X
    Categories: ด้ายแดงของเซียนจิ้งจอกทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ด้ายแดงของเซียนจิ้งจอก บทที่ 2.2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 2-2 พบเจอกันอีกครั้งที่หอคณิกา

ครั้นซั่นซือฮุ่ยได้ยินคำว่า ‘ที่ทำการ’ ก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนเรียกเขาว่า ‘ซื่อจื่อ’ เข้าใจว่าชาติกำเนิดของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แม้กระทั่งป้ายหยกอันนั้นก็ยังดูเหมือนมีราคาสูงลิบลิ่ว นางรับมาอย่างระมัดระวัง แต่บังเอิญเหลือบเห็นมือของเขาพอดี จึงคว้ามือเขาเอาไว้อย่างฉับพลัน

เยวี่ยซย่าหมั่งชะงักไปเล็กน้อย คิดจะชักมือกลับ แต่นางกลับจับไว้แน่น

ยามนางช้อนตาขึ้นมาก็เอ่ยด้วยใบหน้าซึ่งมีแต่ความฉงนสนเท่ห์ “ดูเหมือนว่าคุณชาย…ยังไม่มีชะตาคู่ครอง หรือไม่เนื้อคู่ก็ยังมาไม่ถึงกระมัง” นางฝืนเอ่ยเสริมท้ายหนึ่งประโยค ไม่เช่นนั้นบางครั้งคำพูดอาจจะทำร้ายจิตใจคนมากเกินไปจริงๆ

เยวี่ยซย่าหมั่งหรี่ตาลงเล็กน้อย หน้าตาหล่อเหลาอันเรียบเฉยไร้อารมณ์พลันปรากฏแววน่าครั่นคร้ามสะพรึงกลัวขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา

 

ซั่นซือฮุ่ยสามารถเห็นด้ายเนื้อคู่ของผู้อื่นได้มาตั้งแต่เกิด หรือก็คือด้ายแดงที่ผูกอยู่บนนิ้วนั่นเอง

โดยทั่วไปแล้วที่ปลายนิ้วของทุกคนจะมีด้ายแดงอยู่จุดหนึ่ง หากคู่ในโชคชะตาปรากฏขึ้น จุดแดงบนนิ้วก็จะเกิดเป็นด้ายแดงออกมาตามธรรมชาติ แค่ดูว่าปลายอีกด้านผูกอยู่บนนิ้วของใคร ทั้งสองก็ต้องได้ครองคู่กัน

ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงมองเห็นด้ายแดงได้ แต่การสังเกตมาตลอดหลายปีของนางไม่เคยเกิดข้อผิดพลาด ดังนั้นความสามารถนี้จึงกลายเป็นอาชีพหลักที่ทำให้นางใช้ชีวิตที่นี่ต่อไปได้ ดังนั้นนางถึงได้กล้าเดิมพันกับเยวี่ยซย่าหมั่ง

ถ้าจะพูดกันจริงๆ ล่ะก็ นางต่ำทรามกว่า ทั้งที่รู้แก่ใจว่าตนเองชนะแน่ๆ แต่กลับพนันกับเขาอย่างหน้าไม่อาย มิหนำซ้ำคนเขายังเป็นผู้มีบุญคุณของนางอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองทำเกินไป

ซั่นซือฮุ่ยตรึกตรองอย่างจริงจัง นิ้วเรียวขาวคำนวณไม่หยุด คิดในใจว่าหลอกเงินเขานิดๆ หน่อยๆ ก็พอ อย่างน้อยให้นางได้อิ่มอุ่น เงินอื่นๆ ก็ค่อยไปขุดจากพวกแม่สื่อในเมืองเอาแล้วกัน ขอแค่นางค่อยๆ สร้างชื่อเสียงได้ ยังต้องกลัวว่าแม่สื่อเหล่านั้นจะไม่มาขอร้องนางอีกหรือ

เพราะสำหรับพวกแม่สื่อหากวิ่งรอบเดียวแล้วสามารถเจรจาการแต่งงานให้สำเร็จลุล่วงได้ ย่อมเป็นการประหยัดแรงและประหยัดเวลาเป็นที่สุด อย่างไรก็ดีกว่าต้องวิ่งฝ่าลมหนาวเสียดกระดูกหลายรอบแต่สุดท้ายก็ได้แค่เงินค่าน้ำชาเป็นไหนๆ

ขอแค่หาเงินค่าคนกลางจากการร่วมมือกันได้มากขึ้นอีกนิดนางก็จะสามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองได้ ไม่ต้องทนหิ้วท้องและก็ไม่ต้องกระเบียดกระเสียรกระทั่งการจุดโคมไฟในยามราตรี ชีวิตอันแสนรันทดยามที่เพิ่งย้อนเวลามาที่นี่ นางไม่อยากจะประสบพบเจออีกรอบแม้แต่น้อย จะต้องคิดหาหนทางใช้ชีวิตให้สุขสบายก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะกลับบ้านได้อย่างไร

แต่จะกลับบ้านได้อย่างไรกันเล่า

ทีแรกที่บังเอิญเจอคุณชายผู้นั้นบนถนนใหญ่ มีชั่วพริบตาหนึ่งที่ซั่นซือฮุ่ยคิดว่าเขาต้องเป็นกุญแจสำคัญในการกลับบ้านของนางเป็นแน่ เพราะเขาหน้าตาเหมือนกับชายหนุ่มที่เรียกนางคนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

นางไม่มีทางจำผิดแน่นอน เพราะเขารูปโฉมเย้ายวนชวนลุ่มหลงเกินไป เสมือนกับเซียนจิ้งจอกปรากฏกาย ไม่ว่าใครก็ลืมรูปโฉมของเขาไม่ลง แต่ความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น

เช่นนั้นถ้านางจะกลับบ้านก็เหลือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวแล้ว…

“พี่ซั่น”

จู่ๆ ก็ได้ยินว่ามีคนเรียก ซั่นซือฮุ่ยจึงรีบขานรับ ลุกขึ้นเปิดบานประตูที่จวนจะค้ำไม่อยู่อย่างระมัดระวัง…ช่วยไม่ได้ ที่นี่เป็นแค่เรือนผุพังที่ไม่มีคนอยู่ในหมู่บ้าน ให้นางยืมอาศัยก็ควรจะสำนึกบุญคุณแล้ว มิหนำซ้ำพอลืมตาขึ้นมาทุกอย่างก็ต้องใช้เงินทองทั้งสิ้น นางเองก็ไม่มีเงินซ่อมประตูเช่นกัน

“พี่ซั่น ปานของท่าน…ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแล้ว” ที่นอกประตูหลิวซินถูกรอยปานที่กินบริเวณไปถึงครึ่งหน้าบนใบหน้าของซั่นซือฮุ่ยทำให้ตกใจยกใหญ่

“ใหญ่หน่อยก็ดี” ซั่นซือฮุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเหนื่อยหน่ายใจ นี่ก็ช่วยไม่ได้ ใบหน้าดวงนี้ยั่วตายวนใจเกินไป อีกทั้งนางพบว่าที่เขียนคิ้วที่นางซื้อมาคุณภาพไม่ดี ผงหลุดลอกง่ายยิ่ง ตอนนางกลับถึงบ้านรอยปานของนางมักจะหายไปกว่าครึ่ง และเพราะเช่นนี้ถึงได้ถูกคนตามก้อร่อก้อติก

อัปลักษณ์หน่อยก็ไม่เป็นไร ประเด็นสำคัญคือต้องปลอดภัย

“พี่ซั่น ใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเราไปกันเถิด” หลิวซินไม่ใคร่ใส่ใจนัก เอ่ยกับนางด้วยรอยยิ้มพริ้มเพรา เข้ามาคล้องแขนนางอย่างสนิทสนม

“ได้” ซั่นซือฮุ่ยตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างสนิทสนมเช่นเดียวกัน

หลิวซินเป็นบุตรสาวของสามีภรรยาสกุลหลิวที่ยื่นมือช่วยเหลือซั่นซือฮุ่ยเป็นคนแรกตอนที่นางย้อนเวลามาที่นี่ พวกเขาช่วยหาเรือนผุพังแห่งนี้ให้นางอยู่อาศัย สกุลหลิวเป็นครอบครัวนายพรานในหมู่บ้าน ถึงแม้จะมีความสามารถในการเลี้ยงชีพ แต่ในครอบครัวมีคนเยอะ ดังนั้นจึงมิอาจเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่พอมีพอกิน ถึงแม้ครอบครัวพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสนแต่ยังคงมีจิตใจดีงามยิ่ง ไม่เพียงแต่ช่วยซั่นซือฮุ่ยเอาไว้ ซ้ำยังให้นางยืมเงินเล็กน้อยพอที่จะทำมาหากินด้วยตนเองได้ หากไม่มีคนสกุลหลิวนาง…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ใด

หลิวซินมองนางตรงๆ ก่อนถอนหายใจเอ่ยว่า “จริงๆ แล้วพี่ซั่นงดงามยิ่ง”

หากนางมีรูปโฉมเหมือนอย่างซั่นซือฮุ่ย ไหนเลยจะหักใจวางปานอัปลักษณ์เช่นนั้นลงบนใบหน้าได้

ซั่นซือฮุ่ยหัวเราะคิกคัก “อีกไม่กี่ปีเจ้าก็งดงามกว่าข้า”

“จริงหรือ”

“จริงสิ” ในสายตาซั่นซือฮุ่ยแม่นางน้อยผู้นี้สะสวยงดงาม ทั้งร่าเริงทั้งใจกว้าง ชวนให้คนชื่นชอบยิ่ง ไม่รู้ว่าบุรุษคนใดจะได้ไปครอง

และนางเห็นแล้ว…ด้ายแดงบนนิ้วมือของแม่นางน้อยผู้นี้ปรากฏขึ้นแล้ว

หลิวซินเม้มริมฝีปากยิ้มอย่างขวยเขินเอียงอาย ดวงตากลมโตสดใสเจิดจ้า “ไม่พูดแล้ว พวกเรารีบไปที่ริมแม่น้ำกันเถิด”

“ไปกัน”

จริงสิ นางต้องรีบเตรียมตัวไปทำงานได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นเทศกาลซั่งซื่อ ที่จัดขึ้นแค่ปีละครั้ง ธรรมเนียมโบราณจะจัดพิธีบวงสรวงที่ริมแม่น้ำ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นงานดูตัวครั้งยิ่งใหญ่ นางต้องรีบไปดูว่าจะจับคู่ได้กี่คู่ หาเงินให้เป็นกอบเป็นกำ ถึงจะให้รางวัลตนเองได้

 

ค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตก ข้างโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ในห้องหนังสือของที่ทำการ บุรุษสองคนกำลังเดินหมากกันอยู่

แค่เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา* บุรุษที่หันหลังให้ประตูก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ บีบหมากสีขาวในมือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็วางลง

“ขอยอมแพ้แต่โดยดี” คนที่เอ่ยคือโจวกงปิ่งผู้บัญชาการประจำค่ายทหารของค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตก รูปร่างกำยำล่ำสัน ใบหน้าเหลี่ยมหน้าผากกว้าง ทั้งร่างเต็มไปด้วยกระไอดุดันอันเป็นเอกลักษณ์ของแม่ทัพนายกอง

“น่าเบื่อ” เยวี่ยซย่าหมั่งวิจารณ์อย่างไม่เกรงอกเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็โยนหมากสีดำทิ้งส่งๆ “ข้าว่างเกินไปจริงๆ ถึงได้ชวนเจ้ามาเดินหมากด้วย” เขามองไปทางนอกหน้าต่างพลางคิดในใจ ไปกินทรายเป็นเพื่อนทหารเหล่านั้นให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีหรือไม่

แม้ใบหน้าของโจวกงปิ่งจะตากแดดคล้ำเพียงใดก็ยังมองออกว่าถูกประชดเสียดสีจนหน้าแดงเถือก เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “พูดเช่นนี้ไม่ได้ ทั้งที่เจ้ารู้ดีว่าเดิมทีข้าไม่ถนัดทำเรื่องสุภาพเรียบร้อยพวกนี้ ออกไปข้างนอกดีหรือไม่ พวกเราประลองกำลังกันสักสองสามรอบ”

เยวี่ยซย่าหมั่งไม่แม้แต่จะมองเขาสักแวบเดียว “เจ้าเคยสู้ชนะข้าด้วยหรือ”

เมื่อหลายปีก่อนทั้งสองเคยร่วมมือกันในสนามรบที่เยียนโจวอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ไม่อาจเรียกได้ว่าคบหากันลึกซึ้ง แต่ก็ถือว่าเป็นสหายกันแน่นอน ดังนั้นยามพูดจาหากไม่กระแทกจุดอ่อนของอีกฝ่าย เยวี่ยซย่าหมั่งก็จะรู้สึกผิดต่อตนเอง

“เส้นทางยังอีกยาวไกล หากยังไม่ถึงที่สุดใครจะสามารถตัดสินแพ้ชนะได้” โจวกงปิ่งเถียงกลับอย่างไม่เกรงใจแม้แต่เศษเสี้ยว แต่ในใจกลับกัดฟันกรอด สิ่งที่เจ้าเยวี่ยซย่าหมั่งผู้นี้ทำให้คนห่อเหี่ยวหมดกำลังใจที่สุดคือนอกจากรูปโฉมหล่อเหลาแล้วยังปราดเปรื่องทั้งบุ๋นและบู๊ด้วย

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีดวงหน้างามล้ำหมดจด รูปโฉมงดงามยิ่งกว่าสตรีเสียอีก นอกจากนั้นยังเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงดูมาในเมืองหลวง ท่าทางอ้อนแอ้นเหมือนว่าบ่าไม่อาจหาม มือไม่อาจถือ เมื่อปีนั้นทหารบางนายที่หวั่นไหวกับรูปโฉมของชายหนุ่มผู้นี้ถึงกับเกิดความคิดชั่วร้ายกับเขาด้วยซ้ำ สุดท้ายประจวบเหมาะเห็นเจ้าคนบ้าคลั่งอวี๋เสวียนกับเขาต่อสู้กันอย่างพอฟัดพอเหวี่ยงในลานประลองวรยุทธ์ แต่ละคนจึงตกใจเสียขวัญจนล้มเลิกความคิดไม่ดีไป

ต้องรู้ว่าอวี๋เสวียนนั้นเดิมเป็นหัวหน้าองครักษ์ติดดาบ เป็นคนจากในวังหลวง ฝีมือจะย่ำแย่ได้หรือ นั่นล้วนเป็นคนที่สามารถต่อกรกับศัตรูได้หนึ่งต่อสิบทั้งนั้น

“เส้นทางยังอีกยาวไกล?” เยวี่ยซย่าหมั่งแค่นเสียงหัวเราะ “จากที่ข้าเห็น เส้นทางของเจ้าไม่ไกลแล้ว”

“อยู่ดีๆ มาสาปแช่งผู้อื่นเพื่ออันใดกัน” เขาติดค้างอะไรเยวี่ยซย่าหมั่งกันแน่ เหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่พูดจาดีๆ กับเขานัก

“เป็นคำเตือนต่างหาก”

“เกิดเรื่องใดขึ้น” โจวกงปิ่งสีหน้ามึนงง

“เกาหลินกลายเป็นผู้ติดตามของคุณชายจวนเจ้าเมืองเฉินไปแล้ว” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย มือจับหมากดำที่อยู่ในโถเล่น

โจวกงปิ่งยังคงมีสีหน้าสับสนงุนงง “แล้วเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย”

เยวี่ยซย่าหมั่งหลับตาครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาและถอนหายใจเฮือกใหญ่แรงๆ “ข้ารู้สึกว่าการคุยกับเจ้าช่างเหนื่อยจริงๆ” คิดเองต่อไม่เป็นหรือ เขาอาศัยสิ่งใดกันแน่ถึงนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้มาจนถึงตอนนี้

โจวกงปิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก ถึงสามารถพูดคุยกับเยวี่ยซย่าหมั่งดีๆ ได้ “เบื้องบนไม่มีคำสั่งให้จับกุมตัวสักหน่อย เจ้าจะให้ข้าอาศัยสิ่งใดไปจับตัวคน”

เยวี่ยซย่าหมั่งหัวเราะเฮอะ น้ำเสียงดูถูกดูแคลนเต็มเปี่ยม “เจ้ากลัวจะล่วงเกินเกาฉิวมากกว่ากระมัง”

เมื่อถูกกระชากผ้าคลุมกันอายออกอย่างไม่เกรงใจ โจวกงปิ่งก็อับอายจนพาลโกรธขึ้นมาในชั่วพริบตา แต่ก็โต้อะไรกลับไม่ได้

เยวี่ยซย่าหมั่งเองก็ไม่มีอารมณ์จะรอเขาอธิบายเช่นกัน จึงโบกมือให้เขาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ บอกเป็นนัยให้เขาออกไปได้แล้ว “ยอมล่วงเกินฝ่าบาทแต่ไม่กล้าล่วงเกินเกาฉิว เจ้าเองก็นับว่าใจกล้านัก”

“เจ้าอยู่ที่เมืองหลวง ไม่รู้หรือว่าเพราะเหตุใดในสกุลเกาถึงมีแค่เกาฉิวที่ไม่ถูกลงโทษ มิใช่เพราะพ่อตาของเขาหรือไร” โจวกงปิ่งเอ่ยด้วยความอับจนปัญญาอย่างถึงขีดสุด “คนเขาเป็นถึงผู้บัญชาการใหญ่ที่เฝ้าอารักขาเยียนโจว ฝ่าบาทยังต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน แล้วข้าจะไม่ไว้หน้าได้หรือ”

ความเกี่ยวดองทางการแต่งงานของแม่ทัพนายกองที่เยียนโจวมาจนถึงแถบค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกนั้นสลับซับซ้อน ดึงผมเส้นเดียวกระทบไปทั่วทั้งตัว หากเป็นไปได้โจวกงปิ่งยอมไปสังหารศัตรูภายนอกดีกว่าเหยียบย่ำลงไปในน้ำโคลนสกปรกนี้

“เจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงไว้หน้าแล้ว?” เยวี่ยซย่าหมั่งชำเลืองมองสหายปราดหนึ่งอย่างเกียจคร้าน เอ่ยด้วยความอิดหนาระอาใจยิ่ง “เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อกินทรายโดยเฉพาะ?”

ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์เมืองหลวงอย่างเขาจำเป็นต้องพาทหารจากห้าค่ายย้ายฐานที่มั่นมาอยู่ที่ค่ายใหญ่ฝั่งตะวันตกเป็นกรณีพิเศษด้วยหรือ นี่มิใช่งานของเขาเสียหน่อย ก็แค่หาเหตุผลให้เขามาที่นี่เท่านั้น

โจวกงปิ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ…”

เยวี่ยซย่าหมั่งโบกมือเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจชิงชังอย่างปิดไว้ไม่ปิด “เหตุใดเจ้าไม่ลองคิดดูเล่า ผู้บัญชาการใหญ่แห่งเยียนโจวอย่างกวนเช่อเป็นพ่อตาแสนดีที่จะขอความเมตตาให้บุตรเขยหรือ ไปๆๆ คิดกระจ่างแล้วค่อยมาหาข้า”

โจวกงปิ่งอยากจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป ที่นี่เป็นห้องหนังสือของเขา เพียงแค่ให้เยวี่ยซย่าหมั่งยืมใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น บัดนี้อีกฝ่ายกลับได้คืบจะเอาศอก ยึดห้องหนังสือเขาไปเป็นของตนเอง…แต่คิดก็ส่วนคิด เขาไม่มีความกล้าจะพูดออกไป ดังนั้นจึงได้แต่เดินคอตกออกไป

เมื่อโจวกงปิ่งออกไปแล้ว โม่เทาซึ่งเฝ้าอยู่นอกประตูถึงค่อยเดินเข้ามาข้างใน

“เจ้านาย ท่านรู้ที่ซ่อนตัวของเกาหลินแล้ว เหตุใดถึงไม่บอกผู้บัญชาการโจวไปตรงๆ เล่าขอรับ” ทีแรกเขายังคิดว่าที่เจ้านายเรียกผู้บัญชาการโจวมาหาก็เพราะจะมอบหมายให้อีกฝ่ายจัดการเรื่องนี้ แต่กลับได้ยินผู้บัญชาการโจวบ่นกระปอดกระแปดไม่กี่คำก็จากไป

“เหตุใดข้าต้องบอกเขาด้วย”

โม่เทาตะลึงลานเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้นเหตุใดวันนี้เจ้านายถึงตั้งใจเรียกเขามาเล่า”

“ข้ามีความสุข” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยอย่างจริงจังเป็นที่สุด

“ไม่ใช่กระมัง ดูแล้วไม่มีความสุขเป็นพิเศษมากกว่า” ถึงแม้ความคิดของเจ้านายจะคาดเดาไม่ง่าย แต่โม่เทาก็ยังพอมีสายตาแยกแยะอารมณ์ของเจ้านายอยู่

“ถ้าให้ข้าพูดจนกว่าเจ้าจะเข้าใจ คงต้องเหนื่อยแย่” เยวี่ยซย่าหมั่งแค่นเสียงดูถูก

โม่เทาเคยชินกับความปากร้ายของเจ้านายมากแล้ว จึงทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยถามเอาเองว่า “ถ้าเจ้านายไม่อยากอยู่กินทรายที่นี่ต่อไป รีบจับตัวเกาหลินให้ได้โดยเร็วก็เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือขอรับ”

ถึงแม้หลังจากเจ้านายมาถึงซุยโจวแล้วจะอารมณ์ไม่ดียิ่ง แต่วันที่เริ่มเลวร้ายอย่างแท้จริงดูเหมือนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ได้เจอกับเกาหลิน

สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือตันเสิงสืบเจอตั้งแต่แรกแล้วว่าเกาหลินพักอยู่ที่ใด แต่เจ้านายกลับไปหาเจ้าเมืองเฉิน ต่อมาก็มาหาผู้บัญชาการโจว ไม่ยอมลงมือด้วยตนเองเสียที นี่มิใช่รูปแบบการทำงานของเจ้านายเลยจริงๆ

หรือว่าเจ้านายยังมีภารกิจอื่นอีก…

“ใครบอกเจ้าว่าข้าไม่อยากกินทราย”

“อยากกินจริงๆ หรือขอรับ” ให้เขาไปกอบมาสักกำมือเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่

“เหนื่อยใจยิ่งนัก” เยวี่ยซย่าหมั่งไม่มองโม่เทาแม้แต่แวบเดียว เดินตรงออกไปข้างนอกอย่างไม่สนใจใคร

“เจ้านายจะไปที่ใดหรือขอรับ”

“เจ้าเป็นมารดาข้าหรือไร ไยถึงถามมากถึงเพียงนี้” เยวี่ยซย่าหมั่งเอ่ยจบก็คิดในใจว่าข้าไม่ควรให้ตันเสิงออกไปเลย พลาดแล้วจริงๆ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ก.ย. 68

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: