บทที่ 2
ทางนี้อวี๋ไฉ่หลิงนึกถึงอาจู้ ทางนั้นฝูอี่กับอาจู้สองสามีภรรยาก็กำลังถกความเห็นเรื่องของเธออยู่เช่นกัน
“วันนี้ข้าเห็นคุณหนูดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก สภาพของนางตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงทำให้ข้าตกใจแทบตายจริงๆ” ฝูอี่อาบน้ำเสร็จก็มาเอนหลังพักผ่อนในห้องพักทิศตะวันตกอันอบอุ่น แล้วให้ภรรยาช่วยสางเรือนผม
อาจู้ชะงักหวี เม้มปากเล็กน้อยค่อยเอ่ยตอบ “ตอนที่ท่านมาถึง อาการคุณหนูดีขึ้นมากแล้ว วันนั้นนางหวิดจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ เป็นข้าเองที่ประมาทมาช้าไปหลายวัน เดิมทีนึกว่าอาเยวี่ย…” พอเอ่ยถึงชื่อนี้สีหน้านางก็อึมครึม
ฝูอี่มองสีหน้าภรรยาก่อนกล่าว “ใจคนผันแปรได้ง่าย เวลาตั้งสิบปีเชียวนะ ก่อนที่ใต้เท้ากับนายหญิงจะจากไป คุณหนูเพิ่งอายุครบสามขวบ ข้าจำได้ตอนนั้นใต้เท้าอยู่บนหลังม้าก็ยังคงเหลียวมามองไม่เลิกรา ขอบตาถึงกับแดงก่ำแล้ว เจ้าเองก็อย่าตำหนิอาเยวี่ยเลย บุรุษคนเก่าของนางเสียไปตอนอยู่ใต้สังกัดของใต้เท้า บุรุษที่นางหาใหม่ก็มีความเกี่ยวพันกับสกุลเก่ออยู่ก่อน นางยังจะทุ่มเทใจให้นายหญิงได้อย่างไร”
อาจู้ฟาดหวีลงบนโต๊ะเตี้ยก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ดาบกระบี่ไร้ตา กองทัพติดตามใต้เท้าไปแสวงหาอนาคตก็เป็นเรื่องที่เอาแน่ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไรมานายหญิงปลอบขวัญหญิงม่ายกับบุตรกำพร้าอย่างไม่เคยตระหนี่ มีตกหล่นปากท้องกับเสื้อผ้าของอาเยวี่ยหรือไร นางจะแต่งงานใหม่นายหญิงก็ไม่ได้ขัดขวาง! คราวนั้นลือกันผิดๆ ว่าท่านตายที่เมืองหนานติ้ง ข้าให้ลูกๆ ไว้ทุกข์แล้ว แม้จะต้องหาบุรุษสักคนแต่งงานใหม่ แต่ข้าเคยทำให้งานที่นายหญิงมอบหมายเสียการหรือ! กลัวตาย เฮอะ กลัวตายก็ควรเอาอย่างอาเซียว ให้บุรุษของนางรั้งอยู่ในหมู่บ้านสิ ต่อให้ไม่มีอนาคต ชั่วดีอย่างไรก็ปลอดภัยทั้งครอบครัว แต่นี่จะเอาทั้งอนาคตทั้งความปลอดภัย มีเรื่องดีเพียงนั้นที่ใดกัน!”
ฝูอี่มุมปากกระตุกตุบๆ ความจริงหลังศึกที่เมืองหนานติ้งหนนั้นเขาเร่งฝากคนส่งข่าวกลับบ้านแล้ว จากเริ่มจนจบแค่ไม่กี่เดือนเองนะ เขาจึงอยากท้วงติงภรรยาที่มีความคิดจะแต่งงานใหม่ยิ่งนัก…ผ่านไปสักปีเจ้าค่อยพิจารณาเรื่องแต่งงานใหม่จะเหมาะควรกว่าใช่หรือไม่เล่า
ทว่าสุดท้ายฝูอี่ก็ยังคงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าอย่าโมโหไปเลย จริงสิ ข้ากลับมาหลายหนก่อนล้วนได้ยินว่าคุณหนูยิ่งโตยิ่งดื้อ ซ้ำยังอารมณ์ร้าย เอะอะก็ทุบตีด่าทอบ่าวรับใช้ ความประพฤติย่ำแย่ แต่ตอนนี้มาเห็นเองข้าว่าคุณหนูอุปนิสัยดียิ่ง ลูกๆ ต่างก็ชอบนางมาก”
อาจู้แค่นเสียงฮึ ก่อนหยิบหวีขึ้นมาสางเรือนผมให้สามีต่อ “ตลอดมาข้าไม่ได้อยู่ในจวน ยังไม่เคยพบปะคุณหนู ทีแรกนึกเพียงว่าสตรีต่ำช้าเหล่านั้นสอนนางจนเสียคน ถึงอย่างไรนางก็ยังเด็ก รอจนนายหญิงกลับมาค่อยสอนใหม่แล้วกัน ใครจะรู้ หึๆ เห็นชัดว่าคุณหนูอัธยาศัยดียิ่ง ฟื้นแล้วพูดจาสุภาพเสมอมา ข้ากลัวว่านางจะอัดอั้นอยู่ในใจ จึงให้อาเหมยพานางไปเที่ยวเล่นทั่วๆ วันนั้นแม่นางใหญ่สกุลชิวออกเรือน ข้าก็ให้ผู้คุ้มกันสองคนที่ท่านมอบแก่ข้าเป็นเพื่อนพวกนางไปชมความครึกครื้น กลับมาแล้วเห็นผลดีดังคาด นางพูดคุยยิ้มเก่งขึ้นมากทีเดียว”
ฝูอี่ผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ เงียบไปครู่เดียวก็โพล่งขึ้น “ผู้เฒ่าชิวแต่งบุตรสาวอีกแล้ว?” ดูเหมือนเขากลับมาทีไรก็จะได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านสูงวัยท่านนี้แต่งบุตรสาว “นี่เขามีบุตรสาวกี่คนกันแน่”
อาจู้ตอบกลั้วหัวเราะ “ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นแม่นางใหญ่ ท่านฟังอย่างไรของท่าน สกุลชิวมีบุตรชายสองคน บุตรสาวมีเพียงคนเดียว ทั้งเป็นบุตรสาวที่ได้มายามแก่ตัวแล้ว คราวก่อนท่านกลับมา พอดีแม่นางใหญ่แต่งงานใหม่ ส่วนหนนี้เป็นการแต่งงานหนที่สาม”
ฝูอี่ส่ายหัว “ผู้เฒ่าชิวปล่อยปละบุตรสาวคนนี้เกินไป หญิงม่ายแต่งงานใหม่ไม่เป็นปัญหา แต่นี่สามีของนางยังดีอยู่แท้ๆ นางกลับอาละวาดหย่าร้างไปแต่งงานใหม่เพราะหมายตาบุรุษอื่น เพื่อนบ้านต้องเอาไปพูดกันสนุกปากเป็นแน่”
อาจู้ยิ้มกล่าว “เป็นความจริงว่าสามีที่นางแต่งใหม่ผู้นั้นรูปโฉมชวนมอง อุปนิสัยก็อ่อนโยนด้วย”
ฝูอี่ชำเลืองภรรยา อาจู้ก็มองกลับมาหน้าตาเฉย ฝูอี่หงอลงทันควัน แล้วปลอบใจตนเองว่าบ่าวย่อมจะคล้อยตามนาย เปรียบกับใต้เท้าแล้วยังนับว่าตนมีบารมีของผู้เป็นสามีใช้ได้ วันนั้นนายหญิงชมดูกายกรรมที่จวนแม่ทัพวั่น เอ่ยชมนักกายกรรมร่างกำยำผู้หนึ่งว่าหล่อเหลายิ่ง ใต้เท้ามิเพียงไม่กล้าโต้แย้ง ยังยกสุราเอ่ยผสมโรงด้วย ‘ยังคงเป็นฮูหยินข้าที่ตาถึง แม้เจ้าหนุ่มนั่นด้อยกว่าข้าไปบ้าง แต่ในกลุ่มนักกายกรรมด้วยกันก็นับว่าดูดีที่สุดแล้ว’ แม่ทัพวั่นถึงกับพ่นสุราออกทางรูจมูกโดยตรง ไม่รู้เพราะตกใจหรือโมโหกันแน่
ฝูอี่ถามภรรยาพลางมองไปยังซีกไม้ไผ่เรียวเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย นี่คือสิ่งที่เขาควบม้าเร็วนำกลับมา “บนสารของนายหญิงเขียนว่าอย่างไรหรือ” เขาไม่รู้หนังสือ
อาจู้ปรายตามองซีกไม้ไผ่นั้นก่อนตอบเนิบๆ “ทุกสิ่งเตรียมพร้อมแล้ว เพียงรอนายหญิงกลับมา”
ฝูอี่ผงกศีรษะ “เมื่อใดเล่า”
“ในสามถึงห้าวันนี่ล่ะ”
ภายหลังเล่นสนุกจนดวงตะวันตรงศีรษะ บรรดาเด็กเล็กที่ริมลำธารค่อยทยอยแยกย้ายกลับบ้านตนเอง หนุ่มน้อยชนบทผู้หนึ่งที่มารับน้องชายน้องสาวของเขาลอบมองอวี๋ไฉ่หลิงอยู่นานแล้ว เขาหน้าแดงขณะยื่นปลาอวบๆ หัวโตสามตัวใส่มืออาเหมยก่อนจะวิ่งลนลานจากไป พาให้อาเหมยหน้าบานแฉ่งเดินมาบอกอวี๋ไฉ่หลิง “คุณหนู มีคนหมายปองข้าแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋ไฉ่หลิงขบกราม หันหน้าดุๆ ไปถามฝูเติง “อาเติง เจ้ายังหาช่างขัดคันฉ่องที่ฝีมือดีไม่ได้อีกหรือ คันฉ่องสำริดในห้องบานนั้นข้ามองอะไรไม่ชัดเลย” เธออยากดูสักหน่อยว่าตนเองในตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร จะได้ให้อาเหมยส่องดูตนเองด้วย หนุ่มน้อยชนบทคนนั้นแอบมองมาทางนี้ตั้งหลายหน ข้างหินกลมใหญ่ก้อนนี้มีแค่เธอกับฝูเติงสองคน อีกฝ่ายคงไม่ได้มาดูฝูเติงกระมัง…เอ่อ คงจะไม่ใช่หรอก
ฝูเติงยิ้มตอบ “ใกล้ถึงวันปีใหม่แล้ว ช่างฝีมือที่ตระเวนมาแถบนี้น่าจะกลับภูมิลำเนาไปหมดแล้วขอรับ” จบคำเขาก็เอ่ยกับน้องสาว “พูดเหลวไหลอันใดของเจ้า ปลานั่นมอบให้คุณหนูต่างหาก” เขาสังเกตเห็นแต่แรกว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นลอบมองคุณหนูของเขาแวบแล้วแวบเล่า
อวี๋ไฉ่หลิงอับจนถ้อยคำ ได้แต่เดินหน้าตูมไปตามทางชนบทสายเล็ก ในยุคโบราณอันอัตคัดนี้ต้องการสิ่งใดล้วนไม่มีสิ่งนั้น ธารน้ำแล้วก็คันฉ่องสำริดที่ไม่ต่างกับกระจกบิดภาพ* ทำให้เธอเห็นไม่ชัดกระทั่งขนาดของดวงตากับปาก รู้แค่ผิวพรรณนับได้ว่าขาวหมดจด ไม่รู้หนุ่มน้อยที่มอบปลามาผู้นั้นมีมุมมองด้านความงามปกติดีหรือไม่ เกิดมุมมองของเขาพิลึกคนเล่า
อย่างเช่นพ่ออวี๋ใจจืดของเธอ วัยหนุ่มชอบแม่อวี๋ผู้มีการศึกษามีมันสมอง อุตส่าห์ฟันฝ่าความแตกต่างมาแต่งงานกับแม่อวี๋ จนเป็นเหตุให้นักเคลื่อนไหวอย่างลุงใหญ่เข้าพรรคคอมมิวนิสต์ได้ช้าลงสามปี แต่หลังจากพ่ออวี๋ได้เป็นเศรษฐีเฉียบพลัน กลับเริ่มชอบปีศาจจิ้งจอกน้อยที่ไร้สมองขึ้นมา เสเพลอยู่แบบนี้หลายปี กระทั่งหนหนึ่งเกือบถูกคู่ค้าหลอกจนล้มละลาย พ่ออวี๋ค่อยได้สติเต็มที่ เลือกแต่งงานใหม่กับแม่ม่ายที่เป็นหญิงแกร่งสู้ชีวิตแทน แม้ฝ่ายหญิงไม่มีการศึกษาอะไร ทว่าจิตใจซื่อตรงรู้จักใช้จ่าย สามีภรรยาร่วมใจจึงคงความร่ำรวยได้ต่อไป
อวี๋ไฉ่หลิงแม้ชิงชังพ่ออวี๋คนใจจืด แต่ที่จริงลึกๆ ก็รู้ว่าตนเองสืบทอดความหัวไวมาจากเขา นับแต่มาถึงที่นี่ก็ไม่เคยหยุดคิดวางแผนเพื่อตนเอง เธอยกปลาตัวอ้วนขึ้นมาพลิกดูซ้ายขวาแล้วถอนหายใจ มุ่งหวังจากใจจริงว่าหน้าตาของเธอจะสะสวยสักหน่อย หญิงยุคใหม่ขี้เหร่ยังพึ่งพาการเรียนการทำงานได้ แต่หญิงยุคโบราณจะไปมีเส้นทางสักกี่สายกันเล่า จะให้มุมานะฝึกยุทธ์ไปเป็นหัวหน้าโจรหญิงหรืออย่างไร ว่าไปแล้วเธอไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นบ่าวทาสหรืออนุที่ต้อยต่ำ ยังมีคนปรนนิบัติรับใช้ก็นับว่ามีโชคแล้ว
อวี๋ไฉ่หลิงขมวดหัวคิ้ว รู้สึกว่าพักนี้ตนเองนับวันยิ่งชอบระลึกถึงเรื่องราวในชาติก่อน จะว่าไปเพราะอะไรถึงทะลุมิติมาเป็นหญิงนะ ถ้าหากเป็นชายจะดีสักเพียงไหน รุกหน้าสามารถเล่าเรียนเป็นขุนนาง ถอยหลังสามารถค้าขายทำไร่นา เธอไม่ถือสาที่จะเป็นชายรักชายหรอก โลกโบราณใบนี้จะต้องมีหนุ่มหล่อที่ยากไร้ตกระกำลำบากจำนวนไม่น้อยรอคอยเธอไปกอบกู้อยู่เป็นแน่
ลมหนาวในเดือนสิบสองโชยมาพาให้ปลอดโปร่ง เมื่อกลับถึงเรือน อวี๋ไฉ่หลิงก็มอบปลาให้อาจู้แล้วยิ้มเอ่ย “น้ำมันหมูของวันก่อนยังมีอยู่หรือไม่ ทอดหัวปลาให้เกรียมแล้วใส่เห็ดสดใหม่เหล่านั้นเคี่ยวเป็นน้ำแกงปลาเถิด ท่านพ่อกับพี่ชายของอาเหมยเดินทางมาไกล ดื่มน้ำแกงช่วยบำรุงร่างกายจะดีที่สุด” ยุคนี้ยังไม่มีทักษะเพียงพอจะหล่อกระทะเหล็กที่สมบูรณ์แบบ ผัดไฟแดงจึงทำไม่ได้ ทว่าทอดแบบน้ำมันน้อยยังคงทำได้อยู่
วาจานี้พอกล่าวออกมา ฝูอี่กับฝูเติงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อาเหมยกับอาเลี่ยงก็โห่ร้องกระโดดโลดเต้นขึ้นมาก่อน อาเหมยปรบมือกล่าว “น้ำแกงปลาอร่อยเป็นที่หนึ่งเลย ส่วนหางปลาพวกเรานำมาหมักเต้าเจี้ยวกับพริกขิงแล้วเอาไปย่างกินแบบคราวก่อนกันเถิด”
อาจู้คลี่ยิ้ม เดิมทีผู้คนยุคนี้มักปรุงอาหารด้วยวิธีนึ่ง ต้ม ย่าง และจี่ ใครจะรู้ว่าหลายวันก่อนคุณหนูตามอาเหมยไปดูชาวบ้านเชือดหมูแล้วจะซื้อมันตรงท้องหมูกลับมาหนึ่ง ทั้งเรียกให้ตนเจียวน้ำมันในหม้อเหล็กที่ร้อนฉ่า น้ำมันกับกากหมูนั้นถึงกับส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทิศ เกือบจะดึงดูดเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไปหลายหลี่มาทีเดียว กากหมูสามารถคลุกข้าวกับอาหารจานเย็น ส่วนน้ำมันเจียวยิ่งมีประโยชน์หลากหลาย คลุกข้าวผสมเต้าเจี้ยวก็ดี ใช้ทอดผักทอดปลาแบบน้ำมันน้อยก็เลิศรสเกินบรรยาย
* กระจกบิดภาพ (Distorting mirror) เป็นบานกระจกที่มีส่วนนูนส่วนเว้า ส่งผลให้ภาพที่สะท้อนออกมาบิดเบี้ยว แปลกตาชวนขบขัน
นางถามคุณหนูว่าวิธีนี้ใครเป็นผู้คิดค้น อาเหมยชิงตอบว่าตอนเชือดหมูชำแหละแบ่งเนื้อ บังเอิญมีเนื้อติดมันชิ้นหนึ่งหล่นลงบนขอบของกระถางไฟที่อยู่ด้านข้าง เนื้อติดมันแนบติดกระถางเหล็ก ทำให้น้ำมันซึมออกมากำจายกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ คุณหนูจึงได้คิดวิธีนี้ออกมา…ความจริงตอนนั้นอาเหมยมัวเล่นสนุกกับกลุ่มเด็กเล็ก ไม่ได้เห็นเนื้อติดมันหล่นบนขอบกระถางไฟแต่อย่างใด เป็นคุณหนูที่เล่าให้อาเหมยฟังหลังจบเหตุการณ์
“น้ำมันรอบนั้นกินหมดแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ ทว่าเมื่อวานเชือดไก่ไปหลายตัว บ่าวจึงเจียวน้ำมันจากท้องไก่ไว้จำนวนหนึ่ง ชิมรสแล้วอร่อยทีเดียว” อาจู้ตอบปนยิ้ม ความจริงนี่มิใช่วิธีแปลกใหม่อันใดหรอก เนิ่นนานมาแล้วก็มีคนรองน้ำมันที่หยดออกมาระหว่างย่างเนื้อติดมัน นำไปต้มผักคลุกข้าวก็ให้รสชาติที่ดียิ่ง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าหัวปลาที่ทอดแล้วนำไปเคี่ยวน้ำแกงจะอร่อยล้ำเช่นนี้ ทั้งไม่มีกลิ่นคาวโดยสิ้นเชิง วิธีนี้ดีก็จริงอยู่ ทว่าใช้ฟืนกับน้ำมันเปลืองเหลือเกิน หากมิใช่ครอบครัวที่มั่งคั่งย่อมจะแบกรับไม่ไหว
คิดมาถึงตรงนี้ อาจู้ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณหนูเฉียบแหลมเกินใคร วันหน้าแต่งงานดูแลครอบครัวจะต้องเป็นแม่ศรีเรือนที่เก่งฉกาจ คำเล่าลือข้างนอกที่ไม่ชวนฟังเหล่านั้นต้องเป็นพวกสตรีต่ำช้าปั้นแต่งออกมาเพื่อทำลายชื่อเสียงของนายหญิงเป็นแน่ ความจริงอาจู้เป็นสตรีที่ปราดเปรื่องผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะภักดีมากเสียจนคิดไปฝ่ายเดียว ก็น่าจะมองออกถึงความผิดปกติของอวี๋ไฉ่หลิงนานแล้ว
อวี๋ไฉ่หลิงฟังจบ ในใจก็สั่นวูบ อย่าได้นึกเชียวว่าคนโบราณหัวทึบ อันที่จริงเว้นแต่ความรู้สมัยใหม่ เธอก็ไม่ได้เหนือกว่าคนโบราณตรงที่ใดเลย วิธีเจียวน้ำมันหมูเธอเพิ่งจะสอนหนเดียว อาจู้ก็ต่อยอดไปเจียวน้ำมันวัว น้ำมันไก่ น้ำมันเป็ดได้ในทันที ถึงขั้นทดลองใส่ขิงแผ่น พริกหอม และจูอวี๋* ลงไปแต่งกลิ่นรส ทำออกมาเป็นน้ำมันพริกกับน้ำมันเครื่องเทศซึ่งเอื้อต่อการเก็บรักษาด้วย หากมิใช่มีสตรีที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้อยู่ อวี๋ไฉ่หลิงก็คงซักไซ้ไล่เลียงอาเหมยตั้งแต่ราชวงศ์กับปีรัชศกปัจจุบันไปจนถึงวงศ์ตระกูลบิดามารดากับบรรพชนแปดรุ่นของร่างนี้นานแล้ว
“ข้าวสาลีเพิ่งหุงสุกหยกๆ จะราดหน้าด้วยเนื้อหมูชุ่มน้ำปรุงรสที่เหนียวข้น แกล้มกับน้ำแกงปลา คุณหนูกินมากๆ หน่อยนะเจ้าคะ” แววตาที่อาจู้ใช้มองอวี๋ไฉ่หลิงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำก็ว่าได้
ที่นี่นิยมอาหารประเภทข้าวยำกับข้าวราดหน้าต่างๆ มักต้มเนื้อสัตว์หรือผักเป็นน้ำราดข้นๆ ราดไปบนข้าวสวยก็จะได้อาหารหนึ่งมื้อแล้ว ในบ้านผู้มั่งมียังจะจัดเนื้อปลาย่างหรือผักดองมาแกล้มเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง อวี๋ไฉ่หลิงชอบรสมือของอาจู้เป็นทุนเดิม จึงทำทีเหนียมอายเพียงเล็กน้อยก็ก้มหน้าเดินเข้าห้องไปล้างมือรอกินข้าว
อาหารมื้อกลางวันหอมหวานถูกปากดังที่คิดไว้ เนื้อหมูชุ่มน้ำปรุงรสข้นๆ คลุกข้าวโชยกลิ่นอบอวลปะทะจมูก น้ำแกงปลาใส่เห็ดให้รสกลมกล่อมสดชื่นลื่นคอ ไม่เพียงแต่พวกเด็กน้อย กระทั่งฝูอี่กับฝูเติงก็เจริญอาหารยิ่งนัก เดิมผู้คนยุคนี้กินอาหารแค่วันละสองมื้อ ทว่าอวี๋ไฉ่หลิงเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก อาจู้แทบอยากให้เด็กสาวกินบำรุงวันละห้ามื้อด้วยซ้ำไป แน่นอนว่ากำไรตกไปที่อาเหมยอาเลี่ยงสองพี่น้องด้วย หลายวันมานี้กินจนใบหน้าเล็กๆ สองดวงอิ่มเอิบทีเดียว
หลังกินอาหารเสร็จ อวี๋ไฉ่หลิงประคองส้มรสหวานฉ่ำหนึ่งผลไปนั่งอังเตาไฟที่แผ่ซ่านไออุ่น พลางฟังอาเหมยเล่าเรื่องซุบซิบของคนในหมู่บ้านเสียงเจื้อยแจ้ว เธอพลันรู้สึกว่าวันเวลาเช่นนี้ไม่เลวเลย อยู่รับโทษนี้ไปตลอดก็ไม่เป็นไร
ใครจะรู้จู่ๆ อาจู้กลับบอกว่า “วันพรุ่งนี้ในจวนจะส่งคนมารับคุณหนูกลับไปนะเจ้าคะ” วาจานี้ไม่ต่างกับน้ำเย็นหนึ่งกระบวยราดโครมลงบนศีรษะของอวี๋ไฉ่หลิง เธอตะลึงค้างอยู่เป็นนาน ไม่รู้จะเริ่มถามที่ใดดี
ความต่างระหว่างคำว่าช่างพูดกับเงียบขรึมก็คือ…หากอวี๋ไฉ่หลิงเอ่ยน้ำตาคลอว่า ‘ข้าคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ของข้าแล้ว’ คนช่างพูดจะร่ายยาวตามประเด็นที่เปิดไว้ เริ่มตั้งแต่บิดามารดาของคุณหนูรู้จักกัน รักกัน แต่งงานมีบุตรด้วยกัน ไปจนถึงเหตุใดจึงจากบุตรสาวไป ทว่าคนเงียบขรึมเช่นอาจู้ หากมิใช่ก้มหน้านิ่งไม่พูดจา ก็จะอุทานเสียงหนักคำเดียวว่า ‘นั่นสิ’
หากอวี๋ไฉ่หลิงแสร้งถามด้วยความเคารพรัก ‘อาจู้ รู้หรือไม่ท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นคนเช่นไร’ อาจู้ก็จะตอบกลางๆ เพียงว่า ‘เรื่องของเจ้านาย พวกเราเป็นบ่าวไหนเลยจะกล้าพูดมาก’ อย่างอื่นจะไม่พูดแม้สักประโยค ด้วยเหตุนี้เองกระทั่งบิดามารดาของร่างนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตไปแล้วอวี๋ไฉ่หลิงก็ไม่รู้ทั้งสิ้น
หลายวันที่ผ่านมาการเลียบเคียงอ้อมๆ ทำนองนี้อวี๋ไฉ่หลิงเคยทดลองไปไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว แต่ไม่กล้าสอบถามตรงๆ เลยสักที…ถามว่าตอนนี้ใครกุมอำนาจในจวนอยู่หรือ ถามว่าใครเป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ของเธอหรือ ให้ถามถึงสถานการณ์ของบิดามารดาบังเกิดเกล้าหรือ คนมีสติปัญญาแค่ฟังก็รู้แล้วว่าชอบกล นับประสาอะไรกับผู้ที่หลักแหลมเกินใครเช่นอาจู้
เห็นอวี๋ไฉ่หลิงออกอาการขวัญหาย อาจู้ก็ไม่อาจหักใจ อยากจะบอกอะไรกับคุณหนูบ้าง ทว่าพอนึกถึงคำฝากฝังของนายหญิง นางกลับไม่กล้าพูดอะไรมากอีก เพียงเอ่ยสั้นๆ เสียงเบา “คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ไปหนนี้ทำใจให้สบาย ควรทำเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้น”
* จูอวี๋ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ปี้เสียเวิง’ แปลว่าผู้เฒ่าปัดรังควาน เป็นไม้พุ่มผลัดใบ ดอกสีเหลือง ผลสีแดงทรงรี เป็นสมุนไพรจีนขึ้นชื่อมาช้านาน
อวี๋ไฉ่หลิงมองอาจู้แน่วนิ่ง ในใจคิดว่าจะต้องถามตรงๆ แล้ว จึงทำหน้าตาน่าสงสารก่อนเอ่ยเสียงเศร้า “อาจู้ ข้าทำความผิดใหญ่โตเพียงนั้นจริงๆ หรือ” คำถามนี้แยบยลไร้พิรุธให้สืบเสาะ เด็กสาวถึงกับอดไม่ได้ที่จะแอบยกนิ้วให้ตนเอง
อาจู้ตอบอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “คุณหนูมีความผิดใดกัน! ไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิง ไม่ได้ลักขโมยปล้นชิงสักหน่อย”
ไม่ใช่คดีอาญาก็ดีแล้ว ฟ้องคดีแพ่งจะปรับเยาวชนสักเท่าไรกันเชียว อวี๋ไฉ่หลิงค่อยใจชื้น พูดคลุมเครืออย่างน่าสงสาร “เช่นนั้น…เหตุใดจึงลงโทษข้ามาที่นี่เล่า”
อาจู้เอ่ยด้วยโทสะ “พวกนั้นล้วนมิใช่คนดี! รังแกที่คุณหนูไม่มี…” นางชะงักคำพูดไปดื้อๆ ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าวต่อ “คุณหนูวางใจได้ พวกนางไม่กล้าเหิมเกริมต่อท่านหรอก”
หรือว่าพ่อแม่ของร่างนี้ตายไปแล้วจริงๆ?! อวี๋ไฉ่หลิงแคลงใจ เธอฟังออกว่าอาจู้อยากพูดบางอย่างแต่อดกลั้นไว้ ช่างน่าเสียดายนัก เธอคิดอยู่เป็นนาน ก่อนได้แต่เอ่ยเสียงเบา “ข้ากลัวว่ากลับไปหนนี้จะไม่รอดชีวิตน่ะสิ”
นึกถึงเด็กสาวที่ล้มป่วยจนลมหายใจรวยรินเมื่อสิบกว่าวันก่อน อาจู้ก็ถอนหายใจ กุมมืออวี๋ไฉ่หลิงไว้ก่อนกล่าว “บ่าวจะพูดเป็นประโยคสุดท้าย ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอาชีวิตคุณหนูทั้งนั้น” นางยังคงอดไม่ได้ที่จะแย้มพรายออกไปเล็กน้อย
อวี๋ไฉ่หลิงมีความมั่นใจเสียที
บ่ายวันนั้นได้ยินเสียงครอบครัวของอาจู้สาละวนดังปึงปังอยู่ข้างนอกตลอดครึ่งวัน ตกค่ำเธอนอนอิ่มไปหนึ่งคืน รุ่งขึ้นตื่นมาก็พบว่าเรือนทั้งหลังไม่เหมือนเดิมแล้ว เครื่องใช้ประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่นเอาใจใส่เหล่านั้นหายไปจนสิ้น บรรดาขวดกระปุกใส่เครื่องปรุงน้ำตาลเกลือในห้องครัวก็หายไปกว่าครึ่งค่อน ทั่วเรือนแลดูวิเวกวังเวง ที่สำคัญคือฝูอี่กับฝูเติงพ่อลูกจากไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันจะสาง
ใครจะนึกว่าคนในจวนกลับชักช้าไม่มาเสียที จวบจนอวี๋ไฉ่หลิงเพิ่งไปงีบยามบ่าย ค่อยเห็นรถม้าสองคันพิรี้พิไรมาถึง อาจู้เหยียดหยามอยู่ในใจ…ระยะทางจากจวนมาถึงที่นี่ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน หากออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ก่อนเที่ยงก็น่าจะมาถึงได้ เห็นชัดว่าบรรดาคนสนิทของสตรีต่ำช้านั่นถูกเลี้ยงจนสันหลังยาวแล้ว กระทั่งตะวันขึ้นถึงยอดไม้จึงค่อยออกเดินทางมา
อวี๋ไฉ่หลิงถูกจูงขึ้นรถไปในอาการงัวเงีย เดิมอาจู้หมายจะกำชับสองสามประโยค แต่น่าเสียดายมีสายตาหลายคู่จับจ้องจึงได้แต่เลิกล้มไป กลับเป็นอาเหมยอาเลี่ยงที่ยังอาลัยอาวรณ์ ในรถปูด้วยแพรไหม ผ้าห่มกับเตากำยานไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงแต่รถม้ายุคโบราณไม่มีเครื่องกันกระแทก ในเวลาเพียงชั่วสองก้านธูป* อวี๋ไฉ่หลิงก็ถูกกระเทือนจนตื่นเต็มตา ซ้ำได้ยินเสียงแหลมบาดหูของสตรีผู้หนึ่งพูดพร่ำไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นมาบนรถแล้ว ความจริงนางกำลังสาธยายตำหนิอวี๋ไฉ่หลิงว่าขาดกิริยาของกุลสตรีเช่นไรบ้าง พยศอบรมยากเช่นไรบ้าง ฮูหยินนายของนางต้องเลี้ยงดูลำบากลำบนเช่นไรบ้าง
อวี๋ไฉ่หลิงเงยหน้าขึ้นมองสตรีผอมแห้งผู้นี้แล้วหรี่ตาลง เมื่อครู่ได้ยินอาจู้เรียกอีกฝ่ายว่า ‘ผู้ดูแลหลี่’ เธอไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอย่างมาก ผู้ดูแลหลี่ก็กำลังมองอวี๋ไฉ่หลิง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเธอเช่นกัน
ผู้ดูแลหลี่สวมชุดชวีจวี* สีน้ำเงินเข้ม ช่วงเอวพันสายคาดต่วนแพรสีแดงสด บนศีรษะยังเสียบเครื่องประดับทองเลื่อมเงินอีกไม่น้อย ต่างจากอาจู้ที่ยามปกติเกล้ามวยกลมเพียงกลุ่มเดียวตรงหลังคอ เรือนผมของผู้ดูแลหลี่มุ่นมวยถึงสามกลุ่มใหญ่ สองกลุ่มใกล้จอนผมเป็นทรงจันทร์เสี้ยวย้อยอยู่ข้างหู กลุ่มที่อยู่กลางศีรษะพุ่งสูงลิ่ว เสียบปิ่นทองที่ใหญ่หนาสามอันตั้งตรงราวปักธูปสามดอก แป้งขาวที่พอกบนใบหน้าหากไม่ถึงหนึ่งชั่งก็ต้องแปดตำลึง* อวี๋ไฉ่หลิงสิ้นหวังกับมุมมองด้านความงามของคนยุคนี้แล้ว พาให้หวั่นวิตกกับรูปโฉมของตนเองอีกครั้ง
“…เมื่อครู่คำพูดของข้า แม่นางสี่ฟังชัดแล้วกระมัง!” ผู้ดูแลหลี่เสียงแหลมบาดหูยิ่งกว่าเก่า
* ‘หนึ่งก้านธูป’ เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง
* ชุดชวีจวี คือชุดแต่งกายรูปแบบหนึ่งที่ท่อนบนและล่างเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยตัวเสื้อด้านหลังถูกต่อให้ยาวเป็นทรงสามเหลี่ยม สำหรับพันอ้อมหลังมาทบกับตัวเสื้อด้านหน้าก่อนรัดด้วยสายคาดเอว
* น้ำหนัก 1 ตำลึงของจีนเท่ากับ 31.25 กรัม
อวี๋ไฉ่หลิงไม่ชอบใจแล้ว เธอไม่ใช่คนโอบอ้อมอ่อนโยนอะไรสักหน่อย นับแต่วัยเด็กบิดามารดาหย่าร้าง เดิมทีเธอก็อยากจะเป็นหมวยสิบสาม** ในเรื่องกู๋หว่าไจ๋ ใครจะรู้กลับหลงเดินทางผิดไปเรียนมหาวิทยาลัยเป็นพลเมืองดีเสียอย่างนั้น
“ฟังไม่ชัด” อวี๋ไฉ่หลิงดึงแขนเสื้อที่หลวมกว้างให้เรียบเสมอกันด้วยสีหน้าอันเฉยเมย
ลูกเพลิงพลันลุกท่วมท้องของผู้ดูแลหลี่ เดิมทีคิดว่าอวี๋ไฉ่หลิงได้รับความทุกข์ยากในชนบทจนว่าง่ายแล้ว ไม่นึกเลยอีกฝ่ายยังคงปรนนิบัติยากเย็นเยี่ยงนี้ นางได้แต่ฝืนข่มโทสะไว้ ก่อนเอ่ยสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญ “เมื่อครู่ข้าพูดว่าฮูหยินข้ามีจิตใจกว้างขวาง ให้อภัยในความผิดที่แม่นางสี่กระทำแล้ว แม่นางสี่กลับไปหนนี้ต้องอยู่ในโอวาทฟังคำของฮูหยินนะเจ้าคะ”
อวี๋ไฉ่หลิงหรี่ตา เธอเป็นคนที่ยึดถือเหตุผลอย่างมาก ใครดีกับเธอ เธอมักแข็งด้วยไม่ไหว ต้องการให้ว่าง่ายเท่าใดก็จะว่าง่ายเท่านั้น แต่ถ้าหากใครร้ายมา เธอก็จะไม่มัวเกรงอกเกรงใจ ทะลุมิติมาสถานที่เฮงซวยนี่ ไม่ใช่เพื่อจะมากล้ำกลืนฝืนทนหรอกนะ อย่างมากก็หนึ่งชีวิต กลับไปเกิดใหม่อีกรอบแค่นั้นเอง!
“ฮูหยินมีมากมายขนาดนั้น เป็นฮูหยินคนไหนเล่า” ฮูหยินของรากเหง้าบิดาเจ้าสิบแปดรุ่นน่ะสิ! ทำไมไม่เรียกมาม่าซังไปเสียเลย!
“ฮูหยินนายข้าก็คืออาสะใภ้ของท่าน!” ผู้ดูแลหลี่ยกเสียงสูง “กระทั่งอาสะใภ้ของตนเองเป็นผู้ใดท่านก็ไม่รู้แล้ว?”
“ย่อมรู้แน่นอน” อวี๋ไฉ่หลิงหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ก็คือมารดาแก่ๆ ของท่านอาอย่างไรเล่า!”
“ทะ…ท่าน…” ผู้ดูแลหลี่หวิดจะเป็นลมล้มพับไป นิ้วมือที่ชี้ไปหาอวี๋ไฉ่หลิงสั่นเทิ้มไม่หยุด “ท่านรู้หรือไม่อันใดคือกตัญญูสัมมาคารวะ อันใดคือจรรยาอันดีงาม! เปล่งวาจาจาบจ้วงออกมาเยี่ยงนี้ หรือท่านยังอยากจะถูกลงโทษอีก!”
ผู้ดูแลหลี่รู้สึกแปลกใจมิใช่เบา เด็กสาวผู้นี้นับว่าตนเห็นมาแต่เล็กจนโต เป็นพวกที่กล้าแต่ข่มเหงผู้อ่อนแอ กับบ่าวรับใช้แม้วางอำนาจไม่ฟังเหตุผล แต่หากเจอผู้ที่ร้ายกาจกว่าก็จะตัวลีบเล็กลงทันตา หลายปีมานี้ทุกครั้งที่ฮูหยินตนลงโทษนาง พอกลับมาแล้วปลอบโยนผูกใจให้มาก นางก็อยู่ในโอวาทขึ้นเอง
อวี๋ไฉ่หลิงเลิกคิ้วก่อนเอ่ย “ข้าป่วยหนักไปหนึ่งหน แทบเอาชีวิตไม่รอด ทุกเรื่องล้วนไม่ยึดติดแล้ว นิสัยข้าเป็นเช่นนี้นี่ล่ะ คิดจะควบคุมมาถึงบนศีรษะข้า เจ้าฝันไปเสียเถอะ! แน่จริงก็อย่ามารับข้าสิ! ข้าจะลงจากรถกลับไปเดี๋ยวนี้เลย!”
สิบกว่าวันที่ผ่านมาอวี๋ไฉ่หลิงไม่ได้อยู่เฉย ทุกวันล้วนออกไปชมดูวิถีชีวิตชนบท ฟังเหล่าสตรีกับเด็กน้อยเล่าเรื่องหยุมหยิมในครอบครัว ดังคำกล่าวว่าความชื่นชอบของคนเบื้องบนมักสะท้อนเข้มข้นในหมู่คนเบื้องล่าง ขนบในสังคมของชนชั้นสูงกับของชาวบ้านสามัญจะไม่แบ่งแยกกันไกลนัก ประกอบกับหมู่บ้านละแวกนี้เต็มไปด้วยเรือนสวนอันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของชนชั้นสูงตระกูลใหญ่หลายตระกูล ตามที่ได้ฟังชาวไร่ชาวสวนเล่าเรื่องเจ้านายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนี้ ถึงกับมีการหย่าร้างกันสามกรณี การแต่งงานใหม่สี่กรณี แล้วก็สามีภรรยาแรกแต่งงานลงไม้ลงมือกันอีกหนึ่งกรณี…อวี๋ไฉ่หลิงสัมผัสได้เลาๆ ว่าวิถีของผู้คนที่นี่เปิดกว้างโผงผางใจถึง เข้มงวดเรื่องจารีตน้อยกว่ายุคโบราณที่เธอรู้มาลิบลับ
เห็นเด็กสาวดุร้ายป่าเถื่อน ผู้ดูแลหลี่ก็รีบงัดเรื่องของผู้ใหญ่ออกมาพูดเสียงดัง “บิดามารดาของท่านไม่ไยดีท่านแล้ว อาสะใภ้ของท่านสู้อบรมเลี้ยงดูท่านทุกคืนทุกวันมาสิบปี ต้องลำบากยากเข็ญสักเพียงใด ท่านถึงกับก้าวร้าวเยี่ยงนี้!”
พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ความคิดแรกที่อวี๋ไฉ่หลิงตอบสนองได้คือ ที่แท้พ่อแม่ของร่างนี้ยังไม่ตาย ความคิดที่สองคือ หรือว่าชะตากรรมวัยเด็กของร่างนี้ก็มีพ่อแม่ที่หย่าร้าง? ฉันกับร่างนี้ต่างที่มา แต่มีปลายทางไม่ต่างกัน?
พ่ออวี๋กับแม่อวี๋เป็นคู่แรกในตำบลที่หย่าร้างกันหลังการปฏิรูปเปิดประเทศจีน แม้ต่อมาจะมีอีกหลายคู่ที่หย่าร้าง แต่ตอนแรกเสียงวิจารณ์ของผู้คนในตำบลเล็กๆ นั้นดังเป็นประวัติการณ์ชนิดไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกในอนาคต ส่งผลให้อวี๋ไฉ่หลิงที่ยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลพลอยฟ้าพลอยฝนถูกผู้คนชี้นิ้วนินทาทุกวี่วัน เธอไม่ได้ถูกคำวิจารณ์ของคนหมู่มากกดทับจนขี้ขลาดดูถูกตนเอง กลับกันยังพัฒนาไปในทางตรงข้ามอย่างหาได้ยาก ฝึกฝนตนจนได้ผิวหน้าหนาๆ มาหนึ่งชั้นกับหัวใจที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งดวง
อวี๋ไฉ่หลิงดึงปิ่นมาใช้งัดเปิดฝาเตาอุ่นมือใบเล็กที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยออกดังปึง มือที่ซุกอยู่ใต้แขนเสื้อยกเตาอุ่นมือใบนั้นขึ้น วางท่าเป็นนักเลงหญิงแล้วพูดอย่างดุดัน “บ่าวต่ำต้อย! เชื่อหรือไม่ว่าข้าสาดถ่านติดไฟนี่ใส่หน้าเจ้าได้!”
** หมวยสิบสาม คือหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียหญิงจากภาพยนตร์เรื่องระห่ำคน ระห่ำถนน (Portland Street Blues) ซึ่งเป็นภาคเสริมของภาพยนตร์เรื่องกู๋หว่าไจ๋ (Young and Dangerous)
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.