X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 162

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 162

เยวี่ยฮองเฮาจัดเลี้ยงมีบรรยากาศกลมเกลียวเสมอมา ผู้ที่ไม่กลมเกลียวกันสักเพียงใดเมื่อมาถึงที่ของนางก็จะต้องกลมเกลียวกัน ต่อให้ในใจไม่กลมเกลียว บนใบหน้าก็ต้องแสร้งทำเป็นกลมเกลียวเอาไว้

ผู้คนในโถงทำเสมือนมองไม่เห็นองค์หญิงห้าจากไป ขณะลุกขึ้นจากท่าหมอบคำนับ แต่ละคนล้วนประดับยิ้มละไมบนใบหน้า ท่าทีสนิทชิดเชื้อเปี่ยมน้ำใจ ในจำนวนนี้ผู้ที่ยิ้มแย้มเบิกบานที่สุดต้องนับชวีหลิงจวิน ครั้นมองเห็นเฉิงเซ่าซาง ชวีหลิงจวินยังขยิบตาให้อย่างซุกซน

เยวี่ยฮองเฮาตบๆ หลังมือของชวีหลิงจวิน ชวีหลิงจวินก็เดินชดช้อยลงไปจับจูงเฉิงเซ่าซางมานั่งร่วมโต๊ะกับนาง ส่วนใหญ่เหล่าสตรีในที่นี้รู้จักชวีหลิงจวินมาก่อน หลายปีผ่านไปได้มาพบกันอีกครา ต่างรู้สึกตื่นตกใจยิ่ง

ผ่านร้อนผ่านหนาวมาห้าหกปี รูปโฉมของชวีหลิงจวินมิเพียงไร้ความเปลี่ยนแปลงใดๆ สีหน้ายิ่งแดงเปล่งปลั่งกว่ากาลก่อน ยามผลิยิ้มผิวพรรณทอประกาย แววตาเจิดจ้ามีชีวิตชีวา ถึงกับกลบราศีของเหล่าสตรีในโถงจนสิ้น

ฮูหยินของเยวี่ยโหวรองยิ้มเย้าก่อนใคร “ข้าแต่สวรรค์ หลิงจวินนี่เรียกว่าถอดรูปเปลี่ยนกระดูกมาชัดๆ หากอยู่กลางถนนข้าคงไม่กล้าทักเจ้าแล้ว ผู้อื่นล้วนแก่ตัวลงไปทุกปี มีแต่เจ้ายิ่งนานวันยิ่งอ่อนเยาว์ นี่ไปกินยาเซียนอันใดมาหนอ”

ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อจงใจขยิบตา “จะกินยาเซียนอันใดกันเล่า แต่งได้สามีที่มีรัก ได้ผลดียิ่งกว่ายาเซียนใดๆ ทั้งหมด! เฮ้อ เห็นชัดว่าสตรีเรานี้ต้องแต่งได้สามีดีจึงจะแก่ตัวช้า”

ชวีหลิงจวินเม้มปากหัวเราะเบาๆ ถึงกับยอมรับโดยนัย

ฮูหยินของเยวี่ยโหวรองดุชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่ออย่างยิ้มแย้ม “เจ้าบ่ายเบี่ยงเก่งแท้ เห็นอยู่ว่าตนเองเกิดมาดูแก่กว่าวัย อายุยี่สิบดูคล้ายสามสิบ อายุสามสิบดูคล้ายมารดาชรา ตอนนี้กลับปัดต้นเหตุไปบนศีรษะของซื่อจื่อ กลายเป็นเขาที่ไม่ดีทั้งหมดสินะ!”

ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อหัวเราะหึๆ ไม่โกรธแต่อย่างใด นับแต่ชายาผู้เฒ่าแม่สามีของนางถูกปลดจากตำแหน่งชายาไปอยู่ที่เรือนรับรอง ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่านางใช้ชีวิตสบายใจมากเพียงใด ยามนี้นางจึงอารมณ์ดีเสริมบรรยากาศให้งานเลี้ยงของเยวี่ยฮองเฮา ส่งผลให้เหล่าสตรีพากันหัวเราะร่วนตาม

ส่วนองค์หญิงรองนั้นตื่นตกใจอีกเรื่องหนึ่ง แลเห็นช่วงท้องของชวีหลิงจวินนูนออกมาก็อุทานขึ้นว่า “หลิงจวิน เจ้าตั้งครรภ์อยู่ ไยต้องรุดมาเมืองหลวง ตลอดทางโคลงเคลงเหน็ดเหนื่อย…”

“ห้าหกเดือนแล้วเพคะ ปลอดภัยยิ่ง” ชวีหลิงจวินยิ้มกล่าว “ตอนที่อุ้มท้องก่อนหน้า หม่อมฉันยังติดตามใต้เท้าผู้ว่าการไปชนบท ควบคุมการขุดบ่อน้ำเลย อีกอย่างเมืองอิ่งชวนก็ใกล้เมืองหลวง เดินทางเที่ยวหนึ่งเพียงสิบกว่าวัน หากจะตรวจสอบเรื่องรังวัดที่ดิน หนนี้พวกหม่อมฉันก็น่าจะเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงเมืองหลวง” ก็เพราะอยู่ใกล้เมืองหลวงนี่เอง คำสั่งรังวัดที่ดินผู้ว่าการเหลียงจึงเริ่มทำเป็นมณฑลแรกๆ

“ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันก็คิดถึงฮองเฮาด้วย เช่นนี้เอง…พอมาถึงเมืองหลวงจึงมิได้ไปพบใคร รุดตรงมาประตูวังทันที” ชวีหลิงจวินเอ่ยเสริมปนยิ้ม

เฉิงเซ่าซางมองช่วงท้องของอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล “ความจริงฮูหยินคลอดบุตรเสร็จค่อยมาก็ได้ ฮองเฮาทรงหนีหายไปไม่ได้เสียหน่อย”

วาจานี้พอกล่าวออกมา บรรดาฮูหยินก็พากันยิ้มขัน

องค์หญิงรองยิ้มเอ่ย “เพียงฟังเท่านี้ก็รู้ว่าเป็นคำพูดของแม่นางที่ยังไม่ออกเรือน”

ฮูหยินผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเซวียนโหวฮูหยินป้องปากหัวเราะเบาๆ “รอจนคลอดบุตรเสร็จ ก็ไม่ใช่ช่วงที่ผู้ว่าการเหลียงกลับเมืองหลวงมารายงานตามหน้าที่แล้วน่ะสิ”

เฉิงเซ่าซางเพิ่งจะกระจ่างแจ้ง…ผู้อื่นเขาอยากเดินทางพร้อมกันสามีภรรยา

ชวีหลิงจวินกระแอมเบาๆ สองหนเป็นการกลบเกลื่อน จากนั้นชูจอกคารวะเยวี่ยฮองเฮา ขอบคุณที่อีกฝ่ายห่วงใยดูแลนางมาหลายปี จอกที่สองนางคารวะเฉิงเซ่าซาง ขอบคุณที่ตอนนั้นล้างมลทินแทนนางโดยไม่หวั่นเกรงความเหนื่อยยาก

องค์หญิงสามปากว่างเป็นไม่ได้ “…เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณคุณชายสิบเอ็ดด้วยสิ อืม น่าเสียดายตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่”

เฉิงเซ่าซางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน รีบหันเหประเด็นไปสนทนาสัพเพเหระกับชวีหลิงจวินแทน “นับรวมท้องนี้ ท่านกับผู้ว่าการเหลียงมีบุตรด้วยกันสองคนแล้วหรือนี่”

ชวีหลิงจวินขวยเขิน ตอบเสียงเบา “ปีแรกที่แต่งงานคลอดบุตรชายไปหนึ่งคน สองปีก่อนได้บุตรสาวอีกหนึ่งคน”

“ห้าปีอุ้มลูกสาม ผู้ว่าการเหลียงเก่งกาจไม่เบาทีเดียว” เฉิงเซ่าซางสะกดอารมณ์ยั่วเย้าไว้ไม่อยู่

ชวีหลิงจวินสุดจะข่มความสะเทิ้นอาย รีบแก้ต่างสุดกำลัง “ความจริงเฉพาะท้องแรกที่พวกเราสามีภรรยาตั้งใจจะมี ส่วนสองท้องหลังล้วนไม่ทันระวัง…ใต้เท้าผู้ว่าการบอกว่ารอจนคลอดท้องนี้แล้วจะให้ข้าบำรุงดีๆ…”

เฉิงเซ่าซางทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งที่จริงตนฟังรู้เรื่องเสียแล้ว ใบหูจึงร้อนวูบวาบอยู่บ้าง…อายุตั้งปูนนี้ เอะอะก็ยัง ไม่ทันระวัง อีก จำเป็นจะต้องดุเดือดถี่รัวเพียงนี้เชียวหรือ ทำเหมือนห้องแถวเก่าติดไฟไปได้

ดื่มสุรากันไปสักพัก องค์หญิงรองก็ถือจอกสุราเดินตรงมา ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “หลิงจวิน ผู้ว่าการเหลียงดีกับเจ้าหรือไม่”

เฉิงเซ่าซางพลันอยากแสดง ‘ความเห็นอันสูงส่ง’ ว่า…ผู้ว่าการเหลียงยิ่งมีอายุยิ่งมีกำลังวังชา แต่เห็นชัดว่าชวีหลิงจวินเข้าใจคำถามขององค์หญิงรอง รู้ว่ามิใช่เรื่องตื้นเขินเช่นนั้น จึงขบคิดครู่หนึ่งก่อนตอบจากใจจริง “ขอทูลถ้อยคำอันไม่สำรวมสักประโยค นับแต่แต่งงานกับใต้เท้าผู้ว่าการ หม่อมฉันถึงกับรู้สึกว่ายี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ล้วนมีชีวิตอยู่เสียเปล่า”

เฉิงเซ่าซางถูกคำสารภาพความในใจอันร้อนแรงของอีกฝ่ายทำให้สะดุ้งโหยง…บรรยายถึงขั้นนี้เกินจริงไปหรือไม่

ตั้งแต่ก่อนแต่งงานชวีหลิงจวินก็เป็นสหายกับองค์หญิงรอง ยามนี้จึงไม่มัวพูดเลี่ยง “ไม่ขอปิดบังองค์หญิง เดิมหม่อมฉันทำเพื่อวงศ์ตระกูลกับบุตรธิดาจึงได้ตอบรับแต่งงานใหม่ ทว่าห้าหกปีมานี้หม่อมฉันกลับสุขใจยิ่งกว่าช่วงเวลาใดในอดีต ช่วงที่อยู่กับตงไห่อ๋อง หม่อมฉันรู้ว่าเขาหมั้นหมายแต่เล็ก ในใจหม่อมฉันจึงประหวั่นเรื่อยมา ต่อมาแต่งกับเหลียงซั่ง นั่นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันหมายตาคู่หมั้นของผู้อื่น ดังนั้นสวรรค์จึงลงโทษหม่อมฉันให้มีชีวิตสิบปีแบบอยู่มิสู้ตาย เดิมหม่อมฉันนึกว่าจะต้องเป็นเยี่ยงนี้ไปทั้งชาติแล้ว ใครจะรู้บัดนี้หม่อมฉันค่อยได้ลิ้มรสชาติของชีวิตคู่ที่มีความรู้สึกลึกซึ้งจริงใจต่อกัน ค่อยรู้สึกว่าสองเท้าหยั่งพื้นได้มั่นคง หัวใจทั้งดวงมีที่ให้ฝากฝัง มิใช่ลอยคว้างไปมาไร้ที่พักพิงอีก”

นางพูดไปก็สะเทือนใจ พาให้องค์หญิงรองขอบตาเปียกชื้น ครั้นองค์หญิงรองกลับมายังที่นั่งของตน เห็นองค์หญิงสามเริ่มฉีกหมูแผ่นจานที่สามแล้วก็ตำหนิน้องสาวเบาๆ “เจ้ากินให้น้อยๆ หน่อยเถิด อวบอิ่มเกินพอดีจะกลายเป็นแย่!”

องค์หญิงสามตอบอย่างไม่ยี่หระ “กลัวอันใดเล่า ต่อให้ข้ากลายเป็นครุใส่น้ำที่อ้วนฉุ ราชบุตรเขยก็ไม่มีทางจะเลิกกับข้า อีกอย่างพักนี้ท่านไม่เห็นราชบุตรเขยของข้าหรือ อวบอิ่มกว่าข้าเสียอีกนะ หนก่อนเสด็จพ่อยังทรงล้อว่าพวกเราสองคนนับวันยิ่งเป็นคู่ชีวิตที่หน้าตาคล้ายกัน”

องค์หญิงรองลำคอตีบตัน ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินหลิงจวินเล่าว่านางกับผู้ว่าการเหลียงเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว ทำให้ผู้อื่นนึกอิจฉา นี่ไม่สะกิดใจเจ้าสักนิดเลยหรือไร” นางหวังว่าน้องสาวจะไม่เอาแต่หมกมุ่นเสพสุขด้านวัตถุ ชั่วดีอย่างไรก็ขวนขวายด้านจิตใจบ้าง

มุมปากองค์หญิงสามแต้มรอยประชด “สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว เรื่องเช่นนี้ได้แต่รอวาสนา ไม่อาจแข็งขืนเรียกร้อง พี่หญิงรอง ท่านโชคดี ผู้อื่นกลับไม่แน่ อย่างชวีหลิงจวินทนทุกข์สิบปีค่อยแลกได้มาซึ่งวันเวลาดีๆ ในปัจจุบัน อย่างเสด็จแม่ลดตัวเป็นภรรยารองมาครึ่งชีวิต หากไม่ใช่ตงไห่อ๋องไร้ความสามารถ ส่วนเจ้าสามรู้จักรักดี ก็ไม่รู้ว่าจะเวียนมาถึงวันนี้ที่ได้ลืมตาอ้าปากหรือไม่”

“เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล เซวียนไทเฮากับเสด็จพ่อทรงไม่เคยทำให้เสด็จแม่เจ็บช้ำ” องค์หญิงรองโต้แย้ง

“หึๆ ก็จริง เสด็จแม่เป็นฮองเฮาหรือไม่ล้วนมีเกียรติไม่ต่างกัน” องค์หญิงสามหลุดหัวเราะ “สรุปคือ…ข้าผู้น้องไม่มีปณิธานในด้านนี้ ใช้ชีวิตสงบมีอิสระก็เพียงพอแล้ว”

นางเหลือบมองฝั่งตรงข้ามปราดหนึ่ง “อย่างเฉิงเซ่าซางถึงจะดูร่าเริง หลายปีมานี้ก็ทนทุกข์ไม่ใช่น้อย ต่อไปยังไม่รู้จะเป็นเยี่ยงไรเลย ตอนนี้ข้ามีสุรา มีเนื้อสัตว์ มีเรื่องสนุก ทั้งยังมีบ่าวไพร่กับสุนัขล่าเนื้อให้เรียกใช้ มีความเป็นอยู่ชั้นยอดเหนือผู้คน ไยต้องขัดพระทัยเสด็จพ่อ รนหาทุกข์ใส่ตัวเล่า อย่างน้องหญิงห้าเรียกว่ามองได้ไม่ชัด มนุษย์ปุถุชน…ก็ควรจะยอมรับชะตา ใช้ชีวิตไปแบบมนุษย์ปุถุชนสิ”

องค์หญิงรองจนใจ ในเมื่อพูดคุยกับน้องหญิงสามของตนไม่ถูกคอ นางก็มาสนทนากับชวีหลิงจวินต่อ เฉิงเซ่าซางเห็นเช่นนั้นจึงฉวยจังหวะอ้างว่าไปผลัดผ้า แล้วออกจากโถงจัดเลี้ยงไป

นางชำนาญเส้นทางในตำหนักฉางชิวดี ต่อให้บัดนี้ตำหนักเปลี่ยนเจ้าของ แต่เพราะนางมาถวายรายงานต่อเยวี่ยฮองเฮาบ่อยครั้ง นางกำนัลขันทีส่วนใหญ่จึงรู้จักนาง ครั้นผลัดผ้าแต่งตัวเสร็จ เฉิงเซ่าซางไม่อยากรีบกลับเข้างานเลี้ยง จึงเดินเลียบทางระเบียงไปถึงลานท้ายตำหนักปีก แหงนหน้าชมต้นบุปผาต้นหนึ่งซึ่งออกดอกงามสะพรั่งดั่งผ้าดิ้นแพร

ไม่รู้ยืนอยู่เนิ่นนานเท่าใด เฉิงเซ่าซางพรูลมหายใจที่มีกลิ่นสุราออกมา กระนั้นช่องอกก็ยังคงอึดอัด นางไม่ชอบงานเลี้ยงในวันนี้ ไม่ชอบคำหยอกเย้าสรวลเสของบรรดาฮูหยินสูงศักดิ์ ไม่ชอบรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขพึงพอใจของชวีหลิงจวิน แม้กระทั่งรสสุราก็ยังเปรี้ยวเฝื่อนแสบคอ

เฮ้อ คนเราหากใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนาจะดีสักเพียงใด ยามที่ไม่อยากยิ้มประจบก็ทำหน้าบึ้ง ยามที่ไม่อยากพบปะแขกก็ปฏิเสธในคำเดียว ยามที่ไม่อยากเศร้าเสียใจก็ควักหัวใจออกมาล้างๆ แล้วใส่กลับเข้าไปใช้ต่อ

เนื่องจากงานเลี้ยงที่ตำหนักด้านหน้ากำลังครึกครื้น เหล่านางกำนัลวุ่นอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้ ลานแห่งนี้จึงเงียบเชียบไร้ผู้คน สงบเสียจนได้ยินกระทั่งเสียงลมรวยริน ทว่าอาจเป็นอาการหูแว่วไปเองของเฉิงเซ่าซางผู้เมาสุรานิดๆ ก็เป็นได้

“เซ่าซาง…”

มีสุ้มเสียงดังมาจากที่ห่างไกล คล้ายมีคนกำลังเรียกนางอยู่ เฉิงเซ่าซางคิดว่าตนอาจจะหูแว่ว

“เซ่าซาง!” เสียงบุรุษดังมาอีกคราโดยไม่อนุญาตให้สงสัย นางหมุนตัวไปในอาการทึ่มทื่อ

ฮั่วปู้อี๋ใช้มือข้างหนึ่งยันเสาระเบียง คลี่ยิ้มพร้อมคิ้วตาอันหมดจด “ที่แท้เจ้าก็มาอยู่ตรงนี้” วันนี้เขาสวมชุดแพรสีขาวสะอาดตา ภายใต้แสงตะวันสีทองอ่อนมีเพียงสิ่งเดียวที่เรืองรองนิดๆ ก็คือหยกขาวฝังเส้นใยเงินเป็นลายสัตว์ที่กลัดตรงชายแขนเสื้อเหนือข้อมืออันทรงพลัง

เฉิงเซ่าซางพลันไม่อยากเสแสร้งอีกต่อไป ตอนนี้นางไม่มีทางจะอยู่ร่วมกับฮั่วปู้อี๋แบบสหายเก่าได้เลย ไม่ติดต่อกันจนวันตายคงจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ดังนั้นพอคารวะอย่างกระชับเรียบง่ายเสร็จนางก็สะบัดหน้าออกเดินในทันที หวังว่าคนผู้นี้จะรู้กาลเทศะสักหน่อย

ฮั่วปู้อี๋กดมือบนราวกั้นสีชาดเพียงเบาๆ ก็เหินร่างข้ามทางระเบียงลงไปราวเกาทัณฑ์ที่ผละจากสาย ไล่ทันหญิงสาวในสองสามก้าว ยึดกุมข้อมือเล็กไว้แล้วฉวยจังหวะพลิกหงาย พร้อมกันนั้นมืออีกข้างของเขาก็เลิกแขนเสื้อนางขึ้นไปจนถึงต้นแขน บนนั้นเป็นเช่นที่ลั่วจี้ทงว่าไว้ มีรอยฟันวงหนึ่งซึ่งจางมากๆ แผลนั้นใกล้จะหายสนิทแล้ว…สีหน้าของเขาขรึมลงทันตา

เฉิงเซ่าซางตระหนกจนตัวโยน ทางหนึ่งเพียรแกะฝ่ามือใหญ่ออก อีกทางหนึ่งพยายามรับมืออย่างสุขุมจริงจัง “ท่านคิดจะทำอันใด!”

หญิงสาวใต้ต้นบุปผาแลดูขาวซีดบอบบาง ทว่าบนพวงแก้มอันเนียนนุ่มถูกระบายด้วยสีแดงจากฤทธิ์สุราอุ่น ราวทาชาดเปื้อนบนหยกขาวที่มีเนื้อละเอียดกึ่งโปร่งใส กลีบบุปผาสีขาวนวลปลิดปลิวลงมา หล่นบนเรือนผมสีดำขลับของนางเล็กน้อย ฮั่วปู้อี๋ปล่อยแขนเสื้อของนางลง พิศมองนางตาไม่กะพริบ ฝ่ามือข้างที่ยึดกุมข้อมือของนางอยู่ยังคงไม่ไหวติง

“ข้ามีถ้อยคำจะพูดกับเจ้า” เขากล่าว

เฉิงเซ่าซางฉุนกึก “วันหลังค่อยมาพูดกัน ท่านจงปล่อยมือก่อน! อ๊ะ! ท่านปล่อยมือนะ!” ฮั่วปู้อี๋มิเพียงไม่ปล่อยข้อมือนาง ยังถือโอกาสโอบเอวบางของนางไว้ ความแรงของพละกำลังนั้นรัดรึงจนนางแทบหมดสติ

“จะพูดตอนนี้” น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น

เฉิงเซ่าซางจำต้องรอมชอม “เช่นนั้นก็ไม่อาจพูดตรงนี้ หาที่อื่นเถิด” เกียรติภูมิของนางแม้ย่ำแย่ยิ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

ฮั่วปู้อี๋เองก็คุ้นเคยกับตำหนักฉางชิว ได้ยินเช่นนั้นจึงฉุดพานางเดินมุ่งไปทางอุทยานภายในตำหนัก เฉิงเซ่าซางรีบยับยั้ง “อย่าๆๆ วันนี้ทิวทัศน์วสันต์กำลังงาม หลังกินเลี้ยงฮูหยินทั้งหลายจะต้องไปเดินเล่นคลายฤทธิ์สุราที่อุทยานแน่…ไปตำหนักปีกดีกว่า ที่นั่นมีห้องที่ลับตาคนหลายห้อง…”

คิ้วคมของฮั่วปู้อี๋เลิกขึ้น แต่ก็ยังคงทำตามคำของนาง

ครั้นเลี้ยวไปตามทางระเบียงสองสามหน หนุ่มสาวทั้งสองก็มาถึงห้องที่ปลอดคนห้องหนึ่ง ฮั่วปู้อี๋สาวเท้าฉับไวปานดาวตก ผิดกับเฉิงเซ่าซางที่เดินตุปัดตุเป๋ หลายครั้งที่เขาอยากจะอุ้มนาง ล้วนถูกนางปฏิเสธอย่างหนักแน่น

พอเข้ามาในห้อง เฉิงเซ่าซางก็ออกแรงผลักไสชายหนุ่ม แล้วเดินห่างไปหลายก้าว “เอาล่ะ ท่านมีอันใดก็พูดมาสิ”

ฮั่วปู้อี๋ยืนอยู่ตรงประตู หันหลังพลิกมือไปปิดประตูฉลุลายวิจิตรที่กรุด้วยกระดาษหนังแพะใหม่เอี่ยม ก่อนเดินเนิบช้ามาหานางดุจเทพเจ้าผู้มีสีหน้าอึมครึม ชักพาให้นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างห้ามไม่อยู่

ฮั่วปู้อี๋เลิกแขนเสื้อข้างขวาของเขาขึ้น บนนั้นมีรอยฟันอันเล็กประณีตสีชมพูคล้ำอยู่หนึ่งวง “เหตุใดรอยแผลของเจ้าตื้นเช่นนั้น เมื่อแรกรอยที่ข้ากัดควรจะลึกกว่าที่เจ้ากัดสิ”

เฉิงเซ่าซางใช้มือซ้ายลูบต้นแขนขวาของตนเองช้าๆ กดตรงรอยแผลนั้นแล้วตอบเสียงเรียบเฉย “หลายปีมานี้ข้าไปหาหมอหลวงที่เก่งการรักษาแผลภายนอกมากที่สุด ใช้ยาขี้ผึ้งขจัดแผลเป็นที่ดีที่สุด ก็เพื่อจะลบร่องรอยนี้ให้หมดสิ้น ตอนนี้เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น รอจนยามที่ข้าแต่งงาน ร่องรอยนี้ก็จะเลือนหายจนเกลี้ยงเกลา!”

หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นอย่างทระนง แววตาไร้น้ำใจ ฮั่วปู้อี๋พลันเคืองแค้นขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่ต่างจากคนป่วยอาการเพียบหนัก หมดทางเยียวยาแล้ว นางกลับหมายจะปลีกตัวโดยไม่สึกหรอ รอจนรอยแผลหายก็จะแต่งกับบุรุษอื่นอย่างสบายอกสบายใจ ถือสิทธิ์อันใดกัน!

เขาฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก ขั้นตอนการสยบคู่ต่อสู้เขาจำได้ขึ้นใจตั้งแต่แรก ต่อให้นั่งอยู่บนอานม้าในอาการง่วงเพลียหรือถึงขั้นม่อยหลับ ทันทีที่มือสัมผัสถูก ร่างกายก็จะตอบสนองไปเองโดยธรรมชาติ สัญชาตญาณชนิดนี้ช่วยให้เขาพิชิตศัตรูคว้าชัยในยามที่อ่อนระโหยโรยแรงมาได้หลายต่อหลายครั้ง ทว่ายามนี้เขากลับไม่คำนึงถึงสิ่งใด เดินปราดก้าวใหญ่ตรงมา พับแขนหญิงสาวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง กึ่งกดตรึงนางไว้ เลิกแขนเสื้อนางขึ้นแล้วกัดลงไปทันที

เฉิงเซ่าซางถูกกดให้นั่งอยู่บนพื้นกระดานอันเงาวับ นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งค่อยได้สติ ราวกับเห็นเทพเจ้าผู้มีคิ้วตาการุณย์พลันลบสิ่งปลอมแปลงออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมารร้าย

ฮั่วปู้อี๋อ่อนโยนกับนางมากเสมอมา แม้แต่กัดแขนสาบานคราวก่อนก็หารือเสียงนุ่มนวลแล้วค่อยลงคมเขี้ยว ไฉนไปด่านชายแดนมาห้าปีถึงได้ถดถอยจากคนยุคศักดินาอันก้าวหน้ามีอารยะ กลับไปเป็นชนเผ่ายุคดึกดำบรรพ์ที่กินเนื้อดิบๆ ทั้งขนทั้งเลือดได้เล่า!

เมื่อผิวหนังปริ ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นมาจากต้นแขน แขนขวาของเฉิงเซ่าซางถูกยึดกุมไว้ไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่ใช้มือซ้ายตอบโต้ เริ่มจากขยุ้มเรือนผมดกดำแข็งแรงของเขาไว้แน่น จากนั้นกระตุกไปด้านหลัง นางนึกว่าออกแรงถึงขั้นนี้ อย่างน้อยหนังศีรษะของเขาก็ต้องเจ็บ ทว่าฮั่วปู้อี๋มีสีหน้าเป็นปกติ แนวฟันออกแรงเช่นเดิม เพียงใช้แววตาอันเยือกเย็นจ้องนางอย่างดุดัน

“ท่านปล่อยมือนะ ปล่อยมือ! ปล่อยข้าสิ เจ็บๆๆ…ท่านหยุดปากก่อน!” ซี่ฟันอันคมกริบกรีดผ่านผิวชั้นนอกลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อแล้ว เฉิงเซ่าซางเจ็บปวดสาหัส ทุบตีเปะปะไปบนบ่าไหล่กับท่อนแขนของเขา ยามที่คั่งแค้นสุดขีดยังตะกุยใบหน้าอันสมบูรณ์ไร้ที่ติของเขาด้วย ทว่าผลกลับกลายเป็นเล็บที่นางบรรจงบำรุงระหว่างใช้ชีวิตในรั้ววังล้วนฉีกจนสิ้น ปลายนิ้วของนางถึงกับมีเลือดซึมออกมา

ในที่สุดฮั่วปู้อี๋ก็คลายคมเขี้ยว เฉิงเซ่าซางร้องไห้พลางชักแขนของตนคืนมา เห็นรอยแผลซึ่งเดิมใกล้จะเลือนหายแล้วปรากฏสีเลือดสดใหม่หนึ่งวงทับย้ำลงไปดังเก่า รอยฟันคมชัด เนื้อสีเลือดชวนพรั่นพรึง…ชัดเจนยิ่ง ต่อให้หมอเทวดาจุติลงมา นางก็อย่าได้ฝันว่ารอยแผลนี้จะอันตรธานไร้ร่องรอยภายในไม่กี่เดือน ความยากลำบากหลายปีของนางล้วนสูญเปล่าในวันเดียวแล้ว

ฮั่วปู้อี๋คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น พร้อมกับคลำหาบางสิ่งจากในถุงแพรที่ข้างเอวของเขา

เฉิงเซ่าซางมองแขนที่เปรอะไปด้วยแต้มเลือดก็ให้โกรธเกรี้ยวจนสุดจะควบคุมตนเอง นางเคยต่อยตีบนถนนมาก่อน ไม่ใช่แม่นางคนซื่อที่มีจรรยางามอันใด เสียเปรียบครั้งใหญ่เยี่ยงนี้มีหรือจะให้แล้วกันไปได้ นางจึงโถมตรงมาทุบตีชายหนุ่มในทันที

ข้างแก้มกับปลายคางของฮั่วปู้อี๋รับไปสองสามหน เขาล้วนไม่เจ็บไม่คันราวไม่มีอันใดเกิดขึ้น ทว่าตอนนี้เขาจำขั้นตอนการสยบคู่ต่อสู้ได้แล้ว

ในขณะที่มือขวาฉวยขวดหยกขาวใบเล็กหนึ่งใบ แขนซ้ายก็งอนิดๆ หนีบมือขวาของหญิงสาวไว้ได้อย่างแม่นยำ เพียงเขาพลิกมือก็กดตรึงนางเข้าสู่อ้อมอก แผ่นหลังอันแบบบางแนบชิดอกของเขาพอดิบพอดี มือขวาที่กุมขวดหยกขาวอยู่ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวแขนเสื้อขวาของนางขึ้น จนกระทั่งเผยบาดแผลชุ่มเลือด จึงกัดแขนเสื้อนางไว้ไม่ให้มันเลื่อนหล่น นิ้วหัวแม่มือของเขาดันเปิดจุกขวดหยกขาวออก แล้วโรยผงยาในนั้นลงบนรอยกัดให้สม่ำเสมอ

เฉิงเซ่าซางร้องโอดโอยเสียงรันทด ราวสัตว์ตัวน้อยที่ถูกถลกหนังก็มิปาน ปากแผลตรงที่ถูกผงยาปวดแสบปวดร้อนยิ่ง ถึงนางจะรู้ว่าผงยานี้ใช้ป้องกันไม่ให้รอยกัดอักเสบเน่าเปื่อย แต่ว่าใส่ยาหนก่อนเขากล่อมนางเย้านางอย่างอ่อนโยนถึงเพียงนั้น แววตารักใคร่เอ็นดู ถนอมหวงแหน ดุจพี่ชายดุจบิดา ตอนนี้ไฉนทำกับนางเยี่ยงนี้เล่า!

นางถูกกักอยู่ในอ้อมอกที่ไม่ต่างจากบ่วงเหล็ก เจ็บจนร้องครางดิ้นรนอย่างขาดสติ ทว่าแผงอกแข็งแกร่ง อ้อมแขนกำยำ ไม่ว่านางจะใช้มือซ้ายทุบตีอย่างไรล้วนป่วยการเปล่า ขณะที่เดือดดาลหนัก นางพบว่ามือขวาของตนยังถูกมือซ้ายของเขากุมไว้อย่างแน่นหนา จึงกัดใส่หลังมือของเขาด้วยความโกรธเกรี้ยว

ไรฟันของนางฉาบด้วยเลือดสายแล้วสายเล่าที่ซึมออกมา ผิวขาวสะอาดตาบนหลังมือของเขาปริเป็นแผลอย่างรวดเร็ว กระนั้นเขาคล้ายไม่รู้สึกรู้สา ดุจคุณชายรูปงามที่กำลังเขี่ยไส้เทียนให้นางในดวงใจ สีหน้าจดจ่อชวนหวั่นไหว บรรจงโรยผงยาทุกจุดที่มีเลือดออกบนแขนนางอย่างละเอียดลออ

เฉิงเซ่าซางกัดจนเหนื่อยล้าแล้ว จึงคลายคมเขี้ยวอย่างฉุนเฉียว หันขวับไปด่ากราด “ท่านมันคนบ้า!”

ฮั่วปู้อี๋หน้าไม่เปลี่ยนสี “เจ้าเองก็ไม่ได้น้อยหน้า”

“ท่านมันสารเลว!”

“เจ้าก็ใช่ว่าดีไปถึงที่ใด ไร้เยื่อใยไมตรี ใจจืดคำนึงถึงแต่ตนเอง”

ดวงตาฉายโทสะของคนทั้งสองจับจ้องกัน ราวคู่อริแต่ชาติก่อนที่ผูกแค้นใหญ่หลวงถึงชีวิต ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอยให้กันแม้ก้าวเดียว

เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างดุดัน “ข้าไม่ดีเยี่ยงนี้ ท่านยังมาตามตอแยข้าให้ได้อะไร!”

ฮั่วปู้อี๋ไม่ตอบคำ กดจุมพิตอันลึกล้ำและโกรธขึ้งลงบนมุมปากจิ้มลิ้มที่ยังคงเปื้อนรอยเลือด หนักหน่วงประดุจนักล่าที่งับลำคอของเหยื่อได้ เฉิงเซ่าซางร้องเจ็บเสียงอู้อี้พลางผลักไสใบหน้าของเขา เฉกเช่นที่เคยเป็นมาตลอด…เขาแข็งใจไม่ลง ทำได้แต่ปล่อยนางไป

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 .. 66 เวลา 12.00 .

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: