บทที่ 157
ในตัวรถคล้ายปกคลุมด้วยไอหมอกแห่งความเงียบงันอยู่หนึ่งชั้น กางกั้นการรับรู้ของหูตา…หยวนเซิ่นกับเฉิงเซ่าซางสองคนสีหน้ามึนงง ส่วนองค์ชายห้าใช้พัดขนนกห้าสีป้องบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ เผยเพียงสองตาที่ทอประกายตื่นเต้นเฝ้ารอ
“ฮั่วปู้อี๋ ท่านข่มเหงกันเกินไปแล้ว!” ในที่สุดหยวนเซิ่นก็ได้สติคืนมา ตามด้วยอารมณ์เดือดดาลจัด…นี่กล่าวได้ว่าเป็นครั้งเดียวในช่วงชีวิตยี่สิบเจ็ดปีของเขาที่รู้สึกเช่นนี้
เฉิงเซ่าซางจับจ้องฮั่วปู้อี๋ราวกำลังมองมารปีศาจ “ท่านคงจะไม่เสียสติไปแล้วหรอกนะ!”
ฮั่วปู้อี๋ไม่แปลกใจและไม่ขุ่นเคือง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “ถ้อยคำนี้ล้วนมาจากใจจริง เซ่าซาง เจ้าตรองให้ถี่ถ้วนอีกครั้งเถิด”
“ข้าคิดว่านางตรองมาแล้วจึงได้เลือกหยวนเซิ่น” องค์ชายห้ายิ้มเผล่พลางโบกพัด
เฉิงเซ่าซางเชิดคอ ตวาดตอบฮั่วปู้อี๋อย่างโมโห “ตรองอันใดกันเล่า! ตลอดมาข้าไม่เคยต้องตรอง และไม่มีอันใดให้ตรองด้วย! ท่านเห็นข้าเป็นคนแบบใดกัน ตะโกนเรียกคำเดียวข้าก็ต้องรีบถอนหมั้นมาแต่งกับท่านหรือ เช่นนั้นเมื่อแรกเหตุใดข้าต้องเสาะหาคู่ครองใหม่ ตรงไปแดนพายัพหาท่านเลยก็สิ้นเรื่อง!”
ฮั่วปู้อี๋กล่าว “ในใจเจ้าโกรธข้า จะไปหาข้าได้อย่างไร”
“ท่านรู้ก็ดีแล้ว!” เฉิงเซ่าซางตะเบ็งเสียงดัง
องค์ชายห้าเอ่ยเสียงเบา “เขาย่อมรู้สิ แต่ก็ยังคงหมายจะแย่งชิงเจ้าสาว”
“ท่านๆๆ ท่านไม่เห็นสกุลหยวนแห่งเจียวตงของข้าอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว! ถึงกับกล้าพูดๆๆ ถ้อยคำเหลวไหลเยี่ยงนี้ต่อหน้าข้า ท่านมัน…มันบ้าบิ่นเหลวไหลถึงขีดสุด!” หยวนเซิ่นโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
“หยวนซื่อจง” ฮั่วปู้อี๋น้ำเสียงจริงใจ “ข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านต้องเดือดดาลจนสุดจะเอ่ยวาจา ทว่าขอได้โปรดระงับไฟโทสะลงสักครู่ รับฟังข้าก่อนสักคำ เซ่าซางกับท่านไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดีแต่อย่างใด…”
หยวนเซิ่นรู้สึกว่าบุตรหลานผู้มียศศักดิ์ทั่วเมืองหลวงคงไม่ได้พบเจอเรื่องพิสดารพรรค์นี้แน่ วันนี้นับว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว จึงแค่นหัวเราะเสียงเย็นชาติดๆ กัน “ข้ากับเซ่าซางไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดี ท่านกับเซ่าซางจึงจะใช่หรือไร ช่างเป็นเรื่องน่าขันที่สุดในใต้หล้า ไฉนเมื่อแรกท่านไม่ไปพูดกับอ๋องขบถสกุลกงซุนที่สู่จงว่า ‘เจ้าไม่คู่ควรเป็นเจ้าเหนือหัว’ ดูซิ เขาจะวางอาวุธยอมจำนนทันทีหรือไม่!”
“ความจริงปีที่แล้วข้าเคยพูดประโยคนี้ในประกาศปราบกบฏ เพียงแต่คนแซ่กงซุนไม่ได้ฟังเข้าหู” ฮั่วปู้อี๋กล่าว
เฉิงเซ่าซางกับหยวนเซิ่น “…”
“จากนั้นก็เปิดศึกกัน” ฮั่วปู้อี๋เอ่ยเสริม
องค์ชายห้าหลบหลังพัดขนนก กลั้นหัวเราะไว้สุดชีวิต
“นั่นแล้วอย่างไร” หยวนเซิ่นข่มโทสะ “หรือว่าฮั่วโหวจะเปิดศึกกับข้า!”
ฮั่วปู้อี๋พลันคลี่ยิ้ม “ข้ามีหรือจะทำเช่นนั้นได้ ตอนนี้ข้าคาดหวังให้ท่านมีอายุยืนยาว เปี่ยมโชควาสนาแทบไม่ทันด้วยซ้ำ หาไม่ข้ากับเซ่าซางจะสานวาสนาลุล่วงได้อย่างไรเล่า”
องค์ชายห้าสอดปาก “หยวนซื่อจงแตกฉานศาสตร์ทั้งหก ข้าเคยเห็นเขาเข้าร่วมการทดสอบขี่ม้ายิงธนูในสนามฝึกยุทธ์ ยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ พวกเจ้าตีกันขึ้นมาจริงๆ ยังไม่แน่ว่า…” เขาแสนจะคึกคักตื่นเต้น รู้สึกว่าวันนี้เบียดตัวเข้ารถม้ามาไม่เสียเปล่าเลย
“องค์ชายทรงหุบปากเถิด!” เฉิงเซ่าซางขึงตาใส่ “อย่างองค์ชายนี่เรียกว่ากลัวใต้หล้าจะไม่ปั่นป่วน ระวังมีอารมณ์ชมดูเรื่องสนุก จะไม่มีขาไปเมืองศักดินา!” ฝ่ามือนางคันยุบยิบ รู้สึกว่าช่วงห้าปีที่ผ่านมาซัดเจ้าคนผู้นี้น้อยไปเสียแล้ว
องค์ชายห้าชะงักกึก “เหตุใดจึงจะไม่มีขา”
“เพราะหม่อมฉันจะไปทูลฝ่าบาท…ว่าล้วนเป็นท่านที่ยุแยงจนพวกเขาสองคนตีกัน ดูซิว่าตอนนั้นฝ่าบาทจะทรงตีขาท่านหักหรือไม่!”
“เจ้าพูดเหลวไหล!” องค์ชายห้าตีพัดขนนกบนขาตนเองดังพึ่บ ก่อนถลึงตาตอบ
เฉิงเซ่าซางมองเขาด้วยหางตา “ใช่หรือ องค์ชายห้าทรงเห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกหม่อมฉันสามคนมีเรื่องจะสนทนากัน กลับดึงดันจะเบียดเสียดขึ้นรถม้า ไว้กลับไปแล้วท่านทูลฝ่าบาทว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญ ดูเถิดว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือไม่”
องค์ชายห้าหน้าเปลี่ยนสีไปหลายตลบ ก่อนขบกรามกล่าว “ดีๆ เจ้าไร้เมตตา ข้าก็จะไม่มัวมีคุณธรรมแล้ว” เขาหันขวับไปส่งยิ้มให้ฮั่วปู้อี๋ “คุณชายสิบเอ็ด มีอยู่เรื่องหนึ่งเจ้าอาจยังไม่รู้ และข้าก็ทนดูเจ้าถูกตบตาไม่ได้…”
เฉิงเซ่าซางหนังตาเต้นตุบ ในใจร้องลั่นว่า ไม่ได้การ ขณะที่หยวนเซิ่นยังคงไม่รู้สาเหตุ องค์ชายห้าก็พูดต่อไปดั่งสายน้ำไหลแล้ว “คุณชายสิบเอ็ดเอ๋ย เจ้ารู้บ้างหรือไม่ เฉิงเซ่าซางนางเคยทาบทามตงไห่อ๋องด้วยนะ! นางเคยขอให้พี่ชายใหญ่ของข้าแต่งกับนาง!”
หยวนเซิ่นสีหน้าขรึมวูบ คิดในใจว่า องค์ชายห้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
ส่วนเฉิงเซ่าซางโอดครวญอยู่ในใจ ใช้มือประคองหน้าผากไว้
องค์ชายห้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “เป็นอย่างไรคุณชายสิบเอ็ด เจ้านึกไม่ถึงสิท่า! เฉิงเซ่าซางนางถึงกับทำเรื่องเยี่ยงนี้ออกมาได้ เรียกว่าเป็นข่าวพิสดารของใต้หล้า…”
“ถัดจากนั้นเล่า”
“หา?!” องค์ชายห้าอึ้งงัน
ฮั่วปู้อี๋หน้าไม่เปลี่ยนสี ถามซ้ำอย่างใจเย็น “ถัดจากนั้นเป็นเช่นไร เป็นตงไห่อ๋องไม่ตอบรับ หรือเป็นเซ่าซางกลับคำกลางคันเล่า”
องค์ชายห้าทึ่มทื่อ “เอ่อ คือ…เป็นพี่ชายใหญ่ไม่ตอบรับ…”
ฮั่วปู้อี๋ผงกศีรษะ แล้วเอียงกายไปเพ่งมองหญิงสาว
เฉิงเซ่าซางถูกมองจนใจสั่น ออกแรงเกี่ยวแขนหยวนเซิ่นที่อยู่ด้านข้าง ก่อนพูดเสียงดังกว่าเก่า “องค์ชายห้าทรงเลิกคิดเองเออเองเสียที นึกว่าหม่อมฉันกลัวผู้อื่นพูดถึงเรื่องนี้หรือ! หม่อมฉันทำออกไปได้ ก็ไม่กลัวผู้อื่นพูดถึงหรอก! อีกอย่างนะ เรื่องนี้หม่อมฉันบอกซั่นเจี้ยนไปตั้งแต่ต้นแล้ว อย่าทรงวางแผนให้เหนื่อยเปล่าเลย…” ถ้อยคำแม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าสายตานางกลับกวาดมองไปทั่วอย่างร้อนตัว ไม่รู้เช่นกันว่ากลัวอันใดอยู่
“เซ่าซาง เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้เล่า เท่าที่ข้ารู้ เจ้ามิเพียงไม่ชอบพอตงไห่อ๋อง ยังติเตียนเขาไม่ใช่น้อย” ฮั่วปู้อี๋มีสีหน้าเยือกเย็น ไม่มีความตระหนกหรือขัดเคืองใจแม้ส่วนเสี้ยว
เฉิงเซ่าซางแค่นเสียงฮึหนึ่งหน ก่อนฝืนวางโตเมินหน้าไปอีกทาง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน!”
เมื่อครู่หยวนเซิ่นเกือบถูกหญิงสาวกระตุกล้ม เคราะห์ยังดียึดจับผนังรถได้ทันท่วงที เขามองคู่หมั้นอย่างจนปัญญาค่อยถอนใจกล่าว “พักก่อนไหวอันอ๋องไทเฮามีพระพลานามัยไม่สู้ดี ตรัสว่าอยากเห็นเซ่าซางออกเรือนจึงจะสบายพระทัยได้ ดังนั้น…เซ่าซางก็เลยออกเสาะหาคน เลือกคู่ครอง” ขณะพูดเขายังขึงตาใส่นางแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ
ฮั่วปู้อี๋ขานรับดังอืม “นั่นสินะ เซ่าซางเห็นว่าตงไห่อ๋องอ่อนโยนใจดีควบคุมง่าย ทั้งออกเรือนแล้วยังปรนนิบัติเซวียนไทเฮาได้ดังเดิม นางจึงได้ขอเขาแต่งงานสินะ” ทั้งที่เขาไม่เคยได้ยินคำแก้ต่างของเฉิงเซ่าซาง แต่ถึงกับทายได้ใกล้เคียงอย่างยิ่ง
องค์ชายห้าแสนจะไม่พอใจกับท่าทีตอบสนองของฮั่วปู้อี๋ “คุณชายสิบเอ็ดจะไม่ต่อว่านางสักสองประโยคเลยหรือ ถึงแม้คนโบราณก็มีบทกวีที่สตรีเป็นฝ่ายเผยความรู้สึกก่อน ทว่าอย่างไรเสียสตรียังคงสุภาพสำรวมสักหน่อยจะเป็นการดีกว่า”
“องค์ชายห้าทรงหยุดแต่พองามเถิด!” เฉิงเซ่าซางถลึงตาใส่อย่างขุ่นแค้น
องค์ชายห้าทำเสมือนมองไม่เห็น…ความจริงระหว่างเขากับนางมีความลับอยู่เรื่องหนึ่ง และเขาก็มั่นใจว่านางไม่กล้าพูดออกมาแน่
“จะตำหนิเซ่าซางก็ควรให้กระหม่อมตำหนิกระมัง” หยวนเซิ่นเอ่ยเสียงเย็นชา “ขอเพียงกระหม่อมไม่ถือสา องค์ชายห้าไยต้องทรงเป็นคนถ่อยด้วย” อันที่จริงหนนี้เขาไม่คัดค้านที่องค์ชายห้าเปิดโปงเรื่องนี้เลย พูดอย่างต่ำช้าหน่อย ตอนนี้เขาอยากให้ฮั่วปู้อี๋ผิดหวังในตัวเฉิงเซ่าซางแทบแย่ด้วยซ้ำ
“เจ้าถูกเฉิงเซ่าซางตะครุบอยู่หมัดแล้ว มีหรือจะตำหนินางได้!” องค์ชายห้าแค่นเสียงฮึ “คุณชายสิบเอ็ด เจ้าไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ น่ะหรือ”
ฮั่วปู้อี๋เอียงหน้าเหม่อลอย คล้ายกำลังขบคิดอันใดอยู่ “ข้ามีบางอย่างจะถาม” เขาหันกลับมา “องค์ชายห้า ผ่านไปอีกนานเท่าไรที่เซ่าซางมาขอท่านแต่งงาน”
เสียงตุบดังขึ้นหนึ่งหนเมื่อพัดขนนกขององค์ชายห้าร่วงกระแทก ผู้ฟังทั้งสามคนล้วนใจสั่นโดยพร้อมเพรียง เพียงแต่สีหน้าแตกต่างกันไป หยวนเซิ่นนั้นตื่นตกใจชนิดไม่ได้ตั้งตัว ส่วนเฉิงเซ่าซางกับองค์ชายห้าต่างออกอาการว่า ‘เขารู้ได้อย่างไรกัน ข้าไม่ได้บอกใครทั้งสิ้นเลยนะ?!’
องค์ชายห้าในใจลนลาน ทว่ายังคงฝืนยิ้มกล่าว “พูดอะไรกันนี่ คุณชายสิบเอ็ดพูดล้อเล่นแล้ว…หึๆ หึๆ”
ฮั่วปู้อี๋นิ่งมององค์ชายห้า
เฉิงเซ่าซางค่อยๆ กระถดถอยไปอยู่ด้านหลังหยวนเซิ่น ใครจะรู้หยวนเซิ่นที่ถูกยั่วโทสะจนหายใจหอบถี่กลับคว้าตัวนางออกมาในคราวเดียว “นี่เจ้าทำเยี่ยงนี้ลงไปจริงๆ?”
เห็นใบหน้าคู่หมั้นเกลื่อนด้วยรอยยิ้มประจบอันเหลอหลา ไม่ต่างกับยอมรับโดยปริยาย หยวนเซิ่นก็หวิดจะลมหายใจขาดห้วง…นับแต่หมั้นหมายกับเฉิงเซ่าซาง ชีวิตของเขากล่าวได้ว่า ‘เยี่ยมยอด’ ขึ้นทุกวัน
“แรกเริ่มที่เซ่าซางขอตงไห่อ๋องแต่งงาน น่าจะไม่ได้ไตร่ตรองรอบคอบ ตงไห่อ๋องเปลือกนอกเพียงดูคล้ายอยู่ร่วมด้วยง่าย แท้ที่จริงในอุปนิสัยอันอ่อนโยนกลับมีความดื้อรั้น ยิ่งไปกว่านั้นแต่งกับเขาแล้วเรื่องยุ่งยากก็มีอยู่มิใช่น้อย ข้าเดาว่าเซ่าซางคงฉุกคิดถึงจุดสำคัญในเรื่องนี้ได้กระจ่างในไม่ช้า…ยังดีตงไห่อ๋องปฏิเสธนาง หาไม่นางก็ต้องกลับคำภายหลัง” ฮั่วปู้อี๋กล่าว
“เช่นนั้นท่านเดาออกได้อย่างไรว่านางยังไปขอองค์ชายห้าแต่งงานอีก” หยวนเซิ่นถาม
ฮั่วปู้อี๋ชำเลืองมองหญิงสาวหนึ่งหน “สตรีผู้นี้…ทำสิ่งใดล้วนบุกตะลุยไปเบื้องหน้าไม่ย่อท้อ จะไม่ทิ้งธงถอยทัพกลับเพียงเพราะอุปสรรคเล็กจ้อยเป็นอันขาด ในเมื่อตกลงใจจะออกเรือน ก็ต้องตระเวนสี่ทิศเสาะหาคนมาออกเรือนให้จงได้”
วาจานี้ฟังคล้ายคำชมเชย ทว่าเฉิงเซ่าซางไม่กล้ายิ้มรับ ซ้ำยิ่งลู่คิ้วหลุบตา ขดร่างไปทางด้านหลังของหยวนเซิ่น
หยวนเซิ่นลอบขบกราม แค้นใจจนอยากคว้าตัวเด็กน้อยน่าตายที่เชื่อถือไม่ได้ผู้นี้ออกมาตีด้วยไม้เรียวก่อนหนึ่งยก จากนั้นให้นางหิวข้าวสามวัน ตามด้วยท่องบทความ ‘เชวี่ยนเสวีย’* ของสวินจื่อห้าสิบรอบ กับคัดตำรา ‘ฝ่าเหยียน’ ของหยางสยงหนึ่งร้อยจบ ให้นางได้รู้เสียบ้างว่าอันใดคือฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!
ฮั่วปู้อี๋ยื่นมือไปวางบนบ่าขององค์ชายห้า ห้านิ้วเพียงออกแรงเล็กน้อย องค์ชายห้าก็พลันร้องโอดโอยราวเม่นที่ต้องธนู “โอ๊ยๆๆ อย่าๆ รีบปล่อยมือๆ ขืนเจ้าไม่ปล่อยมืออีก ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ…โอ๊ยๆ ข้าไม่ได้ตอบรับนาง ไม่ได้ตอบรับนางจริงๆ! นางตีข้า ขู่ข้า คุกคามข้า ข้าก็ยังยึดมั่นในศักดิ์ศรี ยืนหยัดไม่ตอบรับ!”
ฮั่วปู้อี๋คลายนิ้วมือออกเล็กน้อย องค์ชายห้าที่ได้พักหายใจจึงเริ่มปากเสียอีกครา “…เฉิงเซ่าซางเป็นคนแบบใดข้ามีหรือจะไม่รู้ ขืนแต่งนางมาจริงๆ ไม่รู้ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร…โอ๊ย เจ้าอย่าบีบสิ อย่าบีบ ได้ๆ เป็นข้าเองที่มีตาหาได้รู้จักหยกเลี่ยมทองไม่ เฉิงเซ่าซางเคยหมั้นหมายกับเจ้า ทั้งเจ้ากับข้าก็โตมาด้วยกัน ข้าจะแต่งนางได้อย่างไรกันเล่า…”
ครั้นสัมผัสได้ว่าฮั่วปู้อี๋คลายนิ้วมือออกแล้ว องค์ชายห้าก็รีบก้มเก็บพัดขนนก ใช้ด้ามพัดซึ่งทำจากหยกเคาะผนังรถแรงๆ…เขารู้สึกว่าวันนี้ตนเองเคราะห์ร้ายสาหัสโดยแท้ เรื่องสนุกของฮั่วปู้อี๋ชมดูเปล่าๆ ไม่ได้จริงเสียด้วย สภาพน่าอนาถแบบต่างๆ ที่เคยถูกเล่นงานมาในวัยเด็กล้วนผุดขึ้นในใจ เขาคิดว่าไม่ได้พบอีกฝ่ายตั้งห้าปี ตนจึงได้ผ่อนคลายความระวังจนลืมอันตรายไปเสียได้!
องค์ชายห้าคลึงบ่าไปหลายหน ครั้นรู้สึกได้ว่ารถม้าหยุดสนิทแล้ว ก็ไม่รอให้ผู้อื่นอ้าปากก็รีบกระโดดพุ่งตัวไปเบื้องนอก ปากยังตะโกนไปด้วยว่า “ไม่ต้องส่งหรอก ข้าพักพอแล้ว จะขี่ม้ากลับวังไปเดี๋ยวนี้! ไว้พบกันใหม่นะ ทุกคนไว้พบกันใหม่! วันหน้ามีเวลาว่างก็มาเยือนเมืองศักดินาของข้า ให้ข้าได้แสดงไมตรีของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ เอาล่ะ ลากันตรงนี้…โอ๊ย พวกเจ้าตัวบัดซบไฉนไม่พยุงข้า…”
ขณะพูดครึ่งประโยคท้าย องค์ชายห้าอยู่นอกรถม้าแล้ว ดูเหมือนหัวของเขาจะไปก่อนตัวจนหกคะเมน อีกทั้งร่วงตกในท่าที่แสนจะไม่สง่างาม จากนั้นจึงตามด้วยเสียงตะคอกใส่องครักษ์ของเขาอย่างเกรี้ยวกราด
ประตูรถม้าปิดลง ในตัวรถม้าคงเหลือเพียงสามคน
ได้ยินเสียงโหยหวนขององค์ชายห้าเมื่อครู่ หยวนเซิ่นรู้สึกว่าได้ระบายโทสะไปไม่น้อย จึงเริ่มพิจารณาว่าจะส่งมอบหญิงสาวด้านหลังของตนไปให้ฮั่วปู้อี๋อบรมบ้างหรือไม่ เฉิงเซ่าซางสัมผัสได้ว่าแววตาของคู่หมั้นเริ่มดูไม่เป็นมิตร ก็รีบทุ่มแรงฉีกยิ้มประจบ “ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง คำหยอกล้อน่ะ ใครกันจะยินดีแต่งกับเขา พูดเล่นๆ เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้อื่นได้ยินนี่นา”
หยวนเซิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจจะต่อต้านศัตรูภายนอกก่อน ค่อยมาสะสางภัยภายใน คิดจบก็ประสานมือกล่าวกับฮั่วปู้อี๋ “ฮั่วโหวโปรดไตร่ตรอง ข้ารู้ว่าท่านรู้จักเซ่าซางลึกซึ้งยิ่ง เช่นนี้ท่านก็น่าจะรู้ชัดว่าการหมั้นหมายระหว่างเซ่าซางกับข้าเป็นการตัดสินใจหลังจากที่นางได้ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว มิได้บุ่มบ่ามเช่นกรณีตงไห่อ๋องกับองค์ชายห้า ท่านโหวเห็นว่าอย่างไร”
เฉิงเซ่าซางพยักหน้าแรงๆ อยู่ด้านหลังของหยวนเซิ่น
คิ้วยาวของฮั่วปู้อี๋เชิดเฉียงขึ้น ขณะที่เพ่งพิศหญิงสาว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดั่งแก้วผลึกของเขากึ่งหม่นกึ่งสว่าง “บางครั้ง…สิ่งที่นางพูด เรื่องที่นางทำ ก็ไม่ใช่ความปรารถนาในใจนาง”
หยวนเซิ่นกดข่มโทสะไว้ “วาจานี้ของท่านโหวไม่แคล้วเอาสีข้างเข้าถู ในใจเซ่าซางอยากทำอันใด ตัวนางเองไม่รู้ชัด กลับเป็นท่านรู้ชัดหรือไร”
ไฉนคนแซ่ฮั่วนี่ไม่ไปปะทะฝีปากกับปราชญ์เฒ่าคร่ำครึที่หอถกปรัชญากลุ่มนั้นนะ!
“จะกล่าวเช่นนี้ก็ได้” ฮั่วปู้อี๋เอ่ย
หยวนเซิ่นลมหายใจตีบตัน เฉิงเซ่าซางตบๆ แขนคู่หมั้นพลางพูดปลอบใจ “ข้าว่าเขาสติไม่ปกติแล้ว ท่านอย่าสนใจเขาเลย”
หยวนเซิ่นเอ่ยเสียงแข็ง “วาจาถือดีของท่านโหว ข้ายากจะรับได้จริงๆ วันนี้ไม่ต้องพูดกันต่อไปอีก ทุกเรื่องให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ ข้ากับเซ่าซางจะลงรถแล้ว…”
“ที่ข้าพูดเป็นความจริงทุกประโยค” ฮั่วปู้อี๋ชิงกล่าว ก่อนมองไปทางหญิงสาวอีกครา “ในอุทยานหลวงบนภูเขาถูเกามีกุ้งน้ำพุเย็น* อยู่ชนิดหนึ่ง เซ่าซางชื่นชอบยิ่ง…”
“วาจาเหลวไหล!” เฉิงเซ่าซางตัดบทอย่างอดไม่ได้ “กุ้งชนิดนั้นข้าเคยกินมาหลายครั้ง ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษแต่อย่างใด”
ใครจะรู้ฮั่วปู้อี๋กลับยังยืนยัน “ไม่ เจ้าชอบมันมาก”
“กระทั่งชอบกินสิ่งใด ตัวข้าเองจะยังไม่รู้ชัดเชียวหรือ” เฉิงเซ่าซางถูกยั่วโมโหจนหัวเราะออกมา
ฮั่วปู้อี๋หันไปมองหยวนเซิ่น “ครั้งแรกที่เซ่าซางได้กินกุ้งน้ำพุเย็นชนิดนี้คือในงานเลี้ยงที่อดีตเซวียนฮองเฮาจัดขึ้นในตำหนักฉางชิว ทว่าก่อนจะยกอาหารไจ๋เอ่าเคยบ่นให้นางฟังว่า ‘กุ้งนี้แม้เลิศรส ฮองเฮากลับไม่อาจเสวยได้ แค่ทรงแตะถูกโดยบังเอิญก็ขึ้นผื่นแดงเสียแล้ว’ นับแต่นั้นเซ่าซางจึงไม่เคยเรียกร้องกุ้งชนิดนี้จากโรงครัวอีกเลย”
เฉิงเซ่าซางตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นเพราะข้าไม่ชอบกินกุ้งชนิดนี้จริงๆ น่ะสิ!”
ฮั่วปู้อี๋พูดต่อโดยไม่สนใจคำค้านของนาง “เซ่าซางล้วนบอกทุกคนเช่นนี้ แต่หากหยวนซื่อจงสืบโดยละเอียดก็จะค้นพบนิสัยการกินของนางได้ไม่ยาก บางครั้งเป็นเพราะไจ๋เอ่าอยากกิน บางครั้งเป็นเพราะฝ่าบาทพระราชทานกุ้งเลี้ยงที่ยังเป็นๆ อยู่ให้ข้าหลายถัง…ขอเพียงบนโต๊ะสำรับมีกุ้งน้ำพุเย็นชนิดนี้ ไม่ว่าจะลวกเปล่าๆ ย่างเกลือ หรือดองซีอิ๊ว เซ่าซางล้วนกินเพิ่มได้หลายชามเสมอ ทั้งยังตักน้ำกุ้งไปคลุกข้าวด้วย” เอ่ยมาถึงครึ่งประโยคสุดท้าย ในหัวใจเขาให้เจ็บแปลบขึ้นมานิดๆ
ในตัวรถม้าพลันเงียบกริบ หยวนเซิ่นอึ้งงัน เฉิงเซ่าซางเหม่อลอยอยู่บ้าง อดไม่ได้ต้องสงสัยตนเองว่า เป็นเช่นนี้จริงน่ะหรือ เพียงแต่…ดูเหมือน…ตอนนั้นกุ้งน้ำพุเย็นที่พระราชทานไปยังจวนของฮั่วปู้อี๋…ล้วนตกเข้าท้องของข้า…จริงๆ?
“สิ่งที่ตนชอบกิน ผู้เป็นนายไม่ชอบกิน นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในวังหลวง” ฮั่วปู้อี๋กล่าวต่อ “เพียงแต่คนทั่วไปส่วนใหญ่มีอยู่สองจำพวก พวกที่มีเล่ห์เหลี่ยมหน่อยมักแสร้งข่มทน แต่ก็จะทำให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยว่าตนอดกลั้นอยู่นี้เพื่อผู้เป็นนาย ชื่อเสียงอันดีงามจะได้เป็นที่โจษขาน ส่วนพวกที่ซื่อตรงหน่อยมักอดทนไปอย่างเงียบๆ นับแต่นี้ไม่เอ่ยถึงมันอีก…ทว่าเซ่าซางนั้นแตกต่าง นางบอกทั้งผู้อื่นและตนเองว่านางก็ไม่ชอบกินกุ้งชนิดนี้เช่นกัน”
หยวนเซิ่นหันหน้าไปมองคู่หมั้น
เขาเข้าใจความทะนงตนและความหวังดีแบบเก็บงำเช่นนี้ของนางได้ ทะนงตน…เพราะนางไม่อยากให้ผู้อื่นหยิบยกเรื่องนี้มาสรรเสริญนาง หวังดี…เพราะนางไม่อยากให้การข่มใจของตนทำให้เซวียนไทเฮาพลอยปวดพระทัย
ฮั่วปู้อี๋พิศมองเฉิงเซ่าซางพลางเอ่ยเน้นทีละคำ “ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางเห็นว่าเปล่าประโยชน์ นางจะหลอกตนเอง หลอกจนกระทั่งเชื่อสนิทใจ…นางก็คือเด็กโง่เช่นนี้นี่เอง”
เฉิงเซ่าซางหลบสายตาของเขา แล้วสะบัดหน้าเอ่ยเสียงดัง “ท่านโหวอย่าได้พูดให้ผู้อื่นสับสน กุ้งน้ำพุเย็นกับการแต่งงานจะเหมือนกันได้หรือ ข้ากับซั่นเจี้ยนไม่หลงกลท่านหรอกนะ!”
หยวนเซิ่นคิดโยงไปมากกว่านั้น…เมื่อแรกที่เซียวฮูหยินละเลยบุตรสาวแท้ๆ เฉิงเซ่าซางเคยแสดงออกมากกว่าหนึ่งครั้งว่าไม่ยี่หระแม้แต่น้อย คนทั้งหมดก็ปักใจเชื่อเช่นนี้…ทั้งที่ความจริงแล้วมิใช่นางไม่ยี่หระ ‘จริงๆ’ อย่างที่เปลือกนอกแสดงออกสินะ
“เคยได้ยินมาว่าฮั่วโหวเงียบขรึม พบกันในวันนี้ เห็นชัดว่าถ้อยคำของผู้คนอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป ท่านโหวแม้สร้างตัวด้วยผลงานการรบ ตอนนี้ดูแล้ว ฝีมือด้านคารมกลับโดดเด่นกว่าเสียอีก” หยวนเซิ่นกล่าวเนิบๆ เขาเลื่องลือทั่วหล้าด้านความรอบรู้และการถกปรัชญาตั้งแต่อายุสิบห้า หลายปีมานี้ยิ่งไปมาระหว่างหอถกปรัชญากับสำนักราชเลขาธิการ ผู้ที่เขาต้องรับมือ หากมิใช่ราชบัณฑิตเอกกับบัณฑิตที่รักในการแสดงความเห็นก็คือขุนนางเรืองอำนาจกับผู้สูงศักดิ์ที่มีชั้นเชิงลุ่มลึก
บัดนี้ความตื่นตะลึงเมื่อแรกเริ่มบรรเทาเบาบางลงแล้ว เขาปรับอารมณ์ของตนจนได้ จึงเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจที่ร้ายกาจได้อย่างรัดกุม “ทว่าฮั่วโหวคารมคมคายสักเพียงใด กลับยังคงมีประเด็นหนึ่ง ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องที่เซ่าซางรับหมั้นสกุลข้าเป็นการหลอกตนเองและผู้อื่นหรือเป็นความต้องการจากใจจริง อาศัยวาจาไม่กี่คำก็หมายจะให้คู่ต่อสู้ยอมจำนน ท่านโหวถือดีเกินไปกระมัง”
ฮั่วปู้อี๋มองเฉิงเซ่าซางอีกครา ก่อนตอบเรียบๆ “หากคู่ต่อสู้ของข้าคือหยวนซื่อจงจริงๆ…ก็ดีน่ะสิ”
คู่ต่อสู้ของเขา แต่ไรมาก็ไม่ใช่หยวนเซิ่น
หยวนเซิ่นกังขา ฮั่วปู้อี๋กลับเคาะผนังรถ “พักนี้เรื่องคำสั่งรังวัดที่ดินทำให้ในราชสำนักถกเถียงกันไม่เลิก ข้าต้องกลับไปหารือเรื่องนี้…จวนสกุลเฉิงอยู่ตรงหน้านี่เอง เดินเท้าหนึ่งหลี่ก็ถึง ข้าขอไม่ส่งสองท่านไกลกว่านี้แล้ว”
ผู้อื่นออกคำสั่งไล่แขก หยวนเซิ่นกับเฉิงเซ่าซางย่อมจะรีบลงจากรถ
ทั้งสองยืนอยู่ทิศเหนือของถนนอันเงียบสงบ เบื้องหลังมีบ่าวชายและองครักษ์ของจวนสกุลหยวนกับเฉิง มองส่งรถม้าเหล็กดำของฮั่วปู้อี๋แล่นไปไกล หยวนเซิ่นกับเฉิงเซ่าซางต่างจนถ้อยคำไปชั่วขณะ
“คนผู้นี้ฝีมือดีจริงๆ เริ่มจากรุกแบบเหนือความคาดหมาย พูดจนคู่ต่อสู้ว้าวุ่นลนลาน รอจนยามที่คู่ต่อสู้จะตอบโต้ เขากลับตัดบทอย่างเฉียบขาด หลีกห่างสามเซ่อ* วันหน้าค่อยถกกันใหม่ ตรงตามคำกล่าวที่ว่า ‘หนึ่งกลองปลุกใจ สองหนถดถอย สามหนหมดสิ้น’ ในหนึ่งสมรภูมินี้ คู่ต่อสู้ย่อมตกเป็นรอง!” แขนเสื้อยาวของคุณชายใหญ่สกุลหยวนไพล่หลัง พูดประเมินฮั่วปู้อี๋เช่นเดียวกับวิจารณ์การศึก
เฉิงเซ่าซางมองฟ้า ก่อนจะก้มหน้าลง “คือว่า…ท่านต้องการถอนหมั้นกับข้าหรือไม่” มิใช่นางทำลายกำลังขวัญของฝ่ายตน ทว่าหากฮั่วปู้อี๋ออกฤทธิ์ออกเดชขึ้นมาจริง ในเมืองหลวงจะมีสักกี่คนที่ต้านทานเขาไหว
หยวนเซิ่นตอบอย่างหนักแน่น “ย่อมจะไม่ถอน! ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่ประมาทศัตรู หลายวันก่อนเห็นเขาห่อเหี่ยว ก็นึกว่าเขาถอดใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพลันจู่โจม เมื่อแรกที่เจ้าหมั้นอยู่กับเขา ข้ายังเคยคิดเลยว่าจะแยกพวกเจ้าออกจากกันอย่างไร วันนี้มีหรือข้าจะถอยหนี!”
“อะไรนะ อะไร” เฉิงเซ่าซางไม่เชื่อ “ท่านถึงกับเคยมีความคิดเยี่ยงนี้!”
หยวนเซิ่นไร้วี่แววละอาย “ข้ากล้ารับรองกับเจ้าได้เลย ตอนที่เจ้าหมั้นหนแรก ฮั่วปู้อี๋ก็ต้องเคยคิดว่าจะแยกเจ้าออกจากโหลวเหยาอย่างไร เพียงแต่เขาพะวงมากไปจึงไม่ได้ลงมือก็เท่านั้น” เอ่ยจากมุมนี้ พวกเขาสองคนนับได้ว่าเป็นสหายร่วมเส้นทาง
“พวกท่านเข้าอกเข้าใจกันดีจริงนะ!” เฉิงเซ่าซางหมดถ้อยคำ
“อย่ามัวแต่เหน็บแนมข้าอยู่เลย คิดก่อนเถิดว่าจะรับมือฮั่วปู้อี๋เช่นไร หรือว่าเจ้าจะเปลี่ยนตัวคู่หมั้นจริงๆ?!”
เฉิงเซ่าซางเปล่งเสียงแหะๆ สองหนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
นึกถึงเมื่อครู่ถูกฮั่วปู้อี๋คุมจังหวะการเจรจาได้โดยสมบูรณ์ หยวนเซิ่นก็พูดอย่างหงุดหงิด “สรุปคือ…ฮั่วปู้อี๋ผู้นี้ช่างน่าชังนัก!”
เฉิงเซ่าซางถอนใจกล่าว “ข้าเคยบอกท่านนานแล้ว คนผู้นี้ดูเงียบๆ แต่พออ้าปากกลับมีพิษร้ายยิ่ง! หากเขาอยากยั่วโมโหท่านให้ตายไปต่อหน้า ก็จะไม่ให้ท่านเหลือลมหายใจสักเฮือกเด็ดขาด! เมื่อก่อนข้าเคยเสียเปรียบเขาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว!”
“เจ้าก็เหมือนกัน ไฉนเรื่ององค์ชายห้าจึงไม่บอกข้า ทำเอาข้าถูกจู่โจมจนตั้งตัวไม่ติด!” ใบหน้าดุจหยกของหยวนเซิ่นฉายความเคร่งขรึม เริ่มคิดบัญชีย้อนหลัง
เฉิงเซ่าซางตอบอย่างจนใจ “ช่วงนั้นได้ยินทางองค์ชายห้าคุยฟุ้งว่า ‘ไปเมืองศักดินาแล้วผืนฟ้าอยู่สูงฮ่องเต้อยู่ไกล* อยากทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น’ ข้าจึงหวั่นไหวชั่วขณะ ประกอบกับแสนว่างเบื่อหน่ายจึงได้พูดหยั่งเชิงเขาสองสามประโยค ถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้หรอก!”
หยวนเซิ่นหน้าถมึงทึง “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ล้อเล่นได้หรือ!”
“เอาล่ะ รู้แล้ว!” เฉิงเซ่าซางกล่าว “เป็นเพราะท่านไม่ดีเช่นกัน พิรี้พิไรกับสกุลไช่ตั้งห้าปียังไม่จบ ใครจะกล้าจัดท่านเข้ารายชื่อตัวเลือกสามีเล่า ข้าย่อมต้องหาทางออกอื่นสิ!”
“สรุปคือต่อไปเจ้าต้องบอกข้าทุกเรื่อง ฮั่วปู้อี๋แสดงชัดว่าหมายจะเจาะช่องบุกเข้ามา เจ้ากับข้าควรร่วมแรงร่วมใจกัน!”
“ท่านว่าเขาจะออกกระบวนท่าอะไรหรือ”
สองคนมองหน้ากันไปมา ต่างคิดวิธีไม่ออก
ที่เฉิงเซ่าซางคิดอยู่คือ…ไม่ว่าฮั่วปู้อี๋จะขออภัยเอาใจเช่นไร ข้าก็จะไม่หวั่นไหวเป็นอันขาด
ส่วนหยวนเซิ่นคิดว่า…ฮั่วปู้อี๋จะใช้อำนาจคุกคามลอบกดขี่กันหรือไม่ ทว่าสกุลหยวนของข้าก็ไม่ใช่พวกกินผักหญ้า หรอกนะ
สองคนเดินไปคุยไป จวบจนถึงปากตรอกของจวนสกุลเฉิง เฉิงเซ่าซางพลันฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง “นี่ๆ ฮั่วปู้อี๋ต้องไปหารือเรื่องคำสั่งรังวัดที่ดิน ท่านไม่มีงานต้องเร่งทำหรือไร”
หยวนเซิ่นตีหน้าผากตนเองหนึ่งที ก่อนกระแอมกระไอ “แค่กๆ ล้วนเป็นเพราะถูกคนแซ่ฮั่วยั่วโมโหจนเลอะเลือน! วันพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะทรงเรียกเหล่าขุนนางเข้าประชุมใหญ่ ข้าต้องไปจวนต้าซือคง หารือเรื่องที่จะทูลตอบฝ่าบาท เจ้า…”
“เอาล่ะ ท่านไปก่อนเถิด ถึงตรงนี้แล้วข้ากลับเข้าบ้านเองได้” เฉิงเซ่าซางโบกมือกล่าว “วันหน้าท่านจะเป็นหนึ่งในสามมหาอำมาตย์ไม่ใช่หรือ ความจำแย่เช่นนี้จะได้อย่างไรกัน! ท่านรีบไปเถิด ข้ารอเป็นฮูหยินของมหาอำมาตย์ที่ยังไม่รู้ว่าจะนั่งตำแหน่งใดอยู่นะ!”
หยวนเซิ่นรีบขึ้นม้าที่องครักษ์จูงมา กีบเท้าม้าเพิ่งย่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดม้าเหลียวหลังมาอีกหน เห็นคู่หมั้นเอาสองมือไพล่หลัง เดินมุ่งเข้าตรอกไปด้วยท่าทีสุขุมยิ่ง เขาก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้
เขาคิด…ชาตินี้เขาชมชอบสตรีผู้หนึ่งอย่างหาได้ยาก ย่อมจะไม่ประคองส่งมอบนางไปเพียงเพราะคู่ต่อสู้กล้าแข็ง เขาไม่ยินดีจะเป็นเช่นอาจารย์หวงฝู่ สำนึกเสียใจไปครึ่งชีวิต จากนั้นวิ่งไปขับร้องเพลงที่เชิงกำแพงบ้านของอีกฝ่าย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.