บทนำ ไปทำงานแต่ถูกฟ้าผ่า
ครืน…
เสียงฟ้าคำรามด้วยความถี่ต่ำเสมือนกับผุดขึ้นมาจากแกนโลก ควบคู่กับท้องฟ้าที่มืดสลัวและฝนห่าใหญ่ ชวนให้คนรู้สึกว่าเป็นเช้าตรู่ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเลยจริงๆ
อย่างน้อยซั่นซือฮุ่ยซึ่งติดแหง็กอยู่ในขบวนรถก็คิดแบบนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ
วันแรกของการทำงานเลยนะ…สวรรค์ วันนี้เธอเข้าทำงานประจำงานแรก อยู่ดีๆ ทำไมฟ้าแลบฟ้าร้อง ลมกระโชกฝนกระหน่ำ แล้วยังต้องมาเจอรถติดหนักอีก
ธนาคารด้ายแดงเป็นบริษัทจัดหาคู่ที่ช่วงนี้ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมากบนโลกออนไลน์ เป็นบริษัทที่เธอเฝ้าใฝ่ฝัน เธอเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีเพื่อสร้างความประทับใจให้กับเจ้าของบริษัท แต่ตอนนี้เธอกลับมาติดอยู่ในขบวนรถ
ซั่นซือฮุ่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถตาไม่กะพริบ หลังจากเห็นว่ารถเมล์กำลังเข้าใกล้ป้ายด้วยความเร็วที่สุดแสนจะเชื่องช้า พอประตูรถเปิดออกเธอก็รีบพุ่งตรงไปที่ใต้ตึกโดยไม่สนสักนิดว่าฝนจะตกหนักแค่ไหน แม้แต่ร่มก็ไม่มีเวลากาง รีบวิ่งไปยังตึกของบริษัทด้วยความเร็วสูงสุด
บริษัทอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น!
เธอหอบหายใจเล็กน้อย แต่ไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงเลย ในขณะที่เธอกำลังวิ่งเข้าไปในตึกนั้นเองกลับมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูกระจก ทำให้เธอต้องลดความเร็วลง จังหวะที่คิดจะอ้อมผ่านผู้ชายคนนั้นไปเธอก็ได้ยินเขาเอ่ยขึ้นว่า…
“ซั่นซือฮุ่ย?”
คำพูดนี้ทำให้ซั่นซือฮุ่ยรีบหยุดฝีเท้ากึก สายตามองไปทางผู้ชายคนนั้น…
เธอยากจะบรรยายความรู้สึกในชั่วพริบตานี้ได้ ไม่อาจกลั่นออกมาเป็นคำพูดสั้นๆ ราวกับถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง
ครืน! เสียงอสนีบาตดังปะทุขึ้นที่ข้างหู เบื้องหน้าปรากฏแสงสว่างสีขาวเงิน ทำให้ซั่นซือฮุ่ยลืมตาไม่ขึ้น หัวสมองพลอยขาวโพลนตามไปด้วย สติสัมปชัญญะค่อยๆ พร่ามัว
เอ่อ…ความรู้สึกแบบนี้ไม่คุ้นเอาเสียเลย เธอคงไม่ได้ถูกฟ้าผ่าเข้าหรอกนะ
ไม่นะ เธอไม่ได้สาบานอะไรมานานแล้วนี่นา!
บทที่ 1-1 แม่นางไม่สำรวมตัว
“หลังจากนั้นเล่า พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นอย่างไรต่อ”
ภายในห้องโถงใหญ่ของโรงน้ำชาคลาคล่ำไปด้วยแขกเหรื่อ ดวงตาคู่แล้วคู่เล่าของบุรุษและสตรีจับจ้องอยู่ที่อาจารย์เมิ่งยางนักเล่านิทานผู้หล่อเหลาซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง ทว่าช่วงเวลาตื่นเต้นนี้เขากลับดื่มน้ำชาอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ยั่วให้ทุกคนอยากรู้ต่อ
“ท่านก็รีบเล่าสิ”
มีคนหนึ่งพูดขึ้น ก็ย่อมมีคนที่สองส่งเสียง ทันใดนั้นในห้องโถงใหญ่พลันเกิดเสียงดังอึกทึก
เมิ่งยางวางถ้วยชาลง แล้วค่อยเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลังจากเง็กเซียนฮ่องเต้ทราบเรื่องเข้าก็พรากคู่รักคู่นี้จากกันทันที ลบความทรงจำของเซียนจิ้งจอกทิ้งและเนรเทศลงไปยังโลกมนุษย์ ส่งเทพธิดาไปอยู่ที่ยมโลก เนรเทศเซียนจิ้งจอกลงไปยังโลกมนุษย์ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าในภายหลังพวกเขากลายเป็นใคร”
บรรดาแขกในโรงน้ำชาไม่คิดจะคาดเดากันเลยแม้แต่น้อย พากันโห่ร้องบอกให้เขารีบเฉลยโดยเร็ว
เมิ่งยางโบกมือเบาๆ รอกระทั่งทุกคนเงียบเสียงลงถึงค่อยเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “คนหนึ่งกลายเป็นยายเมิ่งอยู่ที่ยมโลก ส่วนอีกคนก็กลายเป็นเฒ่าจันทรา”
“นะ…นี่มันอันใดกัน”
ทุกคนไม่ยอมรับกับคำตอบนี้ ซักไซ้ไล่ถามไม่ยอมหยุด แต่เมิ่งยางก็ยังคงมีท่าทีผ่อนคลายสบายอุรา ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับคำซักไซ้ของทุกคน เขาจิบน้ำชาหนึ่งอึกให้ชุ่มคอ ลูบหนวดเคราที่ไม่มีอยู่จริงเล็กน้อยแล้วถึงค่อยกล่าวต่อไปว่า “คนหนึ่งถูกพันธนาการด้วยความรัก ใช้น้ำตาหมักบ่มเป็นน้ำแกงยายเมิ่ง ดื่มลงท้องไปหนึ่งถ้วยก็จะลืมเลือนเรื่องราวในอดีตกาล ส่วนอีกคนก็เฝ้าเสาะหาความรัก ดูแลสมุดบันทึกชะตารัก ด้ายแดงหนึ่งเส้นพันผูกบุพเพนับพัน…เป็นการชดใช้อย่างไรเล่า”
ทุกคนเข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันใด ต่างก็พากันทอดถอนใจ รู้สึกว่าสวรรค์เบื้องบนพรากคู่รักออกจากกันแต่กลับมาทำเช่นนี้ ช่างขัดแย้งเสียเหลือเกิน
แต่ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องราวจบสมบูรณ์แล้ว เมิ่งยางกลับพูดขึ้นอีกครา “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าภายหลังยายเมิ่งก็ถูกเนรเทศลงไปยังโลกมนุษย์เช่นกัน”
“นี่มันเพราะเหตุใดกัน”
“เพราะว่านางไม่ยอมลืม ดังนั้นสวรรค์จึงให้นางเข้าสู่สังสารวัฏ ทำให้นางลืมเลือนครั้งแล้วครั้งเล่า ให้นางพานพบกับเซียนจิ้งจอกครั้งแล้วครั้งเล่า น่าเสียดายที่ถึงแม้จะได้พบเจอแต่ก็จำกันไม่ได้”
“ต่อมาเล่า” ฝูงชนรีบร้อนเอ่ยถามอย่างห้ามไม่อยู่ ถลำเข้าสู่เรื่องราวโดยสมบูรณ์
“ต่อมาน่ะหรือ…”
“น่าเบื่อ”
เสียงท้ายประโยคที่เมิ่งยางจงใจลากให้ยาวขึ้นถูกเสียงดังกังวานเสียงหนึ่งตัดบทลง สายตาทั้งห้องโถงล้วนมองไปทางที่มาของเสียงทันที ไม่มองก็ไม่เท่าใด แต่พอมองแล้วก็เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าของเสียงดังก้องกังวานมีรูปโฉมงดงามที่เย้ายวนตาเย้ายวนใจเสียนี่กระไร
ดวงหน้าขาวผ่องประดุจหยก บริเวณปลายหางตาดอกท้อซึ่งยกสูงขึ้นมีสีแดงจางๆ โดยธรรมชาติ ขับเน้นให้ดวงตาคู่นั้นสะกดวิญญาณยิ่งนัก ชุดคลุมยาวสีดำปักลายเมฆาสวมคู่กับชุดขนจิ้งจอกสีเงิน ท่าทางเกียจคร้านทว่าสูงศักดิ์ทั่วทั้งกายาชวนให้คนมิอาจละสายตา โดยเฉพาะหญิงสาวที่ฟังนิทานอยู่ในโรงน้ำชา
เยวี่ยซย่าหมั่งไม่นำพากับการที่ตนเองถูกผู้คนมากมายจับจ้อง เพราะเขารู้ดีว่าตนเองมีรูปโฉมเช่นไร การได้รับความชื่นชอบจากผู้อื่นเป็นเรื่องสามัญอย่างที่สุด ตอนอยู่ที่เมืองหลวงก็ถูกถุงเหอเปา และดอกไม้ผ้าไหมของหญิงสาวโยนใส่จนไม่มีทางให้เดินเป็นปกติ ดังนั้นหลังจากย้ายค่ายทหารมาอยู่ที่ซุยโจว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิม เขาจึงเอาแต่พำนักอยู่ในค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกมาโดยตลอด
ทว่าพอนานวันเข้าเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาผู้นี้มิอาจทนถูกจำกัดพื้นที่ได้มาตั้งแต่เกิด หากไม่ให้เขาออกไปซึมซับความคึกคักมีชีวิตชีวา ไม่ได้ยินเสียงจอแจข้างนอก ก็คงยากจะมีชีวิตอยู่ได้
ที่เลือกออกมาข้างนอกวันนี้เดิมทีก็คิดอยากจะมาฟังประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากเมืองหลวง จึงเลือกแวะมาเยือนที่โรงน้ำชา เพราะคิดว่าที่นี่มีคนเล่านิทาน คงจะเล่าเรื่องแปลกใหม่อัศจรรย์ใจในแถบซุยโจวได้บ้าง ไหนเลยจะคาดคิดว่าสิ่งที่ได้ยินกลับเป็นเรื่องราวที่จืดชืดไร้แก่นสารปานนี้
เล่าเรื่องของคนเป็นๆ บ้างไม่ได้หรือไร ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้กลับเอาแต่คุยเรื่องคนที่ตายไปแล้ว ช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน
“ไปกันเถิด”
เขาทิ้งวาจานี้ไว้อย่างหมดอารมณ์ เพิกเฉยต่อสายตาผู้คน เดินไปทางประตูใหญ่อย่างไม่สนใจใคร ผู้ติดตามสองคนวางเงินเอาไว้แล้วรีบเดินตามผู้เป็นนายไปทันที
ในเดือนสองซุยโจวอยู่ในช่วงอากาศหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิพอดี สายลมเย็นเสียดกระดูก บนถนนสายใหญ่หลังเที่ยงวันมีฝูงชนไม่มาก แต่ละคนล้วนหดคอ ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง ไม่มีผู้ใดหยุดเท้าลงชื่นชมต้นหลิวสีเขียวสดคล้อยลู่ลมตรงริมแม่น้ำเลยสักคน
เยวี่ยซย่าหมั่งเหลือบมองแวบหนึ่ง แม้แต่ความอยากจะขึ้นเรือชมทิวทัศน์ก็ยังไม่มี เพราะสำหรับเขาแล้วทุกอย่างที่นี่ช่างน่าเบื่อหน่ายเกินไป ประการแรกไม่มีคนที่สนิทสนมคุ้นเคยจนเขาสามารถร่ำสุราสรวลเสเฮฮาด้วยได้ ประการที่สองไม่มีทัศนียภาพที่คึกคักงดงามตระการตา ทุกหนแห่งล้วนวังเวงไร้ชีวิตชีวา เหตุใดต้องเลือกให้ข้ามาทำงานในช่วงฤดูกาลเช่นนี้ด้วยหนอ รออีกสักสองเดือนอย่างน้อยทิวทัศน์ก็ยังดีกว่านี้หน่อย
“เจ้านาย พวกเราจะไปที่ใดหรือขอรับ” โม่เทาหนึ่งในผู้ติดตามเดินขึ้นหน้าพลางเอ่ยถาม
เยวี่ยซย่าหมั่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เขาหยิบพัดจีบออกมาจากในอกเสื้อ แล้วดันใบหน้าของโม่เทาออกไปไกลๆ อย่างไร้ความปรานี “ออกไป เสนียดสายตา”
ดวงตาเรียวเล็กของโม่เทาคู่นั้นกระตุกสองที บ่นอุบอิบว่า “ข้ารับใช้ท่านมาตั้งนานแล้ว ไฉนท่านยังไม่เคยชินอีก”
โหดร้ายเกินไป โหดร้ายเกินไปจริงๆ! ข้าเป็นเสนียดสายตาตรงที่ใดกัน ดีร้ายอย่างไรข้าก็หน้าตาสมส่วน ถึงแม้ดวงตาจะเล็กไปสักหน่อย แต่ข้าก็มองเห็นในระยะไกลได้ ไม่มีปัญหาแม้แต่เศษเสี้ยว!
เยวี่ยซย่าหมั่งไม่แม้แต่จะหันไปมองเขาด้วยซ้ำ “นี่มิใช่ปัญหาเรื่องเวลา” แต่เป็นปัญหาที่หน้าตา…
เขาเป็นคนดี จึงไม่อาจหักใจพูดออกมาได้ว่าปมปัญหาอยู่ที่ใด
ตันเสิงผู้ติดตามอีกคนหนึ่งไม่รอให้โม่เทาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟรีบผลักเขาไปอีกด้านทันที ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “เจ้านาย ได้เวลาแล้วขอรับ ควรจะกลับค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกได้แล้ว”
“ไม่กลับ” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด เรื่องเล่าสนุกๆ ไม่ได้ฟัง สุราก็ไม่ได้ดื่ม น้ำชาก็รสชาติไม่ดีอันใด อย่าได้คิดว่าเขาจะกลับค่ายไปตอนนี้
“เจ้านาย ยามย้ายค่ายทหารเดิมทีก็ไม่ควรจะออกไปนอกค่ายตามใจชอบนะขอรับ” ตันเสิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เยวี่ยซย่าหมั่งปรายตามองตันเสิงอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นเจ้านายหรือข้าเป็นเจ้านาย”
“เจ้านายอย่าพูดเช่นนี้สิขอรับ สถานการณ์ในเมืองหลวงกำลังปั่นป่วน ขุนนางในราชสำนักต่างก็คิดว่าท่านเป็นพรรคพวกฝ่ายรัชทายาท บัดนี้ฝ่ายรัชทายาทมีเรื่องน่ากลัดกลุ้มใจเกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า หากมีคนไม่ประสงค์ดีอาศัยโอกาสนี้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เกรงว่าท่านคงจะถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วย ไยท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า”
ระยะนี้ฝ่ายรัชทายาทถูกกวาดล้างครั้งใหญ่ เนื่องจากคดีสังหารล้างตระกูลเมื่อยี่สิบปีก่อนคดีหนึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุทุจริตมากมาย เพื่อรักษาตำแหน่งรัชทายาทเอาไว้ องค์รัชทายาทจึงย่อมต้องตัดเนื้อร้ายทิ้ง กำจัดขุนนางใหญ่ใต้บังคับบัญชาหลายคนทิ้งไป
บัดนี้สถานการณ์ในราชสำนักอยู่ในช่วงคับขันอันตราย ขอแค่เป็นคนที่มีความเกี่ยวพันกับองค์รัชทายาท พรรคพวกฝ่ายองค์ชายแปดก็จะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด หาเหตุใส่ร้ายป้ายความผิดส่งเดชก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ข้าไม่ใช่พรรคพวกขององค์รัชทายาทเสียหน่อย” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นแค่สหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาทเท่านั้น ดูเหมือนใกล้ชิดกับอีกฝ่ายกว่าผู้อื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสนับสนุนสุดกำลังเพื่อให้อีกฝ่ายขึ้นครองบัลลังก์
“เจ้านายบอกว่าไม่ใช่ แต่เมื่อสองวันก่อนท่านเพิ่งได้รับจดหมายด่วนที่องค์รัชทายาทสั่งให้คนนำมาส่งให้ หากบอกว่าท่านกับองค์รัชทายาทไม่ได้คบหาสนิทสนมกันใครจะเชื่อเล่า ในค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกมีดวงตาหลายคู่กำลังจับจ้องอยู่ ดีร้ายเยี่ยงไรท่านก็เก็บเงียบหน่อยเถิดขอรับ” พอตันเสิงพูดถึงช่วงท้ายก็สมเพชตนเองอย่างสุดจะทน เขาเองก็ไม่อยากจู้จี้จุกจิกเหมือนมารดาเฒ่าหรอก ทว่าเจ้านายบ้านเขามีนิสัยชอบทำตามอำเภอใจ ไม่เก็บเรื่องใดๆ มาใส่ใจทั้งสิ้น
พอพูดเรื่องนี้เยวี่ยซย่าหมั่งก็ถอนหายใจด้วยความระอา
จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายเร่งด่วนก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้เขียนความลับทางการทหารจริงๆ เพียงแค่ขอให้เขาหาเวลาว่างช่วยองค์รัชทายาทตามหาญาติผู้น้องเท่านั้น…
“นี่ก็เพื่อตามหาญาติผู้น้องขององค์รัชทายาท ข้าถึงได้อุตส่าห์มาเดินถนนมิใช่หรือ” เขากล่าว
อืม ข้ออ้างนี้ไม่เลว อย่างน้อยก็ช่วยให้ข้ากินทรายน้อยลงไปได้หนึ่งวัน
ค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกอยู่ที่นอกชานเมืองทางทิศตะวันตก บอกว่าเปล่าเปลี่ยวรกร้างเท่าใดก็เปล่าเปลี่ยวรกร้างเท่านั้น ครั้นลมหนาวพัดมาทั่วทั้งท้องนภาก็จะเต็มไปด้วยเม็ดทรายปลิวว่อน หากอยู่ฝึกซ้อมในค่ายหนึ่งวัน ยามกลับไปกองบัญชาการทหารก็สามารถขูดทรายออกจากบนร่างได้หนึ่งชั้น ซึ่งเขาทนมามากพอแล้ว
“เจ้านายเผาจดหมายทิ้งแล้ว บอกให้ถือเสียว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นมิใช่หรือขอรับ” ตันเสิงเอ่ยถามเสียงเย็น
“…ความหมายของข้าคือตามหาตัวคนอย่างเงียบๆ ทำเสมือนว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นต่างหาก” เขาเอ่ยอย่างปากแข็ง
ญาติผู้น้องขององค์รัชทายาทคือหลี่รั่วเหยาบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาจวนฉางผิงโหว เป็นสตรีที่ขึ้นชื่อว่างดงามหยาดเยิ้ม จู่ๆ นางก็หายตัวไป เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงความบริสุทธิ์ ย่อมไม่สามารถส่งคนออกตามหาอย่างเอิกเกริกได้ จำเป็นต้องเก็บเงียบไว้ ยิ่งคนรู้น้อยถึงจะยิ่งดี ดังนั้นองค์รัชทายาทถึงตั้งใจส่งจดหมายมากำชับ ไหว้วานผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์เมืองหลวงที่เก่งกาจและสามารถจัดการปัญหาได้ดีที่สุดอย่างเขาผู้นี้ ซึ่งเขาสามารถเข้าใจได้
ทว่าเหตุใดแม้แต่ภาพเหมือนสักม้วนก็ไม่ให้เขาเลยเล่า ครั้งก่อนที่เจอหน้านางก็ผ่านมานานเท่าใดแล้ว เขาจะไปจำว่าหลี่รั่วเหยามีรูปโฉมเช่นไรได้อย่างไรกัน!
อีกอย่างไม่มีภาพเหมือนก็แล้วไป แต่ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คนหายตัวไปก็ไม่พูดถึง เบาะแสสักนิดก็ไม่มี บอกเพียงแค่ไปเที่ยวเล่นที่หมู่บ้านชนบท กระทั่งหนึ่งเดือนให้หลังถึงเพิ่งรู้ว่านางหายตัวไป พอส่งคนไปไล่ตามสืบกลับไม่เจอเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อไม่มีเบาะแสแล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าคนอยู่ที่ซุยโจว แล้วคนหายตัวจากเมืองหลวงมาถึงซุยโจวได้อย่างไร เขาเข้าใจว่าเรื่องนี้พัวพันถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของหญิงสาว ไม่สะดวกจะบอกอันใดมากมาย แต่ไม่บอกอันใดเลย แล้วจะให้เขาตามหาอย่างไรกันเล่า นี่มันกลั่นแกล้งกันมิใช่หรือ
ดังนั้นเขาจึงทำเหมือนไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นไปเสียเลย
จะมาโทษว่าเขาเย็นชาไม่ได้นะ เพราะหลี่รั่วเหยาไร้ซึ่งข่าวคราวจนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาสองเดือนแล้ว ยังมีอันใดให้ตามหาอีก
ฉางผิงโหวซึ่งรับตำแหน่งลอยๆ เป็นคนนิสัยใจคอดี ไม่เคยผูกอาฆาตพยาบาทกับใคร คนในครอบครัวก็เรียบง่าย อนุภรรยาไม่ก่อปัญหาสร้างความวุ่นวายแม้แต่ครึ่งคน โอกาสที่จะผูกความแค้นกับผู้อื่นก็ไม่มี ดังนั้นตัดเรื่องที่ว่าศัตรูของฉางผิงโหวลงมือปองร้ายออกไปได้เลย นอกจากนั้นถึงแม้บุตรสาวอนุภรรยาจวนโหวจะพาลพาโลเอาแต่ใจเพียงใด แต่ก็มีตำหนักบูรพา* เป็นที่พึ่ง ใครจะกล้าแตะต้องนาง หากมีคนใจกล้าเทียมฟ้าลักพาตัวนางไปก็ควรจะเรียกร้องผลประโยชน์จากจวนโหว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีผู้ใดมาเรียกให้ไถ่ตัวคนเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงแทบจะมั่นใจได้ว่าเรื่องนี้ง่ายดายยิ่ง นั่นคือนางมีชายในดวงใจที่ฐานะไม่เหมาะสมคู่ควรกัน จึงหนีตามผู้อื่นไปแล้ว
“จะหาอย่างไรหรือขอรับ” ตันเสิงเอ่ยถามอีกครั้ง ไม่สามารถไล่ถามผู้คนอย่างโจ่งแจ้งใหญ่โตได้ ซ้ำไม่มีภาพเหมือนให้คนใต้บังคับบัญชาไปเสาะหาอย่างลับๆ…สรุปแล้วจะให้หาอย่างไรกันเล่า หรือว่าจะต้องส่งองครักษ์ลับกลับเมืองหลวงไปลอบตรวจสอบอย่างละเอียดจริงๆ เรื่องนี้ไม่ยาก แต่ต้องถามว่าควรค่าพอให้ทำหรือไม่
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา สวรรค์ลิขิต จะใจร้อนไม่ได้” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยเป็นเรื่องเป็นราว
ถึงแม้เขาจะจำไม่ได้ว่าหลี่รั่วเหยารูปโฉมเป็นอย่างไร แต่ก็เคยได้ยินเสียงเล่าลือเกี่ยวกับความก้าวร้าวเอาแต่ใจของนางมาบ้าง รัชทายาทเองก็ไม่ค่อยจะชื่นชอบนางสักเท่าใด แม้เขาจะหาตัวนางไม่เจอจริงๆ คิดว่ารัชทายาทเองก็คงไม่ถือโทษเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นพักนี้เรื่องของตัวเขาเองก็มีเยอะแยะพออยู่แล้ว คงไม่อาจทุ่มสมาธิไปที่การตามหาคนมากเกินไปนัก
ดังนั้นใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเดินเที่ยวก็พอได้ แต่จะให้เขาหาตัวคนจริงๆ น่ะหรือ เขาไม่ทำหรอก
หางตาของตันเสิงกระตุกสองที เจ้านายเห็นวาจาที่เขาพูดเป็นดั่งการผายลมโดยสิ้นเชิง
“เจ้านายต้องคิดให้กระจ่างนะขอรับว่าจะยืนอยู่ฝ่ายใด แล้วค่อยคิดว่าสุดท้ายแล้วจะตามหาคนผู้นี้หรือไม่” รัชทายาทครองตำแหน่งโอรสซึ่งถือกำเนิดจากฮองเฮา แต่องค์ชายแปดก็มีชื่อเสียงดีงาม บัดนี้รัชทายาทตกเป็นรอง หากฝ่ายองค์ชายแปดไม่รุกไล่โจมตีต่อไป องค์ชายแปดไหนเลยจะมีโอกาสคว้าบัลลังก์ไปครองได้
จากที่ตันเสิงเห็น แม้กินลมกินทรายอยู่ที่ซุยโจวจะลำบากยากเข็ญ แต่ไม่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องในสงครามแย่งชิงบัลลังก์ของกลุ่มคนทั้งสองฝ่ายได้ แล้วจะไม่ใช่เรื่องดีได้อย่างไรกัน ดังนั้นอย่าก่อเรื่องในช่วงเวลานี้ นั่นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“ยืนอันใดกัน ข้านั่งไม่ได้หรือไร” เยวี่ยซย่าหมั่งกล่าวอย่างฟึดฟัด
ตันเสิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยอีกคราว่า “ในเมื่อเจ้านายไม่มีเจตนาจะตามหาคน พวกเราก็กลับค่ายกันเถิดขอรับ”
“ใครบอกว่าข้าไม่มีเจตนาจะตามหาคน ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังให้ลูกตามองหาอยู่” ดวงตาของเขายุ่งวุ่นจะตายไป
ตันเสิงลอบกลอกตาหนึ่งที ขณะที่กำลังจะเปิดปากขึ้นอีกครา กลับได้ยินผู้เป็นเจ้านายพูดว่า…
“เอ๊ะ มีคนหน้าคุ้นด้วย พวกเราเข้าไปดูหน่อยซิ” พูดจบเยวี่ยซย่าหมั่งก็เดินตัวปลิวออกไปราวกับสายลม เร็วไวเสียจนตันเสิงแม้แต่จะห้ามปรามก็ยังทำไม่ได้ เขายืนอยู่ที่เดิม ถลึงตาใส่โม่เทาซึ่งหลบอยู่อีกทางหมายจะทำให้ตนเองล่องหน ริมฝีปากตันเสิงขยับเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็ไล่ตามเจ้านายของตนเองไป
“ถลึงตาใส่ข้าทำอันใดกัน” กระทั่งคนเดินจากไปไกลหมดแล้วโม่เทาถึงค่อยบ่นพึมพำด้วยความน้อยใจ เขานิ่งเงียบไม่ส่งเสียงก็ยังผิดหรือ จะให้เขาใช้ชีวิตอย่างไรกันเล่า
“คือว่า…คุณชายจะซื้อซาลาเปาหรือไม่” ซั่นซือฮุ่ยฉีกยิ้ม ทว่าปากถามเท้ากลับถอยหลัง
“คุณชายยังอยากจะซื้ออย่างอื่นด้วย” ชายหนุ่มตรงหน้าสวมใส่ชุดคลุมสีแดงเข้มกุ๊นขอบขนจิ้งจอกมีลักษณะของผู้ร่ำรวยสูงศักดิ์ทั่วทั้งสรรพางค์กาย แต่น่าเสียดายที่รูปร่างไม่ดี เหยียบย่ำอาภรณ์ตัวนี้เสียเปล่าแล้ว กอปรกับรอยยิ้มหื่นกระหายอย่างไม่ปกปิดแม้แต่เศษเสี้ยวบนใบหน้าชวนให้คนรีบร้อนอยากจะหลีกหนี
“…คุณชาย ข้าขายแค่ซาลาเปาเท่านั้น” ซั่นซือฮุ่ยยิ้มจนใบหน้าแทบจะค้างแข็งอยู่แล้ว
ลมแรงยิ่ง อากาศหนาวเย็น นางเหลือแค่ซาลาเปาลูกสุดท้ายแล้ว แค่อยากจะรีบขายให้หมดแล้วรีบกลับบ้าน ใครจะรู้เล่าว่าดันมีเติงถูจื่อ โผล่มาเช่นนี้
นางยอมรับว่าใบหน้าที่ได้ครอบครองหลังจากย้อนเวลามาดวงนี้สะสวยงดงามอย่างแท้จริง แต่นอกจากบนหน้าผากมีรอยแผลแล้ว นางยังถือโอกาสวาดปานใหญ่ๆ รูปวงกลมลงบนแก้มด้านขวาด้วย ลูกค้าคนอื่นๆ เห็นแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่อยากจะเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง เหตุใดคนผู้นี้กลับทำเหมือนมองไม่เห็นเล่า
“เจ้าขายแค่ซาลาเปา? ขายซาลาเปาลำบากเกินไป มิสู้กลับบ้านไปกับคุณชายดีกว่า คุณชายรับรองเลยว่าเจ้าจะมั่งคั่งสุขสบายไปทั้งชีวิต” ดวงตาของชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าแย้มยิ้มที่ทั้งงามหยาดเยิ้มทั้งสดใสมีชีวิตชีวาดวงนั้นตาไม่กะพริบ
คราวนี้ซั่นซือฮุ่ยยิ้มไม่ออกแล้วจริงๆ ครั้นได้ยินน้ำเสียงและคำพูดคำจาของชายผู้นี้กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ ก็สามารถเดาได้ว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องพรรค์นี้เป็นครั้งแรก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ไม่มีผู้คนอยู่บนถนนเลย หรือต่อให้มีคนเบียดเสียดเต็มถนน หากเขาคิดจะทำเช่นไรกับนางก็คงจะทำเช่นนั้นอยู่ดีกระมัง
ปกตินางจะไม่ขายซาลาเปาจนดึกดื่นเช่นนี้ เพียงแต่บังเอิญว่าวันนี้ทำซาลาเปามามากเกินไปหน่อยเลยกินเวลานาน นี่ถึงได้เกิดเรื่องเข้า แล้วนางก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะหนีคนตรงหน้านี้ได้อย่างไร
ด้านหลังของชายผู้นี้มีคนตามมาด้วยหลายคน ดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตามของเขา ต่อให้นางวิ่งเร็วเพียงใดก็วิ่งสู้คนพวกนี้ไม่ได้
ทำอย่างไรดี…ซั่นซือฮุ่ยขบคิดพลางก้าวถอยหลัง จนกระทั่งหลังคอของนางถูกอะไรบางอย่างสัมผัสเข้าเบาๆ ทำให้นางตกใจจนหันกายขวับกลับไป…ในเสี้ยวขณะที่สายตาสบเข้ากับคนที่อยู่ด้านหลัง ถึงแม้ท้องนภากว้างใหญ่จะแจ่มใสไร้เมฆา แต่นางก็เสมือนได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆ หางตาราวกับเห็นสายฟ้าสว่างจ้าวาบผ่านไป
“โอ๊ะ นี่มิใช่บุตรชายท่านเจ้าเมืองหรอกหรือ” เยวี่ยซย่าหมั่งยิ้มตาหยีพลางเอ่ยถามชายหื่นกระหาย ในขณะเดียวกันสายตาก็ทอดมองไปยังผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังชายผู้นี้ด้วย ครั้นเห็นหนึ่งในนั้นลอบเดินหนีไปเงียบๆ เขาก็ใช้มือซ้ายที่ไพล่อยู่ด้านหลังส่งสัญญาณลับ จากนั้นตันเสิงซึ่งติดตามอยู่ด้านหลังเขาก็รับคำสั่งไล่ตามคนผู้นั้นไปทันที
ครั้นเฉินซีเห็นเยวี่ยซย่าหมั่งไหนเลยจะยังมีท่าทางไร้มารยาทอีก รีบละล่ำละลักประสานมือคารวะอีกฝ่ายทันที “คารวะซื่อจื่อ วันนี้ซื่อจื่อจะไปที่ใดหรือ อยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่”
รอยยิ้มของเยวี่ยซย่าหมั่งไปไม่ถึงก้นบึ้งของดวงตา แฝงด้วยความห่างเหินเย็นชาไม่อยากใกล้ชิดกับผู้คน “เมื่อครู่ได้ยินว่าคุณชายเฉินอยากจะซื้ออันใดนะ”
พูดแล้วเขาก็รู้สึกว่าบนใบหน้าปวดแสบไม่น้อย เมื่อหันมองไปตามสายตาก็สบเข้ากับสายตาที่ไม่ขัดเขินเอียงอายใดๆ แม้แต่กระผีกริ้น ทั้งยังเผยความตื้นตันยินดีปรีดาที่ชวนให้คนฉงนงงงวยของซั่นซือฮุ่ยเข้า
อืม…เขาเป็นที่รักใคร่ชื่นชอบของผู้คนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เคยได้รับสายตาที่ไม่เกรงอกเกรงใจที่สุดและสายตาที่ร้อนแรงที่สุดบนโลกมนุษย์มาแล้ว ทว่าความไม่เกรงอกเกรงใจและความร้อนแรงเหล่านั้นกลับเทียบกับสายตาของคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไม่ได้เลย ลูกตาของนางแทบจะเปล่งแสงและมีประกายไฟลุกไหม้แล้วด้วยซ้ำ
แม้จะได้ยินมาว่าวิถีชีวิตของชาวซุยโจวค่อนข้างเปิดกว้าง แต่จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งได้เปิดหูเปิดตา นางไม่มีความสำรวมตนของหญิงสาวแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวเลยจริงๆ ราวกับว่าหากชั่วพริบตาถัดมานางกระโจนเข้าใส่เขาก็ไม่ทำให้แปลกใจอันใด
จะว่าไปแล้วเขาไม่ได้คิดจะช่วยนาง เขาแค่เห็นคนรู้จักเลยเอ่ยทักทายเท่านั้น นางไม่จำเป็นต้องคิดใช้สายตาเหมือนอยากจะตอบแทนด้วยร่างกายมาบีบบังคับเขาก็ได้ สรุปแล้วนางรู้หรือไม่ว่าคำว่า ‘ยางอาย’ นี้เขียนเช่นไร
เฉินซีได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ก็แค่ซื้อซาลาเปากับนางสักลูกเท่านั้น”
บิดาเคยบอกว่าผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์เมืองหลวงที่มาจากเมืองหลวงผู้นี้มิใช่คนธรรมดา จะกระทำความผิดแม้เพียงน้อยนิดต่อหน้าเขามิได้เป็นอันขาด เขาคือเจิ้นอันโหวซื่อจื่อ เป็นพี่น้องร่วมสาบานของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสหายรักของรัชทายาท และเป็นคนโปรดเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ มีภูมิหลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ในแถบซุยโจวเลย ต่อให้เป็นที่เมืองหลวงก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา
บิดามีฐานะเป็นเจ้าเมือง คาดหวังว่าจะได้โยกย้ายกลับเมืองหลวงมาโดยตลอด ย่อมอยากจะรู้จักกับขุนนางในเมืองหลวงเอาไว้มากๆ โดยเฉพาะลูกหลานผู้สูงศักดิ์ที่มีตำแหน่งสำคัญๆ ไปอยู่ที่ใดก็เป็นที่ยอมรับอย่างเยวี่ยซย่าหมั่ง หากผู้เป็นบุตรชายอย่างเขาทำตัวเป็นตัวถ่วงเกรงว่าคงจะถูกสั่งสอนด้วยกฎประจำตระกูล
“ข้าเองก็อยากกินซาลาเปาอยู่พอดี ในตะกร้าของนางดูเหมือนจะเหลืออยู่แค่ลูกเดียว ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินจะยอมสละให้ข้าได้หรือไม่” เยวี่ยซย่าหมั่งอมยิ้ม แม้จะยิ้มอย่างไม่จริงใจแต่ก็ยังสามารถทำให้คนรู้สึกเจริญหูเจริญตาได้
เฉินซีย่อมไม่มีทางแย่งซาลาเปากับเยวี่ยซย่าหมั่งอยู่แล้ว มิหนำซ้ำสิ่งที่เขาอยากจะซื้อก็ไม่ใช่ซาลาเปาเสียหน่อย จึงรีบยิ้มประจบพร้อมเอ่ยว่า “สละอันใดกันเล่า ก็แค่ซาลาเปาลูกเดียวเอง” พูดจบเขาก็เอ่ยถามอย่างคล้อยตามสถานการณ์ว่า “ขอซื่อจื่อให้เกียรติข้าได้เป็นเจ้ามือดีกว่า พวกเราไปกินของว่างกันที่หอสุราหรือว่าไปชมละครที่โรงน้ำชาดี?”
ถ้าสามารถฉวยจังหวะนี้ตีสนิทกับเยวี่ยซย่าหมั่งได้ บิดาคงจะชื่นชมเขามากขึ้นอีกนิดเช่นกัน
“ไม่ล่ะ ดึกมากแล้ว ควรกลับเสียที”
ใบหน้าของเฉินซีเต็มไปด้วยความเสียดาย ขณะกำลังจะเอ่ยโน้มน้าวอีกครั้งนั้น เยวี่ยซย่าหมั่งก็เอ่ยขึ้นอีกคราว่า “ข้าได้ยินเจ้าเมืองเฉินบอกว่าท่านกำลังเตรียมเข้าร่วมการสอบขุนนางรอบฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ อย่าทำให้เจ้าเมืองเฉินผิดหวังเป็นอันขาดเล่า”
พอได้ยินเรื่องการสอบขุนนางเฉินซีก็ห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลให้เดินเที่ยวเตร่ต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงรีบร้อนขอตัวลา
กระทั่งคนเดินจากไปไกลแล้วเยวี่ยซย่าหมั่งก็หลุบตาลงด้วยความหงุดหงิดใจ จดจ้องซั่นซือฮุ่ยที่จนถึงบัดนี้ก็ยังคงจ้องมองเขาอยู่
“แม่นาง มองพอแล้วหรือยัง”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ซั่นซือฮุ่ยถึงได้ตื่นขึ้นจากภวังค์ในฉับพลัน แต่นางไม่มีท่าทางกระดากอายเลยสักนิด ไม่รู้สึกว่าการจ้องเขม็งของตนเองเป็นเรื่องเสียมารยาทยิ่งแม้แต่น้อย ก็ในเมื่อเขามีหน้าตาเหมือนกับชายหนุ่มที่เรียกให้นางหยุดที่หน้าประตูตึกของบริษัทไม่มีผิด
เพราะชายหนุ่มคนนั้นเรียกให้นางหยุด นางเลยถูกฟ้าผ่าจนสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป หลังจากนางฟื้นคืนสติก็มาอยู่ที่ซุยโจวแล้ว นางไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่เลย นอกจากนั้นนางยังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ย้อนเวลามาอยู่ในโลกนี้อย่างไม่มีเหตุผล ถึงแม้นางจะพยายามใช้ชีวิตเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกปรับตัวเข้ากับที่นี่ไม่ได้ คิดแต่อยากจะกลับบ้านเท่านั้น
ทว่าตอนนี้นางกลับพบคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับชายหนุ่มคนนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการได้กลับบ้านก็เป็นได้ แล้วนางจะปล่อยเขาไปได้อย่างไรเล่า
“คือว่า…ขออภัย ขอถามว่าท่านรู้จักข้าหรือไม่” อึกอักอยู่พักใหญ่ในที่สุดนางก็เปิดปากเอ่ย วาจาที่ถามออกไปฟังดูน่าขบขันยิ่ง แต่นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังจะถามเช่นไรได้อีก
จริงอยู่ที่พวกเขาทั้งสองคนหน้าตาเหมือนกันมาก แต่การแต่งกายกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางก็ทำได้เพียงลองถามดูเท่านั้น
พอถูกนางเอ่ยถามเช่นนี้เยวี่ยซย่าหมั่งก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง รอยยิ้มซึ่งแต่เดิมยิ้มไปตามมารยาทกลับมีแววรื่นเริงเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
หญิงสาวที่อยากใกล้ชิดเขามีไม่น้อย ถ้อยคำเกี้ยวเขาก็เคยได้ยินมาเป็นร้อยๆ แบบ แต่คนที่ถามเช่นนี้เพิ่งจะมีนางเป็นคนแรก
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะถามว่าข้าเคยเจอเจ้าหรือไม่” วิธีถามเช่นนี้จะชวนคุยได้ง่ายกว่า เขาช่วยแก้ไขให้นางด้วยความปรารถนาดี
ดวงตาทั้งสองข้างของซั่นซือฮุ่ยเปล่งประกายในชั่วพริบตา นางขยับเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยถามอย่างรีบร้อนและเร็วรี่ “หมายความว่าท่านเคยเจอข้า?”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.