บทที่ 9
ไม่รอให้เฉิงสื่อเฉลย ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ทายออกมา “แม่รู้แล้ว หนนี้ลูกแม่สร้างคุณความชอบ ฝ่าบาทจะทรงเลื่อนยศให้เจ้าอีก!”
ต่งหลี่ว์ซื่อเอ่ยแทรกปนยิ้ม “เลื่อนยศนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ใต้เท้าลำบากตรากตรำ ยังต้องตกรางวัลเป็นเงินทองกับที่นามากๆ ด้วย”
เฉิงสื่อยิ้มกล่าว “ฝ่าบาททรงพระเมตตา ไม่เคยปล่อยให้ขุนนางผู้มีคุณความชอบกลับไปมือเปล่า นี่มีอันใดให้เอ่ยถึง ที่ข้าจะประกาศเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก” เขามองคนทั้งหมดรอบหนึ่ง ค่อยหยุดสายตาบนร่างของเฉิงเซ่าซางพลางเอ่ยด้วยความรักความเมตตาที่ฉาบล้นดวงหน้า “นับรวมเหนียวเหนี่ยว ข้ากับหยวนอีมีบุตรชายสี่หญิงหนึ่ง ยังดีที่บุตรชายสี่คนค่อยๆ เดินทางตามมากับครอบครัวของแม่ทัพวั่น ไม่ได้กลับมาพร้อมข้ากับหยวนอี หาไม่เรือนนี้แคบเล็ก ย่อมไม่มีที่จะให้พำนักแล้ว…”
เก่อซื่อรีบสอดปาก “พี่ใหญ่ นี่ไม่อาจโทษข้า พวกท่านบอกในจดหมายว่าต้องอีกครึ่งเดือนจึงจะมาถึง ใครจะรู้กลับบอกมาเป็นมา ยามฉุกละหุกข้าจะเอาเวลาที่ใดมาสะสางห้องหับให้พวกท่านได้เล่า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตวาดตำหนิ “หุบปาก! ตอนนั้นไม่ทันกาล แล้วตอนนี้พวกเขากลับมาตั้งหลายวัน เจ้าได้สะสางห้องหับออกมาหรือไร สื่อเอ๋อร์ต่างหากเป็นผู้นำของบ้านนี้ เจ้ากลับทำดีนัก ยึดครองห้องที่ใหญ่ที่สุดไว้ ไม่แม้แต่จะยอมขยับ”
เก่อซื่อแก้ต่าง “เมื่อแรกข้าย้ายเข้าไป ท่านแม่ก็เห็นชอบนี่เจ้าคะ หมอดูบอกว่าห้องนั้นเอื้อต่อการมีบุตรชาย ท่านดูสิ ไม่ทันไรข้าก็ให้กำเนิดโอวเอ๋อร์แล้ว…”
“ไม่ทันไรอันใดกัน นี่ผ่านมาตั้งกี่ปีก็เห็นมีโอวเอ๋อร์แค่คนเดียว” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชี้มือไปยังเด็กชายขาวจ้ำม่ำที่ก้มหน้าก้มตาสวาปามอยู่ ตัวนางเองมีลูกดก ย่อมจะตั้งข้อเรียกร้องกับลูกสะใภ้แบบเดียวกัน
เก่อซื่อโกรธแทบตายแล้ว หลังจากเฉิงสื่อสามีภรรยาไปทำงานต่างเมืองโดยต้องทิ้งบุตรสาวไว้ เฉิงเฉิงก็ขุ่นเคืองที่นางสอดมือเข้าก่อกวนในเรื่องนี้ ส่งผลให้สายสัมพันธ์สามีภรรยาระหองระแหง หากมิใช่เขาไม่ยอมให้ความร่วมมือ ก็คือทำหน้าที่อย่างขอไปที แล้วนางจะไปมีทายาทมากมายได้อย่างไรกันเล่า!
คิดมาถึงตรงนี้นางก็กลอกลูกตา ก่อนเอ่ยกับเซียวฮูหยินปนสะอื้น “ข้าไร้ฝีมือและไม่มีโชควาสนาเช่นพี่สะใภ้ ทว่าต่อให้พันไม่มองหมื่นไม่คิด ก็ควรคิดถึงหน้าน้องรองของท่านบ้าง น่าสงสารตอนที่เขาอายุเลยสามสิบกลับมีบุตรชายเพียงคนเดียว ในขณะที่พี่ใหญ่มีทายาทตั้งมากมายแล้ว คำทำนายนั้นขอเชื่อว่าเป็นจริงจะดีกว่า ไม่แน่สวรรค์อาจเมตตาสงสารก็เป็นได้…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่เห็นพ้อง “มากมายอันใดกัน สื่อเอ๋อร์เพิ่งจะมีบุตรชายแค่สี่คนเอง ได้ยินว่าอวี๋โหวผู้นั้นมีบุตรชายตั้งสิบสามคนทีเดียว นั่นสิคือความยิ่งใหญ่ของตระกูลที่เรืองอำนาจและมากคนมากทรัพย์มาหลายชั่วคน! หากห้องนั้นเป็นห้องที่ดีจริงๆ ยิ่งควรให้สื่อเอ๋อร์กับภรรยาพักอาศัย ไหนๆ เจ้าอยู่ไปก็ไม่เห็นผลอันใดอยู่แล้ว…”
เก่อซื่อไม่ยอมรับ “อวี๋โหวมีอนุคนงามเต็มห้อง บุตรชายสิบสามคนมิใช่เกิดจากอวี๋โหวฮูหยินผู้เดียวสักหน่อยนะเจ้าคะ!”
เฉิงเซ่าซางหน้าเก้อ…เหล่าสตรีที่รัก พวกท่านออกนอกเรื่องแล้ว
“พอที!” เฉิงสื่อตวาดก้อง “พูดนอกประเด็นเหลวไหลอันใดกัน! เรื่องน่ายินดีนี้ตกลงยังจะฟังอยู่หรือไม่!” เขาระอาสตรีกลุ่มนี้จะตายอยู่แล้ว พูดเรื่องจวนที่พักอยู่ดีๆ กลับถูกดึงไปถึงไหนต่อไหนเสียอย่างนั้น เขามองไปทางเซียวฮูหยินอีกครา กลัวว่านางจะขัดเคือง ไม่นึกว่านางคล้ายไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง กระทั่งตุ้งติ้งหยกที่ริมหูยังไม่แกว่งสักหน
“อนุเกี่ยวอันใดกับทายาทด้วยเล่า อนุของน้องหย่งมีน้อยหรือ แต่ผู้ที่ให้กำเนิดบุตรธิดาก็ยังคงเป็นต่งหลี่ว์ซื่อผู้เดียวอยู่ดี” เฉิงสื่อกล่าว
ต่งหย่งรีบหดคอ ผิดกับต่งหลี่ว์ซื่อที่ยืดอกอย่างภาคภูมิ
“เรื่องอนุนี้ใครชอบรับก็รับ ไม่ชอบรับก็ไม่ต้องรับ ตัวข้าไม่ชอบรับ ทั้งบุตรธิดาก็มีไม่น้อยแล้ว…” เฉิงสื่อหันไปชำเลืองมองเฉิงเฉิงที่ก้มหน้าดื่มสุราอยู่ “…ส่วนน้องรอง จะรับอนุสักหลายคนก็ไม่เป็นปัญหา น้องสามแต่งงานช้า ยังมีบุตรสาวหนึ่งชายสองแล้วเลย เห็นทีว่าเก่อซื่อใช้การไม่ได้แล้ว…”
เฉิงเซ่าซางหน้าเก้ออีกรอบ…ท่านพ่อที่รัก ท่านเองก็นอกเรื่องเช่นกัน อีกอย่างอันใดเรียกว่าใช้การไม่ได้แล้ว…นางมีรู้สึกตงิดๆ ว่าท่านพ่อแม่ทัพผู้นี้ก่อนจะผงาดสู่ความรุ่งโรจน์ น่าจะเป็นบุรุษเฮฮาที่ช่างซุบซิบและปากไวผู้หนึ่ง
เสียงแหลมของเก่อซื่อดังขึ้นทันใด “วาจานี้ของพี่ใหญ่หมายความเช่นไร วิจารณ์เยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน!”
“ใต้เท้า” ในที่สุดเซียวฮูหยินก็อดไม่ได้ต้องเอ่ยตัดบท นางหลับตาเล็กน้อยก่อนกล่าว “พูดเข้าเรื่องเถิด” รูปแบบการถกเถียงกันของคนบ้านนี้สิบกว่าปีแล้วนางก็ยังไม่เคยคุ้นชิน
เฉิงสื่อจึงลูบหนวดก่อนกระแอมให้โล่งคอ “ท่านแม่ วันก่อนน้องสามส่งจดหมายมาว่าจะต้องกลับเมืองหลวงมารายงานเบื้องบน ปีนี้สามารถฉลองปีใหม่ที่บ้านได้ ยากนักหนนี้พวกเราพี่ชายน้องชายสามคนจะได้รวมตัวกันพร้อมหน้าแทบตักท่านแม่ ต้องครื้นเครงให้เต็มที่สักตั้ง ลูกรู้สึกว่าครอบครัวของพวกเราบุตรหลานคับคั่ง จวนนี้ไม่พอจะพักอาศัยแล้วจริงๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงดีใจจนหลั่งน้ำตา “เจ้าสามก็จะกลับมาแล้ว สวรรค์คุ้มครองโดยแท้ ในที่สุดพวกเจ้าสามพี่น้องก็อยู่พร้อมหน้ากันได้เสียที หลายปีมานี้พวกเจ้าคนหนึ่งอยู่ทิศตะวันออก คนหนึ่งอยู่ทิศตะวันตก แม่วิตกอยู่ทุกวันว่าพวกเจ้าจะเป็นอันใดไป หนนี้ดียิ่งนัก จริงอยู่จวนเล็กไปบ้าง ทว่าครอบครัวเดียวกันอยู่เบียดเสียดกันหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา แค่คนกลับมาก็ดีแล้ว”
เฉิงเซ่าซางสังเกตได้ ตอนที่เอ่ยว่าอาสามของนางกำลังจะกลับมา อารองเฉิงเฉิงที่ดูไร้ชีวิตมาโดยตลอดก็ยังยืดกายขึ้น ใบหน้าฉายแววยินดี
เฉิงสื่อยิ้มกล่าว “ตอนนี้เบียดเสียดหน่อยไม่เป็นปัญหา ทว่าวันหน้าหากน้องรองกับน้องสามมีบุตรธิดามากขึ้นเรื่อยๆ เล่า ต่อให้บุตรสาวสามารถแต่งออกไป ทว่าพวกบุตรชายของลูกต่างก็โตแล้ว ต่อไปแต่งภรรยากำเนิดบุตร เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งส่งเสียงอ้อแอ้ ท่านแม่จะกอดก็กอดไม่หวาดไม่ไหว ในจวนจะเบียดเสียดก็เบียดเสียดไม่พอ”
ถ้อยคำเหล่านี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชอบฟังเป็นที่สุด นึกถึงวันหน้ามีเด็กน้อยกลิ้งไปกลิ้งมาเต็มจวน ออกันครึกครื้นอยู่ข้างกายนาง นางก็ปลื้มปิติจนตัวแทบจะลอยออกไปได้ จึงเอ่ยเห็นพ้องพยักหน้าระรัว “ถูกต้องๆ”
“ดังนั้นก่อนปีใหม่ลูกจึงอยากจะเปลี่ยนจวนที่ใหญ่ขึ้นให้กับครอบครัวของพวกเรา” เฉิงสื่อกล่าว “แต่น่าเสียดาย ลูกหาไปหามา โดยมากคฤหาสน์ว่างล้วนอยู่ห่างใจกลางเมือง ส่วนคฤหาสน์ดีๆ ที่อยู่ใกล้ใจกลางเมืองล้วนถูกสกุลอื่นเข้าพำนักแล้ว ภายหน้าไม่ว่าลูกไปประชุมขุนนางหรือพวกเด็กๆ ไปเล่าเรียนที่ไท่เสวีย หากจวนอยู่ใกล้หน่อยก็ย่อมจะยิ่งดี” เมื่อก่อนครอบครัวฐานะฝืดเคือง เหรียญหนึ่งเฉียนแทบต้องบิออกเป็นสองซีกด้วยซ้ำ บัดนี้รบพุ่งมาสิบปีจนทรัพย์สินนับว่าเหลือเฟือแล้ว กลับไม่มีที่ทางจะซื้อหาคฤหาสน์ที่ถูกใจ บรรดาแม่ทัพใหญ่ตลอดจนท่านโหวพระญาติเชื้อพระวงศ์ที่ร่วมบุกเบิกราชวงศ์โดยมากยังอยู่ในวัยฉกรรจ์เปี่ยมด้วยความฮึกเหิม ใครเล่าจะยินยอมปล่อยขายคฤหาสน์ที่ดีๆ
เมื่อเฉิงสื่อเอ่ยถึงไท่เสวีย สีหน้าเก่อซื่อก็เปลี่ยนไป ทว่าไม่กล้าสอดปาก
ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง “ก็นั่นน่ะสิ มาก่อนยึดครองก่อน ใครใช้ให้พวกเรามาช้าเล่า”
เฉิงสื่อยิ้มกล่าว “ผู้ใดจะรู้ว่าไม่ต้องให้ลูกเสาะหาอีก คฤหาสน์ก็มาหาเองแล้ว ท่านแม่ สกุลปู้ที่อยู่ถนนด้านหน้าท่านรู้เรื่องกระมัง ก็คือคนที่คิดคดทรยศเมื่อช่วงต้นปีสกุลนั้น!”
เฉิงเซ่าซางมุมปากสั่นกระตุก…ท่านพ่อเฉิง ท่านพูดถึงคนทรยศอย่างชื่นบานเพียงนี้ ฮ่องเต้ของท่านรู้บ้างหรือไม่
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงดูงุนงง ผิดกับต่งหลี่ว์ซื่อผู้หัวไว “รู้สิเจ้าคะ มิใช่สกุลปู้ที่ฉวยจังหวะพาพี่น้องกับบุตรภรรยาหนีออกจากเมืองหลวงไปขณะฝ่าบาททรงกรำศึกดุเดือดอยู่แนวหน้านั่นหรือ ข้าได้ยินว่าพวกเขาหนีออกทะเลไปแล้ว รายทางยังติดต่อกับบริวารเก่าด้วย”
เซียวฮูหยินมองต่งหลี่ว์ซื่ออย่างชื่นชมไม่น้อยก่อนกล่าว “ก็คือสกุลนี้ อ่านจากจดหมายของน้องสาม จึงรู้ว่าเจ้าเมืองหลางหยาตามโจมตีกองกำลังที่แตกพ่ายของสกุลปู้จนสังหารพวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว”
ต่งหลี่ว์ซื่อทอดถอนใจ “ฝ่าบาทของพวกเราทรงประเสริฐถึงเพียงใด ทั้งมีพระเมตตาต่อขุนนางอย่างล้นเหลือ ครอบครัวนี้ก็จริงๆ เลยเชียว บรรดาศักดิ์สูงเช่นนั้นแล้วแท้ๆ จะแยกตัวทำอันใด พลอยทำให้คนทั้งตระกูลต้องสังเวยชีวิตไปเปล่าๆ”
เฉิงเซ่าซางคิดในใจ…บรรดาศักดิ์สูงแค่ไหนก็ไม่สมใจเท่าเป็นฮ่องเต้เองหรอก
เฉิงเฉิงพลันเอ่ย “ปู้เหวินกงเดิมก็เป็นสิงห์ร้ายที่เป็นใหญ่ในใต้หล้า ต่อมาพ่ายในกำมือของฝ่าบาท อับจนหนทางจึงได้สวามิภักดิ์ ย่อมจะไม่ยอมถอดใจ”
เห็นน้องรองยอมเปิดปากจนได้ เฉิงสื่อก็เอ่ยอย่างเบิกบาน “สวามิภักดิ์ฝ่าบาทด้วยการถวายศีรษะของสหายร่วมรบ นับเป็นผู้กล้าอันใดกัน น้องรองเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง ยังได้ยินเรื่องใดอีกบ้าง”
เฉิงเฉิงตอบ “ไม่เพียงแต่ปู้เหวินกง ยังมีอีกหลายสกุลที่ในใจมีความไม่ยินยอม บางรายเตรียมการจะเคลื่อนไหว บางรายก็ลอบสมคบกับข้าศึกภายนอก พักก่อนจึงมีพระราชโองการคุมขังขุนนางบรรดาศักดิ์โหวไปหลายคน เป็นฝ่าบาททรงไม่ง่ายเลย”
นี่เป็นบทงิ้วที่คุ้นเคยกันดีฉากหนึ่ง…แผ่นดินโกลาหลหนัก เหล่าผู้กล้าพากันลุกฮือ วันนี้ผู้หนึ่งตั้งตนเป็นอ๋อง วันพรุ่งอีกผู้หนึ่งถูกยกขึ้นเป็นฮ่องเต้ ไม่ต่างจากการต่อสู้ช่วงชิงของพญากู่* แม้แสนจะโหดร้ายแต่ก็สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง กู่ที่ห้ำหั่นจนเหลือตัวสุดท้ายนั้น หากมิใช่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือโชคดีที่สุด หรือไม่ก็ทั้งแข็งแกร่งทั้งโชคดี
เมื่อแรกฮ่องเต้ที่ท่านพ่อเฉิงมาเข้าร่วมด้วยนี้เป็นเพียงหนึ่งในผู้นำขุมกำลังเล็กๆ ที่มีอยู่มากมายทั่วหล้า ช่วงต้นของการสถาปนาแคว้นมีศัตรูรายล้อมรอบทิศ ทว่าเซียวฮูหยินมีสายตาเป็นเลิศ คัดเลือกสามีกับเจ้านายได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ภายหลังสู้ฟันฝ่ามาหลายปีก็ปรากฏแนวโน้มที่แผ่นดินจะผนวกเป็นหนึ่งได้ตามลำดับ ทว่าไม่แคล้วมีพวกที่ยังหวังใจว่าโชคจะเข้าข้าง หมายจะลองสู้ดูอีกสักครา
“แต่ว่า…นี่มันเกี่ยวอันใดกับเรื่องคฤหาสน์เล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีแต่ความงุนงงเกลื่อนใบหน้า เฉิงเซ่าซางเห็นด้วยอยู่ในใจ…ท่านย่าดึงกลับเข้าเรื่องได้ดี
เฉิงสื่อยิ้มตอบ “หนนี้แม่ทัพวั่นสร้างผลงานจนได้รับบาดเจ็บ ฝ่าบาทตั้งพระทัยจะปลอบขวัญ จึงพระราชทานจวนหลังใหญ่ของสกุลปู้แก่แม่ทัพวั่น ประจวบกับแม่ทัพวั่นรู้ว่าลูกกำลังตระเวนหาซื้อคฤหาสน์ จึงยกจวนสกุลวั่นที่อยู่ข้างๆ กันนี้ให้กับลูก”
“ยกให้?” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเสียงสั่น “ความหมายของลูกแม่คือ…เขากำนัลจวนที่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ให้พวกเราแล้ว?” เงินทองก็ไม่ต้องจ่าย?!”
น้าต่งตกใจมากเช่นกัน จวนสกุลวั่นรวมกับสกุลเฉิงหากมองจากมุมสูงจะดูคล้ายน้ำเต้าที่หัวเล็กตัวใหญ่ใบหนึ่ง สองจวนคั่นกลางด้วยกำแพงแค่ชั้นเดียว ทว่าพื้นที่ของสกุลวั่นใหญ่โตกว่าของสกุลเฉิงถึงสี่ห้าเท่า เมื่อแรกฮ่องเต้เป็นเพียงหนึ่งในเหล่าผู้กล้าที่ตั้งตนเป็นใหญ่ ขุมกำลังยังอ่อนด้อยนัก แม้จะตั้งที่นี่เป็นเมืองหลวง ทว่าคหบดีใหญ่กับตระกูลที่มีอิทธิพลจำนวนไม่น้อยกลับไม่เห็นดีด้วย ต่างวิตกว่าที่นี่จะเกิดศึกสงคราม จึงพากันขายบ้านกลับไปลี้ภัยที่ภูมิลำเนา
สกุลวั่นก็เป็นคหบดีใหญ่ แรกมาเมืองหลวงจึงซื้อบ้านที่ติดกันสองหลังนี้ไว้ในคราวเดียว ทั้งกึ่งขายกึ่งกำนัลบ้านหลังเล็กที่อยู่ข้างเคียงแก่สกุลเฉิง เพื่อที่สองสกุลจะได้ดูแลซึ่งกันและกัน น้าต่งเองก็เคยประจบแม่ทัพวั่น ผลปรากฏว่าผู้อื่นไม่แม้แต่จะยกหนังตาแลเขาสักแวบ
“ใช่ขอรับ” เฉิงสื่อตอบมารดาปนยิ้ม “กลับมาวันแรก ตอนที่ลูกไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าวั่น นางบอกว่าจะย้ายออกไปก่อนปีใหม่ จะได้ไปเซ่นไหว้ฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับบรรพชนที่จวนใหม่เลย ทั้งเรียกให้ลูกรีบย้ายไปด้วย เช่นนี้เริ่มต้นปีใหม่จึงจะเจริญเฟื่องฟู!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงผงกศีรษะระรัว ปิติจนไม่รู้จะพูดอันใดดี
* กู่ คือสุดยอดสัตว์พิษที่เกิดจากการนำสัตว์พิษหลากชนิดใส่รวมกันในภาชนะแล้วปล่อยให้พวกมันต่อสู้กัดกินกันเองจนเหลือตัวสุดท้ายที่รอดชีวิต
เก่อซื่อรีบกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเปี่ยมคุณธรรมเช่นนี้ พวกเราจะไม่ช่วยนางได้อย่างไร พี่ใหญ่ ถึงเวลาต้องเรียกน้องรองของท่านด้วยนะ”
เซียวฮูหยินกะพริบตาก่อนเอ่ย “ไม่ต้องหรอก แม่ทัพวั่นบาดเจ็บไม่สะดวกจะย้ายไปย้ายมา อันที่จริงฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเริ่มทยอยขนข้าวของในจวนตั้งแต่เมื่อสิบกว่าวันก่อนโดยที่พวกเรามิได้ช่วยอันใด ทั้งใกล้จะเสร็จในไม่กี่วันนี้แล้ว รอจนแม่ทัพวั่นกลับถึงเมืองหลวงก็จะไปพักฟื้นที่จวนใหม่ได้โดยตรง ถึงตอนนั้นพวกเราไปดื่มสุราอวยพรในโอกาสขึ้นจวนใหม่เป็นใช้ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงปลื้มปริ่มจนพูดได้แต่คำว่า “ดีๆ”
เก่อซื่อเอ่ยด้วยความตกตะลึง “เริ่มย้ายตั้งแต่เมื่อสิบกว่าวันก่อนแล้ว? ไฉนข้าไม่เคยได้ยินเลยสักนิด” นางสั่งให้บ่าวรับใช้จับตาดูความเคลื่อนไหวของสกุลวั่นโดยตลอดนี่นา
เซียวฮูหยินมองอีกฝ่ายอย่างแฝงนัยลึกซึ้งพลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเป็นยอดสตรีแห่งยุค ปกครองจวนเสมือนปกครองกองทัพ ‘ได้’ แสดงออกว่า ‘ไม่ได้’ ‘ใช้’ แสดงออกว่า ‘ไม่ใช้’ บัญชาการหนักแน่นปานขุนเขา ทั้งที่ในจวนกำลังขนย้ายกันแคล่วคล่อง ภายนอกกลับแลประหนึ่งสระลึกหนึ่งบ่อ ถึงกับไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตอันใดให้เห็น”
เก่อซื่อหัวใจเย็นวาบ รีบก้มหน้าลงพลางลอบก่นด่าอยู่ในใจ ยายแก่แซ่วั่นหนังเหนียวสมควรตายจริงๆ
เฉิงสื่อยิ้มกริ่ม “ท่านแม่ ลูกคิดไว้แล้วว่าจะทุบแนวกำแพงนั้นทิ้งเสีย จวนสองหลังจะได้เชื่อมต่อกัน ถึงเวลาท่านแม่ก็พำนักที่เรือนปัจจุบันของฮูหยินผู้เฒ่าวั่น ลูกกับหยวนอีอยู่เรือนที่แม่ทัพวั่นเคยพำนัก น้องรองชอบอ่านตำราอย่างสงบเงียบมิใช่หรือ คราวนี้ที่ทางกว้างขวางแล้ว เลือกตรงไหนก็ได้ตามใจเขาเลย!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตื่นเต้นจนตัวสั่น ผู้ที่ครึ่งชีวิตหลังของนางอิจฉาเป็นที่สุดก็คือฮูหยินผู้เฒ่าวั่นนี่เอง อีกฝ่ายทั้งมีบารมีทั้งเป็นที่ยำเกรง พูดคำไหนเป็นคำนั้น แม่ทัพวั่นก็เป็นบุตรกตัญญู ยกเรือนที่มีทิวทัศน์งามที่สุดอยู่สบายที่สุดในจวนให้มารดาพำนัก วันหน้าตนก็จะสามารถใช้ชีวิตแบบเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าวั่นแล้วหรือนี่
นางหลั่งน้ำตานองใบหน้าชราอย่างห้ามไม่อยู่ หัวใจอ่อนยวบไปทั้งดวง รู้สึกว่าแม้จะทะเลาะกันมาสิบปี กระนั้นในหัวใจของบุตรชายคนโตก็ยังคงระลึกถึงมารดาคนนี้อยู่ นางพลันรู้สึกว่าฟ้าดีดินดีก็ดีไม่เท่าบุตรชายแท้ๆ ของตน น้องชายกับหลานชายอันใดจงไปยืนชิดข้างเสียให้หมด เมื่อก่อนตนช่างเลอะเลือนนัก ไม่อาจทำร้ายจิตใจบุตรชายเพื่อพ่อลูกสกุลต่งอีกแล้ว
ต่งหลี่ว์ซื่อหัวไวยิ่ง รีบเอ่ยเสียงดังว่า “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านป้า ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ต่อไปจะมีโชควาสนาให้เสพไม่สิ้นแล้ว”
ผู้คนในโถงจัดเลี้ยงต่างยืดกายกล่าวแสดงความยินดีพร้อมกัน เว้นแต่ต่งหย่งที่ยังมึนๆ งงๆ อยู่ น้าต่งรู้ว่าสถานการณ์ไม่อาจกอบกู้กลับคืนแล้ว หลานชายได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะตัดตนกับพี่สาวให้ขาดจากกัน ไม่ให้ตนได้เอาเปรียบอีกต่อไป
เก่อซื่อเองก็คลี่ยิ้มกล่าว “ไปข้างบ้านทีไร ในใจข้าล้วนชื่นชอบนัก นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวันหนึ่งพวกเราจะได้เข้าไปอยู่อาศัย”
เฉิงสื่อเหลือกตาเอ่ยอย่างหงุดหงิด “น้องสะใภ้ไม่ต้องไปหรอก เจ้าพูดว่าเรือนที่อาศัยอยู่ตอนนี้ดีกับเจ้ามิใช่หรือ เจ้าก็จงอยู่ต่อไปให้สบายเถอะ จะไม่มีใครมาขัดขวางเจ้ามีทายาทแน่”
เฉิงเซ่าซางกลั้นหัวเราะไว้ในท้องแทบแย่ ท่านเรียกให้คนเป็นสามีไปเลือกที่ทางในจวนสกุลวั่นได้ตามแต่ใจ แต่กลับบอกคนเป็นภรรยาว่าอย่าได้ย้ายตามไปเชียว เช่นนี้สตรีแซ่เก่อจะเพิ่มพูนทายาทได้อย่างไรกันเล่า!
ใบหน้าของเก่อซื่อเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม ถูกตอกหน้าจนจุกแน่นไปชั่วขณะ อยากพูดว่าสามีภรรยาไม่ร่วมห้องจะให้กำเนิดบุตรได้อย่างไร ทว่าอับอายเกินกว่าจะเอ่ยปาก จึงได้แต่พูดติดขัดว่า “ทะ…ท่าน ท่าน…”
ความจริงนางเคยคิดแต่แรกว่ารอจนเซียวฮูหยินกลับมาคงต้องทวงอำนาจปกครองเรือนกับห้องใหญ่คืนจากตน สำหรับอำนาจปกครองเรือนแม้ตนไม่อาจปฏิเสธ แต่ก็พอจะสร้างความลำบากได้อยู่ ส่วนห้องใหญ่ตนจะไม่ยอมถอยให้เด็ดขาด หากบีบคั้นหนักนักตนก็จะร้องไห้อาละวาด
ไม่คาดว่าตั้งแต่เซียวฮูหยินกลับมาจนบัดนี้ กลับไม่เคยเอ่ยถึงสักประโยคว่าต้องการจะริบอำนาจหรือต้องการจะเปลี่ยนห้อง ที่แท้ก็ดักรอตนอยู่ตรงนี้นี่เอง บ่าวในจวนเก่าหลังนี้ที่ตนสู้อุตส่าห์เลี้ยงจนเชื่องเชื่อแล้ว ถึงเวลาเซียวฮูหยินคงไม่แม้แต่จะไล่เลียงว่าเป็นใคร แค่ไม่เลือกใช้บ่าวในจวนเก่านี้เลยสักคนก็สิ้นเรื่อง ใช้แต่คนสนิทของนางเติมเต็มจวนใหม่โดยตรง เช่นนี้มีหรือยังจะเหลือที่ให้ตนได้พูดจา
หัวสมองของเก่อซื่อพลันกระจ่างแจ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีที่อยู่ร่วมกันในฐานะพี่สะใภ้น้องสะใภ้ เมื่อแรกตนก็เคยรับการสั่งสอนจากฝีมือของเซียวฮูหยินมาแล้ว หากตนทายไม่ผิด ยายแก่แซ่วั่นคงใกล้จะย้ายของเสร็จแล้ว ไม่แน่ตอนนี้คนที่เฝ้าคุมประตูจวนใหม่อยู่ก็คือผู้คุ้มกันที่เซียวฮูหยินพากลับมาด้วย คนเหล่านั้นตนสั่งได้เสียเมื่อไร หากตนย้ายไปจวนใหม่ อย่างมากเซียวฮูหยินก็ยอมให้ตนนำหญิงรับใช้อาวุโสไปไม่กี่คน เช่นนั้นแรงใจที่ตนเสียไปตลอดสิบปีนี้ยังจะมีประโยชน์ใดอีกเล่า
ไม่รอให้เก่อซื่อคิดคำโต้แย้งออก ต่งหย่งที่เผยสีหน้าอิจฉาก็ยิ้มเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก่อน “ท่านป้า จวนสกุลวั่นหลังนั้นหลานยังไม่เคยไปเลย ท่านพ่อกับท่านแม่ของหลานล้วนเคยติดตามท่านป้าไปชมดูแล้ว หลานจะขอ…”
“ขออันใดล้วนไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงปฏิเสธหลานชายอย่างเฉียบขาด “เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าห้ามเจ้ามาสกุลเฉิงอีก เจ้านึกว่าข้าพูดลอยๆ หรือ ต่อไปเว้นแต่สกุลเฉิงมีงานใหญ่จัดเลี้ยงแขก หาไม่เจ้าก็อย่าได้มาถึงประตูจวน”
ในดวงตาของเซียวฮูหยินฉายแววเหยียดหยาม น้าต่งแม้ละโมบ แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นคนฉลาด รู้จักอ่านสีหน้ารู้จักหาลู่ทาง ต่งหย่งผู้นี้กลับไม่มีข้อดีสักข้อเดียว อายุอานามเยี่ยงนี้ยังนึกอีกว่าจะออดอ้อนงอแงต่อหน้าผู้เป็นป้าได้ เพียงอาศัยฉาบกาวหนังวัวบนหนังหน้าหนาๆ วันหลังนางจะหาคนฉีกหนังวัวชิ้นนี้ให้ละเอียด ให้เขารู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้าง
เก่อซื่อป่วยหนักเที่ยวเร่หาหมอ* จึงรีบคลี่ยิ้มเอ่ย “ข้าเป็นสตรี เรื่องข้างนอกข้าไม่รู้ รู้เพียงว่าพวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ท่านน้ากับพี่หย่งกระทำผิด ท่านแม่ในฐานะพี่สาวและป้าจะตำหนิลงโทษนั้นชอบอยู่ ทว่าจะตัดขาดไม่ไปมาหาสู่กันได้อย่างไรเจ้าคะ” น้าต่งก็คือผู้ช่วยมือดีที่ตนจะใช้โจมตีเซียวฮูหยิน เขามาแล้วตนจึงจะมีโอกาสชนะ
เซียวฮูหยินยิ้มขัน มองไปทางผู้เป็นสามี เฉิงสื่อก็ปั้นหน้าขรึม ส่วนหูเอ่ายิ้มละไมมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ความนัยในแววตานั้นก็คือ ‘ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ ข้าพูดถูกเผงเลยกระมัง นางเอ่ยเช่นนี้จริงเสียด้วย’
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตบโต๊ะตะคอกออกไปทันใด “เรื่องของพวกข้าสกุลต่งเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย! สิ่งที่ข้ากับสื่อเอ๋อร์พูดเด็ดขาดแล้ว เจ้ายังจะกล้าพูดร่ำไรอีก ในบ้านนี้เจ้านับเป็นลำดับที่เท่าไร เจ้าตัดสกุลต่งไม่ขาดเช่นนี้ ก็ไสหัวไปสกุลต่งเลยแล้วกัน! ข้าจะไม่ขวางความสำราญของเจ้าหรอก!”
ยังคงเป็นชาวนาชาวไร่ที่ตรงไปตรงมา พอเริ่มด่าทอก็โจมตี ‘สามจุดยุทธศาสตร์ช่วงล่าง’ ** ในทันที เฉิงเซ่าซางรับฟังจนสองตาเปล่งประกายวาว
วาจานี้พอกล่าวออกมา สีเลือดก็ฉีดซ่านขึ้นใบหน้าของเก่อซื่อจนเป็นสีราวตับหมู แม้นางเติบโตมาในชนบท แต่ถึงอย่างไรก็เป็นดังไข่มุกบนฝ่ามือของนายท่านผู้เฒ่าเก่อ มีบ่าวรับใช้ปรนนิบัติแต่เล็ก เคยถูกด่าหยามหมิ่นอย่างหยาบคายเช่นนี้เมื่อไรกัน ได้ยินเสียงร้องโหยไห้เพียงหนึ่งหน จากนั้นนางก็ผลักโต๊ะออก ใช้แขนเสื้อป้องใบหน้าวิ่งออกจากโถงไป
เฉิงเซ่าซางชมความสนุกไม่ติว่าเรื่องใหญ่ แอบมองไปทางอารองเฉิงเฉิงโดยไม่รอช้า ใครจะรู้ว่าเขาหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย ยังคงรินสุราเองดื่มเองเช่นเดิม ผู้ใหญ่ในโถงถึงกับไม่มีอาการตอบสนองเลยสักคน อย่างน้าต่งกับเฉิงสื่อเป็นพวกที่รู้จักพลังการโจมตีของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแต่แรก อย่างเซียวฮูหยินกับต่งหลี่ว์ซื่อเป็นพวกที่รู้ฉากงิ้วในวันนี้ตั้งแต่ต้น
นับดูโดยรอบแล้ว มีเพียงเด็กสาวตาโตซึ่งนั่งอยู่ข้างที่นั่งของเฉิงเซ่าซางผู้เดียวที่สองมือกำแน่น ใบหน้าแดงไปทั้งดวง เผยความรู้สึกประดักประเดิดระคนอับอาย ต่างจากเด็กชายจ้ำม่ำผู้นั้นที่เอาแต่กินไม่หยุด คาดว่าฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
ด่ากราดลูกสะใภ้รองจบ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็คึกคักกระชุ่มกระชวย หูเอ่าเติมสุราจนเต็มจอกก่อนยิ้มกล่าว “พูดมาครึ่งค่อนวันแล้ว ท่านรีบดื่มให้ชุ่มคอขึ้นเถิด” จากนั้นนางก็ใช้ช้อนหั่นเนื้อน่องไก่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงต่อ “วันนี้ข้าเป็นคนลงครัวไปนึ่งเอง ท่านชิมดูว่าใช่รสชาติตอนที่พวกเรายังเด็กเคยกินหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชิมไปคำโต ก่อนชมเปาะด้วยความประหลาดใจ “ก็คือรสชาตินี้! ทั้งหอมหวนทั้งหนึบนุ่ม” นางส่งยิ้มให้หูเอ่า “ตั้งแต่เด็กเจ้าก็ชอบทำอาหาร ข้าไม่ได้กินฝีมือเจ้ามาตั้งหลายปีแล้ว” จากนั้นนางก็หันไปมองต่งหย่งที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้* “มัวมองอันใดอยู่ กินอาหารสิ!”
หูเอ่าเอ่ยปนยิ้ม “ท่านต่งกับคุณชายต่งเกิดมาก็มีชะตาที่มั่งมีวาสนา คงจะไม่เห็นอาหารพื้นบ้านเหล่านี้เข้าตากระมัง”
เฉิงเซ่าซางลอบตบหน้าขา ท่านยายผู้นี้คารมดีแท้ๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงฟังจบ เห็นเฉิงสื่อกำลังกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยคล้ายมิได้กินมาช้านานแล้ว คาดว่าทำศึกอยู่แนวหน้าจะไปมีของอร่อยได้อย่างไร นางก็ให้ปวดใจเอ่ยเสียงดังก้อง “ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ มีท่านพ่อคอยดูแล หลังจากท่านพ่อล่วงลับไป ก็มีข้าดูแลต่อ พวกเขาสองพ่อลูกเคยได้รับความทุกข์ยากเมื่อไรกัน มีแต่ลูกๆ ของข้าที่ได้รับความทุกข์ยาก!”
น้าต่งที่อยู่ด้านข้างจะวางตะเกียบก็ไม่ถูก จะถือตะเกียบต่อก็ไม่ถูกอีก จึงได้แต่ฝืนยิ้มประจบ
* ป่วยหนักเที่ยวเร่หาหมอ หมายถึงเที่ยวขอความช่วยเหลือไปทั่วหรือลนลานคิดหาทางแก้เมื่อเรื่องคับขันจวนตัว
** สามจุดยุทธศาสตร์ช่วงล่าง หมายถึงท้อง เป้า และขา เป็นกระบวนท่าที่ค่อนข้างโหดเหี้ยมของผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ที่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงอาจหมดสติหรือถึงขั้นเสียชีวิต
* นิ่งงันเป็นไก่ไม้ เป็นสำนวน หมายถึงเหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.