้าจากระบบอัตโนมัติ รถยนต์คันหรูก็ทะยานเข้าสู่เขตบ้านตันติณรงค์ราวกับหอบพาด้วยแรงโทสะ ผ่านพื้นชื้นแฉะจากสายฝนไปจอดหน้าตัวตึก ก่อนที่ร่างสูงของกวิน ตันติณรงค์ ทายาทคนโตจะก้าวลงมาพร้อมประกายตาคมกริบแบบที่ไม่มีใครกล้าสบมองคู่นั้น มือหนาดึงเนกไทให้คลาย ค้างไว้แต่เพียงหลวมๆ และสิ่งเดียวที่เขาทำต่อจากนั้นก็คือการยืนนิ่ง ข่มกลืนลมหายใจหน่วงหนักอย่างเชื่องช้ากระทั่งดูสงบลง กับจดจ่อรอคอย ราวเสือในเร้นพรางของพุ่มหญ้า เขารู้วิธีการ สิบปีที่ผ่านมาไม่ได้ผ่านไปโดยเสียเปล่ากับการบ่มเพาะเด็กวู่วามคนหนึ่งให้กลายมาเป็นชายหนุ่มอย่างทุกวันนี้…

แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้…ใช้เวลาไม่นานเลยตอนที่รถสปอร์ตสีขาวของกีรติขับตามเข้ามาเพียงเพื่อจะเห็นว่าคนเป็นพี่กำลังยืนรอตนอยู่ เด็กหนุ่มผู้มักจะมีท่าทีสดใสกับออกจะดูซื่อบริสุทธิ์เป็นประจำจับจ้องกวินด้วยสายตาแห่งคำถามโดยไม่ปิดบัง ในระลอกบางอย่างก็ยังกระเพื่อมไหวด้วยโทสะอันหาได้ยากยิ่งอีกด้วย

“แกรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นนานแค่ไหนแล้ว”

ผู้มีลำดับศักดิ์อย่างคนเกิดก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเหยียดเมื่อน้องชายเดินเข้ามาใกล้ ขณะที่กีรติกลับเปิดเผยความไร้เล่ห์เหลี่ยมออกมาอย่างง่ายดายด้วยการเริ่มขมวดคิ้วชัดเจน

“ผมสิต้องเป็นฝ่ายถามว่าพี่รู้จักคุณลีได้ยังไง”

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบแก”

คนถูกย้อนว่าพลางไหวไหล่อย่างไร้แยแส สร้างความขุ่นมัวให้ฝั่งน้องชายจนต้องตอบโต้แบบเดียวกันบ้าง

“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบพี่เหมือนกันครับ”

“…กับผู้หญิงที่แก่กว่าเป็นสิบปี แถมยังมีลูกติดเนี่ยนะ”

ร่างสูงสาวเท้าเข้าใกล้คู่สนทนาช้าๆ ขณะพินิจมองเข้าไปในประกายตากระจ่างใสอย่างที่ไม่เคยถูกทำร้ายให้แตกร้าวสักครั้งในชีวิตคู่นั้น ก่อนแค่นเสียงหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องใดให้ขำสักนิด

“แกไม่รู้อะไรเลยกีรติ…ไม่รู้อะไรแม้แต่อย่างเดียว”

ใช่…กีรติไม่รู้อะไรเลย เด็กคนนี้เกิดมาอย่างสมบูรณ์พร้อม ท่ามกลางความอบอุ่นซึ่งถูกจุนเจือไม่เคยขาดของทั้งพ่อ แม่ และย่า เขาคาดไม่ถึงหรอกว่าโลกใบนี้มันอุบาทว์บัดซบแค่ไหน และคงไม่คิดว่าใครต่อใครที่เดินพล่านไปมาแทบจะชนกันบนท้องถนนนั่นก็ด้วย…ปลิ้นปล้อนตลบตะแลง กับเอาแต่จะฉีกเฉือนกันและกันอย่างไร้ความปรานีเมื่อมีโอกาส กีรติไม่รู้อีกว่าฉากชีวิตงดงามที่เขาวางใจเหล่านั้นจะต้องพังครืนลงต่อหน้าต่อตาในสักวัน เพราะไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่จะเป็นนิรันดร์…ทั้งผู้คน ความรัก หรือคำสัญญา…

“พี่วินหมายความว่าไง”

เด็กหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายพร้อมสีหน้ากังขา ขณะที่สายลมหอบหนึ่งพลันวูบผ่านสวนด้านหลังพัดเอาหยาดฝนคั่งค้างบนต้นไม้ใหญ่ให้พรูพร่างลงสู่พื้นเบื้องล่าง ทิ้งเอาไว้แต่ยอดใบเปียกปอนกับเสียงซ่าๆ ต่อกันเป็นทอดๆ

“มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้…”

“ตาติ”

บทสนทนาชะงักลงเพียงเท่านั้น เมื่อบริเวณโถงในบ้านพลันปรากฏร่างอวบอิ่มของสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินอย่างแช่มช้อยเข้ามาหาทั้งสอง ชะงักในท่าทีเล็กน้อยคล้ายสัมผัสถึงบรรยากาศหนักอึ้งบางอย่าง กระนั้นหล่อนก็พินิจกวินกับบุตรชายของตนต่ออีกชั่วขณะสั้นๆ ก่อนระบายยิ้มด้วยท่าทางใจดี

“มีอะไรกันรึเปล่าจ๊ะ”

ดวงตาสีเทาของชายผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดทางสายเลือดกับอีกฝ่ายพลันสลัดทิ้งห้วงอารมณ์ทั้งหมด แล้วกลับมาปกคลุมตนเองด้วยม่านเงาบางอย่างอีกครั้ง คลุมเครือ ยากจะอ่านออก ก่อนกระตุกมุมปากในเสี้ยววินาทีเมื่อเอ่ยตอบเสียงเรียบ

“ลองถามลูกชายคุณน้าดูสิครับ”

เขากล่าวทั้งๆ ที่รู้ว่าคำพูดของตนจะสร้างหลุมพรางแห่งความสงสัยลงในใจคนฟังอย่างไม่อาจเป็นอื่นไปได้ ก่อนจะสลับมองสองแม่ลูกเพียงแวบสั้นๆ แล้วเดินเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมาอีก

กระทั่งเจ้าของร่างสูงเดินหายไปแล้วนั่นแหละ คุณนัยนาหรือที่กวินเรียกอย่างห่างเหินว่า ‘คุณน้า’ จึงลอบมองประกายตาว้าวุ่นของบุตรชายก่อนแตะเบาๆ ที่แขนเพื่อกระซิบถามอย่างอ่อนโยน

“ทะเลาะอะไรกันรึเปล่าลูก”

“…เปล่าฮะ”

กีรติไม่ได้สบตามารดาขณะตอบ และทั้งๆ ที่ไม่อยากยอมรับสักนิด ทว่าความจริงก็คือเขากำลังติดเข้าไปในกับดักแห่งความสงสัยซึ่งถูกวางกระจายอย่างยากจะหาทางเลี่ยงหลบ…ทั้งจากกวิน คุณมาลาริน หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง…

 

เด็กชายศรันย์เพิ่งจะทำการบ้านข้อสุดท้ายเสร็จพอดี ตอนที่ ‘แม่ลี’ ของเขาเดินเข้ามาในห้อง

หญิงสาวก้าวเดินเงียบเชียบเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ประจำ เดียวดายคล้ายกับห่อคลุมตัวเองจากโลกทั้งใบ และนานๆ ครั้งหรอกถึงจะยอมหัวเราะออกมาบ้าง จนบางครั้งศรันย์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแม่กำลังขำจริงๆ หรือทำไปเพื่อไม่ให้ตัวเองลืมว่าวิธีหัวเราะต้องทำอย่างไรกันแน่ ถึงกระนั้นแม่ลีของเขาก็ยังเป็นคนที่ใจดีที่สุดเสมอมา…เป็นแม่ผู้คอยเลี้ยงดูเขาอย่างไม่รู้ล้ารู้หน่ายตั้งแต่ลืมตาเกิดจนถึงยามนี้…แต่เพียงผู้เดียว

ศรันย์เก็บสมุดการบ้านใส่กระเป๋านักเรียน ก่อนจะรีบกระโดดแผล็วขึ้นไปบนเตียงโดยไม่ต้องให้บอกด้วยซ้ำ เพื่อจะได้ใช้ดวงตากลมโตสีดำคู่นั้นช้อนขึ้นจับจ้องมารดาอย่างน่าชังพลางเอ่ยถาม

“คุณยายนอนแล้วเหรอฮะ”

มาลารินพยักหน้ารับ เธอหันไปมองโต๊ะที่ไม่มีสมุดการบ้านค้างคาครู่สั้นๆ ขณะเอื้อมตัวไปปิดหน้าต่างบนหัวเตียง

“ทำการบ้านเสร็จหมดแล้วเหรอรัน”

“เสร็จหมดแล้วครับ”

เด็กชายพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น ก่อนเอนตัวลงนอนเพื่อรอให้แม่ห่มผ้าให้ นี่คือช่วงเวลาที่ศรันย์โปรดปรานที่สุด แม่ลีจะคลี่ผ้าห่มซึ่งถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อยจากปลายเตียงขึ้นมาทาบทับลงบนอกเขาพอดิบพอดี ก่อนจะจัดนู่นจัดนี่ไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะคลุมตัวเขาไปตลอดคืนจนถึงเช้า และบางที…หากแกล้งหลับเร็วหน่อย ศรันย์จะรู้ด้วยว่าแม่แอบจุมพิตแผ่วเบาลงบนหัวของเขาก่อนออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน

ทว่าคืนนี้กลับแตกต่างออกไป เรื่องราววุ่นวายเมื่อตอนบ่ายแก่ยังติดค้างอยู่ในใจเด็กชาย ดังนั้นทันทีที่ผ้าห่มถูกวางทาบตัว ศรันย์ก็คว้าเรียวมือของผู้เป็นมารดามากุมแน่น ขณะที่ดวงตาคู่โตยังคงช้อนขึ้นสบมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง

“ยังเจ็บอยู่มั้ยฮะ”

เพียงเท่านั้น ใบหน้าอันคลุมเครือแววเฉยชาอยู่เสมอของมาลารินก็ระบายเงารางของความเอ็นดูออกมา หญิงสาวเอื้อมมือไปลูบเรือนผมเส้นเล็กดุจสายไหมแผ่วเบาราวจะกล่อมฝันคนตรงหน้า แล้วเหลือบมองแผลที่เท้าของตนแวบสั้นๆ ก่อนตอบ

“ไม่เจ็บแล้ว” ริมฝีปากอิ่มยกมุมหยักขึ้นจาง “แผลแค่นี้เอง เดี๋ยวก็หาย”

อาจเพราะเป็นเด็ก คงจะอย่างนั้น ศรันย์จึงเชื่อคำของมารดาโดยทันทีซ้ำยังแย้มยิ้มวางใจ เด็กชายไม่คิดถามอะไรหรือกระทั่งว่าใครคือชายที่เข้ามาแสดงอาการเกรี้ยวกราดคนนั้น เขาค่อยๆ หลับตาลงเชื่องช้าแล้วร่วงลงสู่ความง่วงงุนจากการถูกลูบเรือนผม ผลุบหายเข้าไปในลำนำความฝันสักเรื่องอย่างง่ายดาย ทั้งยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้ว ‘ความเจ็บ’ ที่ตนสื่อถึงไม่ใช่แผลเศษแก้วบาด…หากเป็นรวดร้าวบางอย่างข้างในซึ่งมักจะลักลอบปรากฏผ่านแววตาในโมงยามที่แม่ของเขาไม่รู้ตัวต่างหาก

ศรันย์ไม่รู้ หรือต่อให้รู้…ความเจ็บปวดที่หญิงสาวกำลังแบกรับก็ยังมากเกินกว่าที่เด็กวัยสิบขวบจะจินตนาการถึงอยู่ดี

ใช้เวลาต่ออีกสักพักกว่าจะแน่ใจว่าคนตัวเล็กร่วงลงสู่นิทราฝันแล้วจริงๆ มาลารินจ้องมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาชวนเอ็นดูของเด็กชายในความมืดต่ออีกชั่วครู่ก่อนจะค่อยผละออกจากห้อง ก้าวเดินผ่านเงาสลัวและสงัดเงียบของค่ำคืนอย่างเดียวดายไปในบ้านซึ่งยังเหลือเพียงเธอที่ยังตื่น หญิงสาวทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โยกริมหน้าต่างอย่างคนไร้เรี่ยวแรง มองผ่านความมืดออกไปมีเพียงเงาจันทร์อ้างว้างซึ่งสาดกระทบร้อยพันดอกใบชื้นชุ่มในสวน สายฝนเมื่อตอนบ่ายทิ้งเอาไว้แต่หยดน้ำใสกระจ่างปลายยอด ระริกไหวจนแวบหนึ่งก็ดูราวกับต้นไม้กำลังร่ำไห้ หรือบางที…พวกมันอาจหลั่งน้ำตากันอยู่จริงๆ ก็ได้

เมี้ยว…

แมวอ้วนพาตัวเองเข้ามาถูไถกับเรียวขาของมาลารินอย่างเชื่องช้า มันเหลือบดวงตาสุกสกาวราวกับนวดาราคู่นั้นขึ้นมามองเธอครู่สั้นๆ ก่อนผละออกไปขดม้วนบนโซฟาเยื้องกันราวรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ตอนนั้นเอง เฉกเช่นเคยเป็นตลอดสิบปีที่ผ่านมา โดยไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางม่านเงาแสนเศร้าซึ่งไม่เคยมีใครรับรู้…มาลารินก็ร้องไห้ สั่นสะอื้นอย่างเงียบเชียบ ล่มร้างภายใต้แสงจันทร์ส่องกับหยาดหยดความทรงจำพรูพร่างประดังประเด

สิ่งที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เคยรู้สึก ความผิดพลาดและรอยน้ำตาร่วงหล่นลงมาไม่ขาดดุจสายฝน

ใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าที่หญิงสาวจะสูดลมหายใจลึก เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าแมวอ้วนหลับตาลงไปแล้ว…แต่มันไม่ได้หลับหรอก เธอรู้ดี มันก็แค่เบื่อจะมองมนุษย์หน้าโง่อย่างเธอร้องไห้ต่างหาก

ริมฝีปากอิ่มค่อยๆ ยิ้มหยันขณะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แสงจากหน้าจอสี่เหลี่ยมสาดสะท้อนให้หยดน้ำตาที่ยังไหลร่วงกลายเป็นสีอความารีนตอนที่เธอกดโทรออก แล้วรอคอยกระทั่งปลายสายตอบรับ

“พี่ณต…” รสขมๆ ข้างในตีรื้นจนต้องข่มกลั้นในครู่ขณะ “เค้าเจอลีแล้ว”

มาลารินกระซิบแผ่วเจือก้อนสะอื้นจนสากเครือใต้ม่านเงาสลัวรางนั้นอย่างเดียวดาย…

10 ปีที่แล้ว

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

ท้องฟ้ายังคงเป็นสีดีบุกสลักสลัวตอนที่มาลารินเดินลากขาออกมาจากห้องนอน เธอหาวหวอดใหญ่ เรือนผมประบ่าฟูยุ่งไม่เป็นทรงพร้อมกับอาการปวดตุบๆ ราวมีเสียงขบวนรถไฟหูดครวญอยู่ในหัว และความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นถังหมักไซเดอร์เคลื่อนที่ อุ้ยอ้ายจากการบรรจุภาพทรงจำกระท่อนกระแท่นจากเมื่อคืน

…เธอไปดื่มฉลองวันเกิดพี่ภพ…พี่ประณตเจอเกวรา และ…อะไรต่อนะ อา…ก็เป็นพี่ประณตอีกนั่นแหละที่ขับรถมาส่ง แล้วกวินล่ะ อ้อ จำได้ว่าทำหน้าขมึงทึงกลับมาไล่ๆ กัน…

หญิงสาวสะบัดหัวเบาไล่ก้อนขมุกขมัวเหล่านั้น คว้าเสื้อคลุมตัวยาวเดินกอดตัวเองออกไปยังสวนหลังบ้าน สูดหายใจรับไอของท้องฟ้าทึบเทาไร้ละอองแดดเข้าเต็มปอด ก่อนเดินไปหยิบไม้กวาดเพื่อจัดการใบไม้กองโตบนพื้นหญ้าอย่างขะมักเขม้นโดยมีแม็กโนเลียต้นใหญ่ทยอยปลิดใบร่วงใส่ไม่ขาดสาย หากเธอไม่ทำก็คงไม่มีใครทำ แล้วใบไม้พวกนี้ก็จะทับถมกันเต็มสวนหลังบ้านอย่างกับฉากหนังฆาตกรรมในฤดูหนาวที่กำลังมาถึง มาลารินกวาด กวาด และกวาดอยู่เช่นนั้นราวเครื่องจักร แล้วเผลอจมความคิด ลอยเหม่อออกไปถึงเรื่องราวที่ไม่ใช่ของตัวเอง

เธอนึกถึง…รอยยิ้มจนใจของพี่ประณต สายตาระแวดระวังของเกวรา และท่าทีกระด้างกระดางลางแบบที่พร้อมต่อยตีกับคนทั้งโลกของกวิน

…ช่างเป็นรักสามเส้าที่ชวนอิหลักอิเหลื่อดีแท้

ในฐานะของผู้ชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ หญิงสาวก็ได้แต่ปลงใจว่าตนช่างโชคดีเหลือเกินที่ไม่ต้องสัมผัสโชคชะตาอันยุ่งเหยิงกับมีแต่จะกร่อนหัวใจให้ร้าวรานเช่นนี้…มาลารินคิดเช่นนั้นจริงๆ ตอนที่เธอยังเป็นอิสระจากเงื้อมมือของความเจ็บปวด…

ลมหนักไอชื้นวูบหนึ่งพัดผ่านร่างระหงไปอย่างช้าๆ อีกครั้ง ก้อนเมฆเบื้องบนปกคลุมจนมองไม่เห็นรอยต่อระหว่างขอบฟ้า หอบพาแต่ความหนาวที่มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องวางงานในมือลง ก่อนกอดตัวเองวิ่งกลับเข้าบ้านแล้วปล่อยให้แม็กโนเลียนั่นพลิ้วใบเหลืองแห้งต่อไปอย่างเดียวดาย

…เพียงเพื่อจะเห็นว่าร่างสูงคุ้นตากำลังเดินควงกุญแจรถลงมาจากชั้นสองพอดิบพอดี และทำให้หญิงสาวอดเอ่ยถามไม่ได้

“ไปไหนอะ”

“ยุ่ง”

โอเค…เป็นคำตอบที่ไม่ชวนให้แปลกใจสักเท่าไหร่

“ไม่แฮงก์เหรอ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นสนใจฉัน”

คราวนี้เหมือนว่ามาลารินจะเกือบจับความผิดปกติบางอย่างในน้ำเสียงได้ แต่ก็แค่เกือบเท่านั้น หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ พลางเผลอมุ่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว

“พูดอะไรแปลกๆ…พรุ่งนี้มีเรียนเช้า อย่ากลับดึกมากนะ”

“ไม่ต้องมาสั่ง เพราะฉันไม่ทำตามอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มตอบพลางไหวไหล่อย่างไร้แยแส ดวงตาสีเทาฉายประกายทระนงกึ่งจะดื้อดึงด้วยทิฐิบางอย่างที่มาลารินไม่เข้าใจ หรือเพราะยังเช้าอยู่อารมณ์สูงต่ำพวกนั้นก็เลยยังไม่เข้าที่เข้าทาง หนำซ้ำกวินก็ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรอยู่แล้วในสายตาเธอ ก็…คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง

“อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้สิ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย”

ใช่ ก่อนที่ทั้งสองจะบังเอิญเจอกันเมื่อคืนนี้หญิงสาวคิดว่าช่วงที่ผ่านมาอีกฝ่ายลดท่าทีต่อต้านลงไปอักโขแล้ว เมื่อเห็นอาการแข็งกร้าวราวเป็นศัตรูกับโลกทั้งใบรวมไปถึงตน หรือกระทั่งตัวเขาเองด้วยจึงอดจะสงสัยไม่ได้ มาลารินคิดว่าเมื่อคืนไม่มีใครทำอะไรให้เขาหงุดหงิดแม้แต่น้อย หรือแม้แต่เหตุการณ์การเจอกันระหว่างรักสามเส้ากระอักกระอ่วนที่ลอบกังวลใจอยู่นักหนาก็ยังผ่านไปได้ด้วยดีเกินคาด เธอออกจะปล่อยอิสระและไม่เข้าไปวุ่นวายด้วยซ้ำ…หรือเขาจะทะเลาะกับเกวราตอนที่เธอโดนแอลกอฮอล์เปอร์เซ็นต์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของไซเดอร์จู่โจมกันนะ

“นี่ อย่ากลับดึก…”

ปัง!

เสียงประตูปิดตัดคำโดยที่มาลารินยังไม่ทันได้จบประโยคด้วยซ้ำ ก่อนที่ทั่วทั้งบ้านจะเหลือแต่หญิงสาวและความว่างเปล่าซึ่งเคลื่อนที่ผ่านเธอไปอย่างเงียบงัน คนพูดอ้าปากหวอ ข่มกลืนอากาศและคำผรุสวาทลงคอ เอาเถอะ ใจเย็นก่อนนะลี…เอาไว้ก่อนแล้วกัน มาลารินกระซิบกับตัวเองในใจ วันนี้เธอเองก็มีเรียนไปจนถึงย่ำค่ำ กว่าจะถึงตอนนั้นหมอนั่นก็คงกลับบ้านแล้วกระมัง อย่างไรเสียระยะหลังมานี้เขาก็ไม่ได้ทำตัวมีปัญหานี่นา…

…ไม่มีปัญหากับผีน่ะสิ!!

เรียวมือถูกยกขึ้นทึ้งผมตัวเองพร้อมบิดไปมาขณะที่ดวงตากำลังจับจ้องไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งบอกเวลาว่าใกล้จะเที่ยงคืนเต็มที มาลารินชะโงกหน้าส่องถนนเงียบเชียบไร้วี่แววของรถสปอร์ตคุ้นตาก่อนขบเม้มริมฝีปาก เธอไม่ได้ต้องการพุ่งกลับบ้านหลังเลิกเรียนเพื่อจะมากระวนกระวายนั่งรอเด็กนั่นเป็นนานสองนานแบบนี้เสียหน่อย…เก่งมากกวิน ตันติณรงค์…เรื่องปั่นประสาทชาวบ้านนี่ช่างเชี่ยวชาญเหลือเกิน!

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด เมื่อตระหนักขึ้นประเดี๋ยวนั้นเองว่าขอบเขตการรอของเธอควรมาถึงจุดสิ้นสุดได้แล้ว กวินไม่รับโทรศัพท์ อันที่จริงเรียกว่าตัดสายเธอแล้วปิดเครื่องจะถูกกว่า ให้มันได้อย่างนี้สิ มาลารินคว้าเสื้อโค้ตตัวยาว มองออกไปยังถนนซึ่งปรากฏภาพความมืดและแสงไฟหรุบรู่สีส้มนวลที่เอาแต่สาดสะท้อนคืนฤดูใบไม้ร่วงจนดูวิเวกเหงา พลางกอบกำจิตใจดื้อรั้นไว้ให้เป็นทิฐิผลักดันแม้จะไม่รู้เลยว่าต้องเริ่มตามหาอีกฝ่ายที่ไหน

“ก็คงไม่พ้นพวกคลับบาร์หรอกน่า”

หญิงสาวกระซิบปลุกใจตัวเอง กระชับเรียวแขนกอดตนอย่างฮึกเหิมก่อนก้าวเดินฝ่าราตรีชื้นชุ่มและร่องรอยใบไม้เหลืองกรอบที่กระจายราวพื้นพรมไปตลอดทาง อาจเรียกได้ว่าตามหาด้วยสัญชาตญาณ คงเป็นเช่นนั้น

…และวกวนราวคนหลงทางจวบจนถึงบาร์แห่งที่เจ็ด ไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนัก ท่ามกลางบทเพลงฝันสลายกับแสงไฟในม่านควันสีหม่น เธอก็หากวินจนเจอ

เขายืนพิงผนังกลางมุมเงาที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่สาวเท้าผ่านประตูเข้ามา โดดเด่นด้วยร่างสูงสง่าและดวงตาแข็งกระด้างคู่นั้น ข้างกันคือเกวราผู้กำลังหลับตาพริ้มฟังทำนองดนตรี เพลิดเพลินไปกับการโยกเลื้อยตามจังหวะจนดูเหมือนนักเต้นในนิทานอาหรับ และในช่วงเวลาที่เบสหนักๆ หวดซัดผ่านลำโพงก็เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าถูกจับจ้อง เมื่อกวินชายตามาสบกับเธอนิ่งพร้อมยกคิ้วข้างหนึ่งกึ่งๆ จะเย้ยเยาะ ยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ…ราวกำลังรออยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น

มาลารินแก้มร้อนผ่าวโดยไม่รู้สาเหตุ แต่เธอสรุปอย่างรวดเร็วว่าอาจเพราะกำลังโกรธ หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมตัวยาวทั้งที่อากาศในบาร์อบอุ่นจนแทบร้อนขณะเบียดผ่านผู้คนจนไปถึงร่างสูง เพียงเพื่อจะถลึงตาจ้องด้วยอับจนถ้อยคำจะตำหนิ…ไม่ใช่ว่าด่าไม่ออกหรอก แต่คำพูดในหัวมันเยอะจนเลือกมาใช้ไม่ถูกเสียมากกว่า

“ตามมาทำไม”

เสียงทุ้มเคลือบอาบด้วยแววเย็นชา เรียกให้คนถูกถามแทบตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีตอบกลับไป

“บอกว่าอย่ากลับดึกไง!”

“ไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย”

“เอ๊ะ!”

“วิน…”

เกวราที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญรีบเข้ามาประชิดเด็กหนุ่มพร้อมจับจ้องมาลารินด้วยดวงตากลมโตที่ฉายประกายเอือมระอา หล่อนช้อนดวงหน้างามขึ้นหาร่างสูงอย่างออดอ้อน ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ให้ได้ยินอย่างถ้วนทั่ว

“เค้าตามวินมาทำไมอีก เป็นสตอล์กเกอร์หรือเปล่า เรียกการ์ดมาลากออกไปดีมั้ยคะ”

“ที่ตามน่ะใช่ แต่ที่ว่าเป็นสตอล์กเกอร์ก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ”

มาลารินอธิบายรัวเร็วก่อนผละความสนใจไปยังเจ้าของดวงตาสีเทาควันบุหรี่ เธอไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำกับเด็กสาวเวลานี้ จุดประสงค์ของการมาที่นี่มีเพียงเพื่อลากคนตัวสูงกลับบ้านเท่านั้น

“ไปกันเถอะ”

“ไม่ไป”

เด็กหนุ่มตอบกลับทันที ซ้ำยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ยกเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดขวดโดยไม่สนใจ

“นี่! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาเซ้าซี้วินแบบนี้” เกวราตั้งท่าขู่ฟ่ออย่างหมดความอดทนพร้อมเบียดพาตนเองเข้ามาในวงสนทนา “หรือคิดอะไรกับวินแล้วมาตามตื๊อ เจียมตัวบ้างเถอะ ฉันจะเรียกการ์ดจริงๆ ล่ะนะ”

คนถูกตำหนิผงะหงายกับถ้อยคำไม่ไว้หน้านั่น แต่กระนั้นเธอก็ยังเข้าใจความรู้สึกของเกวราจนโกรธไม่ลง…เป็นใครก็คงไม่พอใจที่มีผู้หญิงมาคอยวิ่งตามคู่ควงของตนทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ แม้บริบทของมาลารินจะแตกต่างจากที่อีกฝ่ายคิดไว้อย่างสิ้นเชิงก็ตาม เธอลอบระบายลมหายใจก่อนตวัดสายตาขึ้นไปจ้องเด็กหนุ่มทันที

“ยังไม่ได้บอกน้องเกลเรื่องฉันอีกเหรอ”

“อยากบอกก็บอกเองสิ” เขาว่าพลางไหวไหล่ ไม่ใส่ใจแม้จะเกี่ยวข้องกับตัวเอง

หญิงสาวกลอกตาให้อีกฝ่ายเห็นอย่างจงใจ…การที่มาลารินไม่ได้เอ่ยเรื่องรับจ้างดูแลกวินมีเหตุผลแสนง่ายดายเพียงว่าเธอต้องการไว้หน้าเขา เด็กหนุ่มอารมณ์ร้ายทำตัวขวางโลกคงไม่ชอบใจที่จะให้ใครต่อใครมารับรู้ว่าเขามีพี่เลี้ยงสักเท่าไหร่หรอก กระนั้นก็เถอะ ตอนนี้เธอประจักษ์แล้วว่ากวินไม่ได้มีท่าทีอินังขังขอบกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ใช่…เธอเข้าใจไปเช่นนั้น โดยไม่รู้ว่าความต้องการของเด็กหนุ่มเพิ่งจะผันแปรไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เธอหยุดใส่ใจเขา ละเลยและเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการลอบมองประณตราวห่วงใยเป็นนักหนา และคงอีกสักพักหลังจากนั้นกว่าที่มาลารินจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วกวินชื่นชอบการถูกประกบตามโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว…

“โอเค”

หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก สะกดกลั้นโทสะข้างในก่อนหันไปอธิบายแก่เกวรา ช้า ชัด เปี่ยมด้วยความอดทน

“จะห้ามไม่ให้ฉันคอยตามกวินไม่ได้หรอก เพราะฉันเป็นคนดูแลเขา”

“อะไร หมายความว่ายังไง” เด็กสาวสลับมองทั้งสองทันที

“ก็หมายความว่าฉันอยู่บ้านเดียวกันกับเขา และต่อแต่นี้ไปก็จะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดไม่ว่ากวินจะทำอะไร ไปไหน กับใคร” เอาล่ะ ประโยคหลังดูจะมากไปหน่อย ขอยอมรับว่าพูดตามอารมณ์ ก็หวังว่าคนฟังจะไม่จับใจความมาคิดให้มากมาย เกวราดูจะไม่ใช่คนเก็บรายละเอียดขนาดนั้น

“น่ารำคาญ”

ร่างสูงพึมพำและมาลารินก็เพียงยักไหล่ด้วยคุ้นชินไปเสียแล้ว ขณะที่หญิงสาวอีกคนเริ่มแสดงอาการหัวเสียชัดเจน หล่อนพินิจใบหน้าแสนจะธรรมดาก่อนเหยียดแสยะ

“ประสาท…วินยอมได้ไงคะ”

“ก็ไม่ได้บอกว่ายอม แค่ขี้เกียจต่อปากต่อคำ รำคาญ”

กล่าวจบก็วางขวดเบียร์กลวงเปล่าลงบนโต๊ะ เป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่คิดจะต่อบทสนทนาใดๆ อีก และคงหมดความสนใจต่อบาร์แห่งนี้ด้วยซ้ำหากจะว่าไป เมื่อร่างสูงก้าวเดินผ่านกลุ่มคนก่อนชะงักครู่สั้นๆ แล้วหันกลับมาหามาลารินด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายสุดแสน

“แล้วจะยืนทำไมอีก มาตามกลับไม่ใช่รึไง”

คนถูกเรียกค้างอยู่กับความงุนงงเพียงเสี้ยววินาที เธอกะพริบตาปริบ ขณะพยายามทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของค่ำคืนนี้ ครั้นเหลือบมองใบหน้าตกตะลึงของเกวราก็อับจนถ้อยคำปลอบโยนด้วยตนเองก็ไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้งสักเท่าไหร่ ก่อนจะสาวเท้าตามร่างสูงออกไปราวเงาตามติด สู่วูบผ่านของกลิ่นฝนรื้นรางที่เริ่มตั้งเค้ามาจากฝั่งอ่าวห่างไกล มาลารินรีบขยับก้าวจนเดินขนาบข้างชายหนุ่มพร้อมแบมือหราทันที

“เอากุญแจรถมา เดี๋ยวขับให้”

ดวงตาสีเทาควันบุหรี่ชำเลืองมองเพียงแวบสั้นๆ แล้วค่อยระบายลมหายใจซึ่งกลายเป็นไอสีจางท่ามกลางอากาศชื้นเย็น “ทำไมไม่ทำตัวแบบเมื่อคืนล่ะ จะกลับมาสนใจฉันทำไม”

“ไอ้เด็กบ้า เลิกพูดแบบนี้ซะทีได้มั้ย ไม่ให้สนใจนายแล้วจะให้ฉันไปสนใจใครล่ะยะ”

หญิงสาวอดแหวไม่ได้ ซ้ำยังเกือบจะฟาดเพียะไปยังแจ็กเก็ตหนังราคาแพงของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เกือบจริงๆ หากชั่วขณะนั้นไม่พลันสบเข้ากับเงาอ้างว้างกึ่งกลางดวงตาที่ยังคงมองมา ก่อนรีบผินหน้าขึ้นไปมองคืนมืดไร้ประกายดาวแทน เพียงเพื่อจะกดข่มความรู้สึกราวกับเส้นด้ายบางใสกำลังค่อยๆ กรีดริ้วข้างในหัวใจอย่างเงียบงัน

“เฮ้อ ช่างเถอะ…กลับบ้านกัน”

บทสนทนาสิ้นสุดตรงคำว่าบ้าน แล้วความเงียบก็สยายปีกปกคลุมทั้งสองแผ่วเบา และมาลารินก็ไม่รู้ด้วยว่าคำอันแสนเรียบง่ายเช่นนั้นจะทำให้มุมปากของคนฟังกระตุกยกชั่วแวบราวภาพลวงตา…ทว่าความตื้นเขินของหญิงสาวในตอนนั้นทำให้เธอมองไม่เห็นร่องรอยเว้าแหว่งจากการกระทำของกวิน และไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งสองกำลังค่อยๆ ขยับใกล้ปากแอ่งล่มร้างสาหัสนั่นทีละเล็กละน้อย

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 64)

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: