X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 35

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 35

ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นคาดการณ์ไม่ผิดเลย คืนนั้นวั่นชีชีต้องการจะนอนเตียงเดียวกับเฉิงเซ่าซางจริงเสียด้วย

ภายหลังเปลี่ยนมาสวมชุดนอนผ้าไหมดิบเนื้อบางปักลายสีชมพูอ่อน วั่นชีชีก็ยังคิดจะคล้องสร้อยมุกบนลำคออีกหนึ่งเส้น เฉิงเซ่าซางข่มใจจนเหลืออดแล้วจึงได้เอ่ยยับยั้ง “ท่านลุงเพิ่งบอกให้พี่ชีชีใส่เครื่องประดับน้อยลงหน่อยไม่ใช่หรือ”

วั่นชีชีชี้แจงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “เดิมข้ายังจะสวมกำไลทองกับจี้หงส์หยกด้วยนะ”

เฉิงเซ่าซางถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอน

ราตรีดึกสงัดไร้ผู้คน ก็คือฤกษ์งามยามดีที่จะล้วงข้อมูล เฉิงเซ่าซางรีบถามว่าดวงตากับใบหูของฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเป็นเรื่องราวใดกัน วั่นชีชีกลับเอ่ยด้วยความฉงน “นี่ไม่ใช่ความลับอันใดเสียหน่อย เจ้าถึงกับยังไม่รู้?”

ท่ามกลางความมืด เฉิงเซ่าซางตอบอย่างเจ็บช้ำ ใช้น้ำเสียงทำการแสดงอย่างช่ำชอง “ข้อแรกทางบ้านห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ข้อสอง…ไม่มีใครบอกข้าเลย”

วั่นชีชีพลันรู้สึกว่าสกุลเฉิงช่างเป็นคนจิตใจดีซื่อตรงนัก จึงรีบบอกเล่าในทุกรายละเอียด “ตอนนั้นท่านพ่อยังไม่ถึงสิบขวบ ท่านปู่ก็มาด่วนจากไปกะทันหัน ไม่ทันจะเอ่ยฝากฝังผู้ที่ไว้ใจได้ ดังนั้นญาติสายรองจึงบุกมาคุกคามถึงที่ บอกว่าท่านย่ามาจากครอบครัวที่ยากไร้ เดิมชาติตระกูลก็ไม่สมกัน จงรีบส่งมอบท่านพ่อข้าให้พวกเขาเลี้ยงดูแล้วแต่งงานใหม่ไปเสีย ทรัพย์สินส่วนตัวที่ท่านปู่มอบให้นาง ล้วนนำจากไปได้อย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นสินเจ้าสาว ครั้นท่านย่าไม่ยินยอม พวกเขาก็บอกว่าท่านย่าไม่มีทางครองตัวเป็นม่ายได้หรอก วันหน้าอาจนำทรัพย์สินของท่านปู่ไปเลี้ยงดูบุรุษอื่นด้วยซ้ำ”

เฉิงเซ่าซางเหน็บแนม “อืม ญาติกลุ่มนั้นย่อมจะไม่เอาไปเลี้ยงดูบุรุษอื่น เพราะพวกเขาจะเอาไปเลี้ยงดูตนเองน่ะสิ!” ลูกไม้เก่าๆ ที่สายรองฉวยจังหวะริบอำนาจจากทายาทสายหลักซึ่งเยาว์วัยอ่อนแอ ช่างไม่มีความคิดริเริ่มเอาเสียเลย

วั่นชีชีหัวเราะหึๆ ก่อนจะเล่าต่ออย่างห่อเหี่ยว “น่าแค้นที่ในหน่วยทหารของท่านปู่มีบุตรหลานสกุลวั่นอยู่ไม่น้อย พวกเขาล้วนสนับสนุนผู้ใหญ่ของตนเอง ต่างรอจะแบ่งผลประโยชน์กัน ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าท่านย่าจะลั่นคำสาบานร้ายแรงสักเพียงใด พวกเขาก็ไม่ยอมเลิกราเสียที สุดท้ายท่านย่าจึงควักลูกตาเฉือนใบหูตนเองอย่างละหนึ่งข้าง แล้วโยนลูกตากับใบหูนั้นใส่ร่างของคนนำกลุ่ม ประกาศว่านางจะไม่แต่งงานใหม่เด็ดขาด เดิมทีคนสนิทของท่านปู่ไม่สะดวกจะสอดมือยุ่มย่ามเรื่องในครอบครัวสกุลวั่น ครั้นได้ยินเรื่องนี้ก็เดือดดาลสุดระงับ เข้าปะทะอย่างดุเดือดทันที หมายจะหนุนหลังและระบายโทสะให้ท่านย่า”

“เช่นนั้น…ต่อมาเล่า” เฉิงเซ่าซางฟังจนขวัญหนีดีฝ่อ

“ประจันหน้ากันเช่นนี้เดือนเศษ ท่านตาก็นำกำลังคนรุดมาจากแดนไกล ท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานของท่านปู่ ยังขึ้นชื่อเรื่องห้าวหาญผดุงความถูกต้อง ไม่มีใครในอำเภอสุยไม่รู้จัก ภายใต้ไม้อ่อนผนวกไม้แข็ง ท่านลุงท่านอาสารเลวเหล่านั้นจึงรามือจนได้!”

เฉิงเซ่าซางนิ่งงันก่อนเอ่ย “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”

วั่นชีชีเล่าด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ต่อมาท่านย่าค่อยๆ โยกย้ายแม่ทัพ ซื้อใจคน สร้างบารมีขึ้นตามลำดับ ในที่สุดท่านตาก็ไม่ต้องถ่อมาอำเภอสุยเจ็ดแปดเที่ยวต่อปีอีก หลายปีต่อมาท่านพ่อเร่งทำพิธีครอบเกี้ยวล่วงหน้า นำทัพด้วยตนเอง แล้วเริ่มจัดการท่านลุงท่านอาสารเลวที่บีบคั้นท่านย่าในตอนนั้นทีละคน”

“จัดการอย่างไรหรือ” เฉิงเซ่าซางแสนจะสนใจในรายละเอียดขั้นตอน

วั่นชีชีตอบ “วิธีการมีถมเถ ให้บุตรหลานของพวกเขาไปปราบโจรหาประสบการณ์ ตรงนี้ตายจำนวนหนึ่ง ตรงนั้นตายอีกจำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็ปล่อยให้มีคดีต้องโทษ ตายระหว่างทางที่ถูกเนรเทศอีกจำนวนหนึ่ง ให้คนสูงวัยเหล่านั้นเบิกตามองบุตรหลานตนเองค่อยๆ ร่อยหรอไป”

เฉิงเซ่าซางผวาวูบ เด็กสาวที่ปฏิบัติกับนางอย่างสนิทชิดใกล้หาใดเปรียบผู้นี้กลับเอ่ยถึงเรื่องฆ่าคนได้สบายๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องหนักหนาโดยสิ้นเชิง สำหรับนางที่เป็นอดีตอันธพาลหญิงในตำบลเล็กๆ แล้ว เรื่องโหดเหี้ยมที่สุดในชีวิตก็แค่ใช้ขวดเบียร์ตีหัวผู้อื่น ซ้ำยังตีหัวคนไม่แตกอีกด้วย

พูดมาถึงตรงนี้ วั่นชีชีพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ดังนั้น…พวกเราสกุลวั่นจึงไม่ใช่แค่ทายาทสายหลักบางตา แม้กระทั่งสายรองก็มีบุรุษไม่ค่อยมากแล้ว ท่านย่ามักกล่าวว่าท่านพ่อใจดำกับเครือญาติร่วมสายเลือดเกินไป ทำลายความปรองดองของวงศ์ตระกูล จึงส่งผลให้ไร้บุตรชาย แต่ท่านพ่อบอกข้าว่านับแต่ท่านย่าควักลูกตาเฉือนใบหู บางครั้งท่านย่าก็จะปวดศีรษะ บางครั้งแผลก็มีเลือดซึม ตลอดคืนล้วนไม่อาจหลับใหล เคี่ยวกรำนับสิบกว่าปีถึงค่อยผ่านพ้นมาจนได้ วัยเด็กท่านพ่อเห็นท่านย่าทนทรมานสาหัสเพียงนี้กับตาตนเอง เพียงนึกขึ้นมาคราใดก็แค้นใจนัก”

เฉิงเซ่าซางเงียบงันอยู่เป็นนาน นานเสียจนวั่นชีชีนึกว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว ค่อยได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถาม “ท่านปู่ท่านย่าของท่านผูกพันกันมากเลยหรือ” ยุคนี้หญิงม่ายแต่งงานใหม่เป็นเรื่องที่แสนจะปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าวั่นทั้งโฉมงามอ่อนเยาว์ ทั้งมีสินเจ้าสาวก้อนโต

ครานี้แม้แต่วั่นชีชีก็เงียบกริบไปพักใหญ่ “ข้าไม่เคยเห็นท่านปู่หรอก เพียงได้ยินท่านย่าเล่าว่านางมาจากวงศ์ตระกูลที่ต่ำต้อย แต่ท่านปู่ไม่เคยเหยียดหยามนาง ตลอดมาล้วนให้เกียรตินาง รักเทิดทูนนาง แต่งนางเข้าตระกูลด้วยพิธีการอันครบถ้วน ทั้งบอกว่านางเป็นสตรีที่ดีเลิศประเสริฐสุดในใต้หล้า ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ของท่านปู่ ต่อให้เถือเนื้อบนร่างนางทีละชิ้นก็ไม่หวั่นเกรง”

เอ่ยคำพูดนี้จบ เด็กสาวสองคนต่างนอนหงายเงียบๆ เนิ่นนานไม่ส่งเสียง

เฉิงเซ่าซางพลันกระซิบแผ่ว “ท่านปฏิบัติต่อข้าเฉกเสาหลักแห่งแคว้น ข้าย่อมปฏิบัติเฉกเสาหลักแห่งแคว้นตอบแทนท่าน”*

วั่นชีชีตะแคงร่างซบหัวไหล่เฉิงเซ่าซางก่อนร่ำไห้เบาๆ จวบจนหลั่งน้ำตาเหนื่อยแล้วจึงเข้าสู่ห้วงนิทราอันลึกล้ำ

เมื่อตื่นมาในวันรุ่งขึ้น เด็กสาวทั้งสองล้วนขอบตาแดงเรื่อ ทว่าต่างกันตรงที่สีบวมแดงของเฉิงเซ่าซางถูกอำพรางอยู่ใต้รอยเขียวช้ำจนมองไม่ออก ส่วนวั่นชีชีกลับคล้ายพกลูกท้อยักษ์สองผลอยู่บนดวงหน้า เฉิงเซ่าซางจึงรีบมอบกระปุกหยกขาวที่หยวนเซิ่นกำนัลมาให้ ยาขี้ผึ้งในนั้นออกสีแดงอ่อน กำจายกลิ่นหอมระรวย ทาบนใบหน้ายิ่งให้สัมผัสอันชุ่มชื้นนุ่มสบาย

“ยาขี้ผึ้งจากที่ใดกันนี่ เห็นผลชะงัดกว่ายาสมานแผลของท่านพ่อข้าอีก” เพียงครึ่งวันสั้นๆ อาการบวมแดงที่ดวงตาของวั่นชีชีก็บรรเทาจนสิ้น

เฉิงเซ่าซางปั้นเสียงหัวเราะดังหึๆ “อาสะใภ้สามของข้าให้มา ดูเหมือนจะเป็นศิษย์คนใดบนภูเขาไป๋ลู่มอบให้นายท่านผู้เฒ่าซังกระมัง”

วั่นชีชีกล่าว “เช่นนี้นี่เอง! เฮ้อ เพียงแต่ดูคล้ายไม่ค่อยได้ผลกับเจ้าเลยนะ” น้องสาวร่วมสาบานที่รักของนางยังคงใบหน้าฟกช้ำ บวมฉึ่งราวข้าวแปดสมบัติ* ที่แช่ค้างคืนจนข้าวอืด

“…”

เพราะว่าใครบางคนแยกไม่ออกระหว่างอาการภายนอกกับฟกช้ำภายในน่ะสิ! เห็นทีวัยเด็กหยวนเซิ่นต้องไม่เคยชกต่อยเป็นแน่ 

เฉิงเซ่าซางเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ พี่ชายทั้งสามของนางก็มาถึงพร้อมหน้า

ขณะที่เฉิงหย่งกล่าวขออภัยต่อฮูหยินผู้เฒ่าวั่นด้วยความจริงใจ บอกว่าครอบครัวตนสร้างความยุ่งยากแก่สกุลวั่น เฉิงซ่งก็ดึงตัววั่นชีชีมาถึงตรงหน้าวั่นฮูหยิน บอกเล่าข่าวลือที่ได้ฟังมาจากท้องถนนข้างนอก เย้าให้พวกนางผลิยิ้มไม่หุบ ฝ่ายเฉิงเซ่ากงนำของกินเล่นเต็มหนึ่งห่อมาให้เฉิงเซ่าซาง กับยันต์ที่เขาวาดเองและเพิ่งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทนน้องสาวฝาแฝดหนึ่งแผ่น บอกให้นางหนุนนอน ดูว่าจะพลิกดวงที่ไม่ดีในช่วงนี้ได้หรือไม่

พร้อมกันนี้พวกเขายังนำสัมภาระเช่นเสื้อผ้าเครื่องใช้ประจำตัวมาให้เฉิงเซ่าซางด้วย และแจ้งว่าเซียวฮูหยินอนุญาตโดยนัยให้นางพำนักที่จวนสกุลวั่นได้หลายวัน ส่วนแผ่นไม้เหล่านั้นพักไว้ชั่วคราว กลับไปแล้วค่อยๆ ลงโทษคัด

นับแต่นั้นแม้กระทั่งความวิตกสุดท้ายก็ไม่มีอีก เฉิงเซ่าซางพำนักอยู่ที่นี่อย่างสบายอกสบายใจ นอกจากแผลหายช้าไปสักหน่อย วันเวลาที่จวนสกุลวั่นก็กล่าวได้ว่าสมบูรณ์พร้อม ทุกวันกินร่วมห้องนอนร่วมเตียงกับวั่นชีชี มีอาภรณ์แพรลายวิจิตร อาหารเลิศรสล้ำค่า กับการปรนเปรอจนเลยเถิดหลากรูปแบบ แม้แต่จะล้างเท้าก็ยังมีสาวใช้สี่ห้าคนแยกกันนวดคลึงนิ้วเท้าทั้งสิบของนาง

วั่นชีชียังสอนนางแข่งเดินหมาก ปาธนูลงเหยือก ทอยลูกเต๋า…บางครั้งผู้เล่นไม่พอ วั่นชีชียังลากอนุกับหญิงรับใช้อาวุโสหลายคนของวั่นซงไป่มาร่วมด้วย คนทั้งหมดสรวลเสเฮฮา หัวเราะครื้นเครงไม่ขาด บางคราเดิมพันจนร้อนใจใช้อารมณ์ ยังต้องตามวั่นฮูหยินมาเป็นผู้ตัดสิน บรรยากาศครอบครัวกลมเกลียวยิ่งยวด

“แม่เล็กหลายคนนี้ของพี่ชีชีเข้ากับท่านป้าวั่นได้ดียิ่ง”

นับแต่มาถึงโลกใบใหม่นี้ เฉิงเซ่าซางก็ลอบคาดหวังมาตลอดว่าจะได้ชมการขับเคี่ยวระหว่างภรรยากับอนุในยุคโบราณแบบต้นตำรับขนานแท้และดั้งเดิมสักครั้ง น่าเสียดายสกุลเฉิงไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘อนุ’ ดำรงอยู่เลย

“เจ้าจะรู้อันใด ท่านแม่ข้าดีต่อพวกนางไม่รู้เท่าไร สิ่งใดกินดีดื่มดีล้วนยกมอบให้ เพียงมุ่งหวังว่าพวกนางจะมีผู้สืบสกุลให้ท่านพ่อ น่าเสียดายหนอ ตอนที่ข้ายังเด็ก บรรดาแม่เล็กยังพอจะมีความฮึกเหิม บัดนี้แต่ละคนกลับทดท้อกันหมดแล้ว” วั่นชีชีส่ายหน้า แสดงความรู้สึกผิดหวังต่อความสามารถเฉพาะทางและความกระตือรือร้นที่จะใฝ่หาความก้าวหน้าของบรรดาแม่เล็ก

ถอนหายใจจบวั่นชีชีก็คว้าตัวเฉิงเซ่าซางไปเล่นสนุกต่อ

หากมิใช่ผิวน้ำแข็งไม่มั่นคง นางยังอยากจูงเฉิงเซ่าซางไปละเล่นบนน้ำแข็งกันด้วยซ้ำ นอกจากขโมยสุราสะสมของวั่นซงไป่มาร่วมดื่มกันหนึ่งไหจนเด็กสาวทั้งสองเมาพับ นางยังเตรียมไก่ห้าสีตัวผู้ไว้หลายตัว ตั้งใจว่ารอจนใบหน้าเฉิงเซ่าซางไม่ใช่หัวหมูแล้วจะพาอีกฝ่ายไปเปิดหูเปิดตาที่สนามไก่ชนในตลาด

เด็กสาวสองคนเล่นสนุกอย่างเริงรื่นชื่นบาน ผิดกับวั่นฮูหยินที่อยากจะร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา หวั่นใจว่ารอจนเฉิงเซ่าซางกลับบ้านไป เซียวฮูหยินจะค้นพบว่าบุตรสาวซึ่งเดิมทีแม้ดื้อรั้นแต่ก็ไม่รู้เดียงสาใดๆ เพียงมาพำนักระยะสั้นที่สกุลวั่นเที่ยวเดียว ยามหวนคืนสกุลเฉิงกลับแตกฉานทุกด้านทั้งกินดื่มเที่ยวเล่นเสียแล้ว

เวลานี้เฉิงเซ่าซางในฐานะผู้มีจิตวิญญาณของผู้ใหญ่ซึ่งรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเองก็แสดงข้อดีออกมา ภายหลังใช้ชีวิตสุขสำราญอย่างเลอะเลือนไปหลายวัน นางพลันขอแผ่นไม้ พู่กัน และน้ำหมึกจากวั่นชีชี เริ่มกลับมาอ่านตำราคัดอักษรวันละสองชั่วยาม ยืนกรานว่าจะต้องเล่าเรียนจบค่อยเล่นสนุกได้ อักษรโบราณที่เพิ่งเรียนรู้มา ความทรงจำยังไม่ตราตรึง จะปล่อยให้ลืมไปไม่ได้เชียว

แรกเริ่มวั่นชีชียังคิดจะฝืนดึงเฉิงเซ่าซางออกไปเล่นด้วยกัน ทว่าต่อต้านถ้อยคำอันทรงพลังไม่ขาดตอนของเฉิงเซ่าซางไม่ไหว

“ใต้หล้านี้มีสหายอยู่สองจำพวก พวกหนึ่งเรียกว่าคบกันที่เนื้อสุรา ยามปกติร่วมกินดื่มเที่ยวเล่น ยามคับขันไร้ประโยชน์แม้เพียงนิด อีกพวกหนึ่งเรียกว่าคบกันที่หัวใจ เห็นสหายมีเรื่องทุกข์ร้อน สามารถสละตนเคียงข้างได้”

เพื่อคำว่า ‘คบกันที่หัวใจ’ วั่นชีชีจึงได้แต่สละตนร่วมเล่าเรียนเคียงข้างเฉิงเซ่าซาง

วั่นฮูหยินไม่คิดร่ำไห้แล้ว นางรีบแสดงความเห็นต่อแม่สามี ความว่านายท่านผู้เฒ่ารู้ซึ้งปรุโปร่ง ก้มพินิจจากมุมสูง มองการณ์ได้ยาวไกล มีพรสวรรค์เหนือสามัญ เป็นผู้มากความสามารถที่ฟ้าประทานลงมาโดยแท้…จากนั้นนางก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าวั่นไล่ออกมาอย่างหมดความอดทน

เพียงแต่เฉิงเซ่าซางก็มียามที่อยู่ลำพังเช่นกัน

วั่นฮูหยินแม้ไม่นับว่าคบหาผู้คนกว้างขวาง แต่ก็จำเป็นต้องพาวั่นชีชีออกไปร่วมสังสรรค์บ่อยครั้ง ถึงช่วงเวลานี้เฉิงเซ่าซางจะเดินเตร็ดเตร่เรื่อยเปื่อยไปทั่วจวน สำรวจสิ่งปลูกสร้างแบบโบราณโดยรอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในจำนวนนี้สิ่งที่เรียกความสนใจของนางมากที่สุดคือสะพานไม้เล็กๆ แห่งหนึ่ง

สะพานเล็กทรงโค้งนี้กว้างเพียงจั้งเศษ ยาวเจ็ดแปดจั้ง โก่งสูงดุจรุ้งกินน้ำตัวหนึ่ง โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหมด ไม่มีตะปูเหล็กหรือหมุดสำริดแม้สักตัว ล้วนอาศัยทักษะอันสูงส่งกับการคำนวณอันแม่นยำของช่างไม้ ใช้ไม้ที่ยาวสั้นกว้างแคบต่างกันไปพาดคานกันและกันทั้งบนล่างซ้ายขวา สลับเป็นชั้นๆ จนสำเร็จ

มีหนหนึ่งหลังสนทนาสัพเพเหระกับพ่อบ้านจวนสกุลวั่น เฉิงเซ่าซางค่อยรู้ว่าในคดีที่ก่อนหน้านี้สกุลปู้ทรยศหลบหนี สะพานไม้เล็กๆ แห่งนี้เคยถูกทหารที่มาค้นจวนโจมตี ปัจจุบันจึงให้ความรู้สึกง่อนแง่น ทว่าตัวสะพานฝีมือประณีตยิ่ง มิใช่ช่างไม้ทั่วไปเคาะๆ ตอกๆ เล็กน้อยก็จะซ่อมแซมได้ พ่อบ้านบอกว่ามีแต่ต้องรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่เท่านั้น

เฉิงเซ่าซางลอบอุทานว่าน่าเสียดาย วันนี้ขณะพักกลางวันตามลำพัง นางพลันผุดประกายความคิด บังเกิดความกระตือรือร้นใฝ่รู้ จึงรีบคลุมเสื้อลุกขึ้น สั่งให้บ่าวรับใช้ถอยไป ตนเองไปถึงสะพานแห่งนั้นแล้วปีนลงไปตรวจดูข้างใต้อย่างระมัดระวัง ลำธารน้อยใต้สะพานมีความลึกไม่ถึงครึ่งฉื่อ กระแสน้ำใต้ผิวน้ำแข็งชั้นบางๆ ไหลเอื่อย แลเห็นหินหลากสีที่คลุมอยู่ก้นธารได้รำไร คาดว่าเดิมทีสะพานกับธารน้ำนี้คงมีไว้เพื่อชมทัศนียภาพ

เฉิงเซ่าซางขดร่าง เอวงอหลังงุ้ม เพียรแหงนหน้ายกมือสัมผัสจุดเชื่อมต่อสำคัญหลายจุดนั้น ผ่านไปพักใหญ่นางก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่ต้องเปลืองแรงหาช่างไม้มารื้อถอนหรอก ขอเพียงชักแท่งไม้เล็กๆ ออกไม่กี่แท่ง ไม่นานนักสะพานไม้นี้ก็จะพังครืนลงมาเอง หากจะสร้างใหม่ก็ง่ายยิ่ง เพราะนางสามารถวาดภาพโครงสร้างสะพานนี้ตามแบบเดิมได้ทุกกระเบียดแล้ว!

ขณะนึกถึงจุดที่ชวนให้กระหยิ่มยิ้มย่อง เฉิงเซ่าซางพลันได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมาจากริมฝั่งเหนือศีรษะ นางตระหนักได้ทันทีว่ามีคนจำนวนมากกำลังเดินมุ่งมาทางนี้ นางรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ตนมาเป็นแขกในบ้านผู้อื่น แต่กลับเกาะอยู่ใต้สะพานคลำนู่นนี่จนเปรอะดินโคลนไปทั้งตัว นี่จะเป็นนิสัยอันพิลึกพิลั่นเพียงใดในสายตาของคนโบราณ คิดแล้วนางจึงไม่ออกไปเสียเลย ตั้งใจว่ารอคนเหล่านั้นจากไปก่อนค่อยปีนขึ้นไป

คนกลุ่มนั้นเดินพลางพูดพลาง ย่างก้าวแช่มช้า เสียงสนทนาเคลื่อนจากระยะไกลเข้ามาใกล้ ที่ดังนำมาก็คือเสียงหัวเราะอันเปิดเผยของวั่นซงไป่

“ใต้เท้าหลิงเอ่ยเรื่องขบขันแล้ว ในชีวิตของผู้แซ่วั่นโปรดปรานหญิงงามกับทรัพย์สินเป็นที่สุด ผู้ใดไม่รู้บ้าง พวกรูปภาพเช่นนี้ข้าดูเป็นเสียเมื่อไร ไม่มีๆ ไม่มีเด็ดขาด ฮ่าๆๆ…”

จากนั้นเป็นเสียงอันเนิบเบาเรียบเย็นของชายหนุ่มผู้หนึ่ง “ในเมื่อวั่นโหวบอกว่าไม่มี เช่นนั้นก็น่าจะไม่มี เพียงแต่เมื่อวานข้าได้ยินวั่นโหวกับใต้เท้าหวังนัดหมายเตะลูกหนัง คาดว่าอาการบาดเจ็บที่ขาคงจะหายสนิทแล้ว”

เสียงฝีเท้าจากริมฝั่งพลันหยุดชะงัก เพียงได้ยินวั่นซงไป่หัวเราะแห้งๆ สองสามที เฉิงเซ่าซางฟังออกว่าเสียงหัวเราะนี้ไม่ค่อยจริงใจนัก

หน้าผากนางผุดเหงื่อซึมทันใด ในใจร้องตะโกนว่า พวกท่านรีบๆ ไปให้พ้นเลยนะ ข้าไม่อยากจะได้ยินอันใดที่ไม่ควรฟัง! ขามีอะไรเล่า ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นขาหายดีแล้วนึกอยากเตะลูกหนังหรือไร!

ยังดีที่คนกลุ่มนี้หยุดยืนเพียงครู่เดียวก็ย่างเท้าออกเดินต่อ ครานี้ฝีก้าวถี่รัว จากไปอย่างรวดเร็ว เฉิงเซ่าซางเพียงได้ยินคำพูดของท่านลุงวั่นรางๆ ว่า “ใต้เท้าหลิงเชิญตามข้ามา…” ถ้อยคำที่เหลือล้วนแผ่วเบาจนไม่อาจได้ยินอีก

รอจนพวกเขาจากไปไกลลิบ เฉิงเซ่าซางค่อยปีนขึ้นมาจากใต้สะพานอย่างว่องไว ปัดๆ ดินโคลนบนร่าง แล้วรีบเผ่นกลับห้องไปทำลายหลักฐาน

ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญไปหนึ่งหนเช่นนี้ เฉิงเซ่าซางย่อมนอนกลางวันไม่หลับแล้ว นางล้างหน้าหวีผมเสร็จจึงเปลี่ยนมาสวมชุดขี่ม้าแบบแขนเสื้อพับทบ คู่กับกระโปรงบานรัดกระชับช่วงเอว เตรียมตัวไปสนามฝึกม้าทบทวนทักษะการขี่ม้าที่หมวยสิบสามเพิ่งจะสอนเสียเลย

บ่าวเก่าแก่ผู้ดูแลคอกม้าจูงม้าเพศเมียตัวเล็กอุปนิสัยอ่อนโยนตัวหนึ่งซึ่งพักนี้เฉิงเซ่าซางขี่จนคุ้นเคยแล้วมาให้นางอย่างรอบคอบยิ่ง ทั้งเปลี่ยนอานม้าที่งามพริ้งใหม่เอี่ยมให้อีกด้วย เฉิงเซ่าซางพินิจชื่นชมหมุดสำริดบนโกลนม้าอันประณีตเงาวับนั้นรอบหนึ่ง ก่อนจูงม้าไปเองอย่างเบิกบานใจโดยไม่ให้บ่าวเก่าแก่ผู้นั้นติดตามมา

สนามฝึกม้าที่ลานด้านหลังของจวนสกุลวั่นไม่ใหญ่โต วิเคราะห์จากพุงพลุ้ยๆ ของท่านลุงวั่นแล้ว ผู้มาใช้งานที่นี่คงจะไม่เยอะนัก เฉิงเซ่าซางจูงม้ามาหยุดในสนาม เท้าซ้ายเหยียบโกลนส่งร่างขึ้นกลางอากาศแล้วนั่งลงบนอานได้อย่างมั่นคง ท่วงท่าก็งดงามตรงตามหลักเกณฑ์ ร่างกายนี้แม้ภายนอกคล้ายลูกเจี๊ยบที่เปราะบางไปสักหน่อย ทว่าแขนขาประสานงานกันได้ไม่เลวทีเดียว ขณะที่เฉิงเซ่าซางกำลังลำพอง ใครจะรู้ว่านางเพิ่งนั่งลงไป กลับรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีเสียแล้ว

ที่แท้อานใหม่นี้ยังไม่ได้ปรับความยาวสายหนังของโกลนตามความยาวช่วงขาของเฉิงเซ่าซาง ต่อเมื่อนางนั่งลงบนอาน จึงค่อยพบว่าสองเท้าเหยียบโกลนไม่ถึง

นี่คือข้อผิดพลาดเล็กๆ ที่ผู้เริ่มเรียนมักจะพลั้งเผลอ

เฉิงเซ่าซางตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าไม่ควรเลย การขี่ม้าไม่ใช่ขี่จักรยานที่ต่อให้หยุดรถไม่อยู่ก็ยังใช้สองเท้าหยั่งพื้นได้ ความเสี่ยงในการขี่ม้าไม่ใช่น้อยๆ หากตนไม่อยากร่วงลงไปจนครึ่งชีวิตหลังไม่มีปัญญาจะดูแลตนเอง วันหน้ายามขี่ม้าก็จะต้องรอบคอบแล้วรอบคอบอีก

เนื่องจากสองเท้าลอยอยู่กลางอากาศ นางจึงได้แต่ใช้ต้นขาหนีบท้องม้าไว้แน่น ป้องกันมิให้ทรงตัวไม่อยู่ ยังดีม้าน้อยเพศเมียตัวนี้อุปนิสัยอ่อนโยน เจ้านายบนร่างมันไม่ขยับ มันก็หยุดยืนกับที่อย่างว่าง่าย เพียงเตะเท้าเป็นครั้งคราวแล้วพ่นลมหายใจสองหน

เฉิงเซ่าซางตัวแข็งทื่ออยู่บนอานม้าเป็นนาน ก่อนจะเอียงกายช้าๆ พยายามเหยียดเท้าซ้ายให้ถึงโกลนที่อยู่ด้านล่าง ตั้งใจจะลงจากม้าไปปรับสายหนังให้เรียบร้อยค่อยขึ้นขี่อีกครั้ง ทว่าเพิ่งจะเอนตัวถ่ายน้ำหนักไปครึ่งหนึ่ง นางพลันรู้สึกว่ารอบด้านเงียบสงัดผิดปกติ ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง นางก็ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย หวิดจะร่วงตกม้าไปตรงๆ

บริเวณปากทางเข้าสนามฝึกม้า ไม่รู้มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด องครักษ์สิบกว่าคนนั้นยังคงพกดาบกระบี่ แขนคล้องหน้าไม้คันธนู สะพายเกาทัณฑ์บนแผ่นหลัง เพียงแต่วันนี้พวกเขามิได้สวมชุดดำเกราะดำ หากแต่เป็นชุดสีขาวหิมะยาวถึงหัวเข่า ทับด้วยเกราะหนังสีน้ำตาล ยืนห้อมล้อม ‘ใต้เท้าหลิง’ ผู้นั้นอย่างสงบนิ่ง

ตามข้อมูลที่วั่นชีชีแนะนำอย่างไม่ครบถ้วนนัก คนผู้นี้มีนามว่า ‘หลิงปู้อี๋’ ชื่อรอง ‘จื่อเซิ่ง’ เป็นขุนนางคนสนิทของโอรสสวรรค์ หนึ่งในตำแหน่งงานของเขาคือรองผู้บัญชาการองครักษ์ตำหนักหลวง คุมค่ายทหารม้าฝ่ายซ้ายหน่วยองครักษ์ส่วนพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นนายกองหน่วยอาชาโผนหนึ่งในห้าหน่วยทหารทัพอุดร พ่วงตำแหน่งซื่อจงสามารถปฏิบัติหน้าที่ในเขตพระราชฐานชั้นในได้

สามารถจดจำชื่อตำแหน่งที่เรียกไม่คล่องเหล่านี้ได้ก็ทุ่มสุดชีวิตของวั่นชีชีแล้ว ตอนนั้นเฉิงเซ่าซางจึงกล่าวชื่นชมนางไปอย่างเต็มที่

วันนี้หลิงปู้อี๋สวมชุดชวีจวีแขนสอบสาบเสื้อเฉียง บนชุดยาวสีแดงเข้มดุจโลหิตนั้นทอลายปี้อั้น* อันซับซ้อนสีทองอ่อน ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมแขนกว้างสีเดียวกันทับเฉียงๆ เผยให้เห็นแขนขวา ช่วงเอวรัดสายคาดพื้นดำทอลายทองกว้างห้านิ้วมือ พร้อมกับที่สายลมหอบฝุ่นทรายในสนาม อาภรณ์บนร่างของเขาก็โบกสะบัด ประหนึ่งสีเลือดม้วนเกลื่อนผืนฟ้า

เฉิงเซ่าซางไม่เคยเห็นบุรุษสวมใส่สีแดงเข้มปานอัคคีลุกไหม้เช่นนี้ จึงรู้สึกเพียงว่าท่ามกลางดินแดงทรายเหลืองอันมืดฟ้ามัวดินยิ่งขับเน้นให้ผิวพรรณของเขาขาวดุจหยก คิ้วตาอันหล่อเหลานั้นเป็นความงามที่สะท้านหัวใจอย่างลึกล้ำ

หลิงปู้อี๋ก้าวอย่างแช่มช้าออกจากกลุ่มองครักษ์ มุ่งมาหาเด็กสาวที่กึ่งห้อยอยู่บนหลังม้านั้นทีละก้าว

เฉิงเซ่าซางสุดแสนจะกระอักกระอ่วน

ยามนี้นางจะขึ้นก็ไม่ได้ จะลงก็ไม่ได้ ประกอบกับบรรยากาศรอบด้านแปลกพิกลยิ่ง ต่อให้นางมากด้วยไหวพริบ ชั่วครู่ชั่วยามนี้ก็ถึงกับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

หลิงปู้อี๋เดินมาถึงเบื้องหน้าม้าแล้ว เฉิงเซ่าซางกำลังคิดว่าจะโอภาปราศรัยสองประโยคถูไถไปก่อน ให้บรรยากาศผ่อนคลายลงแล้วค่อยว่ากัน ใครจะรู้ชายหนุ่มรูปงามสูงโปร่งผู้นั้นกลับไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือขวามาช้อนประคองเอวอันแบบบางของนางไว้

เฉิงเซ่าซางเครียดเกร็งจนทั้งร่างแข็งทื่อ ได้แต่เบิกตามองฝ่ามือใหญ่อันเพรียวยาวขาวเกลี้ยงเกลาข้างนั้นกุมกระชับช่วงเอวของนางไปเกือบครึ่งซีกแล้ว ฟ้าเอยดินเอย ตอนนี้นางต้องการให้หัวหน้าเซียวเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับหลักจารีตอย่างเร่งด่วน นะ…นะ…นี่…นี่สอดคล้องกับหลักจารีตหรือ!

ไม่รอให้นางได้สติ หลิงปู้อี๋ก็ออกแรงเล็กน้อย ดันร่างนางที่ห้อยเอียงอยู่กลับขึ้นไปดังเดิม

เฉิงเซ่าซางนั่งตัวตรงทึ่มทื่ออยู่บนอานม้า วิญญาณยังไม่คืนร่าง กลับเห็นหลิงปู้อี๋ผู้นั้นก้มหน้าลงคลายสายหนังของโกลน ปรับความยาวไปพลางเปรยถามไปพลาง “เจ้าแซ่วั่น หรือว่าแซ่เฉิงเล่า”

สองมือของเฉิงเซ่าซางกุมสายบังเหียนแน่นขณะจับจ้องเรือนผมดำขลับของเขา สัญชาตญาณที่ยังไม่หยุดทำงานบอกนางว่าอย่าให้เขารู้ว่านางเป็นใครจะดีที่สุด นางจึงพยายามยิ้มตอบอย่างยากเย็น “วั่นและเฉิงสองสกุลพึ่งพากันดุจฟันกับริมฝีปาก คนรุ่นเยาว์นับถือกันเช่นพี่น้อง…”

หลิงปู้อี๋กล่าว “อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็แซ่เฉิง”

เฉิงเซ่าซาง “…”

พอหลิงปู้อี๋ปรับสายหนังข้างหนึ่งเรียบร้อย ก็ค่อยๆ อ้อมไปคลายสายหนังอีกข้างพลางถามขึ้นอีก “สกุลเฉิงมีพี่น้องบุรุษสามคน ต่างก็มีบุตรชายหญิง บิดาเจ้าคือท่านใดเล่า”

เฉิงเซ่าซางยังคงดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เอ่ยตอบปนยิ้มแห้งๆ “พี่น้องแน่นแฟ้น บุตรชายหญิงไหนเลยมีแบ่งเขาแบ่งเรา…”

หลิงปู้อี๋กล่าว “อืม เช่นนั้นเจ้าก็คือบุตรสาวของแม่ทัพเฉิง”

เฉิงเซ่าซาง…แล้วท่านยังจะถามข้าเพื่ออันใดกัน!

สายหนังทั้งสองข้างปรับเสร็จแล้ว หลิงปู้อี๋เงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่เด็กสาวบนหลังม้า รูปร่างของเขาสูงยิ่ง ยืนอยู่บนพื้นก็ยังคงมองระดับเดียวกับดวงตาของนางได้ ครานี้ในที่สุดนางก็เห็นใบหน้าของเขาถนัดชัดเจน

คิ้วกระบี่พลิ้วเฉียงเจียนจรดจอน นัยน์ตาปานดาราฉาย จมูกโด่งดุจสันเขา ท่วงทีสง่างาม เห็นอยู่ว่าบนดวงหน้าประดับยิ้ม ทั่วร่างกลับปกคลุมด้วยไอหนาวให้ความรู้สึกอันเปลี่ยวร้างโรยรา เขาดูหนุ่มแน่นยิ่ง หนุ่มแน่นกว่าที่นางคิดภาพไว้มากจริงๆ เดิมนางนึกว่าผู้ที่มีขั้นยศใกล้เคียงกับท่านลุงวั่นเช่นนี้ อายุไม่น่าจะน้อยไปได้ ตอนนี้ดูแล้วคงพอๆ กับหยวนเซิ่นเท่านั้น

หลิงปู้อี๋เห็นใบหน้าเด็กสาวฉาบไปด้วยความตื่นตัวกลัวเกรงก็คลี่ยิ้มให้บางๆ “เมื่อครู่คำพูดของข้ากับวั่นโหว เจ้าได้ยินกี่ประโยคหรือ”

เฉิงเซ่าซางหัวใจเย็นวาบ คนผู้นี้ค้นพบว่านางซ่อนตัวอยู่ใต้สะพานจริงเสียด้วย! นางเพียรรักษาความเยือกเย็นพลางตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดในชีวิต “เพียงแค่สองประโยค เกี่ยวกับที่ท่านถามท่านลุงวั่นว่าขาหายดีแล้วหรือไม่ อย่างอื่นไม่มีแล้ว ไม่มีจริงๆ!”

หลิงปู้อี๋เพ่งพิศนาง ขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างหนึ่งดึงโกลนม้า มืออีกข้างจับข้อเท้านางสอดเข้าไปช้าๆ

รูปโฉมของเด็กสาวบอบบางอ่อนเยาว์ ประดุจนกน้อยที่งามหวานกระจุ๋มกระจิ๋ม แม้ห่อหุ้มด้วยรองเท้าขี่ม้าที่สูงจรดหัวเข่า เขาก็ยังกุมข้อเท้านางได้รอบ จากนั้นกระชับฝ่ามือของเขาช้าๆ “ผิวน้ำแข็งยังไม่ละลาย เจ้าไปอยู่ใต้สะพานทำอันใด”

เฉิงเซ่าซางรู้สึกได้ว่าข้อเท้าถูกกุมไว้แน่น นางพรั่นพรึงสุดแสน ราวกำลังตกอยู่ในปากของสัตว์ร้าย ฟันอันใหญ่โตคมกริบของมันจะฉีกกัดเนื้อหนังนางในอึดใจถัดไปแล้ว

นางตอบเสียงสั่น “ข้ากำลังดูสะพานอยู่ จริงๆ นะ ข้ากำลังดูแท่งไม้ที่ใต้สะพานว่าประกอบกันอย่างไร ท่านต้องเชื่อข้า นี่เป็นความจริง!” นางรู้ว่าคำพูดนี้ฟังดูเฉไฉไปสักหน่อย จะมีคนโบราณสักกี่คนเข้าใจถึงจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ด้านวิศวะกันเล่า ทว่าคำพูดนี้เป็นความจริงทุกประโยคเลยนะ ชาตินี้นางอุตส่าห์จริงใจอย่างหาได้ยากถึงเพียงนี้แล้ว!

หลิงปู้อี๋เพ่งพินิจเด็กสาวอยู่เนิ่นนาน เขาพลันนึกถึงงานโคมไฟในราตรีนั้น เปลวไฟจรัสแสง สีสันวิจิตรดั่งถักทอ เด็กสาวที่งดงามปานเสี้ยวจันทร์ก็แหงนดวงหน้าที่เปี่ยมความสนใจใคร่รู้มองพิจารณาโคมม้าหมุนแต่ละดวงซึ่งมีรูปแบบแตกต่างกันตาไม่กะพริบ

เขาผลิยิ้มน้อยๆ “เจ้าอาจจะไม่เชื่อ อันที่จริงข้าเชื่อคำพูดของเจ้าแล้ว”

เฉิงเซ่าซาง…ท่านเดาถูกทีเดียว เพราะข้าไม่เชื่อจริงๆ

ทันทีที่ความพรั่นพรึงเมื่อแรกสุดผ่านพ้นไป สมองของเฉิงเซ่าซางก็เริ่มหมุนติ้ว…นางควรจะตะโกนขอความช่วยเหลือหรือไม่ หลังจากขอความช่วยเหลือแล้ว ผู้ที่รุดมาตามเสียงจะฝ่าองครักษ์สวมเกราะพกอาวุธกลุ่มนั้นเข้ามาได้ก่อนที่หลิงปู้อี๋จะบีบคอนางตายหรือไม่

ส่วนเหตุใดหลิงปู้อี๋จะต้องบีบคอนางตายนั้น นางเองก็ไม่รู้ ทว่าคิดอ่านในทางที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนย่อมจะไม่ผิด

ขณะที่ในสมองนางมีแต่ความคิดฟุ้งซ่าน ใครจะรู้หลิงปู้อี๋กลับไม่พูดไม่จา เดินวกกลับมาอีกด้านสอดเท้าอีกข้างของนางใส่โกลนม้าแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป ครู่เดียวองครักษ์กลุ่มนั้นก็พากันจากไปไม่มีเหลือ

ทรายเหลืองในสนามฝึกม้าฟุ้งขึ้นเล็กน้อย ปะปนกับใบไม้แห้งสองสามใบซึ่งปลิวมาจากลานที่อยู่ไกล รอบทิศเงียบสงัดประหนึ่งเมื่อครู่ไม่มีอันใดเคยเกิดขึ้น เฉิงเซ่าซางนิ่งค้างอยู่เป็นนาน จวบจนเจ้าม้าน้อยเพศเมียที่อารมณ์เย็นตัวนี้เตะดินทรายอย่างหมดความอดทน นางถึงได้สติคืนมา

น่าเสียดายจริงๆ นางชื่นชอบจวนสกุลวั่นออกเพียงนี้ ที่นี่ไม่มีหัวหน้าเซียวคอยควบคุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่มีบุตรชายหลานชายซึ่งจะเกิดข่าวลือในเชิงชู้สาวได้ง่ายๆ ทั้งยังมีหมวยสิบสามที่เข้าขาถูกคอ ทำตามอำเภอใจเป็นเพื่อนนาง ทุกวันผ่านไปอย่างอิสระสบายใจ เดิมทีนางอยากจะพำนักอยู่ที่นี่นานอีกสักหน่อย ทว่าตอนนี้นางรู้สึกว่ายังคงกลับบ้านจะเป็นการดีที่สุด

เฉิงเซ่าซางปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก กระตุ้นม้าเดินเหยาะๆ วนรอบสนามไปอย่างเชื่องช้า

คลุกคลีในย่านการค้ามานานปี ข้อดีสูงสุดคือทำให้นางบังเกิดสัญชาตญาณเฉกเช่นสัตว์ตัวน้อยที่รู้จักแสวงประโยชน์เลี่ยงภัยโดยไม่ต้องให้ใครสอน

หยวนเซิ่นตอแยไม่ง่าย ทว่าพบหน้าหลายคราจนคุ้นเคยแล้วยังสามารถตอแยได้เป็นครั้งคราว

ต่างจากหลิงปู้อี๋ที่ไม่อาจตอแยด้วยเป็นอันขาด ขืนไปตอแยจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ ได้แต่เกรงใจ เกรงใจ แล้วก็เกรงใจเท่านั้น

ขบคิดอยู่ครึ่งวัน เฉิงเซ่าซางก็พลันฉงนขึ้นมา พูดจากใจเลยว่าหลิงปู้อี๋เป็นบุรุษหล่อเหลาอันดับหนึ่งที่นางเคยพบมาจวบจนบัดนี้ กล่าวได้ว่ามีรูปโฉมถึงขั้นล่มเมือง ตัวนางเองก็ไม่มีดวงชะตาเป็นแม่ชีเสียหน่อย ไฉนเมื่อครู่ใบหน้านางจึงไม่ปรากฏแววหวั่นไหวสักนิดเลยเล่า

จวบจนวนในสนามเป็นรอบที่เก้า เฉิงเซ่าซางลูบคลำใบหน้าตนเองค่อยตระหนักได้ทันใด ที่แท้ชั่วขณะนี้นางยังคงหน้าตึงเป็นหัวหมูอยู่ นั่นยังจะมีสีหน้าหวั่นไหวอันใดได้เล่า!

 

* ‘ท่านปฏิบัติต่อข้าเฉกเสาหลักแห่งแคว้น ข้าย่อมปฏิบัติเฉกเสาหลักแห่งแคว้นตอบแทนท่าน’ มีที่มาจากบันทึกประวัติศาสตร์สื่อจี้ หมายถึงอุทิศตัวเพื่อตอบแทนผู้ที่เห็นคุณค่าของตน

* ข้าวแปดสมบัติ เป็นของหวานชนิดหนึ่ง ทำจากข้าวเหนียวนึ่งผสมน้ำมันหมู น้ำตาล กับเครื่องแปดอย่าง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น ลูกบัว พุทราแดง ถั่วกวน เนื้อลำไยอบแห้ง ลูกเกด เมล็ดถั่วต่างๆ

* ปี้อั้น เป็นบุตรลำดับที่เจ็ดของมังกร รูปลักษณ์คล้ายพยัคฆ์ ชอบช่วยผู้คนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม พูดผดุงความยุติธรรม แยกแยะผิดถูกได้ชัดแจ้ง จึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของที่คุมขัง มักมีรูปปั้นหรือรูปวาดของปี้อั้นอยู่หน้าประตูคุก รวมถึงสองข้างของโถงที่ว่าการ

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤศจิกายน 65)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: