บทที่ 158
เฉิงเซ่าซางยืดหลังตรงเดินเข้าประตูบ้านไป ระหว่างกลับเรือนพักของตน เฉิงเซ่ากงโผล่มาซุบซิบใกล้ๆ “เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไร ฮั่วปู้อี๋พ้นผิดแล้วหรือยัง เจ้าเป็นพยานได้ผลหรือไม่”
เฉิงเซ่าซางถูกเรื่องน่าโมโหประดังเข้าใส่ “ยังต้องเป็นพยานอะไรเล่า ผู้อื่นแสนจะน่าเกรงขาม ไม่มีสิ่งใดเหนือความสามารถ เก็บซ่อนหลักฐานไว้แต่แรกแล้ว! วันนี้ต่อให้ข้าไม่ไป เขาฮั่วปู้อี๋ก็ออกจากกรมอาญาได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย!”
เฉิงเซ่ากงผิดหวังอย่างยิ่ง “ข้ายังนึกว่าคนชื่อจางเย่านั่นจะมีฝีมือพิชิตได้ในการโจมตีเดียวเสียอีก ที่แท้ก็ไม่ได้ความเพียงนี้ กระทั่งอยู่ไม่ครบหนึ่งยกด้วยซ้ำ”
เอ่ยถึงตัวไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ซักไซ้รายละเอียดกับนาง เฉิงเซ่าซางก็ยิ่งโมโห “อย่าเอ่ยถึงคนสารเลวนั่น ตอนนี้ใต้เท้าจี้น่าจะกำลังพิจารณาโทษเขาอยู่ ได้ยินซั่นเจี้ยนบอกว่าปรักปรำขุนนางสำคัญที่มีคุณความชอบส่งเดชเยี่ยงนี้ อย่างน้อยๆ ต้องถูกถอดตำแหน่งแล้วเนรเทศ”
“พูดเช่นนี้ ตอนนี้ฮั่วปู้อี๋ก็หมดเรื่องแล้วสิ? เฮ้อ เหนียวเหนี่ยว เจ้าไปเสียเที่ยวแท้ๆ ซ้ำผู้อื่นก็ไม่ต้องซาบซึ้งเจ้าด้วย”
เฉิงเซ่าซางชะงักฝีเท้า หมุนตัวมามุ่นคิ้วกล่าว “พักนี้พี่สามพิกลนัก เริ่มจากไม่เห็นพ้องเรื่องแต่งงานของข้ากับหยวนซั่นเจี้ยนโดยไร้สาเหตุ พอฮั่วปู้อี๋กลับมา เช้าจรดค่ำยิ่งเลียบเคียงถึงความเป็นไปของเขา ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนพี่สามหวาดกลัวเขาอย่างยิ่ง แม้แต่พลาดเจอเขาระหว่างทาง ท่านก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก อ้อมทางเผ่นหนี”
เฉิงเซ่ากงหัวเราะกลบเกลื่อน พูดไปพลางวิ่งหนีไปพลาง “เหนียวเหนี่ยวพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ตอนนี้พี่ใหญ่พี่รองล้วนไม่อยู่ ในบ้านข้าอาวุโสสุด ย่อมต้องห่วงใยน้องสาวสิ หึๆ หึๆ…”
เฉิงเซ่าซางถลึงตาใส่เงาหลังของพี่ชายฝาแฝดครู่หนึ่งก็มุ่งหน้ากลับเรือนพักต่อ จวบจนย่างเท้าเข้ามาในห้องของตน ไหล่จึงค่อยลู่ตกลง อาจู้สังเกตได้ว่าหญิงสาววิตกกังวลจึงถามด้วยความห่วงใย “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ เพิ่งออกไปข้างนอกไม่ถึงครึ่งวันก็ดูอ่อนล้าเพียงนี้” จบคำนางกำชับเฉี่ยวกั่วไปยกน้ำร้อน และให้เหลียนฝางไปบรรจุถุงทรายร้อนๆ มาให้เฉิงเซ่าซางประคบคลายเมื่อยล้า
เฉิงเซ่าซางถอนใจเบาๆ ก่อนกล่าว “ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่ากำลังจะเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิด”
อาจู้ลอบดูสีหน้าของหญิงสาวแล้วถามเบาๆ “เป็นเพราะใต้เท้าฮั่วหรือเจ้าคะ”
ผ่านไปครู่ใหญ่เฉิงเซ่าซางค่อยตอบ “ใช่”
ในอดีตตอนที่ฮั่วปู้อี๋กุมอำนาจใหญ่ในมือ หยวนเซิ่นเก็บงำประกาย รอจนฮั่วปู้อี๋ถูกเนรเทศ หยวนเซิ่นถึงค่อยเผยความสามารถอันโดดเด่นในด้านการปกครองออกมา ทว่าคนที่เพียงชมดูอยู่ด้านข้างจะอย่างไรก็ถูกกางกั้นอยู่หนึ่งชั้น มีแต่เคยร่วมงานกัน หรือเคยยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน เคยเค้นสมองต่อกรกันอย่างแท้จริงจึงจะรู้ซึ้งถึงฝีไม้ลายมือของอีกฝ่ายได้
หากเก่งแค่หลักการก็เพียงพอแล้ว หานเฟย* ที่เรียบเรียงเขียนกลยุทธ์แห่งราชันออกมาเป็นแบบแผนได้ ก็คงจะไม่ตายด้วยเหลี่ยมเล่ห์ของหลี่ซือง่ายดายเช่นนั้นหรอก
ต่างจากหยวนเซิ่น อย่างไรเสียเฉิงเซ่าซางกับฮั่วปู้อี๋ก็เคยอยู่ร่วมกันมาแรมปี ความดุดันของวิธีการ ความลุ่มลึกของอุบาย ตลอดจนความเฉียบขาดในการลงมือของคนผู้นี้ นางล้วนสัมผัสมาอย่างลึกซึ้ง มีประโยคหนึ่งฮั่วปู้อี๋กล่าวได้ถูกต้อง หากเขาไม่คำนึงถึงสิ่งใดขึ้นมาจริงๆ คงมีแต่ท่านลุงฮ่องเต้ผู้เหลี่ยมจัดยิ่งกว่าจึงจะยับยั้งเขาได้ รัชทายาทก็ไม่แน่ว่าจะมีกำลังพอ…นี่ต่างหากที่ชวนให้คนสิ้นหวัง
อยู่ในราชสำนัก ฮั่วปู้อี๋เป็นขุนนางที่ท่านลุงฮ่องเต้ใช้สอยได้คล่องมือที่สุด ทว่าในเรื่องคู่ครอง ท่านลุงฮ่องเต้ไม่ต่างจากสุนัขรับใช้ที่ภักดีของฮั่วปู้อี๋ หากเขาหมายจับนางตุ๋นน้ำแดง พระองค์ก็เป็นจำพวกที่จะยื่นซีอิ๊วให้ทันใด ดังนั้นอย่าว่าแต่จะไม่ขัดขวาง พระองค์ไม่โห่ร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้างก็นับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว
ในหัวใจเฉิงเซ่าซางท่วมท้นด้วยความกลัดกลุ้มสารพัน นางจำต้องหางานให้ตนเองหันเหความสนใจ จึงไปสอบถามมารดาบังเกิดเกล้าว่ากล่อมเกลาผู้กล้าตี้อู่เป็นเช่นไรบ้าง เซียวฮูหยินคลี่ยิ้มภาคภูมิ ตอบแบบไม่ลงรายละเอียดว่า…ชัยชนะอยู่ไม่ไกลแล้ว หากดำเนินการได้เหมาะสม ต่อไปอาจารย์หมัดมวยสำหรับพี่น้องบุตรหลานของเจ้าก็เท่ากับจองตัวเป็นที่เรียบร้อย
เฉิงเซ่าซางทึ่งในตัวท่านพ่อเฉิงกับเซียวฮูหยิน รีบซักถามว่าทำได้อย่างไรกัน อีกฝ่ายก็บอกเล่าวิธีการคร่าวๆ
เริ่มจากขังตี้อู่เฉิงที่ห้องเก็บของใต้ดินอันว่างโหวง ให้กินให้ดื่ม แต่ไม่พูดด้วยสักประโยคเดียว ทำให้เขาอัดอั้นจนแทบคลั่ง รอจนเวลาพอสมควรค่อยให้ท่านพ่อเฉิงเข้าไปชวนสนทนา ตี้อู่เฉิงย่อมจะไม่แสร้งทำเย็นชาดุจเกล็ดน้ำค้าง ทว่าเต้นผางก่นด่าบรรพชนสกุลเฉิงสิบแปดรุ่น
…รู้จักคำรามโกรธเกรี้ยวก็ดีแล้ว ขั้นตอนที่หนึ่งเป็นอันลุล่วง
ถัดมาท่านพ่อเฉิงก็เริ่มเปิดบรรยาย โดยงัดฝีมือที่เคยใช้ล่อลวงคนในบ้านเกิดให้ก่อกบฏ ไม่ใช่สิ ให้ก่อการต่อต้านทรราช…ใจความคือในอดีตขุนนางเจ้าหน้าที่ของอำเภอติดกันทุจริตกดขี่ข่มเหงราษฎรเป็นประจำ ตอนนั้นมีจอมยุทธ์นิรนามผู้หนึ่งดุจลงมาจากฟ้า สังหารขุนนางเจ้าหน้าที่หมดที่ว่าการอำเภอในชั่วข้ามคืนโดยไม่มีใครจับเขามาดำเนินคดีได้ นับแต่นั้นผู้มารับตำแหน่งใหม่ล้วนไม่กล้ากระทำการเลยเถิด
ทั้งส่งผลให้ขุนนางเจ้าหน้าที่หลายอำเภอรอบข้างภูมิลำเนาของสกุลเฉิงล้วนรู้กาลเทศะยิ่ง เรื่องเก็บอากรเกณฑ์แรงงานก็รู้จักหยุดแต่พอดี กลัวแต่ว่าวันใดนอนฝันอยู่จะถูกฆ่ายกครัว ต่อมาตอนที่ท่านพ่อเฉิงชูธงจัดตั้งกองกำลัง ขุนนางเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็หลับตาข้างหนึ่ง ทำตัวหูหนวกเป็นใบ้ เมื่อโจรผู้ร้ายภัยสงครามผุดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ยังจับมือกับท่านพ่อเฉิงร่วมกันต่อกร ความสัมพันธ์ระหว่างทางการท้องถิ่นกับชาวบ้านปรองดองยิ่งยวด
‘…ตอนนั้นข้ายังเยาว์ แต่ก็รู้แล้วว่า…ที่แท้ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ปรีชาขุนนางปราดเปรื่องที่ช่วยราษฎรให้พ้นทุกข์ยากแสนเข็ญได้ จอมยุทธ์ผู้กล้าที่ทรงคุณธรรมก็ช่วยผู้คนให้พ้นภัยได้เช่นกัน!’ ในฐานะผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง เฉิงสื่อพูดด้วยอารมณ์ฮึกเหิมยิ่ง
‘ได้ยินว่าอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้ผู้กล้าตี้อู่เป็นจอมยุทธ์นามกระเดื่องในราชวงศ์ก่อน เพียงเพื่อจะตามหาหลานสาวคืนให้สามีภรรยาที่แก่เฒ่าไร้ที่พึ่งคู่หนึ่ง เขาเคยถล่มค่ายโจรเจ็ดแห่งราบเป็นหน้ากลองในเดือนเดียว และเพื่อจะไม่ให้ทางการฆ่าล้างหมู่บ้านหลายแห่งที่ต้องสงสัยว่าติดโรคระบาด เขาในวัยชราก็ยังหวนคืนยุทธภพ หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ เลือดย้อมทั่วกาย ชิงตัวหมอเลื่องชื่อจากในจวนอ๋องแห่งหนึ่งมาตรวจรักษาผู้คนในหมู่บ้าน ได้ยินว่าราษฎรแถบนั้นยังบูชาป้ายอายุวัฒนะ* ของอาจารย์ท่านตราบจนบัดนี้ ธูปเทียนขอพรโชติช่วงยิ่ง เฮ้อ นี่สิสิ่งที่ชายชาตรีพึงจะเป็น!’
ท่านพ่อเฉิงตบขาอุทานชื่นชม สีหน้าใฝ่หาเลื่อมใส ผิดกับตี้อู่เฉิงที่ผุดรอยกระดากละอายบนใบหน้า ขยับมือเท้าอย่างกระสับกระส่าย
…รู้ว่ายี่สิบกว่าปีมานี้ตนเองไม่มีความสำเร็จสักเรื่องเดียวก็ดีแล้ว ขั้นตอนที่สองเป็นอันลุล่วง
มาถึงขั้นนี้ ท่านพ่อเฉิงค่อยเริ่มพูดจาแทนสกุลหยวน
ความว่าสกุลหยวนในตอนนั้นเกือบจะล่มสลายแล้วจริงๆ ธงก่อการชูออกไปแล้ว ไพร่พลของลี่ตี้อยู่เบื้องหน้าประกาศว่าจะฆ่าล้างสกุลหยวนให้สิ้น หากสกุลหยวนพลาดพลั้งแม้เพียงนิด ผู้เฒ่าผู้เยาว์ทั้งตระกูลก็จะไม่รอดพ้นสักคนเดียว ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนี้ ในฐานะทายาทบุรุษสายตรงเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นผู้ใหญ่และมีความสามารถพอ หยวนเพ่ยไม่มีทางจากไปกับตี้อู่เหออี๋เด็ดขาด ส่วนตี้อู่เหออี๋ที่ไม่รู้จักหนักเบา เอาแต่ตามตอแยให้หยวนเพ่ยปลีกตัวมาครองรักกับตนตราบนานเท่านานนั้น ผู้อาวุโสในสกุลหยวนที่กลัดกลุ้มดั่งไฟสุมทรวงแล้วย่อมอยากจะฉีกกินเนื้ออีกฝ่ายทั้งเป็น
ท่านพ่อเฉิงเกิดมาพร้อมกับหน้าตาสัตย์ซื่อของคนแสนดี ยามเอ่ยวาจาที่ชวนอบอุ่นหัวใจยิ่งให้ผลลัพธ์เป็นเท่าตัว ในที่สุดตี้อู่เฉิงก็เปิดใจจนได้ ‘ท่านพ่อท่านแม่ข้าจากไปเร็ว น้องสาวติดตามข้าบุกเหนือตะลุยใต้มาแต่เล็ก ถูกข้าตามใจจนเสียคน พยศจนเคยตัว จึงบ่มเพาะเป็นนิสัยใจร้อนถือดี ยอมหักไม่ยอมงอ’
ตอนนั้นพอรู้ว่าสกุลหยวนเกิดเรื่อง ตี้อู่เฉิงก็รู้แล้วว่าหยวนเพ่ยน้องชายร่วมสาบานต้องกลับไปแน่ เขาจึงบอกน้องสาวว่าให้ไปเป็นอนุที่สกุลหยวน หรือไม่ก็ตัดอีกฝ่ายเสียให้ขาด ทว่าตี้อู่เหออี๋ผู้ซึ่งแต่ไรมาไม่เคยประสบความล้มเหลวกลับดันทุรังจะให้บุรุษในดวงใจทำตามคำมั่น ครองคู่กับนางเฉกเงาตามตัว จึงตามพัวพันอีกฝ่ายไม่เลิกรา ตี้อู่เฉิงตะลุยยุทธภพมาหลายปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขาเองก็รู้ว่าน้องสาวทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เสมือนสาดเกลือบนแผลของคนสกุลหยวนไม่มีผิด
…เริ่มหวนทบทวนเรื่องของสกุลหยวนในตอนนั้นแล้ว ดีมาก ขั้นตอนที่สามเป็นอันลุล่วง
‘ข้าเห็นท่านผู้กล้าก็เป็นคนมีเหตุมีผล ในเมื่อใจท่านล้วนกระจ่างแจ้ง เหตุใดตอนนั้นไม่ห้ามปรามน้องสาวเล่า หากปรามไว้ได้ ต่อมาก็คงไม่บ่มเพาะเป็นเรื่องน่าสลดใจ’ ท่านพ่อเฉิงถาม
ตี้อู่เฉิงเงียบงันไปเนิ่นนาน
มิใช่เขาไม่เคยห้ามปราม ทว่าไม่อาจทำใจเหี้ยมสั่งสอนน้องสาวได้จริงๆ
สาเหตุแรกเพราะเขารักถนอมนาง ไม่อาจทนเห็นนางโศกเศร้าเจียนขาดใจ สาเหตุที่สองเพราะตัวเขาก็ลอบวาดหวังเช่นกัน น้องชายร่วมสาบานของเขารักนางลึกซึ้งยิ่ง ไม่แน่อาจยอมละทิ้งทางบ้านมาเลือกนางก็เป็นได้ ทว่าเขาเองก็รู้อยู่ ความคิดนี้ต่ำช้าสิ้นไร้คุณธรรม ผิดต่อคนสกุลหยวนทั้งตระกูลถึงขีดสุด ดังนั้นเขาจึงมิเพียงไม่กล้าพูดออกจากปาก กระทั่งคิดก็ไม่กล้าคิดมากไปกว่านี้
มาถึงขั้นนี้ก็ถึงคราวเซียวฮูหยินออกหน้าแล้ว
‘ผู้ว่าการหยวนดวงตกสาหัสแปดชาติชัดๆ จึงได้มารู้จักท่านกับน้องสาว ซ้ำร่วมสาบานกับท่านอีก! ฮึๆ หากเห็นเขาเป็นพี่น้องจริงก็ควรเป็นทุกข์เป็นร้อนเสมือนเกิดกับตัว ตอนที่สกุลหยวนนองด้วยทะเลโลหิต ไฉนไม่ยักเห็นจอมยุทธ์ใหญ่ตี้อู่ผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศทุ่มแรงช่วยเหลือเล่า!’
ใบหน้าของตี้อู่เฉิงฉายความรวดร้าว ตอนนั้นสกุลหยวนประสบภัย หญิงม่ายบุตรกำพร้าหลบซ่อนไปทั่ว คนที่หนีไม่ทันล้วนถูกจับเข้าคุก สังหารอย่างทารุณแล้วแขวนประจานศพ ตอนนั้นตนกำลังทำอันใดอยู่ อ้อ ตนกำลังเพียรปลอบน้องสาวที่เจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก
เซียวฮูหยินเยาะหยันเสียงระรัว ‘ใต้เท้าของข้าก็มีพี่ชายร่วมสาบาน คือเจ้าเมืองสวีใต้เท้าวั่นซงไป่ ยี่สิบกว่าปีมานี้วั่นกับเฉิงสองสกุลซื่อตรงจริงใจต่อกัน สุขทุกข์ร่วมเสพ สนิทสนมดุจครอบครัวเดียว! ข้ากล้าพูดได้เลย ขอเพียงเพื่อแลกเปลี่ยนชีวิตใต้เท้าของข้าคืนมา เว้นแต่ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นแล้ว ชีวิตของผู้ใหญ่ผู้น้อยในสกุลวั่น รวมถึงตัวใต้เท้าวั่น ภรรยา อนุ กับบุตรธิดาของเขาเอง เขาก็ยอมสละได้ทั้งสิ้น!’
ถ้อยคำนี้ทำให้ตี้อู่เฉิงละอายไม่คลาย ส่วนท่านพ่อเฉิงร้อนตัวนิดๆ จนต้องขยับท่านั่ง ในใจเอ่ยวาจาที่ไม่ค่อยจะมีมโนธรรมนัก…ให้ข้าเอาภรรยาเซียวหยวนอีกับบุตรธิดาไปแลกกับพี่ชายร่วมสาบานวั่นซงไป่ ข้า…คือว่า คง…ไม่น่าจะยินยอมหรอก
‘ ‘ซื่อตรงจริงใจ’ สี่คำนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ในหัวใจของจอมยุทธ์ใหญ่ตี้อู่ ทางบ้านของน้องชายร่วมสาบานแปรสภาพเป็นภูเขาศพทะเลโลหิต ความเป็นตายแขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็คงไม่สำคัญเท่าน้ำตาไม่กี่หยดของน้องสาวกระมัง!’
วาจาของเซียวฮูหยินคมกริบ ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ‘แม่นางตี้อู่แม้ตายอนาถ ทว่านายท่านผู้เฒ่าหยวนก็เอาหนึ่งชีวิตชดใช้หนึ่งชีวิตไปแล้ว ท่านยังจะเอาอย่างไรอีก หรือว่า…หนึ่งชีวิตของบิดาบังเกิดเกล้าของน้องชายร่วมสาบานชดเชยกับน้องสาวของท่านไม่ได้? ยี่สิบกว่าปีมานี้ ส่วนตัวแล้วท่านผิดต่อไมตรีที่ร่วมสาบาน เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ผลได้ผลเสียส่วนตน รู้จักแต่สงสารตนเอง ส่วนรวมแล้วท่านผิดต่อบุญคุณที่อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ ยี่สิบกว่าปีที่ล่วงเลยไปนั้นเป็นช่วงที่ใต้หล้าปั่นป่วน ราษฎรทุกข์เข็ญ ทว่าจนแล้วจนรอดท่านกลับจมจ่อมอยู่กับความบาดหมางกับการล้างแค้นที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่มีส่วนช่วยราษฎรบนแผ่นดินนี้แม้เพียงน้อยนิด! ฮึๆ อาจารย์ของท่านก็ช่างตาบอด ยอดวิชาทั้งหมดที่มีกลับสอนให้คนเยี่ยงท่านเสียได้!’
…ตี้อู่เฉิงแววตาเลื่อนลอยโดยสิ้นเชิง ขั้นตอนที่สี่เป็นอันลุล่วง
“แล้วตอนนี้เล่าเจ้าคะ” เฉิงเซ่าซางซักไซ้ถึงขั้นตอนที่ห้า
เซียวฮูหยินยิ้มบางๆ “ใช้น้ำใจทำให้หวั่นไหว ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ตามด้วยเตือนแสกหน้าเรียกสติ ตอนนี้ก็ให้เขาพักหายใจสักนิด ค่อยยังชั่วแล้วก็จะดีเอง เสี่ยวจู้กับโอวเอ๋อร์ล้วนชอบเขา วันๆ รบเร้าให้เขาเล่าเรื่องนู่นนี่ ให้เขาถ่ายทอดวรยุทธ์ ไว้แม่จะทาบทามสตรีให้เขา วันหน้าเขาให้กำเนิดบุตรธิดา กอบกู้วงศ์ตระกูล เรื่องราวก็จะนับว่าข้ามผ่านไปแล้ว”
เฉิงเซ่าซางไม่เชื่อ วิ่งไปแอบดูที่เรือนพักของเฉิงจู้เฉิงโอว เห็นตี้อู่เฉิงนั่งอยู่กลางลาน ชี้แนะท่วงท่าพลิกมือคว้าจับให้กับเด็กชายสองคนอยู่จริงๆ เสียด้วย ในมือยังเหลากระบี่ไม้อันประณีตสองเล่ม…บุรุษวัยกลางคนที่ผ่านโลกมามากผู้นี้ กระไอดุร้ายเต็มใบหน้าเมื่อแรกได้สลายไปไม่เห็นแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือความอดทนอดกลั้นอันไม่รู้สิ้น
“ท่านพ่อท่านแม่มีฝีมือจริงๆ!” เฉิงเซ่าซางอุทานด้วยความนับถือเลื่อมใส
เฉิงเซ่ากงกล่าว “คนเราล้วนเป็นเช่นนี้ เรื่องบ้านตนเองอับจนหนทาง เรื่องบ้านผู้อื่นกลับรับมือได้สบาย จวบจนตอนนี้ที่เจ้ายังไม่ยอมคืนดีกับท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่มีหนทางสักนิดไม่ใช่หรือไร”
เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้ว “ได้ยินว่าท่านย่าป่วย”
“ใช่ บอกสาเหตุได้ไม่ชัด ที่รู้คือกินไม่ค่อยลง ผ่ายผอมลงทุกวัน หมอล้วนบอกว่าเป็นอาการชรา” เฉิงเซ่ากงกล่าว “ความจริงอายุท่านย่าไม่น้อยเลย ท่านแม่บอกว่าหากท่านย่ายังไม่ดีขึ้น ก็ต้องเรียกพวกท่านอากับพวกพี่ชายกลับมาแล้ว”
เฉิงเซ่าซางเข้าใจว่านี่หมายถึงเตรียมจัดงานศพ…กระนั้นนางยังคงไม่เปล่งเสียงสักคำ ปฏิเสธที่จะแสดงความห่วงใยต่อฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงในวาระสุดท้าย มิใช่นางใจแข็ง หากแต่…ถึงอย่างไรก็ต้องมีสักคนจดจำเฉิงเซ่าซางตัวจริงที่ตายอย่างอยุติธรรมผู้นั้น
ความสนใจถูกหันเหไปดังคาด ค่ำคืนนี้เฉิงเซ่าซางหลับสนิทนอนสบาย ตลอดราตรีไร้ฝัน ผิดกับในจวนสกุลลั่วอีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง มีกุลสตรีที่ขึ้นชื่อว่าอ่อนโยนจิตใจดีมาแต่ไหนแต่ไรผู้หนึ่งยากจะหลับใหลตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น สีท้องฟ้ายังไม่สว่างแจ้ง ลั่วจี้ทงก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว ไม่ทันกระทั่งแจ้งลั่วฮูหยินสักคำก็เรียกบ่าวให้จัดรถม้าออกไปข้างนอกแล้ว ครึ่งชั่วยามให้หลังลั่วจี้ทงก็รุดมาทันประตูใหญ่จวนสกุลฮั่วเปิดอ้าพอดี คนกลุ่มหนึ่งกำลังจะจากไป
ฮั่วปู้อี๋สวมชุดขุนนางสีแดงชาด ร่างสูงเพรียวขี่อยู่บนอาชาพ่วงพีตัวสูงใหญ่ ยิ่งแลดูองอาจสง่างาม ภูมิฐานน่าเกรงขาม
ในใจลั่วจี้ทงเทิดทูนชื่นชม เอ่ยเสียงนุ่มว่า “ข้าน้อยคารวะท่านแม่ทัพ”
“เจ้ามาได้อย่างไร” ฮั่วปู้อี๋ประหลาดใจนิดๆ
ลั่วจี้ทงเลิกม่านรถขึ้นเล็กน้อย สีหน้าหม่นหมองทว่าไม่ขาดความสุภาพ “ข้าน้อยมีถ้อยคำจะกล่าวกับท่านแม่ทัพ เมื่อวานท่านพ่อได้…ข้าน้อยแสนจะประหวั่นลนลาน…” นางไม่ได้พูดต่อ
“ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนฉลาด” ฮั่วปู้อี๋กล่าวอย่างเยือกเย็น “คนฉลาดก็พึงรู้ว่าถัดจากนี้ควรปฏิบัติเช่นไร”
“ห้าปีที่เคียงข้าง…หรือว่าท่านแม่ทัพไม่ควรให้คำอธิบายต่อข้าน้อยแม้สักข้อ?” ลั่วจี้ทงอ้อนวอน
ฮั่วปู้อี๋มองนาง “ข้าเคยเคียงข้างสตรีอีกนางหนึ่ง ร่วมกินอาหาร พูดคุยยิ้มหัว ทะเลาะเบาะแว้ง ใกล้ชิดสนิทแนบ ข้ารู้อันใดเรียกว่า ‘เคียงข้าง’…เจ้ากับข้าไม่เคย ‘เคียงข้าง’ กันมาก่อน”
กลุ่มองครักษ์รอบด้านบ้างยืนบ้างขี่ม้า ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คน ลั่วจี้ทงอับอายสุดแสน น้ำตาแทบจะหยดร่วง เหลียงชิวฉี่ที่อยู่ด้านข้างใบหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนเหลียงชิวเฟยในใจทนไม่ได้อยู่บ้าง
“หากไม่อาจได้รับคำอธิบายจากท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยากจะยอมรับได้จริงๆ” ลั่วจี้ทงเอ่ยเสียงแผ่ว
ฮั่วปู้อี๋ขบคิดชั่วอึดใจ “วันนี้ฝ่าบาททรงเรียกเหล่าขุนนางเข้าประชุมใหญ่ รอข้ากลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
มองส่งบุรุษในดวงใจจากไปอย่างสิ้นไร้เยื่อใย ในใจลั่วจี้ทงให้เจ็บช้ำสุดจะทานทน ต่อเมื่อก้มหน้าลงมองค่อยพบว่าฝ่ามือของตนถูกเล็บจิกจนเลือดออกแล้ว นางไม่ยินดีจะกลับจวน ทั้งไม่ยินดีจะนิ่งคอยอยู่ที่จวนสกุลฮั่ว เพียงตรึกตรองเล็กน้อยก็สั่งผู้บังคับรถม้าแล่นไปยังจวนสกุลเฉิง
สกุลเฉิงแม้เป็นวงศ์ตระกูลที่เพิ่งรุ่งเรืองได้ไม่นาน บ่าวรับใช้กลับมีมารยาทดียิ่ง เมื่อได้รับแจ้งว่าเซียวฮูหยินไม่อยู่ในจวน ลั่วจี้ทงก็ได้สาวใช้นำทางไปยังเรือนพักของเฉิงเซ่าซาง ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ ทั้งที่ตะวันขึ้นสายโด่งแล้ว คุณหนูสกุลเฉิงผู้นี้ก็ยังคงหลับอุตุอยู่
ในใจลั่วจี้ทงขมฝาด คิดว่า…นี่สินะศัตรูหัวใจของข้า ทุกท่าทุกทางล้วนไร้ระเบียบ ฮั่วปู้อี๋กลับศิโรราบหมดทั้งใจ
เฉิงเซ่าซางหงุดหงิดยิ่งเช่นกัน อุตส่าห์ขอลาหยุดทั้งที ไม่นอนจนถึงเวลากินอาหารเที่ยง นับว่าผิดต่อบ้านเมืองชาวประชา ทว่าตอนนี้นางกลับต้องแต่งตัวเรียบร้อยมานั่งตรงข้ามกับลั่วจี้ทงอย่างเกรงอกเกรงใจเสียนี่ คิดแล้วก็ฝืนข่มอาการหาวไว้ “ไม่รู้แม่นางลั่วมาด้วยธุระใด”
ลั่วจี้ทงยกยิ้ม
นิสัยเฉิงเซ่าซางเป็นเยี่ยงนี้นี่ล่ะ เมื่อใดมีรอยร้าว แม้แต่สร้างภาพก็ไม่ยอมทำ นับจากมีเรื่องไม่ลงรอยกันที่ตำหนักหย่งอันในวันนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ยอมเรียกขานตนว่า ‘พี่จี้ทง’ อีก เพียงเรียกขานทื่อๆ ว่า ‘แม่นางลั่ว’
“วันนั้นข้าใช้คำไม่เหมาะสม น้องสาวตัดพ้อว่าข้าละเลยเซวียนไทเฮา ก็สมควรอยู่” นางเอ่ยเสียงเบา “เพียงแต่ขอน้องสาวโปรดอภัยให้ข้าด้วย ตอนนั้นเห็นว่าเรื่องหมั้นหมายกับแม่ทัพฮั่วกำลังจะลุล่วงกลับมีอันสะดุดเสียก่อน ข้า…ข้าจึงร้อนใจไปบ้าง”
เฉิงเซ่าซางกระตุกยกมุมปาก ไม่แสดงความเห็นใดๆ
ปั้นแต่งวาจาให้น่าฟังสักเพียงใดก็ป่วยการ ลั่วจี้ทงกลับมาจวบจนบัดนี้ยังไม่เคยไปเยี่ยมเซวียนไทเฮาเลย ไยต้องมาพูดจอมปลอมที่นี่อีก ทว่านางคร้านจะเปิดโปงสตรีผู้นี้ จึงเพียงเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่เป็นไรๆ ข้าเองก็ร้อนใจอยู่บ้าง ร้อนใจจะไปพักผ่อนต่อ ที่แท้แม่นางลั่วมีธุระใดจึงมาเยือน โปรดรีบบอกมาโดยไว”
ลั่วจี้ทงสีหน้าแข็งค้าง ก่อนจะฟื้นคืนท่าทีตรอมตรมชวนสงสารในทันใด “ข้าชมชอบแม่ทัพฮั่วมาแต่เล็ก เมื่อก่อนข้ากับเขาต่างมีพันธะหมั้นหมาย นึกว่าชาตินี้คงหมดหวังแล้ว ใครจะรู้สวรรค์เมตตา ให้ข้ากับแม่ทัพฮั่วได้หวนมาพบกันที่มณฑลเหลียงโจว น้องเซ่าซางคงคิดภาพไม่ออกแน่ว่าข้าในตอนนั้นยินดีปรีดามากเพียงใด…อ๊ะ”
เฉิงเซ่าซางพลันส่ายนิ้วชี้เป็นเชิงยั่วเย้า แล้วเอ่ยตัดบทอีกฝ่าย “มีสามเรื่อง เรื่องแรก…กุลสตรีตระกูลลือนามที่ชมชอบฮั่วโหวมาแต่เล็ก เจ้าเดาดูว่าในเมืองหลวงแห่งนี้มีอยู่เท่าไร หากเรียกระดมพล จะจัดเข้าค่ายทหารกองหน้าได้เต็มหนึ่งหน่วยหรือไม่”
ลั่วจี้ทงมีสีหน้าไม่พอใจแล้ว
“เรื่องที่สอง เจ้าบอกว่าชมชอบฮั่วโหวมาแต่เล็ก ภายหลังได้พบกันอีกครั้งที่เหลียงโจวเจ้ายินดีไม่คลาย นี่ก็หมายความว่า…ตอนที่เจ้ากับสามีผู้ล่วงลับยังคงเป็นสามีภรรยากัน ในใจเจ้าก็ยังคะนึงหาฮั่วโหวอยู่สินะ?”
“เจ้าพูดจาเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน! ข้ากับสามีผู้ล่วงลับ…ข้ากับสามีผู้ล่วงลับ…” ลั่วจี้ทงทั้งแตกตื่นทั้งโกรธกรุ่น “ข้ากับสามีผู้ล่วงลับให้เกียรติซึ่งกันและกัน สุขสำราญกลมเกลียว เจ้าคาดเดาเองส่งเดชได้อย่างไร!”
“ได้ๆๆ เช่นนั้นก็ถือเสียว่าเจ้าชมชอบฮั่วโหวมาแต่เล็กจวบจนก่อนออกเรือน จากนั้นพอสามีด่วนตายไป ‘ความรู้สึกชมชอบ’ ก็หวนคืนมาในทันที…เป็นอย่างไรเล่า”
ลั่วจี้ทงถูกยั่วโมโหจนทำอะไรไม่ถูก
รอยยิ้มของเฉิงเซ่าซางค่อยๆ เลือนหายไป “เรื่องที่สาม…อุปนิสัยของข้าเจ้าก็รู้อยู่ ทั้งไม่ใจกว้างผ่อนปรน ทั้งไม่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ยิ่งจะไม่ใจอ่อนสงสารผู้ด้อยกว่า ดังนั้นไม่มีวันจะถูกคำพูดเสแสร้งน่าสงสารไม่กี่คำของเจ้าเกลี้ยกล่อมไปได้ เมื่อใดที่ข้ามีอคติกับใครก็คร้านจะกลบเกลื่อนอีก แม่นางลั่ว ตกลงวันนี้เจ้ามาเยือนด้วยธุระใดกันแน่ รีบๆ พูดออกมาเสียเถิด ข้ายังจะไปนอนต่อ”
ลั่วจี้ทงเอ่ยเบาๆ “เจ้าถึงกับไม่กลัวว่าชื่อเสียงอันเลวร้ายที่ข่มเหงดูหมิ่นข้าจะแพร่ออกไป”
“หาเป็นไรไม่ แต่ไรมาชื่อเสียงของข้าก็ไม่ค่อยดี กระนั้นกลับไม่เป็นอุปสรรคที่ข้าจะได้หมั้นหนแล้วหนเล่า อืม คู่หมั้นทุกหนล้วนไม่เลวเสียด้วย แม่นางลั่วไม่ต้องกังวลใจแทนข้าไปหรอก” เฉิงเซ่าซางช่ำชองในกลยุทธ์เอ่ยเยาะตนเอง ตราบที่ตนเองไม่เสียหาย นางก็จะเดินหน้ายั่วโทสะอีกฝ่ายให้ถึงตาย
“ก็ได้ ข้าพูด” ลั่วจี้ทงตบะแก่กล้ายิ่ง ถูกประชดถึงเพียงนี้แล้ว ถึงกับยังปั้นหน้าตรอมตรมสุภาพได้ดุจเดิม “ช่วงไม่กี่วันนี้ท่านพ่อทำงานอยู่นอกเมืองโดยตลอด ยามเย็นของเมื่อวานพลันส่งคนสนิทกลับมาที่บ้าน แจ้งว่าแม่ทัพฮั่วกำนัลคันฉ่องตั้งพื้น* บานหนึ่งให้ท่านพ่อต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งระบุชัดว่าให้เป็นสินเจ้าสาวของข้า ข้าไม่กล้าคิดเลยว่าตอนนั้นท่านพ่อจะอัปยศอดสูถึงขั้นใด!”
เฉิงเซ่าซางอึ้งงันไปเล็กน้อย “บิดาเจ้าถึงกับไม่ทวงถามเหตุผลจากฮั่วโหว พวกเจ้าอยู่ที่แดนพายัพ ขาดก็แต่หมั้นกันไม่ใช่หรือไร”
ลั่วจี้ทงคลี่ยิ้มอันหม่นหมอง “นี่ก็ยังไม่ได้หมั้นมิใช่หรอกหรือ”
“รัชทายาทมิใช่ทรงให้ความสำคัญกับเจ้ามาก?”
“รัชทายาททรงให้ความสำคัญกับแม่ทัพฮั่วยิ่งกว่า”
แม้เฉิงเซ่าซางเห็นลั่วจี้ทงขัดนัยน์ตา แต่ก็รู้สึกว่าสตรีที่ถูกทอดทิ้งในจังหวะสุดท้ายอเนจอนาถอยู่บ้างจริงๆ “เช่นนั้น…เจ้าคิดจะทำอย่างไรเล่า”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” ในดวงตาลั่วจี้ทงมีหยาดน้ำขังคลอ
เฉิงเซ่าซางเกาศีรษะ
บุรุษผู้หนึ่งไม่อยากแต่งกับสตรีนางหนึ่ง เว้นเสียแต่ฝ่ายสตรีจะมีอำนาจมีผลได้ผลเสียเหนือกว่าลิบลับ หาไม่ก็ยากแสนเข็ญที่จะเปลี่ยนใจบุรุษ แม้แต่ท่านลุงฮ่องเต้ยังบังคับฮั่วปู้อี๋ไม่สำเร็จ ชัดเจนว่าใต้เท้าลั่วยิ่งไร้กำลังจะทำอันใดได้ หนำซ้ำเดิมทีระหว่างฮั่วปู้อี๋กับลั่วจี้ทงก็ยังไม่มีสถานะใดๆ ทั้งสิ้น
“นี่ๆ เจ้าอย่ามามองข้า ข้าไม่ต้องการจะติดต่อกับฮั่วปู้อี๋” เฉิงเซ่าซางเห็นลั่วจี้ทงมองมาด้วยความมุ่งหวัง ก็รู้ชัดว่าในใจอีกฝ่ายคิดอันใดอยู่ “ข้าจะไม่ขอความเห็นใจจากฮั่วปู้อี๋แทนเจ้า และจะไม่ขอร้องให้เขามาแต่งกับเจ้าด้วย…นี่เป็นเรื่องของเจ้าเอง”
ลั่วจี้ทงหน้าม่อยคอตก
“อีกอย่าง…หากข้าขอร้องเขา แล้วเขายอมทำตามจริง เช่นนั้นข้าขอให้เขาอย่ามาก่อกวนข้า เจ้าว่าเขาจะยอมฟังหรือไม่ฟังเล่า” เฉิงเซ่าซางยิ่งคิดยิ่งกระสับกระส่าย
ลั่วจี้ทงแจ้งใจว่าถ้อยคำนี้ไม่ผิด จิตใจจึงยิ่งว้าวุ่น
ตอนนี้เองอาเหมยเดินเข้ามาในห้อง นำสุราผลไม้ที่ทำใหม่มาให้คนทั้งสอง ก่อนจากเห็นกระดิ่งลมซึ่งแขวนสูงอยู่ใต้ชายคาระเบียงไม่หมุนให้เกิดเสียงแล้วจึงอยากปลดลงมาเพื่อเอาไปซ่อม เฉิงเซ่าซางเห็นส่วนสูงของอีกฝ่ายยังไม่เพียงพอ เขย่งปลายเท้าก็ยังคงเอื้อมไม่ถึง นางจึงคลี่ยิ้มลุกขึ้นไปช่วย
ยามนี้ล่วงถึงเดือนสี่ที่หอมจรุงด้วยกลิ่นบุปผาพฤกษา และมีสภาพอากาศอันอบอุ่น เฉิงเซ่าซางจึงสวมชุดลำลองกลางเก่ากลางใหม่ที่อ่อนนุ่มหลวมยาวไร้ซับในตัวหนึ่ง
ทีแรกนางยกแขนขวาขึ้น พาให้แขนเสื้อที่หลวมกว้างเลื่อนลงมาตามเรียวแขนอันขาวเนียน จวบจนเกือบถึงต้นแขนส่วนที่ใกล้หัวไหล่ นางพลันกดแขนเสื้อไว้โดยจิตใต้สำนึก จากนั้นลดแขนขวาลง เปลี่ยนเป็นใช้แขนซ้ายเอื้อมปลดกระดิ่งลมนั้นแทน
หัวใจของลั่วจี้ทงเต้นตุบอย่างรุนแรง
เฉิงเซ่าซางส่งกระดิ่งลมให้อาเหมย แย้มยิ้มพลางหมุนตัวเดินกลับมา เห็นสีหน้าลั่วจี้ทงแปลกชอบกลจึงเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไรไป”
“ให้ข้าดูแขนของเจ้าหน่อย” ลั่วจี้ทงเอ่ยตาค้าง
“เจ้าว่าอะไรนะ” เฉิงเซ่าซางกังขา
“ให้ข้าดูแขนขวาของเจ้าหน่อย” ลั่วจี้ทงยืนพรวดขึ้น
เฉิงเซ่าซางหดไหล่ขวาไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร…เอาเถิด วันนี้สิ่งที่ควรพูดล้วนพูดจบแล้ว แม่นางลั่วยังคงเร่งกลับไปจะดีกว่า ไปดีๆ นะ ข้าไม่ส่ง”
สีหน้าของลั่วจี้ทงถึงกับแฝงความบ้าบิ่นอยู่หลายส่วน นางเห็นเฉิงเซ่าซางจะร้องเรียกสาวใช้ก็ปรี่ตรงมาบิดตรึงแขนของอีกฝ่าย หมุนตัวแล้วงอเข่ากระทุ้งใส่หนึ่งที เฉิงเซ่าซางเจ็บจนเสียงอู้อี้เลยทีเดียว…นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างอันธพาลหญิงที่ไม่เข้าขั้นกับสตรีชั้นสูงที่เพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊อย่างแท้จริง
ลั่วจี้ทงถลกแขนเสื้อข้างขวาของเฉิงเซ่าซางขึ้นในคราวเดียว เพ่งตามองไปก็เห็นรอยฟันเป็นระเบียบสองแนวปรากฏบนแขนกลมกลึงเนียนละเอียดสีขาวหิมะ รอยฟันทิ้งแผลเป็นไว้เนิ่นนานแล้ว จึงเหลือเพียงสีเหลืองอ่อนจางๆ วงหนึ่ง
นางฉุกคิดได้ทันใด ขณะอยู่เมืองชายแดนพายัพ ฮั่วปู้อี๋มักทำท่าแปลกๆ อย่างหนึ่งคือลูบต้นแขนขวาของเขาเป็นประจำ จมอยู่ในภวังค์ความคิดเป็นนานไม่พูดจา ทว่าเผยสีหน้าอันละมุนละไมปนหมองเศร้าออกมารางๆ
“ดีๆๆ เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ลั่วจี้ทงแค่นหัวเราะอย่างระทมทุกข์ “ตอนนี้…ข้าเข้าใจทั้งหมดเสียที!” นางรู้สึกว่าพูดกับเฉิงเซ่าซางต่อไปก็ไม่มีความหมายอันใดอีก จึงคลายมือออก โงนเงนถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไป
เฉิงเซ่าซางนวดคลึงแขน คลานขึ้นจากพื้น แล้วด่ากราดใส่เงาหลังของลั่วจี้ทง “เจ้ามันป่วย ต้องกินยาแล้ว!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.