X
    Categories: ด้ายแดงของเซียนจิ้งจอกทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ด้ายแดงของเซียนจิ้งจอก บทที่ 1.2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1-2 แม่นางไม่สำรวมตัว

เยวี่ยซย่าหมั่งส่งเสียงเฮอะหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่เคย”

“…ไม่เคย?” นางนิ่งงันไปเล็กน้อย

“ใช่” หลังจากเขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มก็รอคอยให้นางชวนคุยต่อด้วยความมีน้ำอดน้ำทนอย่างหาได้ยากยิ่ง ชวนพูดคุยว่าเคยเจอเขาที่ใด แล้วมีใจให้เขาได้อย่างไร

ทว่ากลับไม่มี…

หญิงสาวตรงหน้าราวกับบุปผาที่เหี่ยวเฉาลงในเสี้ยวพริบตา ความหดหู่และผิดหวังปกคลุมดวงหน้างามแฉล้มของนางราวกับเป็นม่านสีดำ

อาการตอบสนองนี้ของนางอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเยวี่ยซย่าหมั่ง คล้ายกับว่านางไม่ได้คิดจะตีสนิทกับเขาจริงๆ แค่จำเขาสลับกับผู้อื่นเท่านั้น แต่เขารูปโฉมหล่อเหลาปานนี้ ทั้งโดดเด่นเป็นหนึ่งไม่มีสองปานนี้ ในใต้หล้ายังจะมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้อีกได้อย่างไร

ซั่นซือฮุ่ยหลุบตาลงด้วยความเสียใจ ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะเรียกความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง คิดจะย้ำให้แน่ใจอีกรอบ แต่ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าใบหน้าของนางตอนนี้ไม่ใช่ใบหน้าเดิมของนาง นางถามเช่นนี้ไปไม่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ

ยิ่งไปกว่านั้นนางย้อนเวลามาก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นเขาจะย้อนเวลามาเหมือนกัน ดูสิ ลักษณะท่วงท่าของคนเขาเป็นธรรมชาติออกปานนี้ เมื่อครู่ชายผู้นั้นยังเรียกเขาว่า ‘ซื่อจื่อ’ อีก นี่ก็หมายความว่าคนเขาเกิดและเติบโตที่นี่มิใช่หรือ

นางช่างเป็นคนโง่ที่โง่เขลาจนสวรรค์มิอาจให้อภัยได้จริงๆ!

หากความหวังเมื่อครู่นี้ยิ่งใหญ่เท่าใด ความผิดหวังของซั่นซือฮุ่ยในตอนนี้ก็ล้ำลึกเท่านั้น ราวกับเรี่ยวแรงถูกดึงออกไปในชั่วอึดใจ นางห่อเหี่ยวใจเสียจนอยากนอนกองอยู่บนพื้นไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้ บนพื้นหนาวเย็นยิ่ง นางจะป่วยไข้เอาได้ พอถึงตอนนั้นก็ต้องเสียเงินอีก ไม่นานคงต้องกินดินแทนข้าว

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องพยายามมีชีวิตต่อไป หาไม่แล้วหากวันใดที่นางพบว่าสามารถกลับบ้านได้ แต่กลับป่วยใกล้ตาย เช่นนั้นไม่กระอักเลือดแย่หรือ

ถูกต้อง ไม่เป็นไร สวรรค์ไม่ตัดหนทางรอดชีวิตของคนหรอก สุดท้ายแล้วข้าคงหาทางกลับบ้านจนได้

ดวงตาของเยวี่ยซย่าหมั่งจดจ้องการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าแววตาหญิงสาวตาไม่กะพริบ ประหนึ่งม่านดำลอยขึ้นมาจากหุบเหวลึก สีหน้านางคล้ายกับกระชากความผิดหวังทิ้งไป รอยยิ้มเจิดจรัสบนดวงหน้างามหยดย้อยประหนึ่งแสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าที่ส่องสว่างทะลุเมฆามืดครึ้ม พุ่งเข้าใส่ร่างของเขาอย่างไม่มีกักเก็บแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

เยวี่ยซย่าหมั่งผงะอึ้งไป ในใจกระสับกระส่ายเล็กน้อย

ยามนี้ซั่นซือฮุ่ยหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งออกมาจากตะกร้า ยื่นไปตรงหน้าเขาอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฝงความเอียงอายอยู่หลายส่วน “คุณชาย ขอบคุณมากที่เมื่อครู่ท่านช่วยข้าไว้ แต่ข้าไม่มีสิ่งใดสามารถตอบแทนได้ มีเพียงซาลาเปาลูกนี้มอบให้ท่าน”

เยวี่ยซย่าหมั่งจ้องมองสีหน้าแย้มยิ้มของนาง รู้สึกว่านางไม่มีความขัดเขินสำรวมเนื้อสำรวมตัวเลยสักนิด แต่กลับน่าดึงดูดเป็นพิเศษ

“คุณชาย?” ซั่นซือฮุ่ยเห็นเขายืนนิ่งไม่ยอมยื่นมือมารับ จึงมองซาลาเปาในมือแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยอธิบายว่า “ถึงซาลาเปาลูกนี้จะดูไม่น่ากิน แต่จริงๆ แล้วอร่อยนะ”

นางทำซาลาเปาอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่เงินที่กว่านางจะเก็บครบได้อย่างยากลำบากก็พอจะซื้อได้แค่วัตถุดิบเหล่านี้ แม้จะทำออกมาไม่น่ามอง แต่อย่างน้อยก็กินได้

สายตาของเยวี่ยซย่าหมั่งเคลื่อนจากมือทั้งสองข้างที่ยกสูงของนางแล้วค่อยๆ ตกลงบนซาลาเปาอย่างช้าๆ ต่อมาก็มองไปยังเสื้อผ้าอาภรณ์หยาบๆ ที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนทั่วทั้งตัวของนาง สุดท้ายหยุดลงที่ดวงหน้างามละมุนแฝงความเย้ายวนใจดวงนั้น ในใจมีความรู้สึกขัดแย้งบางอย่าง

แต่ยังไม่ทันรอให้เยวี่ยซย่าหมั่งได้ขบคิดอย่างละเอียดก็มีคนเสียงดังโหวกเหวกคนหนึ่งตะโกนลั่นขึ้นมา…

“เจ้าคือนางหนูสกุลซั่นมิใช่หรือ!”

ซั่นซือฮุ่ยตื่นตกใจ หันหน้าขวับกลับไปมอง นางรีบยัดซาลาเปาใส่มือเยวี่ยซย่าหมั่ง หลังจากยอบกายคารวะแล้วก็เดินไปด้านหลังด้วยฝีเท้าเร็วรี่ ก่อนจะเอ่ยปากเสียงหวานหยดย้อย “พี่สาวทั้งสองตามหาข้าหรือ”

พอเยวี่ยซย่าหมั่งได้ยิน คิ้วเข้มก็ยกสูงขึ้นกว่าเดิม พี่สาว? ท่านป้าสองคนนี้ให้เรียก ‘หมัวมัว’ ก็ยังไม่ถือว่าเกินไปด้วยซ้ำ แต่นางกลับเรียก ‘พี่สาว’ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ…ร้ายกาจนัก ขนาดข้าที่โอ้อวดตนเองว่าเจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผีก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้เลย

เขาครุ่นคิดพร้อมกับสังเกตการณ์ไปด้วย ครั้นแล้วก็เห็นว่าหมัวมัวทั้งสองคนเดิมทีท่าทางดุดันไม่ได้มาดี แต่ครั้นนางเปิดปากเรียกว่า ‘พี่สาว’ โทสะขุมนั้นก็สลายไปราวๆ ครึ่งหนึ่ง ต่อมาก็ไม่รู้ว่าพูดคุยอันใดกัน ถึงกับเย้าแหย่หมัวมัวทั้งสองจนหัวเราะร่วน จากนั้นทั้งสามคนก็เดินไปยังอีกฝั่งของถนนอย่างสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องกัน

นาง…ยอดเยี่ยมมากจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้บอกนางว่ารอยปานบนใบหน้าของนางสีซีดลงแล้ว คราวหน้าต้องวาดให้เข้มๆ หน่อย

เยวี่ยซย่าหมั่งหลุบตาลงมองดูซาลาเปาในมือ คิดว่าเมื่อครู่ตอนอยู่ที่โรงน้ำชาก็ไม่ได้กินอะไรเลย เขาจึงกัดเสียเลยหนึ่งคำแล้วเคี้ยวสองครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาปานหยกงามแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ต่อมาก็ขยับหน้าเข้าไปดมใกล้ๆ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเบิกกว้างจ้องซาลาเปาในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

“เจ้านาย มีพิษหรือขอรับ” โม่เทาเห็นสีหน้าแววตาของเยวี่ยซย่าหมั่งแปลกไปจึงรีบเดินเข้าไปเอ่ยถามเบาๆ

“เจ้าสิมีพิษ” ครู่ใหญ่กว่าเยวี่ยซย่าหมั่งจะเอ่ยตอบด้วยสุ้มเสียงแหบแห้งเล็กน้อย

โม่เทาหน้าง้ำงอ อย่าปฏิบัติแตกต่างกันถึงเพียงนี้ได้หรือไม่ ข้ากับตันเสิงเป็นฝาแฝดกัน แต่ดันรังเกียจรังงอนข้าอยู่คนเดียว! ช่างเถิด เจ้านายไม่คิดเล็กคิดน้อยกับข้า สามารถพูดกลั่นแกล้งข้าได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าซาลาเปาไม่มีพิษ ดังนั้นการที่เจ้านายแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาต้องเป็นเพราะ…

“หากไม่อร่อยก็ทิ้งไปเถิดขอรับ” เห็นซาลาเปานั่นแล้ว ไม่ว่าจะราคาถูกสักเท่าไร หรือไม่ว่าเขาจะหิวโหยมานานถึงเพียงใด เขาก็ไม่อยากจะกินหรอก

“ไม่…นี่เลิศรสเป็นที่สุด” เยวี่ยซย่าหมั่งลิ้มรสอีกคำอย่างอดใจไม่ไหว นี่เป็นรสชาติที่เขาถวิลหามาเนิ่นนาน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกับนางในชาตินี้…ที่ซุยโจวแห่งนี้

“จริงหรือขอรับ”

“สิ้นวสันต์ธาราบุปผาล้วนราร้าง ไกลห่างปานสวรรค์กับแดนดิน”

“หา?” เจ้านายเจ้าบทเจ้ากลอนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน แค่กินซาลาเปาก็ต้องร่ายกวีด้วย ข้าต่อสนทนาไม่ถูกนะ

เยวี่ยซย่าหมั่งยัดซาลาเปาคำสุดท้ายเข้าปาก มองไปทางถนนฝั่งตรงข้ามที่ไม่เห็นเงาร่างคนแล้ว ก่อนจะหลับตาลงเล็กน้อย ถอนหายใจหนึ่งเฮือกโดยไม่มีใครสังเกตเห็น “ไปกันเถิด กลับไปกินทราย”

โม่เทาสีหน้างงงวย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดความคิดของเจ้านายถึงได้เปลี่ยนรวดเร็วถึงเพียงนี้ เพิ่งจะกินซาลาเปาเสร็จก็อยากจะกินทรายต่อ…ความเจริญอาหารนี้ชวนให้คนจับทางไม่ถูกจริงๆ

เมืองซุยโจวแยกฝั่งเมืองออกตามสองฝั่งแม่น้ำซุยเหอ แบ่งออกเป็นเมืองฝั่งตะวันออกและตะวันตก ริมแม่น้ำของเมืองฝั่งตะวันออกเป็นแหล่งละลายทรัพย์ โรงละคร โรงน้ำชา และหอคณิกาล้วนตั้งอยู่ติดๆ กัน หลังเข้าสู่ยามราตรียิ่งจุดโคมไฟสว่างไสวราวกับภาพวาด ทุกหนแห่งล้วนคึกคักครื้นเครง เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้เมืองหลวง

“ท่านผู้บัญชาการเชิญด้านนี้ขอรับ ท่านเจ้าเมืองรออยู่ที่ห้องพิเศษชั้นสองนานแล้ว”

เยวี่ยซย่าหมั่งเพิ่งจะลงจากรถม้าก็มีคนมาถึงตรงหน้าแล้ว หลังจากประสานมือคารวะแล้วก็ผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญไปยังด้านในหอวั่นเซียง

เยวี่ยซย่าหมั่งชำเลืองมองคนผู้นั้นอย่างเกียจคร้านแวบหนึ่ง อมยิ้มพลางเอ่ยว่า “ลำบากท่านรองเจ้าเมืองจริงๆ ที่ต้องมายืนตากลมหนาวเย็นรออยู่ที่นี่”

“ใต้เท้าพูดอันใดกัน ได้มารอใต้เท้าที่นี่ถือเป็นเกียรติของผู้น้อยขอรับ” รองเจ้าเมืองเหลียนอายุใกล้ห้าสิบปี ใบหน้าเหี่ยวย่นแทบจะแย้มยิ้มจนกลายเป็นบุปผาบาน

เยวี่ยซย่าหมั่งหันหน้าหนีตามสัญชาตญาณ ไม่อยากให้ระคายสายตา จากนั้นก็รีบก้าวเข้าไปในหอวั่นเซียงทันที

ภายในห้องโถงใหญ่หญิงคณิการูปโฉมหลากหลายกำลังใช้ฝีมือทั้งหมดที่มีเพื่อเรียกแขก กลิ่นบุปผากลิ่นสุราคละคลุ้งปะปนกันกลายเป็นกลิ่นคาวโลกีย์ เสียงโหวกเหวกและเสียงพูดคุยทำให้ฝีเท้าของเยวี่ยซย่าหมั่งเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าเดิม

“ข้ายังนึกว่าเจ้านายไม่ค่อยอยากจะมาสักเท่าใดเสียอีก นึกไม่ถึงว่ากลับเดินอย่างรีบร้อนปานนี้” โม่เทาซึ่งตามอยู่ข้างหลังอดไม่ไหวเอ่ยขึ้น “เปิดหูเปิดตาแล้วหรือขอรับ”

ตันเสิงไม่ทันเอ่ยตอบก็ได้ยินเยวี่ยซย่าหมั่งพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่ แต่สมองเจ้าใกล้จะเปิดแล้ว”

ดวงตาข้างใดของโม่เทาที่เห็นว่าเขารีบร้อนอดใจรอไม่ไหวกัน เจ้านี่สมองไม่ดี กระทั่งจมูกกับหูก็ใช้งานไม่ได้ทั้งคู่เลยหรือ ลองดมดูเสียบ้างว่าทั่วทั้งห้องนี้มีกลิ่นเช่นไร หากไม่ใช่เพราะอยากสะสางงานให้เสร็จโดยเร็ว ให้ตายเขาก็ไม่มาเหยียบที่นี่หรอก

โม่เทาได้ยินดังนั้นก็ใช้สายตาสอบถามตันเสิงว่าเจ้านายหมายความว่าอย่างไร แต่ตันเสิงกลับกลอกตาใส่เขาตรงๆ

ไร้หนทางเยียวยาแล้ว พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์

เยวี่ยซย่าหมั่งเองก็คร้านจะสนใจโม่เทาเช่นกัน รีบเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนชั้นสอง พอเปิดประตูออกก็ได้กลิ่นกำยานที่ชวนให้หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น ทำให้เขาเดินไปริมหน้าต่างอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็เปิดหน้าต่างออกแล้วนั่งลงที่ริมหน้าต่างทันที

แม้ลมราตรีจะเย็นยะเยือกเล็กน้อย แต่จมูกก็โล่งสบายขึ้นมาก

“ใต้เท้า ช่วงนี้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว หากเปิดหน้าต่างล่ะก็…” รอยยิ้มบนใบหน้าเฉินหย่วนผู้เป็นเจ้าเมืองแข็งค้างไป คิดในใจว่าที่ผ่านมาเยวี่ยซย่าหมั่งมักจะยิ้มแย้มให้ผู้อื่นเสมอ เป็นคนที่เข้ากับใครง่าย แต่ไฉนวันนี้กลับไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายก็ตรงไปนั่งลงที่ริมหน้าต่างเลยเล่า

“ข้าร้อน” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยยิ้มๆ เหลือบเห็นสตรีที่อยู่เต็มห้องกำลังมองสำรวจเขา ราวกับเขากลายเป็นอาหารในจานของสัตว์ป่ากลุ่มนี้ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเมืองเฉิน ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับท่าน คนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านี้…”

ครั้นเฉินหย่วนได้ยินก็เข้าใจโดยพลัน รีบสั่งให้เหล่าหญิงสาวออกไปก่อน จากนั้นก็ปิดประตูลง

ในที่สุดกลิ่นแป้งผัดหน้าและเครื่องประทินโฉมก็จางไปบ้างเล็กน้อย เยวี่ยซย่าหมั่งพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ไม่ลืมหยิบพัดจีบออกมาโบกพัดสองสามที ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบว่า “เมื่อวานบังเอิญเจอบุตรชายท่านบนถนน พูดกับแม่นางขายซาลาเปาคนหนึ่งว่าไม่อยากซื้อซาลาเปา ซ้ำยังเกาะแกะผู้อื่นไม่ปล่อย ท่านคิดว่าเรื่องนี้…”

“กลับไปข้าจะต้องลงโทษเจ้าลูกสารเลวนั่นอย่างเด็ดขาดแน่นอนขอรับ” เฉินหย่วนเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บอกเจ้าสารเลวนั่นไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรในช่วงที่เยวี่ยซย่าหมั่งอยู่ที่ซุยโจวให้ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยหน่อย แต่เขากลับ…เจ้าลูกสารเลวนี่อยากจะทำให้ข้าหลุดจากตำแหน่งอย่างนั้นหรือ

ด้วยฐานะของเยวี่ยซย่าหมั่งแล้ว แค่อ้างความผิดฐานกลั่นแกล้งบุรุษรังแกสตรีสักหนึ่งข้อก็สามารถทำให้เจ้าเมืองซุยโจวอย่างเขากินไม่หมดต้องห่อกลับ ได้แล้ว ที่น่าชังที่สุดคือบุตรชายของเขากลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ให้เขาฟังด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไร ต่อไปอย่าทำผิดอีกก็พอ” เยวี่ยซย่าหมั่งยกมุมปากขึ้น ยิ่งดูหล่อเหลาเลอโฉมเสียจนคนมองเคลิบเคลิ้ม แค่ยิ้มก็ทำให้คนละทิ้งความหวาดระแวงในใจทั้งหมดไปจนสิ้น

เฉินหย่วนโล่งอก

แต่เยวี่ยซย่าหมั่งกลับเอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่า…เกาหลินผู้นี้ไม่ถือเป็นเรื่องเล็กแล้ว”

เฉินหย่วนมองชายผู้มีหน้าตางามล้ำราวกับเทพเซียนด้วยสีหน้าฉงนงุนงง สมองขบคิดอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกว่า ‘เกาหลิน’ คือผู้ใด แล้วไฉนจึงต้องเอ่ยถึงคนผู้นี้

เยวี่ยซย่าหมั่งเห็นว่าเขาดูเหมือนไม่รู้จักเกาหลินจริงๆ จึงแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยอีกคราว่า “เกาหลินน่ะไม่ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญอันใดหรอก เพียงแต่สกุลเกาเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกับองค์ชายหกที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”

เมื่อเขาพูดขึ้นมาเช่นนี้ เฉินหย่วนก็ตบมือฉาดนึกขึ้นได้ในที่สุด “ข้านึกออกแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ใต้เท้าถึงเอ่ยถึงคนผู้นี้เล่า”

สกุลเกาเป็นตระกูลแม่ทัพ อยู่ฝั่งเดียวกับองค์ชายหกที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ส่วนเกาหลินคือคุณชายรองของสกุลเกา ในตอนที่องค์ชายหกก่อกบฏ เกาหลินเป็นรองผู้บัญชาการของกองกำลังรักษาวัง เขาได้เปิดประตูเฉิงเทียนช่วยเหลือองค์ชายหก แต่น่าเสียดายที่คืนนั้นองค์ชายห้าก็ก่อกบฏเช่นเดียวกัน สุดท้ายไม่ทันได้เหยียบย่างเข้าประตูวังก็ถูกรัชทายาทนำทัพมาปราบปรามเสียก่อน

เมื่อย้อนคิดบัญชีในภายหลังสกุลเกาจึงถูกตัดสินโทษ บ้างก็ถูกเนรเทศ บ้างก็ถูกประหาร มีแค่เกาฉิวซึ่งความสัมพันธ์ห่างกันหลายทอดที่รับตำแหน่งนายกองพันควบผู้ช่วยผู้บัญชาการประจำอยู่ที่ค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกของซุยโจวมิได้ถูกจับกุมตัว

ส่วนเกาหลินผู้นี้ไม่ว่าจะเสาะหาอย่างไรทางราชสำนักก็หาตัวไม่เจอ มีคนบอกว่าเขาอาจจะตายในเหตุการณ์ก่อกบฏไปแล้วก็เป็นได้ แต่ในเมื่อไม่เห็นศพก็ยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่

“อืม…เพราะว่าเมื่อวานข้าเห็นเกาหลินเดินตามอยู่ด้านหลังบุตรชายของท่าน เหมือนกับเป็นองครักษ์ของบุตรชายท่าน ทว่าพอเขาเห็นข้าก็หลบหนีไปแล้ว”

เฉินหย่วนได้ยินดังนั้นใบหน้าก็เขียวคล้ำไปหมด ให้ที่ซุกซ่อนกับคนที่มีความผิดฐานก่อกบฏตามกฎหมายแล้วถือว่ามีโทษเท่าเทียมกันเชียวนะ!

เขาละล่ำละลักอธิบาย “ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วย เกาหลินเป็นหรือตายแม้แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยรู้แน่ชัด แล้วนับประสาอะไรกับบุตรชายสารเลวของข้า ครอบครัวของข้าไม่รู้จริงๆ ว่าคนผู้นั้นกลายเป็นองครักษ์ของบุตรชายข้าได้อย่างไร! เหตุใดใต้เท้าจึงไม่ไปหาเกาฉิวเล่า เขาต่างหากที่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด”

เยวี่ยซย่าหมั่งใช้ด้ามพัดเคาะมือซ้ายเบาๆ รอยยิ้มยังคงน่าหลงใหลเช่นเดิม ขณะเดินผ่านข้างกายของเฉินหย่วนก็จิ้มไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “ลองตรวจสอบดูสิเจ้าเมืองเฉิน องครักษ์ของบุตรชายท่านมาจากที่ใด ท่านบอกว่าคนเป็นบิดาอย่างท่านไม่รู้เรื่อง ข้าเชื่อ แต่ผู้อื่นเขาไม่เชื่อหรอก”

เฉินหย่วนตัวเย็นเฉียบไปทั้งร่าง สั่นไปทั้งสรรพางค์กาย

เยวี่ยซย่าหมั่งไม่มองเฉินหย่วนอีกแม้แต่แวบเดียว พอก้าวออกจากประตูก็คิดจะรีบออกไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่ หลีกหนีจากห้องโถงใหญ่ที่มีกลิ่นมากมายผสมปนเปกัน ทว่าในขณะที่กำลังจะเดินลงไปชั้นล่างกลับหูไวได้ยินบทสนทนาประโยคหนึ่งเข้า…

“นายท่าน ข้าไม่ใช่หญิงสาวของที่นี่ ข้าไม่ใช่จริงๆ…”

สุ้มเสียงอันน่าเวทนาเจือด้วยแววเว้าวอนนั้นทำให้เขาชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะหันมองไปตามที่มาของเสียง…

ช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 68

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: