บทที่ 85
หัวหน้าของเหล่าผู้รับใช้ใกล้ชิดฮองเฮาเป็นขันทีใบหน้าซูบผอมอ่อนโยนผู้หนึ่ง นามว่าเฉาเฉิง รับผิดชอบจัดการงานต่างๆ ในตำหนัก ถ่ายทอดพระบัญชา ตลอดจนดูแลเรื่องส่วนตัวและนำทางหน้ารถพระที่นั่งของฮองเฮา ดำรงตำแหน่งผู้ดูแลตำหนักฉางชิวซึ่งมียศขุนนางสูงถึงสองพันตั้นทีเดียว ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขานอกจากเหล่านางกำนัล ยังมีขันทีทั้งระดับล่างระดับกลางในสำนักราชวังอีกจำนวนมาก เพียงแต่อุปนิสัยของฮองเฮารักความสงบเงียบจริงจัง ไม่ชอบก้าวก่ายงานราชสำนัก ทั้งไม่ชอบหมั่นเรียกตัวนายหญิงตราตั้งเข้าวังมาซักถามเรื่องซุบซิบ ด้วยเหตุนี้งานของผู้ดูแลเฉาจึงสบายยิ่งยวด นอกจากดำเนินงานประจำวันในตำหนักฉางชิวอันใหญ่โต แต่ละปีก็แค่ช่วยฮองเฮาจัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่อลังการไม่กี่หน
แม้ฮองเฮาไม่มีสิ่งใดไม่พอใจเฉาเฉิง แต่ด้วยถือคติว่ามีเรื่องเพิ่มขึ้นมิสู้มีเรื่องน้อยลง งานหยุมหยิมของตำหนักชั้นในนางจึงมักให้คนข้างตัวจัดการ ทว่าบัดนี้ไจ๋เอ่าสูงวัยขึ้นทุกวัน กำลังกายไม่เพียงพอ ส่วนลั่วจี้ทงก็ใกล้ถึงกำหนดออกเรือนแล้ว เวลาที่จะรั้งอยู่ในตำหนักลดน้อยลงทุกที ประกอบกับฮองเฮามีประสงค์จะให้เฉิงเซ่าซางได้ฝึกตัดสินใจและเลือกใช้คน ภายใต้จังหวะ สถานที่ และบุคคลแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเช่นนี้เอง เฉิงเซ่าซางจึงได้เริ่มเข้าไปทดแทน
แรกเริ่มอยู่ในวังเฉิงเซ่าซางใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะผู้คนกับสถานที่ล้วนไม่คุ้นเคย หนำซ้ำบุรุษสตรีซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตที่นี่ต่างมีฐานะทางสังคมสูงส่งเหลือเกิน ชาติก่อนตนอยู่กับเจ้ใหญ่หัวหน้ากลุ่ม หากกระทำผิด อย่างมากก็ถูกสั่งสอนหนึ่งยกหรือถูกขับออกจากห้องบิลเลียด อยู่กับคุณครู หากกระทำผิดก็แค่ถูกเทศนา ถูกสั่งเขียนหนังสือตำหนิตนเองหนึ่งฉบับ หรืออย่างมากก็ถูกติดประกาศประจานทั่วโรงเรียน ทว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาคือบุรุษสตรีผู้มีศักดิ์สูงสุดในใต้หล้าเชียวนะ เป็นบุคคลจำพวกที่ถูกยั่วโทสะเข้าจริง มีแต่จะสั่งฆ่าแล้วปล่อยไปตามยถากรรม
ตอนนี้ความพยายามของตนได้รับการยอมรับจากบุคคลทั้งสองแล้ว ใจกลัวเกรงระแวดระวังย่อมคลายลงตามลำดับ เฉิงเซ่าซางเริ่มเผยตัวตนออกมาตามธรรมชาติ แม้มิได้เจตนาเผย ทว่าอยู่ร่วมกันเป็นประจำย่อมไม่แคล้วปรากฏร่องรอยให้เห็น นานวันเข้าทุกคนในตำหนักฉางชิวจึงรู้กันทั่วว่าแม่นางเฉิงที่ดูคล้ายอ่อนหวานบอบบางผู้นี้เป็นคนขี้แกล้งซ่อนเล่ห์อย่างแท้จริง
มีหนหนึ่งนางกำนัลสองคนวิวาทตบตีกัน ต่างกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อน เฉิงเซ่าซางไม่มัวพูดพร่ำ สั่งให้ทั้งสองตบตีกันให้นางดูอีกรอบ คู่กรณีสองฝ่ายหมายแสดงตัวเป็นผู้อ่อนแอ จึงแข่งกันเหยียดกำปั้นให้ช้ากว่า ลงมือให้เบากว่า จนดูคล้ายฉายภาพยนตร์ซ้ำแบบเคลื่อนไหวช้า ซ้อมรุกรับกระบวนท่าเพลงดาบ ‘สายใยพันผูก’ กับเพลงฝ่ามือ ‘ฟืนแห้งเพลิงแรง’* กันอยู่ ทำเอาเหล่านางกำนัลขันทีในตำหนักหัวเราะจนปวดท้อง
ตบตีแบบปลอมๆ กันจบ เฉิงเซ่าซางถามคู่กรณีสองฝ่ายว่าต้องการจะฟ้องร้องอีกหรือไม่ สองฝ่ายต่างยังยืนกรานขอให้เฉิงเซ่าซางทวงความเป็นธรรมแก่ฝ่ายตน เฉิงเซ่าซางจึงยิ้มตาหยี ส่งตัวพวกนางไปให้คนของเฉาเฉิงในสำนักราชวังซึ่งมีหน้าที่ลงทัณฑ์ อย่าล้อกันเล่นน่ะ นางแค่ขาดประสบการณ์ ไม่ได้โง่งมสักหน่อย ต่อให้ฮองเฮาอ่อนโยนสักเพียงใด ก็ใช่ว่าคนในตำหนักสามารถได้คืบจะเอาศอก ในสถานที่เช่นวังหลวงนี้ นางกำนัลที่วิวาทกันด้วยเรื่องส่วนตัว มิเพียงไม่ปกปิด ยังแย่งกันจะทำให้เรื่องบานปลาย นึกว่านางไม่เคยตะลุยยุทธภพสินะ!
อีกหนหนึ่งมีนางกำนัลซึ่งรับผิดชอบปลูกดอกไม้ในลานด้านนอกสองคนถกเถียงแย่งชิงแมวหลีฮวา* กัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเก็บมันมาจากมุมกำแพงตำหนักแล้วดูแลอย่างละเอียดลออเช่นไร อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าเจียดแบ่งอาหารมาเลี้ยงมันอย่างลำบากเพียงใด เห็นสองฝ่ายตะเบ็งใส่กันสุดเสียง เฉิงเซ่าซางก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ที่พวกเจ้าสองคนพูดมาล้วนมีเหตุผลยิ่ง เช่นนี้แล้วกัน ผ่าแมวหลีฮวาตัวนี้เป็นสองซีก พวกเจ้าเอาไปคนละครึ่งเป็นอย่างไร”
นางพูดพลางเรียกให้ขันทีไปนำดาบมา แรกเริ่มนางกำนัลทั้งสองพร้อมใจกันตะลึงค้าง ไม่ทันไรฝ่ายหนึ่งก็ร่ำไห้ทรุดเข่าลง พูดเสียงรัวว่าแมวหลีฮวาตัวนั้นไม่ใช่ของตน เป็นของอีกฝ่ายจริงๆ ผิดกับนางกำนัลอีกคนที่ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงลังเลไม่อาจกล่าววาจา
เฉิงเซ่าซางจึงเลียนอย่างท่าทางของใต้เท้าเปา เปิดศาลประกาศตัดสินอย่างน่ายำเกรง…ไม่ว่าเจ้าของเดิมเป็นผู้ใด แมวหลีฮวาตัวนั้นสมควรอยู่กับเจ้าของที่รักถนอมมันมากกว่า ศาลจะไม่รับอุทธรณ์คดีนี้อีก
ฮองเฮาใช้แววตาอันเยือกเย็นมองดูอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแผ่วเบา “เจ้ามีไหวพริบไม่หยอกทีเดียว”
เฉิงเซ่าซางคิด…มิกล้าๆ หม่อมฉันเพียงต่อยอดจากหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชนที่เคยอ่านเท่านั้น
ต่อมาด้วยเรื่องปลีกย่อยหยุมหยิม มีนางกำนัลสิบห้าสิบหกคนหมางใจลอบประลองกำลังกัน ซ้ำแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นสองฝักฝ่าย ใช้คำประชดถากถาง ปะทะกันด้วยวาจาไม่หยุดหย่อนติดกันหลายวันแล้ว เรื่องเยี่ยงนี้ชวนรำคาญใจยิ่ง แม้ยังไม่เลื่อนขั้นเป็นความขัดแย้งที่จับต้องได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตำหนัก
เฉิงเซ่าซางจึงสั่งให้คนไปหาเชือกป่านที่หนาราวข้อมือของนางมาหนึ่งเส้น เชือกนั้นมีความยาวถึงสิบกว่าจั้ง นางจัดกลุ่มใหม่โดยมีคนทั้งสองฝักฝ่ายคละกันครึ่งต่อครึ่ง แล้วให้พวกนางชักเย่อแข่งกัน
เดิมพันครั้งแรก เฉิงเซ่าซางวางข้างกลุ่มที่ชนะคนละห้าเหรียญ
เด็กสาวเหล่านั้นมีหรือจะยอมร่วมแรงกับ ‘อริ’ ที่ผิดใจกันมาหลายวัน ต่างคนต่างออกแรงอย่างขอไปที สุดท้ายกลุ่มผู้แข่งขันที่บังเอิญพละกำลังรวมกันมากกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะไป
เดิมพันครั้งที่สอง เฉิงเซ่าซางวางข้างกลุ่มที่ชนะคนละสิบเหรียญ
ครั้นเห็นว่าคนที่ชนะเมื่อครู่ได้รับเหรียญเงินดังเคร้งคร้างอยู่ในมือ เด็กสาวกลุ่มที่พ่ายแพ้ต่างก็เบิกตาโต เฉิงเซ่าซางจัดกลุ่มคละกันใหม่อีกครา ยังคงให้คู่อริสองฝักฝ่ายเมื่อแรกนั้นผสมกันกลุ่มละครึ่ง ครั้งนี้ไม่ว่าผู้แข่งขันกลุ่มใดล้วนทุ่มกำลังกันสุดแรงเกิด
เดิมพันครั้งที่สาม เฉิงเซ่าซางเพิ่มเงินโดยวางข้างกลุ่มที่ชนะคนละยี่สิบเหรียญ
ดวงตาของเหล่าเด็กสาวถึงกับแดงเถือก ต่อให้อยู่ในวัง นี่ก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย คราวนี้เด็กสาวที่ถูกจัดอยู่กลุ่มเดียวกันจึงไม่มัวสนใจความแค้นเก่าก่อนอีก ต่างรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ไหล่ชิดไหล่ เท้าชนเท้า รวมพลังกันอย่างสมัครสมาน
ตอนนี้เองพลันเกิดเหตุไม่คาดฝันเล็กๆ ขึ้น เฉิงเซ่าซางแม้เพิ่งได้ลาภลอยมาก้อนหนึ่ง ทว่าไม่ได้พกติดตัวมาแต่อย่างใด แรกเริ่มจึงขอยืมจากไจ๋เอ่ามาวางเป็นเงินเดิมพัน ครั้นวางถึงตาที่สาม ถุงเงินของไจ๋เอ่าว่างเปล่าเสียแล้ว เฉิงเซ่าซางจึงได้แต่สั่งให้คนกลับไปนำเงินที่บ้านนางมา ใครจะรู้เพียงไม่นานให้หลัง พลันมีขันทีผู้หนึ่งยิ้มหน้าบานแฉ่ง ประคองกล่องอันหนักอึ้งกว้างราวครึ่งแขนมาหนึ่งใบ ในนั้นถึงกับเป็นเหรียญห้าจูเกือบสามร้อยเหรียญ
“ใต้เท้าหลิงทราบเรื่องที่นี่ทั้งหมดแล้ว เขาบอกว่าท่านให้สัญญาปากเปล่าคงไม่แคล้วเสียบรรยากาศ จึงส่งเงินมาให้ท่านเล็กน้อย หากไม่เพียงพอ เขาจะสั่งคนควบม้าเร็วไปนำมาอีกขอรับ”
เฉิงเซ่าซางประคองกล่องเงินในอาการเหม่อค้าง ดังนั้นนี่หมายความว่า…ในที่สุดข้าก็ได้ใช้ชีวิตแบบมีเงินของคนรักให้จับจ่ายแล้ว?
ภายหลังการแข่งชักเย่อสามรอบ เหล่าเด็กสาวล้วนหมดเรี่ยวสิ้นแรง ไม่มีกำลังวังชาจะประลองทิฐิกันต่อไป ทั้งต่างได้รับเงินมาจำนวนหนึ่ง ในใจแต่ละคนจึงยินดีปรีดา แม้กระทั่งเด็กสาวอับโชคที่สุดสี่คนซึ่งจนแล้วจนรอดไม่ชนะเลยสักหนนั้น เฉิงเซ่าซางก็ยังตกรางวัลให้ไปคนละห้าเหรียญ จากนั้นปั้นหน้าขึงขัง หยิบยกข้อเท็จจริงมาแจกแจงเหตุผล ร่ายคำสวยหรูมากมาย ความว่าต้องสามัคคีมีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือให้เกียรติกัน ส่งผลให้นางกำนัลส่วนใหญ่ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา เรียกได้ว่าเกือบสูสีกับสุนทรพจน์ของอดีตเลขาธิการสันนิบาตเยาวชนหน้าปลากุยอวี๋* ผู้นั้นเลยทีเดียว
เสร็จสิ้นการใช้พระคุณก็สมควรใช้พระเดชบ้างแล้ว
เฉิงเซ่าซางขานชื่อนางกำนัลสองสามคนซึ่งปกติเป็นตัวตั้งตัวตีของทั้งสองฝักฝ่าย จากนั้นสั่งลงโทษพวกนางคนละสิบไม้เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง
แรกเริ่มเฉิงเซ่าซางเพียงทำไปตามแผนการที่วางไว้ ไม่คาดว่าอารมณ์อันร้อนแรงระหว่างการแข่งชักเย่อเมื่อครู่ถึงกับดึงดูดให้นางกำนัลขันทีโดยรอบพากันห้อมล้อมมาชมดูปนยิ้ม ทั้งยังโบกมือส่งกำลังใจให้ผู้แข่งขันที่เป็นสหายของตน แม้แต่ฮองเฮายังยั้งใจไม่ไหว มายืนอมยิ้มชมการแข่งขันถึงใต้ทางระเบียง ครั้นเห็นการแสดงออกที่ยอดเยี่ยม ยังเปล่งเสียงหัวเราะอันเบิกบานอย่างห้ามไม่อยู่ รอจนเห็นเฉิงเซ่าซางใช้ทั้งพระเดชพระคุณคลี่คลายปัญหา ฮองเฮาก็ก้มหน้าบอกไจ๋เอ่าว่า “วางใจเถอะ วันหน้าจวนของคุณชายสิบเอ็ดไม่วุ่นวายแน่”
ยามที่หมุนตัวจะกลับเข้าโถงชั้นใน ฮองเฮาเห็นเฉิงเซ่าซางยังคงประคองกล่องเงินซึ่งพร่องไปครึ่งหนึ่งแล้วใบนั้น ยืนนิ่งอยู่ใต้ทางระเบียงด้วยสีหน้าอันเรียบสงบ ฮองเฮาชะงักเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ ชั่วขณะนั้นคล้ายพลันไม่ค่อยรู้จักอีกฝ่ายแล้ว
ความจริงยามที่เด็กสาวผู้นี้สะสางเรื่องต่างๆ ใช่ว่าจะใช้ความเฉียบขาดมากแผนการเช่นนี้เสมอไป
หลายวันก่อนมีนางกำนัลน้อยผู้หนึ่งคิดถึงคนทางบ้านซึ่งล่วงลับไปแล้ว กลางค่ำกลางคืนก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด เฉิงเซ่าซางยับยั้งขันทีที่จะลงโทษโบยอีกฝ่าย สอบถามอีกฝ่ายอย่างใจเย็นว่าภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ใด จากนั้นวาดแผนที่แสดงเมืองกับมณฑลโดยสังเขป ชี้มือไปยังภูมิลำเนาเดิมของนางกำนัลน้อยพลางบอกอีกฝ่ายว่าที่นั่นภัยสงครามสงบลงแล้ว อาจยังมีความอดอยากอยู่บ้าง ทว่าขอเพียงต่อไปทุ่มเทเพาะปลูก ก็จะไม่มีเด็กน้อยกำพร้าบิดามารดา ต้องระเหเร่ร่อนถูกขายต่อเป็นทอดๆ อีก
แน่นอนว่าเรื่องจริงมิได้เป็นเช่นนี้ ฮองเฮาสูญเสียบิดาตั้งแต่เล็ก และเคยเผชิญผ่านภัยสงครามมาก่อน ย่อมรู้จักโลกภายนอกอย่างลึกซึ้ง ใต้หล้าจะไม่มีพ่อค้าทาสไปได้อย่างไร กระนั้นในวังหลวงอันลึกล้ำอ้างว้างแห่งนี้ ถ้อยคำลวงอันงดงามไม่กี่คำกลับเพียงพอจะมอบความกล้าหาญให้นางกำนัลน้อยที่ไร้ญาติขาดมิตรผู้หนึ่งใช้ชีวิตต่อไปให้ดีแล้ว
ฮองเฮามองดูเฉิงเซ่าซางอีกครา เด็กสาวมีเรียวคิ้วอันชดช้อยสองสาย เขียนวาดไม่เข้มไม่อ่อนอยู่บนผิวสีขาวหิมะ แลประดุจฝากร่องรอยไว้กลางหมอกฝนอันคลุมเครือ ดวงตาทั้งคู่งามกระจ่าง ยามมองผู้อื่นดั่งภายในมีระลอกน้ำไหว เพิ่งล่วงผ่านชั่วเวลาสั้นๆ ไปหนึ่งคิมหันต์ ความงามของเด็กสาวตัวน้อยถึงกับยิ่งทบทวี ประกอบกับอุปนิสัยอันขัดแย้งซับซ้อนเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่จะสะกดให้บุตรบุญธรรมของตนใหลหลง
เฉิงเซ่าซางตื่นจากนอนพักกลางวัน นางได้รับคำสั่งให้ไปรับหนังสือไม้ไผ่สองกระบอกที่โถงชั้นนอกของสำนักราชเลขาธิการ รอจนนางคารวะอำลาหวงเหมินซื่อหลาง* ผู้ดูแลหอตำราอย่างนบนอบ ก็เดินเนิบนาบมุ่งกลับตำหนักฉางชิว ไม่คาดคิดว่าเมื่อไปถึงตรอกตำหนัก กลับเจอหยวนเซิ่นที่มิได้พบหน้าเสียหลายวัน
ความจริงตั้งแต่นางเข้าวังมา ‘ศึกษาต่อ’ หากนับรวมหนนี้ด้วย นางพบเจอหยวนเซิ่นในตรอกตำหนักสามหนแล้ว
หนแรกนางกับหลิงปู้อี๋เดินตามกันไปช้าๆ หยวนเซิ่นเบี่ยงกายหลีกทางให้ แล้วปรายมองมาด้วยแววตาอันเรียบเย็นสองสามคราโดยไม่พูดจาสักคำ หนที่สองนางถูกหลิงปู้อี๋กุมมือไว้แน่นพาเดินเคียงกัน หยวนเซิ่นเดินสวนมากลางทาง เห็นมือที่เกาะกุมกันของคนทั้งสองก็เปล่งเสียงหัวเราะเย็นชาสั้นกระชั้นหลายที ปรากฏว่าสายตาที่หลิงปู้อี๋เพ่งมองกลับไปเย็นยะเยียบยิ่งกว่าเสียงหัวเราะนั้นเสียอีก เฉิงเซ่าซางจึงเบือนหน้าไม่อยากจะแลบุรุษทั้งสองคน
หนนี้ยามที่พบเจอหยวนเซิ่น เฉิงเซ่าซางเพิ่งถูกเหลียงชิวเฟยไล่หลังมาตะโกนเรียกไว้ องครักษ์หนุ่มน้อยเร่งวิ่งจนหน้าผากหลั่งเหงื่อ ส่งมอบกล่องไม้เคลือบเงารูปทรงแบนลายกิ่งไม้กระหวัดในมือของเขาให้นาง พอเฉิงเซ่าซางรับมาถึงมือ กลับหวิดจะทำกล่องหล่นกระแทกหลังเท้าตนเอง ครั้นเปิดออกดูถึงกับเป็นทองห้าสิบก้อนวางเรียงซ้อนเป็นระเบียบ เปล่งรัศมีอันเย้ายวนของทองคำแท้ แต่ละก้อนล้วนหล่อเป็นรูปทรงเกือกม้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เล็กประณีต เรืองแสงทองระยับ พาให้นางอ้าปากกว้างอย่างห้ามไม่อยู่
เหลียงชิวเฟยยิ้มกล่าว “นายน้อยบอกว่า…บัดนี้ท่านอยู่ในตำหนักฉางชิวมีงานมาก ตกรางวัลนางกำนัลใช้เหรียญสำริดยังพอได้ ทว่าตกรางวัลขุนนางที่มีขั้นยศกลับไม่เหมาะ ทองเหล่านี้ท่านวางในตำหนักไว้หยิบใช้ตามต้องการได้เลย ยามปกติก็ฝากฝังไจ๋เอ่าเก็บรักษาเป็นพอ”
“นี่…นี่จะดีหรือ” เฉิงเซ่าซางหายใจติดขัด หัวเราะแหะๆ หลายที เมื่อชายคนรักซื้อกระเป๋าซื้อเสื้อผ้าให้ นางยังสามารถปฏิเสธอย่างขึงขังเปี่ยมเหตุผล ยืนหยัดความคิดที่จะแยกกระเป๋าเงินกันก่อนแต่งงาน แต่หากชายคนรักโอนบ้านหนึ่งหลังมาให้โดยตรงเลยเล่า นางรู้สึกว่าตนเองชักจะหักห้ามใจไม่ไหวแล้ว
เหลียงชิวเฟยมุ่นคิ้วตอบ “นายหญิงน้อยอย่าเอ่ยวาจาเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้อีกเลยขอรับ คราวก่อนท่านไม่ยอมรับม้าดีสองตัวนั้นไว้ ทำร้ายพี่ชายข้าให้ถูกนายน้อยต่อว่าไปหนึ่งยก คราวนี้ท่านก็อย่าทำร้ายข้าเลยนะขอรับ”
“วางใจเถิด ข้าไม่ทำหรอก” เฉิงเซ่าซางถอนใจอย่างอ่อนแรง
รอจนเหลียงชิวเฟยจากไปแล้ว หยวนเซิ่นในชุดที่เบาสบายก็เดินพลิ้วมาด้วยท่วงท่าอันสง่างาม ครั้นเดินเนิบช้าเข้ามาใกล้ พอดีเห็นเด็กสาวถูกทองก้อนในกล่องส่องฉายจนทั่วใบหน้าเคลือบประกายทอง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะซักถาม กระทั่งฟังขันทีที่อยู่ด้านหลังเฉิงเซ่าซางตอบคำถามแทนจบ เขาก็เยาะหยันออกมา “นึกไม่ถึงว่าเจ้ารักวัตถุสีเหลืองทองขาวเงินเหล่านี้”
เฉิงเซ่าซางโต้กลับทันควัน “ในกล่องนี้ล้วนเป็นทองก้อน มีแต่วัตถุเหลืองทอง มีขาวเงินที่ใดกัน ท่านอย่าพูดส่งเดชสิ!”
หยวนเซิ่นถูกตอกหน้าเล็กน้อย “ดังนั้น…แค่นี้เจ้าก็ถูกซื้อตัวแล้ว? วันทั้งวันแสร้งวางท่าว่ามีจรรยาดีงาม จนบัดนี้ในเมืองหลวงมีแต่เสียงชื่นชมเจ้า บอกว่าในที่สุดเจ้าก็ถูกฮองเฮากล่อมเกลาจนมีความประพฤติโดดเด่น”
“ซื้อตัวอันใด พูดระคายหูเยี่ยงนี้” เฉิงเซ่าซางส่งกล่องให้ขันทีที่อยู่ข้างกาย ก่อนแสดงท่าทีให้พวกเขาถอยห่างไปหน่อย
“ไม่มีทองก้อนเหล่านี้ข้าก็จะเรียนรู้จรรยาที่ดีงามไม่ได้หรือไร อีกอย่างนะ นี่ว่าที่สามีของข้าให้มา มีอันใดที่ข้าไม่อาจใช้เล่า” บางคำพูด…ยิ่งนางพูดยิ่งฉะฉานจริงเสียด้วย “ยังมีอีก ข้าใช่มีจรรยาดีงามหรือไม่ ข้าใช่ถูกซื้อตัวไปหรือไม่ เป็นธุระกงการอันใดของท่าน! ข้ากินข้าวเจ้าข้าวฟ่างบ้านท่านไปหรือ ข้าใช้เงินทองแพรพรรณบ้านท่านไปหรือไร!”
ครานี้หยวนเซิ่นกลับไม่โกรธเคือง พิศมองนางพลางกล่าว “เจ้าสังเกตบ้างหรือไม่ นับแต่เจ้ากับข้ารู้จักกันมา คำที่เจ้าพูดกับข้าบ่อยที่สุดก็คือ ‘ธุระกงการอันใดของท่าน’ ประโยคนี้”
เฉิงเซ่าซางชะงักกึก ดูเหมือนว่า…ใช่จริงเสียด้วย “นี่เป็นเพราะ…ท่านชอบมายุ่มย่ามโดยใช่เหตุน่ะสิ!”
หยวนเซิ่นลูบสายคาดหยกตรงช่วงเอว ก่อนถามเสียงเบา “เจ้า…ตอนนี้อยู่ดีหรือไม่”
“ดีแน่อยู่แล้ว!” เฉิงเซ่าซางยกยิ้มอันทระนง “แม่นางน้อยสกุลเฉิงที่เมื่อแรกผู้คนดูแคลน แค่ออกไปร่วมงานเลี้ยงสักครั้งยังมีคนกระโดดออกมาหาว่าข้าหยาบกระด้างไร้ความรู้ ป่าเถื่อนไร้มารยาท ตอนนี้ยังจะมีอีกหรือ ตอนนี้ข้าเข้าออกวังหลวง แม้แต่องค์ชายองค์หญิงยังเกรงอกเกรงใจกับข้า คนเมื่อแรกเหล่านั้นมีใครหน้าไหนยังจะกล้ามาหาเรื่องข้าอีก!”
หยวนเซิ่นขานดังอืมคำหนึ่ง “อันที่จริง…ข้ารู้สึกว่าเจ้าแบบเมื่อก่อนดียิ่ง”
เฉิงเซ่าซางพ่นลมขึ้นจมูก “คุณชายซั่นเจี้ยน พวกเราหยุดบทสนทนาตรงนี้จะดีกว่า ตัวท่านเองสรรหาภรรยายังต้องเลือกนั่นเลือกนี่ คุณธรรมของผู้เป็นนายหญิงใหญ่เอย ชำนาญธรรมเนียมพิธีการเอย ถือสิทธิ์อันใดมาบอกให้ข้าหยาบกระด้างเรื่อยไป!”
“ต่อหน้าผู้คนเจ้าวางท่าเล็กน้อยก็พอแล้ว ใครจะให้เจ้าหัดจนชำนาญธรรมเนียมพิธีการอันใดนั่นกันเล่า” หยวนเซิ่นพูดอย่างคั่งแค้น
เฉิงเซ่าซางพลันตระหนักได้ จึงเอ่ยเย้ยหยัน “อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง คุณชายซั่นเจี้ยน หรือว่าท่านเองก็ปฏิบัติเยี่ยงนี้? เอ๋? เหตุใดข้าต้องหัดจนชำนาญธรรมเนียมพิธีการด้วยหนอ เกี่ยวอันใดกับข้ากันนะ”
หยวนเซิ่นซักไซ้โดยไม่ไปสนใจคำยั่วยุของนาง “เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลย ตกลงเจ้าอยู่ดีมีสุขหรือไม่ ไม่ใช่เฉพาะยามอยู่ต่อหน้าผู้คน แต่หมายรวมถึงเวลาที่อยู่ลับหลังผู้คนด้วย ในใจเจ้ามีความสุขหรือไม่”
เฉิงเซ่าซางช้อนตามองไปทางกำแพงตำหนักก่อนเอ่ยเรียบๆ “ข้ารู้ว่าท่านคิดจะถามอันใด เพียงแต่…ข้าต้องการจะบอกท่านว่า…ไม่ว่าเป็นอย่างไรข้าย่อมจะทำให้ตนเองอยู่ดีมีสุข นี่ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น ไม่เกี่ยวกับใครผู้ใดทั้งสิ้น”
หยวนเซิ่นจับจ้องนางเนิ่นนาน “สมัยนี้แม่นางน้อยที่ขี้คุยนับวันยิ่งมีมาก ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะตั้งตารอดูแล้วกัน”
* ฟืนแห้งเพลิงแรง เปรียบเปรยถึงอารมณ์ปรารถนาอันร้อนแรงของชายหญิง โดยเพลงดาบสายใยพันผูกกับเพลงฝ่ามือฟืนแห้งเพลิงแรงนี้ปรากฏในบทภาพยนตร์เรื่องมังกรหยก หยกก๊าหว่า (The Eagle Shooting Heroes) เป็นกระบวนท่าที่หวงเย่าซือ (อึ้งเอี๊ยะซือ) ฝึกร่วมกับซู่ชิวศิษย์น้องหญิงของเขา ในที่นี้ผู้เขียนยกมากล่าวถึง เพราะท่าทางของนางกำนัลสองคนนั้นดูเป็นมิตรกันมากกว่าเป็นอริ
* แมวหลีฮวา (หรือ Dragon-Li) เป็นแมวซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศจีน มีขนสีดำสลับเทาเป็นริ้วลายคล้ายหนังเสือ หัวกลม ตากลมสีเหลืองทองจนถึงสีเขียว
* กุยอวี๋ คือปลาแซลมอน
* หวงเหมินซื่อหลาง เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางที่รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ในสมัยฮั่นหน้าที่หลักคือสื่อสารงานระหว่างฮ่องเต้กับราชเลขาธิการ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.