บทที่ 89
ในเมื่อวันนี้เหล่าคนใหญ่คนโตได้กำหนดผลลงเอยให้กับพฤติการณ์อันเลวร้ายกรณีนี้ไว้แต่แรก ขันทีร่างกำยำแรงดีฝีมือช่ำชองกลุ่มหนึ่งจึงแยกย้ายกัน ‘ควบคุมตัว’ ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากับฉุนอวี๋ซื่อในทันที คนแรกถูกคุมตัวขึ้นรถม้าของวังหลวงอย่างฉับไว จากนั้นจะส่งไปยังอารามซานไฉที่นอกเมืองโดยตรง เพราะหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าพูดแทรกมาว่าไม่ต้องให้นางกลับจวนแล้ว เขาจะช่วยเก็บของมีค่าของภรรยาส่งตามไปให้เอง สำหรับคนหลังถูกจัดการอย่างโผงผางเรียบง่าย ขับพ้นประตูวัง แล้วลบชื่อออกจากรายนามผู้มีสิทธิ์เข้าออก
จัดการเรื่องใหญ่นี้เสร็จสิ้น เฉิงเซ่าซางผู้มีสายตาเฉียบไวค้นพบว่าผู้คนในโถงตั้งแต่ฮ่องเต้จนถึงอวี๋โหวคล้ายมีความรู้สึกโล่งอกกันทั้งสิ้น อวี๋โหวยังเอ่ยด้วยสำนวนบัณฑิตว่า “หาใช่ไม่นับญาติมิตร หากแต่เพราะหน้าตาของประมุขแผ่นดินนั้นเกี่ยวพันถึงแว่นแคว้นด้วย”
หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าคิ้วตาแต้มยิ้ม ตบหนึ่งฝ่ามือใส่กลางหลังของอีกฝ่าย “พูดได้ดี! แต่เล็กจนโตอ่านตำราเยอะแยะไม่เสียเปล่าจริงเสียด้วย พักก่อนข้าเพิ่งได้สุราที่บ่มจากผลไม้ป่ามาหลายไห หอมหวานเข้มข้นยิ่ง วันนี้ข้าต้องดื่มกับเจ้าให้เต็มคราบสักครา!”
อวี๋โหวทั้งมีอาวุโสทั้งครองตำแหน่งสูงสุดของเหล่าขุนนาง แต่กลับถูกตบหลังจนซวนเซ หวิดจะล้มคะมำตกบันได เขาได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ก่อนถูกหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าผู้สุขสันต์กับวันแยกทางดึงตัวไปถวายบังคมลาแล้วพาออกไปพร้อมกัน
เยวี่ยเฟยหาวนิดๆ “ข้าง่วงแล้ว ต้องไปนอนกลางวันก่อน ฝ่าบาท ฮองเฮา หม่อมฉันทูลลาเลยนะเพคะ” นางพูดพลางคำนับให้ฮ่องเต้กับฮองเฮา จากนั้นเดินโคลงเคลงมุ่งสู่นอกโถง
“นี่ๆ เจ้ายังไม่ได้กินอาหารกลางวันเลยนะ นอนอะไรกัน!” ฮ่องเต้ตะโกนไล่หลังนางไป
เยวี่ยเฟยกล่าว “หม่อมฉันไม่ต้องขึ้นเขาล่าเสือ ลงนาเพาะปลูกเสียหน่อย เช้าจรดค่ำนั่งว่างไม่มีงานการ อยากกินเมื่อใดค่อยกินเมื่อนั้นก็ได้เพคะ”
ฮ่องเต้ได้แต่จำยอมมองนางจากไป ก่อนหันมาจูงฮองเฮาไปกินอาหารกลางวัน “ไม่ต้องสนใจนาง พวกเราไปกินอาหารกัน ไปๆ”
ฮองเฮาทำราวไม่มีเรื่องใด ยังคงขานรับเสียงเบาอย่างสุภาพภูมิฐาน
เฉิงเซ่าซางเห็นภาพฉากนี้แล้วไม่แคล้วอยากแสดงความเห็นอีกคราว่า ‘ฮองเฮาจะไม่มีความน่ายำเกรงต่อหน้าสนมชายาเลยมิได้’ ทว่ากลับถูกหลิงปู้อี๋จูงพาออกไปก่อน จวบจนเดินพ้นลานมาถึงที่โล่งปลอดคน นางค่อยเอ่ยปาก “ฝ่าบาทก็จริงๆ เลยเชียว ในเมื่อทรงคิดจะจัดการหญิง…หญิง…หญิง…” เด็กสาวอยากเอาอย่างหัวหน้าเหวย* ตะโกนคำว่า ‘หญิงโคมเขียวเฒ่า’ ออกไปสักหน ทว่าจนใจที่กำลังขวัญไม่เพียงพอ “…หญิงชราที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บนั่นแต่แรกแล้ว เหตุใดไม่เร่งลงมือสักหน่อย ปล่อยให้ฮองเฮาทรงถูกระรานหนึ่งยกเปล่าๆ!”
“เจ้านึกว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะจัดการทิ้งตามใจชอบได้หรือ” หลิงปู้อี๋ถาม
“หรือว่าไม่ใช่?” ท่านลุงที่สวมฉลองพระองค์มังกรผู้นั้นคือฮ่องเต้ตัวจริงเสียงจริงเชียวนะ ไม่ใช่คนที่แต่งตัวเลียนแบบสักหน่อย ไม่ว่าจะลงทัณฑ์หรือตกรางวัลล้วนถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณมิใช่หรือไร
หลิงปู้อี๋เหลียวมองรอบทิศ ก่อนแย้มยิ้มจูงพาเด็กสาวเดินไปยังมุมเปลี่ยวที่อยู่ด้านข้าง “ที่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเหิมเกริมวางโตเพราะพึ่งพาสองข้อ ข้อแรก…ฝ่าบาทกับพี่น้องชายหญิงสูญเสียบุพการีไปตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งหมดถูกเลี้ยงอยู่ด้วยกันในบ้านอากับอาสะใภ้ อยู่ในฐานะหลานผู้เยาว์มาสิบกว่าปี ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเรียกใช้พวกฝ่าบาทจนเคยชินนานแล้ว เจ้าลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดู หากเป็นเฉิงจู้หรือเฉิงโอวน้องชายคนเล็กทั้งสองที่เล่นสนุกอยู่ข้างกายเจ้ามาแต่เด็ก ชั่วเวลาสั้นๆ เจ้าสามารถมองเขาเป็นเจ้าเหนือหัว พินอบพิเทาต่อเขาได้ในทันทีหรือ”
เพียงนึกถึงเด็กซนน้ำมูกย้อยสองคนในบ้าน เฉิงเซ่าซางก็พลันรู้สึกว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามีสาเหตุที่น่าให้อภัย “แต่ว่า…ต่อให้ตอนนั้นไม่อาจปรับตัว ตอนนี้ฝ่าบาทครองราชย์มาตั้งกี่ปีแล้ว นางยังวางท่าหน้าเหม็นอยู่อีก ถูกจัดการไปก็สมควร”
หลิงปู้อี๋ผงกศีรษะ ครั้นเห็นว่าไกลออกไปมีขันทีหลายคนกำลังจะมาทางนี้ จึงโบกมือให้พวกเขาถอยไปก่อน “วาจานี้ไม่ผิด เพียงแต่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ายังมีข้อที่สองอีก แม้นางจะอารมณ์ร้อน ใจคอคับแคบ แต่ก็มิได้แก่เลอะเลือนเช่นนี้มาโดยตลอด เมื่อแรกที่ฝ่าบาทร่วมชิงแผ่นดิน ทั้งที่ในใจนางเปี่ยมด้วยความไม่ยินยอม กระนั้นกลับยังคงช่วยเหลือสุดกำลัง ไม่เพียงตระเวนยืมเงินยืมคนจนทั่ว ยังเรียกระดมสตรีในครอบครัวขุนนางทั้งหลายมาเย็บซ่อมเสื้อผ้า รวบรวมยุทโธปกรณ์ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุตรชายที่สูญเสียไปสองคนติดกัน เหล่านี้มิอาจกล่าวว่านางไร้คุณความดีแม้เพียงนิด”
เฉิงเซ่าซางถอนใจกล่าว “ถึงมีคุณความดีก็ไม่อาจโอ้อวดเยี่ยงนี้ อย่างไรเสียเจ้าเหนือหัวกับขุนนางก็แตกต่าง กาลเคลื่อนโลกเปลี่ยน ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะมองตำหนักในเหมือนบ้านตนเองไม่ได้กระมัง”
“คนต่ำต้อยเช่นฉุนอวี๋ซื่อไม่อาจก่อคลื่นลม ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง ทว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่านั้นไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนนางยังเสนอชื่อคนเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เป็นประจำ ต่อมาฝ่าบาทค่อยๆ เพิกเฉยต่อผู้อาวุโสท่านนี้ เรื่องที่นางร้องขอมักทรงไม่อนุญาต คนที่นางเสนอชื่อมักทรงไม่ใช้งาน หลายปีให้หลังท่านอ๋องผู้เฒ่าแยกกันอยู่กับนาง ยิ่งทำให้บารมีของนางลดฮวบ บัดนี้นางจึงมีปัญญารบเร้าเซ้าซี้แค่เรื่องแต่งงานของบุตรหลานเท่านั้น”
“ ‘ต่อมา’ ที่ท่านเอ่ยนี้…เริ่มตั้งแต่มารดาของท่าน…หย่าร้างกับบิดาของท่านหรือ” เฉิงเซ่าซางสอบถามอย่างระมัดระวัง
หลิงปู้อี๋ก้มหน้ายิ้ม จากนั้นเรียวคิ้วปานทิวเขาค่อยมุ่นนิดๆ “ไม่ใช่ เริ่มตั้งแต่ท่านแม่ของข้า ‘ป่วย’ ”
เฉิงเซ่าซางใจเต้นตุบ ต้องบอกว่าหัวหน้าเซียวมีฝีมือไม่เบาจริงๆ เรื่องที่คาดคะเนมักถูกต้องถึงแปดเก้าส่วน มิน่าเล่า ท่านพ่อเฉิงถึงสามารถอยู่รอดในการแข่งขันคัดคนออก ท่ามกลางกลียุคที่สิบคนอาจไม่เหลือแม้เพียงหนึ่ง
“ตอนนั้นขุมกำลังของฝ่าบาทไม่แข็งแกร่ง ดินแดนที่ยึดครองมีเพียงเมืองหลวงแห่งนี้กับเมืองโดยรอบอีกเล็กน้อย ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าคือนายหญิงที่มีอาวุโสสูงสุดในครอบครัวของฝ่าบาท มิเพียงมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ ยังมีบุญคุณที่เลี้ยงดู หลายปีมานี้ฝ่าบาททรงรับคนไว้ไม่น้อย มีทั้งคนบ้านเดียวกัน แม่ทัพที่ยอมจำนน ตลอดจนตระกูลใหญ่กับผู้กล้าที่มาสวามิภักดิ์เพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง…”
“ท่านลุงวั่นกับท่านพ่อข้าก็เลื่อมใสในชื่อเสียงของฝ่าบาท จึงมุ่งตรงมาสวามิภักดิ์โดยเฉพาะ” เฉิงเซ่าซางรีบสอดแทรก
หลิงปู้อี๋หัวเราะขัน “ไฉนข้าได้ยินมาว่าช่วงหลายปีนั้นท่านพ่อเจ้าตระเวนเสาะหานายที่ปราดเปรื่องไปทางโน้นทีทางนี้ทีเล่า” อย่างวั่นซงไป่กับเฉิงสื่อที่นำกองทัพตะลอนไปทั่ว มุ่งมั่นจะเสาะหาลูกพี่ใหญ่ที่ดีสักคนให้ได้นี้ มีให้เห็นไม่บ่อยจริงๆ
เฉิงเซ่าซางออกแรงตีเขาหนึ่งที ก่อนดุว่าอย่างยิ้มแย้ม “ประโยคที่ว่า ‘มองทะลุแต่ไม่พูดเปิดโปง’ น่ะ ท่านไม่รู้จักหรือ”
หลิงปู้อี๋หัวเราะจบค่อยเอ่ยต่อ “เอาล่ะ เจ้าลองคิดจากมุมมองของผู้อื่นดู อย่างกลุ่มคนเช่นเจ้าเมืองวั่นกับบิดาเจ้า ท่ามกลางกลียุคออกเสาะหานายที่จะสามารถฝากชีวิต ทว่าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า หากได้ยินว่าฝ่าบาททรงให้ผู้เป็นอาหย่าขาดอาสะใภ้ที่เลี้ยงดูพระองค์มาจนเติบใหญ่ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้สาเหตุเบื้องหลัง คนกลุ่มนี้จะคิดเห็นกันเช่นไร”
“คง…คงจะ…คิดว่าฝ่าบาททรงแล้งน้ำพระทัยอยู่บ้าง”
“คนกลุ่มนี้ยังพอทำเนา พวกแม่ทัพที่ยอมจำนนส่วนใหญ่มีหนี้เลือดอยู่กับเหล่าแม่ทัพของฝ่าบาท คนไม่น้อยยังมีทหารบริวารกับทรัพย์สินจำนวนมาก เดิมทีก็หวาดระแวงทั้งวี่วันอยู่แล้ว ที่ยอมวางอาวุธก็เพราะเชื่อว่าฝ่าบาททรงมีสัจจะเมตตา ยินดีอภัยโทษให้พวกเขา แต่หากมีคนยั่วยุแม้เพียงนิด เรื่องราวจะเป็นเช่นไรก็พูดได้ยากแล้ว”
“แต่ตอนนี้…” เฉิงเซ่าซางพลันเอ่ย “แผ่นดินทั่วหล้าอยู่ในความครอบครองของฝ่าบาทถึงสามในสี่ส่วน เกียรติภูมิกับพระบารมีล้วนเหนือกว่ากาลก่อนชนิดไม่อาจเทียบเปรียบได้ ความกริ่งเกรงเมื่อแรกย่อมไม่ดำรงอยู่อีก” นี่สินะคือสาเหตุหลัก
หลิงปู้อี๋ลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ยังเป็นเพราะชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าข่มเหงฮองเฮาเกินไป”
เฉิงเซ่าซางทำปากแบน พูดประชดประชัน “มิน่าเล่า คราวก่อนเยวี่ยเฟยตรัสว่าน้ำใจที่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามีต่อฉุนอวี๋ซื่อซาบซึ้งไปถึงชั้นฟ้า เป็นเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย”
“หึๆ นั่นก็ไม่แน่หรอก” หลิงปู้อี๋เผยรอยยิ้มอันพิเศษเฉพาะตัว “ต่อให้เป็นแค่รองนายอำเภอเล็กๆ ผู้หนึ่ง เวลาผ่านไปนับสิบกว่าปี อำนาจในอำเภอก็หยั่งรากซับซ้อนได้เช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับผู้มีฐานะระดับชายาอ๋องผู้เฒ่า ข้างกายย่อมจะมีผู้สนับสนุนอยู่ ตอนที่นางทะเลาะแตกหักกับท่านอ๋องผู้เฒ่า มีคนไม่น้อยออกมาช่วยไกล่เกลี่ย ท่านอ๋องผู้เฒ่าไม่อาจสลัดนางทิ้ง จึงได้แต่ขอเป็นฝ่ายไปบำเพ็ญพรตที่นอกเมืองเอง หากนางไม่อาจปกป้องกระทั่งฉุนอวี๋ซื่อที่เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตได้ เช่นนั้นใครเล่ายังจะไม่รู้ว่านางสิ้นบารมีแล้ว”
“บารมีอันใดกัน” ความฉงนเกลื่อนใบหน้าเฉิงเซ่าซาง “ก็แค่โหวกเหวกโวยวายในวังเท่านั้น จนแล้วจนรอดข้าก็ยังไม่เข้าใจ ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าวางโตเยี่ยงนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่”
“เด็กโง่” หลิงปู้อี๋ขยี้เรือนผมของเด็กสาวเบาๆ ใบหน้าฉาบล้นด้วยความรักถนอม “ในสายตาเจ้า ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าก็แค่เสียงดังไปบ้าง แต่ในสายตาของผู้มีเป้าประสงค์ กลับมองเห็นทรัพย์สินนับไม่ถ้วน รวมถึงอำนาจอันไร้ขอบเขต”
เฉิงเซ่าซางมองหลิงปู้อี๋อยู่พักใหญ่ค่อยเอ่ยตอบ “…หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าไปบำเพ็ญพรตที่นอกเมือง มิใช่เพื่อจะหนีหน้าภรรยาที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผล หากแต่เพื่อจะสลัดความเกี่ยวข้องสินะ” มิน่าเล่า บุรุษตัวโตที่ไม่ได้ขลาดเขลาอ่อนแอผู้หนึ่ง จะออกจากบ้านเพียงเพราะกลัวภรรยาได้อย่างไรกัน
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมาชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากระทำเรื่องใดลงไป ก็จะไม่เกี่ยวอันใดกับเขาทั้งสิ้น เพราะว่า…เขาคือผู้ที่ยืนกรานจะปลดชายา คือผู้ที่เห็นแก่ส่วนรวมจึงได้ยอมทนกล้ำกลืนเชียวนะ” เบื้องหน้าสายตานางผุดภาพใบหน้าระรื่นเป็นกันเองดูไร้เหลี่ยมเล่ห์โดยสิ้นเชิงของท่านอ๋องผู้เฒ่า
“ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นที่เจ้าว่ามาหรอก เพียงแต่…” หลิงปู้อี๋เอาสองมือไพล่หลัง ทอดตามองปลายชายคาที่เหินสูงของตำหนักฉางชิวซึ่งอยู่ไม่ไกล ชุดยาวสาบตรงสีจันทร์ทรงกลดบนร่างของเขาพัดพลิ้วล้อลมฤดูสารท ท่วงทีองอาจสง่างาม “คนเราบางคน ต่อให้ตนเองไม่มีใจละโมบ ทว่ากับบุตรหลานและบริวารคนสนิท จะหักใจไม่ให้การดูแลมากหน่อยได้อย่างไรเล่า”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ “เดิมฝ่าบาททรงหมายให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าค่อยๆ ลดบทบาทหายหน้าไปเป็นพอ ไหนๆ นางก็ไม่มีปัญญาสอดมือก้าวก่ายเรื่องสำคัญ อีกทั้งเป็นอาสะใภ้ของพระองค์เอง ไม่ถึงยามจำเป็น ฝ่าบาทย่อมไม่อยากจะถือสาหาความอีก ใครจะรู้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากลับดึงดันรนหาทางตันให้ได้ เฮ้อ ฮองเฮาทรงอ่านข้อนี้ไม่กระจ่าง ถึงได้ยอมถอยให้หญิงชราผู้นี้ไปเสียหมด ที่จริงฮองเฮาควรทำเหมือนเยวี่ยเฟย…”
“เป็นข้าทูลเตือนฮองเฮาเองว่าอย่าได้เข้าแทรกเรื่องของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า” หลิงปู้อี๋พลันกล่าว
เฉิงเซ่าซางปากอ้าลิ้นพัน
หลิงปู้อี๋เห็นนางออกอาการเหลอหลาเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ “ข้าให้ฮองเฮาทรงอดกลั้นยามพบปะชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเป็นการชั่วคราว ฝ่าบาทมีพระเนตรพระกรรณเฉียบคม ความเสียเปรียบนี้จะไม่ทนรับเปล่าๆ แน่”
“ชะ…เช่น…เช่นนั้นเหตุใดเยวี่ยเฟยจึงกะ…กล้า…กล้า…” เฉิงเซ่าซางถึงกับติดอ่าง
“เรื่องที่ฮองเฮามิอาจตรัส เยวี่ยเฟยตรัสได้ เพราะว่าคนสกุลเยวี่ยล้มตายไปมากกว่าบุตรชายของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า คุณความชอบที่สร้างไว้ก็ยิ่งใหญ่กว่าของท่านอ๋องผู้เฒ่า ตัวเยวี่ยเฟยเองยังเสี่ยงตายติดตามฝ่าบาท เผชิญอันตรายมาหลายครา ยามอยู่ต่อหน้าเยวี่ยเฟย ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะมีความมั่นใจเอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนได้อย่างไรกันเล่า”
เฉิงเซ่าซางหน้าอกยุบพอง ยามเผยอปากอีกครารู้สึกว่าปากลิ้นฝืดเฝื่อน “…กลับกัน สกุลเซวียนของฮองเฮาทั้งมิได้สร้างคุณความชอบมากน้อยอันใด ทั้งไม่มีบุตรหลานตายเพื่อฝ่าบาทเท่าใดนัก?”
หลิงปู้อี๋ยืนหันหลังให้แสงตะวัน มองนางด้วยแววตาอันลุ่มลึก “สกุลเซวียนมีสมาชิกบางตา อีกไม่กี่วันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮา ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้เห็นเซวียนโหวน้องชายร่วมอุทรของฮองเฮาแล้ว เขาเข้าวังมาทุกครั้งล้วนนำอัญมณีของล้ำค่ามาจำนวนมาก น่าจะมีเก็บไว้ให้เจ้าด้วยหนึ่งชุดใหญ่”
เฉิงเซ่าซางตรึกตรองรอบหนึ่งก่อนเอ่ย “เพราะฉะนั้น…เซวียนโหวไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถสินะ”
“เจ้าต้องคิดในแง่ดีสิ” หลิงปู้อี๋เอ่ยปนยิ้ม “เมื่อแรกเจ้าลั่นวาจาอันห้าวหาญไว้กับโหลวเหยาไม่ใช่หรือ บอกว่า ‘มีความรกร้างเต็มสายตา จึงจะได้สำแดงฝีมือเต็มที่ สำเร็จผลงานอันเยี่ยมยอด หากมีความรุ่งโรจน์เต็มสายตา ท่านจะไปทำสิ่งใดเล่า’ นี่อย่างไรกัน ตอนนี้เห็นฝ่ายฮองเฮาขุมกำลังอ่อนด้อย เจ้าก็ท้อเสียแล้ว?”
เฉิงเซ่าซางขึงตาใส่เขาหนึ่งทีอย่างมีน้ำโห “ไม่มีทางเสียล่ะ! จะมีตระกูลฮองเฮาที่ร้ายกาจเช่นนั้นไปทำอันใด ให้มาตีเสมอกับฝ่าบาทหรือ ในเมื่อแต่งตั้งฮองเฮาพระองค์นี้ ฝ่าบาทย่อมจะมีพระดำริของพระองค์เอง ข้าไม่กลัวหรอก! อีกอย่าง มิใช่…มิใช่ยังมีใต้เท้าหลิงอยู่ทั้งคนหรือ”
“หากตัดประโยคสุดท้ายออก ถ้อยคำนี้จะมีพลังมากทีเดียว” หลิงปู้อี๋ทอยิ้ม
เฉิงเซ่าซางขบคิดแล้วหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางเองก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ช่างแข็งนอกอ่อนใน
เดิมนางหมายจะจูงหลิงปู้อี๋กลับตำหนักฉางชิวไปร่วมกินอาหารกลางวันกับฮ่องเต้และฮองเฮา แต่หลิงปู้อี๋บอกว่าจะต้องไปหาเหล่านายทัพหน่วยทหารส่วนพระองค์เพื่อพูดคุยเรื่องการอารักขาในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮา ประเดี๋ยวเขาค่อยกลับมาหานาง หนุ่มสาวสองคนจึงได้แต่แยกจากกัน
เมื่อเฉิงเซ่าซางกลับถึงตำหนักฉางชิว ฮ่องเต้ก็กินอาหารเสร็จแล้วและกำลังดื่มสุราผลไม้อยู่ เฉิงเซ่าซางเห็นเนตรมังกรกวาดมองมา หัวใจก็สะท้านวูบ รีบทูลตัดหน้าว่าเป็นหลิงปู้อี๋เองที่ต้องการจะไปให้ได้ หาใช่นางไร้น้ำใจไม่รั้งคู่หมั้นกินอาหาร ทว่าฮ่องเต้จะอบรมผู้ใดย่อมหาเหตุได้เสมอ
ฮ่องเต้กล่าว “เจ้านึกว่าจื่อเซิ่งว่างงานเหมือนเจ้าหรือ วันทั้งวันกินๆ ดื่มๆ ไร้ทุกข์ไร้กังวล ดูเจ้าสิ เมื่อวานนอนเคลิ้มบนหมอนสูงตลอดทั้งวันจนหน้ากลมแล้ว จื่อเซิ่งเล่า นับแต่เข้าฤดูสารทมา เขาดูผ่ายผอมอีกแล้ว”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกถึงความอยุติธรรมล้นใจ อยากพูดเหลือเกินว่า ‘ในเมื่อพระองค์ทรงห่วงใยถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่มอบหมายงานให้เขาน้อยลงหน่อยเล่า’ กระนั้นปากกลับได้แต่เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา! หม่อมฉันเองก็รู้ว่าใต้เท้าหลิงตรากตรำ จึงได้จัดตำรับอาหารบำรุงสำหรับฤดูสารทและเหมันต์ไว้หลายตำรับ กำลังเตรียมจะบำรุงใต้เท้าหลิงเป็นอย่างดีเลยเพคะ! อ้อ ยังมีฮองเฮาอีกพระองค์หนึ่ง หม่อมฉันก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว”
ฮ่องเต้แค่นเสียงฮึสองสามหน “นี่ค่อยยังชั่ว”
ฮองเฮาถอนใจอยู่ด้านข้างอย่างจนปัญญา “เอาล่ะ เจ้าไปกินอาหารเถิด นอนพักกลางวันแล้วค่อยมาหาข้า”
เฉิงเซ่าซางดุจได้รับการอภัยโทษ เผ่นแน่บราวเหินบิน
ในตำหนักปีก ไจ๋เอ่าเก็บอาหารไว้ให้เด็กสาวแต่แรกแล้ว เฉิงเซ่าซางจึงกินไปบ่นไป “ฝ่าบาททรงยังไม่พอพระทัยข้าอยู่นั่นเอง”
ไจ๋เอ่ายิ้มพลางเอ่ยแย้ง “ความจริงฝ่าบาทโปรดปรานท่านต่างหาก ผู้ที่ทรงรังเกียจจริงๆ จะตรัสด้วยมากเช่นนั้นหรือ”
เฉิงเซ่าซางถามหน้าตาขื่นขม “ไจ๋เอ่า หน้าข้ากลมแล้วจริงๆ น่ะหรือ ความจริงเมื่อวานข้า…” นางพลันตระหนกวูบ ชะงักคำพูดไป คล้ายก้นบึ้งของหัวใจถูกปลายเข็มอันเรียวบางทิ่มตำหนึ่งหน ไม่ถึงกับเลือดตกยางออก ทว่าเจ็บตื้อๆ
ไจ๋เอ่ากล่อมเสียงรัวว่าแม่นางน้อยไม่อ้วนเลยสักนิด ทั้งกล่าวคำปลอบโยนชวนฟังอีกหลายประโยค ทว่าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวบรรยากาศกลับเย็นเยียบลงเสียแล้ว นางรู้สึกชอบกล จึงถามเฉิงเซ่าซางว่าเหตุใดไม่พูดจา เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเล่า
เฉิงเซ่าซางฝืนยิ้ม “ไม่มีอันใดหรอก แค่วันนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนั้นขึ้น เมื่อครู่ยังไม่รู้สึก ตอนนี้ค่อยรู้สึกว่าเนื้อตัวอ่อนล้ายิ่ง”
ไจ๋เอ่าคิดว่าถูกของอีกฝ่าย จึงบอกให้เด็กสาวกินเสร็จแล้วรีบไปพักผ่อน
หลังมื้ออาหาร เฉิงเซ่าซางกลับไปที่ห้องพักของตน นางนั่งอยู่ริมหน้าต่างเป็นนานก็ยังรู้สึกว่าในห้องอุดอู้ จึงอ้างว่าจะไปตัดเบญจมาศฤดูสารทหลายกิ่งมาตกแต่งห้องสักหน่อย จากนั้นเดินออกไปสูดอากาศในลาน เหล่านางกำนัลล้วนรู้ว่าเฉิงเซ่าซางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้กับฮองเฮา ย่อมจะไม่ขัดขวางนางตัดบุปผา
เฉิงเซ่าซางยืนบริเวณที่มีกิ่งใบแน่นขนัดและปลอดคน สงบใจตัดแต่งกิ่งส่วนเกินออกช้าๆ ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งพลันดังมาให้ได้ยิน “เซ่าซาง เหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ หรือเพื่อให้ข้ามาหาง่ายขึ้น”
นางค่อยๆ หมุนตัวมา เพ่งมองบุรุษที่เยื้องย่างย้อนแสงตะวัน ดูเหมือนเขาดื่มสุรามาเล็กน้อย บนดวงหน้าอันหล่อเหลาจึงผุดระลอกสีแดงระเรื่ออันชวนหวั่นไหว
“ปกติเวลานี้เจ้าจะนอนกลางวันไม่แตะงานใดนี่นา ไฉนวันนี้ออกมาเดินเตร็ดเตร่ได้เล่า” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอบอุ่น แม้กระทั่งยามปลอดคนและเมาสุรานิดๆ เช่นนี้ เขาก็ยังคงมีอิริยาบถอันเข้าที ฝีก้าวไม่เร็วไม่ช้า
หลิงปู้อี๋วางมือบนหัวไหล่ของเด็กสาว แม้มีอาภรณ์กางกั้น นางก็ยังสัมผัสได้ถึงนิ้วมืออันเรียวยาวมีพลังนั้น ขอเพียงมันออกแรงเล็กน้อย ก็สามารถบีบกระดูกสะบักของนางให้แหลกไปต่อหน้าต่อตา
เขากล่าวเสียงนุ่มนวล “เป็นอะไรไป นอนไม่หลับหรือ”
เฉิงเซ่าซางบิดหัวไหล่ออกจากฝ่ามือเขาโดยไม่แสดงสีหน้า ก่อนวางกรรไกรสำริดลงช้าๆ “เหตุใดท่านไม่ถามข้าว่าฝากคำพูดถึงหยวนเซิ่นด้วยเรื่องใด”
หลิงปู้อี๋ไม่ไหวติง มีเพียงม่านตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นที่หดตัววูบหนึ่ง รอยยิ้มไม่คงอยู่บนใบหน้าแล้ว
เฉิงเซ่าซางเห็นอยู่ในสายตา ในที่สุดเสี้ยวเวลาสุดท้ายนี้นางก็แน่ใจจนได้
“งิ้วฉากเด็ดที่พวกท่านแสดงกันวันนี้ต้องให้อวี๋โหวกับหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าอยู่พร้อมหน้า ทั้งต้องรุดมาถึงตอนที่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากำลังราวีฮองเฮาพอดี ใต้หล้ามีเรื่องประจวบเหมาะเพียงนี้เมื่อไรกัน ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าไม่ได้เข้าวังมาบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นนับเวลาตั้งแต่นางก้าวเข้าตำหนักจนกระทั่งพวกท่านรุดมาถึง อย่างมากก็แค่ครึ่งชั่วยาม หากบอกว่าบังเอิญอวี๋โหวหารืองานอยู่กับฝ่าบาทที่สำนักราชเลขาธิการ เช่นนั้นท่านอ๋องผู้เฒ่าในอารามซานไฉที่นอกเมืองเล่า เขาเข้าวังเฉพาะวันขึ้นปีใหม่ติดกันมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ
ต้องเป็นเพราะผู้จัดฉากท่านนี้…เห็นเมื่อวานฉุนอวี๋ซื่อออกจากบ้านข้าด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น ครั้นสะกดรอยตามนางไป รู้ว่านางไปร้องทุกข์กับชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่จวนหรู่หยางอ๋อง จึงคาดการณ์ได้ว่าวันนี้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจะต้องเข้าวังมาหาเรื่องข้าแน่ เดิมทีข้านึกว่านี่เป็นการกระทำของฝ่าบาท ซึ่งไม่แปลกเลย ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวอยากสืบพฤติกรรมของข้าราชบริพาร ไม่มีผู้ใดว่าอันใดอยู่แล้ว แต่เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสว่าเมื่อวานข้า ‘นอนเคลิ้มตลอดทั้งวัน’ หากทรงสืบพฤติกรรมคนบ้านข้าอยู่จริงๆ มีหรือจะรู้แค่ว่าฉุนอวี๋ซื่อมาเยือนช่วงบ่าย แต่กลับไม่รู้ว่าช่วงสายข้าเล่นสนุกอยู่ที่จวนสกุลวั่นสองชั่วยามเต็มๆ
ใต้เท้าหลิง เป็นท่านกระมัง เป็นท่านที่จัดฉากนี้ ฝ่าบาทน่าจะแค่มีรับสั่งให้คนไปสืบเล็กน้อยตอนที่ได้ข่าวว่ามีเรื่องที่สกุลเฉิง ผิดกับท่าน…ท่านต่างหากที่ให้คนสอดแนมข้ามาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก!” เฉิงเซ่าซางหน้าอกยุบพองอย่างรุนแรง ฝืนข่มใจไม่ไปฉวยกรรไกรสำริดเล่มนั้น…แม้ว่าฉวยมาแล้วน่าจะไม่มีประโยชน์อันใดก็ตาม
หลิงปู้อี๋เอ่ยเรียบๆ “เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทจริงๆ ที่จะให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าใช้ชีวิตสงบในบั้นปลาย”
“แต่นั่นก็เป็นเวทีงิ้วที่ท่านตั้งขึ้นอยู่ดี!” เฉิงเซ่าซางกำหมัด ตะโกนออกมาเบาๆ “ช่างเถิด ก็เหมือนที่นายหญิงเหวินซิวว่าไว้ ท่านคือสุนัขรับใช้ของฮ่องเต้! แต่ว่านะ…”
“อย่าได้เอาคำพูดของสตรีโง่เขลานั่นมาเหน็บแนมข้า” หลิงปู้อี๋สีหน้าเย็นชา “ฮองเฮาตรัสไว้ไม่ผิดเลย ปากของเจ้าสมควรจะควบคุมได้แล้ว”
เฉิงเซ่าซางถูกน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกน่ายำเกรงนี้สยบจนขดร่างเล็กน้อย
“ใต้หล้านี้มีแต่คนที่อยากจะห้อมหน้าล้อมหลังฝ่าบาท แม้แต่บิดากับพี่ชาย รวมถึงท่านลุงวั่นของเจ้า มิใช่มุ่งหวังจะถวายรับใช้ฝ่าบาทหรอกหรือ ข้าเป็นสุนัขรับใช้ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักใครบ้างไม่ใช่ ใครบ้างไม่อยาก หากสะอาดสูงส่งจริงๆ ไฉนไม่เอาอย่างเทพเซียนเหยียนท่านนั้น ออกจากเส้นทางขุนนาง เร้นกายไปมีอิสรเสรีตามลำพังเสียเล่า ท้องพระโรงวังทักษิณ สำนักราชเลขาธิการวังอุดร บัณฑิตในโถงถกปรัชญา นักรบในสนามฝึกยุทธ์ มีใครกันไม่อยากกลายเป็นคนสนิทของฝ่าบาท!”
เฉิงเซ่าซางถูกบารมีของเขากดดันถึงกับพูดจาไม่ออกชั่วขณะ ต้องหอบหายใจแรงๆ หลายครากว่าจะหายใจคล่องขึ้น “ได้ ท่านมีเหตุผล เช่นนั้นเหตุใดท่านต้องจับตาดูข้าด้วย นี่ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาทกับราชสำนักแล้วกระมัง!”
“หากมิใช่ข้าเฝ้าดูเจ้าทุกเวลา จะปกป้องเจ้าจากเงื้อมมือองค์หญิงสาม รวมถึงส่งเงินให้เจ้าใช้จ่ายทันท่วงทีได้อย่างไร” หลิงปู้อี๋ไม่ยี่หระต่อข้อกล่าวหานี้
“อยู่ในวังท่านจับตาดูข้า ข้าไม่เคยมีความเห็นแย้ง ถึงอย่างไรตำหนักในก็พลิกผันสุดหยั่งคาด ข้ายังซาบซึ้งในตัวท่านมากด้วยซ้ำ!” เฉิงเซ่าซางประท้วงอย่างเร่งร้อน “แต่เมื่อวานอยู่ในบ้านของข้าเองนะ! ข้าอยู่ในบ้านจะมีเหตุไม่คาดฝันอันใดได้ ท่านยังจับตาข้าทำอะไร! ทะ…ท่าน…ท่าน…แม้แต่คนทั้งบ้านข้าก็ถูกท่านจับตาไปพร้อมกันด้วย…”
“ข้าไม่ได้จับตาคนทั้งบ้านเจ้า ข้าจับตาเจ้าเท่านั้น” หลิงปู้อี๋พลันกล่าว “แม่ทัพเฉิงแม้มีความสามารถไม่สามัญ แต่ก็ยังไม่ควรค่าให้ข้าเปลืองแรงมากเช่นนั้น”
เฉิงเซ่าซางแค่นหัวเราะติดๆ กัน “ดี ดียิ่ง ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงฝากคำพูดถึงหยวนเซิ่นท่านก็คงจะรู้แล้วสินะ”
“ก็คาดเดาไม่ยากนี่” หลิงปู้อี๋สืบเท้าอย่างแช่มช้าสง่างามมาตรงหน้าเด็กสาว แล้วเดินอ้อมตัวนางไปครึ่งรอบ เงาร่างอันสูงใหญ่ทาบทอลงมาราวจะกดทับศีรษะ เฉิงเซ่าซางถูกปกคลุมจากทุกทิศทาง ล้วนอาศัยความดื้อรั้นค้ำยันแนวสันหลังไว้ ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ
“เจ้าพบเจอโหลวเหยาบนถนน เห็นเขาหน้าม่อยคอตก ท่าทางไม่สู้ดี จึงบังเกิดความสงสาร ทว่าเซียวฮูหยินกระทำการรอบคอบ ไม่มีทางอนุญาตให้เจ้าติดต่อกับเขาอีกเป็นอันขาด เช่นนั้นเจ้าควรทำอย่างไรจึงจะรู้ความเป็นไปล่าสุดของเขาได้เล่า เจ้าไม่กล้าไปหาบิดากับพี่ชาย และไม่กล้าสืบข่าวเอง จึงอวดไหวพริบของตน นึกไปถึงหยวนเซิ่นซึ่งเป็นสหายสนิทร่วมสำนักเดียวกับพี่ชายของโหลวเหยา ทั้งยังมี ‘ไมตรี’ กับเจ้าอยู่บ้าง…”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่!” เฉิงเซ่าซางเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรแทบจะในเสี้ยวพริบตา จึงชี้แจงอย่างร้อนรน “ข้าไม่มีเรื่องไม่ชัดแจ้งอะไรกับเขาเด็ดขาด นั่นมิใช่ลบหลู่ท่านหรอกหรือ ข้าไม่ทำเช่นนี้แน่! เป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เขามาขอให้ข้าถ่ายทอดคำพูดถึงอาสะใภ้สามแทนอาจารย์หวงฝู่ เขาบอกว่าติดค้างข้าหนึ่งหน ข้าจึงคิดว่าให้เขาช่วยธุระนี้ไปเสีย จะได้เป็นอันยุติกัน!”
“เจ้ามีข้า เหตุใดยังต้องหาผู้อื่นมาช่วยอีก” ดูเหมือนน้ำเสียงของหลิงปู้อี๋จะผ่อนคลายลงบ้างแล้ว “หรือว่าใต้หล้านี้มีเรื่องอันใดที่ข้าทำไม่ได้แต่หยวนเซิ่นทำได้?! เจ้าอยากรู้ความเป็นไปล่าสุดของโหลวเหยาไม่ใช่หรือ ข้าจะบอกเจ้าเอง
โหลวเหยากับเหอเจาจวินมีช่องว่างระหว่างกันลึกซึ้งยิ่ง แม้สองคนต่างมีใจจะทำหน้าที่สามีภรรยาของตนเองให้ดี ทว่าทันทีที่มีเหตุเปลี่ยนแปลง ความปรองดองก่อนหน้านี้ก็ถูกฉีกทำลายลง หลังจากคุณชายรองโหลวกลับมาเมืองหลวง ได้หาตำแหน่งขุนนางต่างเมืองให้น้องชายร่วมอุทรตำแหน่งหนึ่ง โหลวเหยาย่อมยินดียิ่ง แต่เหอเจาจวินพะวงว่าน้องชายนางยังเยาว์ ตัวนางจึงไม่ปรารถนาไปจากเมืองหลวง ทั้งไม่ยินยอมให้โหลวเหยาไป เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าได้รู้แล้วว่าเหตุใดโหลวเหยาจึงกลัดกลุ้มอมทุกข์ เจ้าคิดจะทำอย่างไรเล่า หรือยังอยากจะไปปลอบโยนเขาสักหน่อย?” เอ่ยมาถึงประโยคสุดท้าย หลิงปู้อี๋แทบจะหัวเราะเยาะออกมา
เฉิงเซ่าซางถ้อยคำจุกคอจนลมหายใจติดขัด
ไฉนผู้คนถึงรู้สึกกันว่าหลิงปู้อี๋มีท่วงทีเช่นวิญญูชนรุ่นก่อนนะ คนผู้นี้หากคิดจะยั่วโมโหเจ้าให้ตายคาที่ ก็จะไม่มีทางทำให้เจ้าโมโหแค่ปางตายเด็ดขาด ดังนั้น…วิญญูชนรุ่นก่อนล้วนเป็นจำพวกที่ยั่วโมโหใครตายก็ไม่ต้องชดใช้ชีวิตน่ะหรือ
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าตนควรเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ เป็นแบบจู่โจมทีเผลอบุกไม่ให้ตั้งตัว เด็กสาวจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนกล่าว “เรื่องของโหลวเหยาพักไว้ก่อนชั่วคราว…”
“อ้อ ตอนนี้พักไว้เสียแล้ว? ก่อนหน้านี้ห่วงนักห่วงหนามิใช่หรือ” สีสันในดวงตาของหลิงปู้อี๋ดุจพยับเมฆ น้ำเสียงก็พิลึกคน
เฉิงเซ่าซางท่องในใจสิบรอบว่า ไม่อดทนเรื่องเล็กจะเสียการใหญ่ แล้วกดข่มอารมณ์โมโหไว้ “พวกเรามาพูดคุยกันดีๆ อย่างไรเสียโหลวเหยาใช่ว่าเพิ่งถูกเหอเจาจวินรังแกเป็นวันแรกเสียหน่อย คาดว่าชั่วครู่ชั่วยามไม่ถึงตายหรอก…”
สีหน้าของหลิงปู้อี๋ค่อยแจ่มใสขึ้นดุจฟ้าหลังฝน
“แต่ว่าท่านจับตาดูข้าเช้าจรดค่ำมันเรื่องอะไรกัน! ท่านไม่ใช่ผู้คุมนักโทษสักหน่อย!” เฉิงเซ่าซางเกือบจะสะกดอารมณ์ไม่ไหว ร้องตะโกนออกมา “หากข้ารบเร้าซักไซ้ท่านทุกวันว่าไปเจอใคร ไปทำอะไรมาบ้าง ท่านจะชอบใจหรือไร!”
“ชายหญิงแตกต่าง เรื่องนี้จะเหมือนกันได้อย่างไรเล่า” บางครั้งพระบัญชาของฝ่าบาทก็ไม่อาจให้ใครรับรู้ได้จริงๆ หลิงปู้อี๋แสนงุนงงกับท่าทีตอบสนองอันรุนแรงของเด็กสาว “ข้าเพียงแต่อยากรู้สถานการณ์ของเจ้า ที่แท้เจ้าไม่ชอบใจเพราะเหตุใดกันแน่”
เฉิงเซ่าซางแทบอยากแหงนหน้ากู่ร้อง นางตอบอย่างจริงจัง “ข้าไม่ชอบที่ท่านให้คนมาจับตาดูข้า ท่านจงให้พวกเขาถอนกำลังไปโดยไว”
“ไม่ได้” หลิงปู้อี๋ปฏิเสธอย่างเฉียบขาด ก่อนถามอย่างฉงนอีกครา “เจ้ามีเรื่องใดไม่อาจให้ข้ารับรู้หรือ”
“ท่าน! ดี หากท่านไม่ถอนกำลังคนที่จับตาดูข้าอยู่ ต่อไปข้าจะไม่ไยดีท่านอีกเด็ดขาด!” เฉิงเซ่าซางอดไม่ได้ต้องขยี้เท้า คำรามเสียงต่ำอย่างขุ่นเคือง
“เชิญตามสบาย”
หลิงปู้อี๋ไม่ปรารถนาจะฟังนางกล่าวต่อ จึงหันแผ่นหลังให้ สะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างปราดเปรียว
แสงตะวันฤดูสารทแผ่ไพศาลลอดผ่านดอกและใบอันแน่นขนัดลงมา ทิ้งเงาเป็นแต้มๆ เฉิงเซ่าซางยืนอยู่ท่ามกลางแต้มเงาของดอกและใบที่ตัดสลับกับกิ่งก้าน กุมกำปั้นยืนตัวแข็งดุจแมวหลีฮวาตัวจ้อยที่ฉุนเฉียวจนขนทุกเส้นชี้ชัน
* หัวหน้าเหวย หมายถึงเหวยเสี่ยวเป่า (อุ้ยเสี่ยวป้อ) เป็นตัวละครเอกเรื่องอุ้ยเสี่ยวป้อของจินยง (กิมย้ง) เติบโตมาในหอคณิกา
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมกราคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.