บทที่ 163
เฉิงเซ่าซางสิ้นแรงนั่งทึ่มทื่อ แผ่นหลังพิงกับโต๊ะที่เมื่อครู่ถูกเตะล้มคว่ำระหว่างสู้กัน หอบหายใจพลางมองดูฮั่วปู้อี๋พันแผลให้นาง แถบผ้าถูกพันบนต้นแขนไปรอบแล้วรอบเล่าอย่างเรียบร้อยเข้าที ผ้าป่านเนื้อละเอียดที่มีความหนาทว่าระบายอากาศได้ดีนี้เป็นสีขาวเมล็ดข้าวที่ดูสบายตา ตัดกับแขนของนางที่ในสีขาวยังมีอมเขียว ทว่าฮั่วปู้อี๋เองก็ถูกจิกทึ้งอย่างหนักจนเรือนผมยุ่งเหยิง ตามใบหน้ากับลำคอมีรอยข่วนเป็นริ้วแดงกระจายเกลื่อน บนหลังมือซ้ายยังมีรอยกัดอีกหนึ่งรอยที่กระทบตาแล้วสะท้านถึงใจ…ความจริงเมื่อก่อนนางกับเขาเคยหยอกกันตีกันมาหลายหน ทว่าไม่เคยเห็นเลือดเห็นเนื้อเช่นหนนี้
สายตาของเฉิงเซ่าซางเลื่อนลงไป พบถุงแพรสีขาวใบหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้นกระดาน ถุงแพรชนิดนี้นางคุ้นเคยยิ่ง ขนาดดูไม่ใหญ่แต่กลับใส่ของได้หลายอย่าง นางเคยเห็นเซียวฮูหยินทำเองกับมือมาหลายครั้ง เริ่มจากนำแถบผ้าป่านเนื้อละเอียดมาซักให้สะอาด ผึ่งแห้ง รีดเรียบ แล้วพันจนเป็นม้วนแน่น บรรจุเข้าถุงแพรชนิดนี้ไปพร้อมกับยาสมานแผลชั้นดี
คนในกองทัพเกิดแผลภายนอกได้ง่าย ต่อให้ไม่เข้าสนามรบ การประลองฝีมือในสนามฝึกยุทธ์ก็ง่ายมากที่จะบาดเจ็บ ผู้คนยุคนี้รู้แล้วว่าการใช้สิ่งที่ไม่สะอาดมาพันแผลไม่สมควรอย่างยิ่ง ดังนั้นเหล่านักรบจึงพกสิ่งของเหล่านี้ติดกายเสมอ
ฮั่วปู้อี๋สังเกตเห็นสายตานาง ก็คลี่ยิ้มเอ่ย “เจ้ารับปากว่าจะทำให้ข้าใบหนึ่ง กลับไม่เห็นนำออกมาเสียที”
เฉิงเซ่าซางเรียกสติคืนมา เห็นว่าพันแผลไปพอสมควรแล้วจึงเอ่ยเสียงเย็นชา “เสร็จได้แล้วกระมัง ข้าต้องไปแล้ว”
ฮั่วปู้อี๋ใช้มือเดียววางกดบนหัวไหล่นาง “สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดยังไม่ได้พูดเลย”
เฉิงเซ่าซางโกรธจนหายใจติดขัด จึงหัวเราะประชด “ได้ ท่านพูดสิ ข้าฟังอยู่” หากนางพูดว่า ‘ไม่ฟังๆ อย่างไรก็ไม่ฟัง’ แล้วเขาจะรามือหรือไร ไม่เห็นหรือว่าเขากดมือบนไหล่นางเบาๆ นางก็ขยับไปที่ใดไม่ได้แล้ว
ฮั่วปู้อี๋งอเข่านั่งลงเคียงกายนาง ก่อนทอดถอนใจเบาๆ “ได้พานพบเจ้า ข้าไม่คาดคิดมาก่อน”
ไม่กี่คำอันเรียบง่ายนี้ กลับทำให้เฉิงเซ่าซางหลั่งน้ำตาในพริบตา นางเบือนหน้ากล่าว “คำพูดนี้ข้าเชื่อ ได้พานพบท่าน…เป็นเคราะห์กรรมของข้า ได้พานพบข้า…ก็เป็นโชคร้ายของท่าน”
“ไม่ การได้พานพบเจ้า…คือเรื่องดีที่สุดนับแต่ข้าอายุหกขวบ” ฮั่วปู้อี๋ไม่ได้มองนาง กลับกันเขามองไปยังริ้วแสงบนพื้นซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล แสงตะวันอ่อนๆ ลอดผ่านลายฉลุโค้งบนหน้าต่าง ทอดแสงลงมาดูทั้งอ่อนช้อยทั้งงามสดใส ดุจเดียวกับคิ้วตาของนางยามทอยิ้ม
เฉิงเซ่าซางหัวเราะถากถาง “นั่นสินะ ข้ายังต้องหักล้างคดีเลือดของสกุลฮั่วแทนท่านเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทด้วย”
ฮั่วปู้อี๋คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าพูดได้ถูกต้อง”
เฉิงเซ่าซางเพิ่งตอบสนองได้ จึงพูดอย่างหงุดหงิด “ไม่ถูกสักหน่อย ต้องนับว่าท่านช่วยชีวิตข้าไว้ก่อน อย่างน้อยๆ นับแค่ที่ท่านลุงวั่นถูกดักฆ่าบนทางแคบกลางป่าทึบหนนั้น หากไม่มีท่านช่วยไว้ ข้าก็คงไม่รอดชีวิตแล้ว”
สองคนอยู่ร่วมกันมาเพียงหนึ่งปี ทว่าไล่เรียงโดยละเอียดแล้วกลับคล้ายผ่านวันคืนมาหนึ่งช่วงชีวิต โยงใยพัวพันกันจนสุดจะแยกให้กระจ่างได้
“ตัวข้าแบกความแค้นอันลึกล้ำ ไม่เคยคิดที่จะแต่งงาน ตลอดมาเพียงกลุ้มใจว่าจะต้านทานน้ำพระทัยอันล้นเหลือของฝ่าบาทเช่นไรดี” ฮั่วปู้อี๋เอาอย่างเฉิงเซ่าซาง พิงแผ่นหลังกับโต๊ะที่ล้มคว่ำตัวนั้นบ้าง “ตอนที่ได้ยินว่าเจ้าหมั้นกับโหลวเหยา ทีแรกในใจข้ารู้สึกโล่งอก หาไม่คงกระอักกระอ่วนน่าดู อันที่จริงข้าชื่นชมโหลวเหยามาก ถึงเขาจะมีความสามารถธรรมดา แต่ก็เป็นคนผ่าเผย ประพฤติชอบ รักษาจารีต เพียงแต่ต่อมาได้ยินเจ้าเลียนอย่างเขา เรียกข้าว่า ‘พี่ชาย’ ทุกคำ ข้ากลับอยากจะบีบคอเขาให้ตายไปเสีย”
เฉิงเซ่าซางยืดตัวตรง น้ำเสียงเน้นหนัก “อาเหยาเป็นคนดี”
“อืม ดังนั้นเขาจึงรอดปลอดภัยดีอยู่ ข้ายังตั้งใจไว้ว่าจะไปร่วมงานมงคลของพวกเจ้าด้วย”
ย้อนนึกถึงวันวาน เสมือนหนึ่งชาติปางก่อน เฉิงเซ่าซางถอนใจออกมาเบาๆ
ในอดีตนางเคยหมายมั่นจะสร้างเนื้อสร้างตัว ยืนหยัดบนลำแข้งของตนเอง เพียรพยายามจะมีชีวิตที่เป็นโล้เป็นพายให้เซียวฮูหยินได้เห็นอย่างแรงกล้ามากเพียงใด ทว่าหลายปีล่วงผ่านไปในพริบตา โหลวเหยากับเหอเจาจวินอาจมีบุตรคนที่สามแล้วด้วยซ้ำ นางกลับยังคงพัวพันกับอดีตคู่หมั้นคนที่สองไม่เลิกรา จริงดังคำว่าความใฝ่ฝันกับความเป็นจริงนั้นมีระยะห่าง ระหว่างเส้นทางที่เต็มไปด้วยตลกร้ายนี้ แผนชีวิตที่นางคิดไว้ดิบดีจึงมีอันล้มเหลวกลางคันอยู่ร่ำไป
“ข้าไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเจ้าเลย ช่วงนั้นข้าได้ข่าวบริวารเก่าของสกุลฮั่ว นึกว่าจะกำจัดสกุลหลิงทั้งตระกูลได้อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ ข้าจึงได้บังเกิดความคิดที่จะแต่งงานกับเจ้า” ฮั่วปู้อี๋กล่าว
เฉิงเซ่าซางแย้งอย่างโมโห “ท่านจะรอจนกำจัดหลิงอี้ได้แล้วจริงๆ ค่อยมาหาข้าไม่ได้หรือไร!”
“ข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮั่วปู้อี๋หลุบตาลง “คนเรามักเป็นเยี่ยงนี้เอง สิ่งที่ในใจเฝ้าฝันมาช้านาน หากไม่มีความหวังโดยสิ้นเชิงก็แล้วไปเถิด ทว่าขอเพียงมีความหวังผุดขึ้นมาแม้เพียงรำไรก็จะทนรอต่อไปไม่ไหวอีก”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าตนดวงตกมาแปดชาติแท้ๆ นางตั้งท่าจะลุกขึ้น “ท่านพูดจบหรือยัง พูดจบแล้วข้าจะได้ไป”
“ยังมีอีก…” ฮั่วปู้อี๋ยุดมือนางไว้ ครั้นพบว่าปลายนิ้วนางมีรอยเลือดซึม เขาก็มุ่นคิ้วกล่าว “เมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบไว้เล็บนี่”
“ไม่ไว้เล็บจะทาสีเล็บได้อย่างไรเล่า!” เฉิงเซ่าซางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนต้องพูดเรื่องนี้
“เมื่อก่อนเจ้าก็ไม่ชอบสีทาเล็บ” ฮั่วปู้อี๋ดึงพานางมานั่งลงตรงหน้าเขา ตำหนักในห้ามพกของมีคม เขาจึงทำได้เพียงช่วยแคะเศษเล็บออกให้นางจนหมด ก่อนโรยผงยาบนปลายนิ้วทุกนิ้ว
เฉิงเซ่าซางยื่นมือปล่อยให้เขาใส่ยา พิศมองจากมุมนี้ สันจมูกของเขาโด่งสูง ขนตาก็ยาวหนา ชักพาให้นางพลันว้าวุ่นใจ “ยังมีอะไรอีก ท่านพูดมารวดเดียวเสียเลย ข้าชักช้าไม่กลับเข้างานเลี้ยงเสียทีคงไม่ได้”
ฮั่วปู้อี๋ชะงักเล็กน้อยก่อนกล่าว “ลั่วจี้ทงไม่ใช่คนดี หากนางเขียนจดหมายหรือพูดอะไรกับเจ้า เจ้าก็อย่าไปเชื่อ”
เฉิงเซ่าซางตระหนกวูบ “อะไรนะ!” นางเพียงรู้สึกว่าลั่วจี้ทงความประพฤติไม่ดีเท่าไร แต่หากฮั่วปู้อี๋บอกว่าใครสักคน ‘ไม่ใช่คนดี’ คนผู้นั้นก็ต้องก่อเรื่องใหญ่มาเป็นแน่
ฮั่วปู้อี๋เงยหน้าตอบ “ตอนนั้นคนที่ฆ่าสาวใช้นามชุนเถียวไม่ใช่องค์หญิงห้า เป็นลั่วจี้ทงต่างหาก มิผิด นางก็มีส่วนร่วมในการให้ร้ายเจ้า ข้าสงสัยว่าอุบายให้ร้ายเจ้า นางก็เป็นคนเสนอ องค์หญิงห้าไม่มีอุบายดีเช่นนี้หรอก”
เฉิงเซ่าซางอ้าปากนิดๆ
“ยังมีอีก การตายของจย่าชีหลางอดีตสามีนาง นางก็สลัดความเกี่ยวข้องไม่พ้น สรุปคือ…เจ้าต้องระวังคนผู้นี้”
เฉิงเซ่าซางขนอ่อนลุกชัน ร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ในเมื่อท่านรู้ทุกสิ่ง เหตุใดยังคิดจะแต่งกับนางอีก!”
ฮั่วปู้อี๋คลี่ยิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ได้คิดจะแต่งกับนาง ข้าเพียงใช้นางเป็นตัวหลอก หาไม่ห้าปีมานี้ฝ่าบาทกับรัชทายาทมีหรือจะปล่อยให้ข้าอยู่ชายแดนอย่างสงบ”
“ก็ถูกของท่าน” เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ ก่อนจะพลันอุทาน “อ๊ะ ไม่ถูกสิ! ตัวหลอกไม่อาจใช้ไปชั่วชีวิตเสียหน่อย ต่อให้ท่านไม่แต่งกับลั่วจี้ทงก็ต้องแต่งกับใครอื่นสักคนอยู่ดี มัวเสียเวลากับสตรีที่มีความประพฤติชั่วร้าย ก็มิสู้ตั้งใจหากุลสตรีจิตใจงามสักคนจะดีกว่า…”
นางมองนัยน์ตาอันสงบนิ่งลุ่มลึกของเขา หัวใจก็ให้สะท้านวูบ “นี่ท่านจงใจ! ท่านไม่คิดจะแต่งภรรยาโดยสิ้นเชิง ทะ…ท่าน…วันข้างหน้าล้วนจะไม่แต่งงาน?!” นางเดาสาเหตุออก แต่ไม่กล้าเดาเจตนาของเขา
“ท่านเสียสติไปแล้ว สกุลฮั่วรอท่านสืบสกุลอยู่นะ ขืนท่านกล้าเดียวดายไปทั้งชาติ ฝ่าบาทได้เสวยท่านเป็นๆ แน่!” นางกดเสียงพูดให้เบาลง ตกตะลึงพรึงเพริดเกินกว่าจะพูดต่อไปได้
ฮั่วปู้อี๋ไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ทั้งยังผลิรอยยิ้มที่ทำให้โลกนี้สดใส
เฉิงเซ่าซางขอบตาเปียกชื้น โน้มน้าวเขาเสียงนุ่มนวล “ท่านปลงตกสักหน่อยไม่ได้หรือ อดีตผ่านพ้นไปแล้ว พวกเราต่างคนต่างแยกย้าย ไปมีครอบครัวให้กำเนิดบุตร รออีกสักสิบกว่าปียี่สิบปีผ่านไป สหายเก่ามารวมตัวกัน พูดคุยยิ้มหัว ไม่ใช่ดีงามหรือไร” หากเขาโดดเดี่ยวตัวคนเดียว อ้างว้างลำพังไปทั้งชีวิต นางจะทำเช่นไรเล่า จะให้ทนมองเยี่ยงนี้น่ะหรือ
ฮั่วปู้อี๋โอบรั้งแผ่นหลังอันแบบบางพานางมากอดไว้แนบแน่น เอ่ยเสียงอู้อี้ “ข้าจะไม่เป็นสหายเก่ากับเจ้า พวกเราจะเป็นสามีภรรยาจวบจนวันที่แก่เฒ่า”
เฉิงเซ่าซางสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่แผ่พุ่งมา จากนั้นศีรษะอันอุ่นร้อนก็ซุกซบเข้ามาในซอกคอนาง รอบกายรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายอันหมดจดของชายหนุ่ม แทรกปนกลิ่นหอมสมุนไพรที่คุ้นเคย กับคาวโลหิตที่ให้กลิ่นคล้ายสนิม
นางหลั่งน้ำตาโดยไร้เสียง ก่อนจะทำใจเหี้ยมออกแรงผลักไสเขาไป นางยืนยืดกายตรง แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านคิดจะแต่งภรรยาก็เชิญแต่งภรรยา คิดจะแต่งกับผู้ใดก็เชิญแต่งกับผู้นั้น ไม่เกี่ยวกับข้าแม้เพียงน้อยนิด! ถ้อยคำพูดหมดสิ้นแล้ว ข้าต้องขอตัว”
ฮั่วปู้อี๋คว้าร่างนางไว้ในคราวเดียว เขาคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น รัดช่วงเอวอรชรไว้อย่างแน่นหนาพลางเอ่ยวิงวอน “เจ้าโปรดอย่าใจร้ายเช่นนี้เลย เมื่อห้าปีก่อนข้าผิดต่อเจ้า ผู้อื่นไม่รู้ ทว่าข้ารู้ดี…แต่ไรมาเจ้าไม่ยอมเชื่อใจผู้อื่นและไม่ยินดีจะพึ่งพาผู้ใด เป็นข้าบังคับให้เจ้าเปิดใจยอมรับข้าเอง รอจนเจ้ามอบหัวใจทั้งดวงยินดีจะใช้ชีวิตร่วมกับข้า ข้ากลับสละเจ้าไป…”
เฉิงเซ่าซางหลั่งน้ำตาอีกครา หัวใจที่ตกสะเก็ดแล้วบัดนี้ถูกฉีกจนเกิดรอยร้าวอีกสาย
ในใจนางมีกำแพงสูงที่ก่อด้วยน้ำแข็งอันแกร่งหนา ฟากนี้ของกำแพงมีนางอยู่ผู้เดียว ไม่มีใครล่วงเข้ามาได้ จนกระทั่งหกปีที่แล้ว ‘หลิงปู้อี๋’ ได้ชนทลายกำแพงน้ำแข็งนี้ด้วยพลังที่ทรงอานุภาพปานอสนี บอกว่านับแต่นี้เขากับนางจะให้ไออุ่นซึ่งกันและกัน นางทุ่มพละกำลังทั้งร่างเพื่อย่างก้าวออกไปเชื่อใจเขา ผลเป็นเช่นไรเล่า…นางตกลงใจแน่วแน่แล้ว ชั่วชีวิตนี้จะไม่ขอก้าวออกไปอีก!
“ข้าจะไม่ให้อภัยท่านเด็ดขาด!” นางน้ำตาพรั่งพรู กัดฟันกล่าวอย่างดุดัน “เลิกฝันไปเสีย ข้ามีชีวิตรอดดีจนถึงวันนี้ได้ก็อาศัยความใจแข็งนี่เอง ข้าจะไม่มีวันอภัยให้คนที่ทำผิดต่อข้า ไม่ซื่อสัตย์หนึ่งครั้ง ไม่ใช้สอยร้อยครา* เมื่อห้าปีก่อนท่านทอดทิ้งข้าได้ จะรู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าท่านจะไม่ซ้ำรอยเดิม! ข้ารู้ว่าใครๆ พากันช่วยพูดจาแทนท่านทั้งทางตรงทางอ้อม รวมถึงคนในบ้านข้าด้วย ทว่าข้าจะไม่ให้ท่านได้สมปรารถนา! ไม่มีท่าน ข้าก็มีชีวิตอยู่ได้ดียิ่ง ข้าจะไม่เชื่อท่านอีกเป็นอันขาด! ไม่มีวัน!”
ฮั่วปู้อี๋น้ำตาร่วงริน อ้อนวอนอย่างต้อยต่ำ “พวกเขาไม่ได้ช่วยพูดจาแทนข้า หากแต่กำลังช่วยเหลือพวกเรา เจ้าเองลองถือคันฉ่องส่องดู ยามที่เจ้ามองหยวนเซิ่นกับยามที่มองข้า ท่าทางของเจ้าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้าไม่ใช่คนตาบอด ผู้อื่นก็เช่นกัน!”
เฉิงเซ่าซางหลั่งน้ำตาปานสายฝน สะอึกสะอื้นจนแทบไม่อาจเปล่งวาจา “ไม่มีท่าน ข้าก็มีชีวิตอยู่ดีได้ ข้ากับหยวนเซิ่นจะแก่เฒ่าไปด้วยกัน อยู่ร่วมกันไปทั้งชีวิต…”
ฮั่วปู้อี๋เอ่ยเสียงแผ่ว “ใช่ สมน้ำหน้าข้าแล้วที่ต้องเดียวดายไปทั้งชาติ เจ้าย่อมจะลืมข้าได้ในที่สุด”
เฉิงเซ่าซางจุกในลำคอจนทรมานยิ่ง
ฮั่วปู้อี๋แหงนมองนาง “ข้าไม่เคยอยากทำร้ายเจ้าเลย ตลอดมาข้าหวังให้เจ้าราบรื่นดังใจหมาย เปี่ยมสุขไร้ทุกข์จนชั่วชีวิต เมื่อแรกแม้แต่สถานที่ที่เจ้ากับโหลวเหยาจะไปรับตำแหน่งต่างเมือง ข้าก็หาไว้แล้ว ที่นั่นขุนเขางามธารน้ำใส วิถีชีวิตของผู้คนเรียบง่ายจริงใจ เจ้าชอบเผาแผ่นกระเบื้องก็เผาแผ่นกระเบื้อง ชอบบ่มสุราก็บ่มสุรา จะไม่มีใครมาติเตียนเจ้า
ห้าปีมานี้ข้ามักฝันเรื่องหนึ่ง ฝันเห็นท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชายพี่สาวล้วนมีชีวิตอยู่ดี ไม่เคยเกิดภัยล้างตระกูลอันน่าสลดนั้น ข้าไปสู่ขอที่บ้านเจ้า เจ้าตอบรับข้า จากนั้นพวกเราก็เป็นสามีภรรยากันอย่างมีความสุข…”
ดวงตาของเฉิงเซ่าซางชุ่มน้ำตาจนพร่าเลือน ใจคิดว่าหากฮั่วชงสามีภรรยายังมีชีวิตอยู่ หากคนทั้งหมดล้วนยังมีชีวิตอยู่ นั่นจะดีสักเพียงใด
ฮั่วปู้อี๋จะต้องเป็นชายหนุ่มที่ร่าเริงองอาจที่สุดในเมืองหลวงทั้งเมืองแน่นอน เขากับนางยังจะพบกันในงานโคมไฟ เพียงแต่หนนี้เขาจะไม่มีสิ่งที่ต้องพะวงอีก เขาจะเดินตรงมาอย่างผ่าเผย และนางเพียงแรกเห็นใบหน้าของเขาก็จะเกิดอาการเคลิ้มอย่างหนักเป็นแน่
เซียวฮูหยินอาจจะติติงว่าเขามุทะลุ ท่านพ่อเฉิงอาจจะตำหนิว่าเขาล่วงเกิน แต่เนื่องจากสกุลฮั่วเป็นวงศ์ตระกูลที่เรืองอำนาจ ท้ายที่สุดนางย่อมจะได้แต่งออกไป รอจนยามที่มีบุตรธิดาห้อมล้อม นางจะบอกกับทุกคนว่า…ความจริงแล้วผักกาดขาว* เป็นผู้ลงมือก่อน
ฮั่วปู้อี๋สองตาแดงก่ำ ขนตาเกาะไปด้วยหยาดน้ำ เขาคว้ากุมสองมือนางมาวางบนแก้มของตน “เจ้าอย่าใจร้ายเช่นนี้เลยนะ ขอร้องเจ้า ได้โปรดอย่าใจร้ายกับข้าเช่นนี้เลย”
เฉิงเซ่าซางไม่อาจประคองท่าทีเย็นชาต่อไปได้ไหว ร่ำไห้ออกมาราวเด็กน้อย น้ำหูน้ำตานอง หมดท่าโดยสิ้นเชิง…วันนี้นางพ่ายแพ้ย่อยยับ ไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้กลับแม้เพียงนิด
ตอนนี้เองเสียงสนทนาเซ็งแซ่พลันดังขึ้นที่เบื้องนอก คล้ายมีคนจำนวนมากกำลังเดินมุ่งมาทางนี้ ที่นำมาก่อนใครคือเสียงหัวเราะกังวานปนเมามายขององค์หญิงสาม “ชวีหลิงจวินกลับไปเร็วนัก ยังไม่ได้กินเกาลัดผลไม้แช่เย็นของตำหนักเสด็จแม่เลย ยังมีเฉิงเซ่าซางอีกคน ไม่รู้หายไปที่ใดแล้ว”
องค์หญิงรองกล่าว “หลิงจวินอุ้มท้องอยู่นะ เจ้านึกว่านางเหมือนเจ้าหรือไร ใส่ปากกินไม่เลือก เล่นสนุกไม่มีพัก ส่วนเซ่าซางคงจะกลับตำหนักหย่งอันไปแล้ว ข้าได้ยินว่าพักนี้สุขภาพของเซวียนไทเฮานับวันก็ยิ่งไม่สู้ดี”
ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อถาม “วันนี้ทิวทัศน์วสันต์งามยิ่ง เหตุใดพวกเราไม่ไปตั้งโต๊ะกันที่อุทยานด้านหลัง รับสายลมคลายฤทธิ์สุรากันเล่า”
องค์หญิงสามหัวเราะหึๆ “จริงอยู่ทิวทัศน์วสันต์งามตา แต่ว่ายุงแมลงก็ชุมด้วย ใช้ห้องนี้กันดีกว่า ฉากประตูทั้งสามด้านล้วนถอดออกได้ ถึงตอนนั้นก็จะรับลมชมทัศนียภาพได้เช่นเดียวกัน”
“โอ๊ะ เดี๋ยวนี้พี่หญิงสามละเอียดรอบคอบเพียงนี้แล้ว”
“เจ้าไปเลยนะ พวกไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่!”
เหล่าสตรีพากันหัวเราะร่วนดังฮ่าๆ
ต่างจากหนุ่มสาวแซ่ฮั่วกับเฉิงสองคนที่ร่ำไห้จนสติหลุดลอยไปบ้าง พริบตานั้นรวดเร็วเกินกว่าจะบรรยายได้ทัน บานประตูห้องถูกเลื่อนเปิดดังขวับ สายตาหลายคู่ทั้งด้านในด้านนอกสบประสานกัน ภาพที่เห็นคือเฉิงเซ่าซางยืนตรงอยู่กับที่ ฮั่วปู้อี๋คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้านาง หนุ่มสาวทั้งสองล้วนมีคราบน้ำตาอาบหน้า บนเสื้อผ้ามีแต้มเลือดกระจัดกระจาย โต๊ะบนพื้นกับเครื่องตกแต่งบนนั้นล้วนระเนระนาด
เหล่าสตรีได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้โดยไม่ทันตั้งตัว ก็สูดหายใจเฮือกโดยพร้อมเพรียง
ชั่วขณะที่ชะงักงัน ไม่มีผู้ใดปริปาก ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อในฐานะสตรีสูงศักดิ์ที่มีลำดับรุ่นสูงสุดในกลุ่มรู้สึกว่าตนเองมีหน้าที่จะต้องเอ่ยปากก่อน จึงกล่าวเสียงแห้งๆ “เอ่อ…พวก…พวกเจ้าก็อยู่ด้วยหรือ บังเอิญจริงๆ…”
วาจานี้สู้ไม่พูดยังจะดีกว่า ฝั่งด้านในและด้านนอกของประตูตกสู่ความเงียบงันอีกครา ผ่านไปครู่หนึ่งผู้คนเรียกสติคืนมาแล้ว เสียงซุบซิบงึมงำซึ่งแทรกปนด้วยเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ก็บังเกิดขึ้น
เหล่าสตรีคิด…หรือว่าสองคนนี้มานัดพบกันที่นี่? แต่ดูจากสภาพข้าวของเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ซ้ำบนเสื้อผ้ายังมีรอยเลือด กลับคล้ายคนตีกันเสียมากกว่า ครั้นดูจากท่าทางที่ผู้หนึ่งยืนผู้หนึ่งคุกเข่า นี่ไม่ใช่กำลังขอร้องวิงวอนอยู่หรือไร ทว่าขุนนางหนุ่มเรืองอำนาจผู้หยิ่งทะนงเช่นฮั่วปู้อี๋จะคุกเข่าอ้อนวอนสตรีเชียวหรือ! คือว่า…โจทย์นี้พวกนางทายกันไม่ออกแล้ว
เสียงหึ่งลั่นขึ้นในหัวของเฉิงเซ่าซาง นางมือเท้าลนลาน ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าควรจะรับมือเช่นไรดี
ฮั่วปู้อี๋ลุกขึ้นช้าๆ อย่างแสนเยือกเย็น ป้องบังหญิงสาวให้อยู่ด้านหลังของเขา แล้วมองไปยังเหล่าสตรีด้วยสายตาอันเรียบเฉย เขาแสดงท่าทีปกป้องเต็มที่เช่นนี้ก็พาให้เสียงซุบซิบปนหัวเราะเบาๆ ที่นอกประตูเงียบหายในฉับพลัน…ด้วยฐานะชาติกำเนิดของพวกนาง ย่อมจะไม่ใช่หญิงลิ้นยาวในตลาดที่รู้จักแต่ชมดูเรื่องสนุก ความตระหนักรู้อันพึงมียังคงมีอยู่
องค์หญิงรองยิ้มบางๆ ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าวไปเอ่ยเสียงนุ่มนวล “จื่อเซิ่ง วันนี้พวกเราดื่มสุรามามาก เพียงตั้งใจมานั่งที่ห้องนี้ให้สร่างเมา”
ฮั่วปู้อี๋มีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วพลันเอ่ยวาจาไม่มีหัวไม่มีท้าย “…องค์หญิงรอง ท่านยังจำเรื่องในตรอกตำหนักปีนั้นได้หรือไม่ ท่าน ข้า เซ่าซาง ยังมีองค์หญิงสาม สี่คนพบปะกัน”
องค์หญิงสามนึกขึ้นได้แล้ว
นางเกาใบหูนิดๆ เหลือกตาหนึ่งที อดีตที่น่าขายหน้านั่นข้าอุตส่าห์ลืมไปตั้งแต่แรก ฮั่วปู้อี๋ยังเอ่ยขึ้นมาเพื่ออะไรกัน จริงๆ เลยเชียว!
องค์หญิงรองตอบ “จำได้สิ นั่นเป็นวันแรกที่เซ่าซางไปศึกษาข้างกายเซวียนไทเฮา”
เฉิงเซ่าซางนึกได้แล้วเช่นกัน ตอนนั้นก็เป็นเช่นนี้ องค์หญิงสามจะหาเรื่องนาง เขาปกป้องนางให้อยู่ด้านหลังของเขา ไม่ต่างจากทิวเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งที่ป้องบังมรสุมทั้งปวงไว้
สีหน้าของฮั่วปู้อี๋เย็นเยียบเคร่งขรึม “วันนั้นก่อนจากกัน คำพูดสุดท้ายของข้า ไม่รู้ว่าองค์หญิงรองยังจำได้หรือไม่”
องค์หญิงรองนิ่งมองเขา ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ “จำได้ เจ้าวางใจเถิด”
นางหมุนตัวมองไปยังเหล่าสตรี แววตาน่ายำเกรงทว่าก็อ่อนโยน “จื่อเซิ่งกับเซ่าซางไม่ได้พบกันหลายปีจึงมีเรื่องพูดคุยกัน ข้าหวังว่าสิ่งที่ทุกท่านเห็นในวันนี้จะไม่เกิดเป็นคำลือคำครหาที่เบื้องนอก”
ไม่จำเป็นต้องพูดอันใดมาก ในใจคนฉลาดย่อมกระจ่างแจ้งแล้ว เหล่าสตรีต่างเข้าใจได้ทันที หากพวกนางออกไปพูดส่งเดช ไม่เพียงจะกลายเป็นอริกับฮั่วปู้อี๋ ยังเท่ากับเป็นอริกับองค์หญิงรองพระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ด้วย พวกนางจึงพากันหัวเราะกลบเกลื่อน แสร้งทำไม่รู้ไม่เห็น
มือของเฉิงเซ่าซางค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น นางจดจำได้ทั้งหมดแล้ว วันนั้นคำพูดสุดท้ายที่ฮั่วปู้อี๋พูดกับองค์หญิงทั้งสองคือ… ‘ทว่าจวบจนเมื่อหลายเดือนก่อนพานพบเซ่าซาง ข้าจึงได้บังเกิดความคิดจะมีคู่ครอง นอกจากนางแล้วจะไม่มีใครอื่น’
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกรกฎาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.