บทที่ 2-3 พบเจอกันอีกครั้งที่หอคณิกา
เนินชุนเฟิงซึ่งอยู่รอบนอกทางตอนใต้ของเมืองเป็นเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง เบื้องล่างมีลำธารไหลผ่าน และเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาย่ำขจี ในช่วงเทศกาลซั่งซื่อของทุกปี เมื่อใกล้ถึงยามเที่ยงวันลำธารจะกลายเป็นเส้นแบ่งเขต ชายหนุ่มหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานแยกกันอยู่คนละฝั่ง ฝูงชนคับคั่ง ทำเอาซั่นซือฮุ่ยมองดูจนแทบจะตาลายไปหมดแล้ว
นางได้ยินว่าช่วงเทศกาลซั่งซื่อที่เนินชุนเฟิงแห่งนี้จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมารวมตัวกันมากมายถึงเพียงนี้จริงๆ นางสงสัยว่าคนในเมืองและต่างเมืองล้วนเดินทางมาที่นี่กันหมด อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังมีแผงขายของเล็กๆ มาขายของกินต่างๆ นานา ทำให้นางนึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่ไม่ได้ทำซาลาเปามาด้วย จะได้หารายได้เสริมเล็กๆ น้อยๆ
จะว่าไปแล้วดวงตาของนางก็ต้องคอยกวาดมองไปทั่วไม่ได้อยู่เฉย มัวแต่ยุ่งอยู่กับการดูว่าด้ายแดงของใครกับใครผูกเข้าด้วยกัน คงจะไม่มีเวลาขายซาลาเปาเป็นแน่
“นางหนูซั่น”
ด้านหลังมีคนร้องเรียก พอซั่นซือฮุ่ยหันหน้ากลับไปก็เรียกเสียงหวานว่า “พี่ใหญ่หวง!”
แค่คำว่า ‘พี่ใหญ่หวง’ ก็ทำให้แม่สื่อหวงยิ้มจนลืมตาไม่ขึ้น “นางหนูอย่างเจ้ามาเรียกข้าว่า ‘พี่ใหญ่’ ได้อย่างไรเล่า” ต้องรู้ว่านางอยู่ในวัยที่สามารถเป็นย่าของซั่นซือฮุ่ยได้แล้ว
“ไยจะไม่ได้เล่า” ซั่นซือฮุ่ยถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ หรือว่ามีข้อห้ามด้วย นางคิดจากใจจริงว่าด้วยอายุของนางเรียกแม่สื่อหวงว่า ‘พี่ใหญ่’ ก็เหมาะสมดียิ่ง หากแม่สื่อหวงได้ยินผู้อื่นเรียกว่า ‘หมัวมัว’ ยังจะรู้สึกขัดเขินมากกว่าเสียอีก
ครั้นเห็นว่าใบหน้าของซั่นซือฮุ่ยเต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ แม่สื่อหวงก็ยิ่งชื่นชอบนางจากก้นบึ้งหัวใจ เมื่อได้ยินคำเรียกของนาง ในใจก็รู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก จึงกอดแขนนางอย่างใกล้ชิดสนิทสนม “นางหนู เจ้าก็หาเงินได้บ้างแล้วมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ซื้อเสื้อผ้าให้ตนเองสักชุดสองชุดเล่า”
ซั่นซือฮุ่ยเชี่ยวชาญการดูเนื้อคู่ ยามนี้นับว่าพอจะมีชื่อเสียงในแวดวงแม่สื่ออยู่บ้าง ทุกคนต่างก็ชอบร่วมงานกับนาง ขอแค่ไปทาบทามถึงที่ก็ล้วนเป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นได้ ซองแดงที่ตนได้รับมาจะต้องแบ่งค่าคนกลางให้นางนิดๆ หน่อยๆ แน่นอน บัดนี้พอคำนวณดูแล้วในมือของนางอย่างน้อยน่าจะมีติดตัวสักหลายร้อยตำลึงได้แล้ว
“ชุดของข้าตัวนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ซั่นซือฮุ่ยยิ้มแห้งๆ
“ดีตรงที่ใดกัน มีแต่รอยปะชุน วันนี้เป็นเทศกาลซั่งซื่อ หญิงสาวคนใดออกจากบ้านไม่แต่งเนื้อแต่งตัวงามๆ บ้างเล่า” แม่สื่อหวงมองประเมินซั่นซือฮุ่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่รู้ว่าเสียดายเป็นครั้งที่เท่าใดแล้ว
ทั้งๆ ที่เป็นหญิงงามโดยกำเนิด แต่บนหน้าผากกลับมีรอยแผลเป็นรอยหนึ่ง นางไม่เพียงแต่ไม่รู้จักปกปิด วันนี้ยังถึงขั้นวาดรอยปานขนาดใหญ่ อย่างกับกลัวว่าผู้อื่นจะมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น กอปรกับการแต่งกายชุดนี้ยิ่งดูยากจนข้นแค้นเสียชวนให้คนน้ำตาไหล เหยียบย่ำตนเองมากเกินเหตุไปแล้ว
“พี่ใหญ่หวง วันนี้ข้ามาดูเนื้อคู่ ข้ามองเห็นหลายคู่แล้ว” ซั่นซือฮุ่ยไม่อยากวกหัวข้อสนทนามาที่ตนเองจึงรีบร้อนเบี่ยงเบนประเด็น
“อย่างนั้นหรือ ชี้ให้ข้าดูทีซิ” แม่สื่อหวงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ จะว่าไปนางหนูผู้นี้ก็พอจะมีวิชาอยู่บ้าง ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการดูเนื้อคู่ แต่ว่าหนึ่งไม่ดูฤกษ์ตกฟาก สองไม่ดูนรลักษณ์ แค่มองดูคนไกลๆ ก็รู้ได้ว่าใครคู่กับใคร ขอแค่ไปทาบทามถึงที่ย่อมสำเร็จผลแน่นอน เมื่อนับดูอย่างน้อยก็สำเร็จไปสิบกว่าคู่แล้ว จนกระทั่งถึงบัดนี้ยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
ซั่นซือฮุ่ยไม่รู้จักคนเหล่านั้น ดังนั้นจึงทำได้เพียงชี้ให้แม่สื่อหวงดูทีละคนๆ
“นางหนูสกุลจาง…บุตรชายคนเล็กของสกุลเฉิน…” แม่สื่อหวงมองไปยังทิศทางที่นางชี้ ปากก็พูดพึมพำ จดจำไว้ทีละคน คิดไว้ว่าหากวันหลังไปทาบทามบ้านใด นางจะต้องบรรลุผลในคราวเดียวแน่นอน
“อืม ที่ค่อนข้างมั่นใจก็มีประมาณนี้เจ้าค่ะ” ซั่นซือฮุ่ยเงียบเสียงไปแล้วถึงค่อยเอ่ยขึ้น
วันนี้ฝูงชนเบียดเสียดขวักไขว่มากเหลือเกิน ด้ายแดงผูกไปพันมา นางมองจนตาแทบลายหมดแล้ว คู่ที่พูดออกมานางล้วนเห็นค่อนข้างชัดเจน จึงมั่นใจทั้งสิ้น
แม่สื่อหวงฟังด้วยความพึงพอใจ แต่แล้วก็รีบกดเสียงต่ำพลางเอ่ยว่า “นางหนูซั่น พวกเราตกลงกันแล้วนะ หลายคู่นี้ยกให้ข้า เจ้าอย่าไปบอกผู้อื่นอีก หากงานสำเร็จเมื่อใด พวกเราแบ่งกันสองส่วนแปดส่วนเหมือนเดิม”
“ได้เจ้าค่ะ” ซั่นซือฮุ่ยตกปากรับคำทันที ทำการค้านี้ก็ต้องให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือเช่นกัน ในเมื่อรับปากแม่สื่อหวงไว้แล้ว นางย่อมต้องทำให้ได้ จะไม่ร่วมงานกับผู้อื่นอีก
“นางหนูซั่น เจ้าดูเนื้อคู่ให้ผู้อื่น แล้วเหตุใดไม่ดูให้ตนเองบ้างเล่า”
ครั้นแม่สื่อหวงเอ่ยถามเช่นนี้ ซั่นซือฮุ่ยก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพุ่งเป้ามาที่ตนเอง จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนตอบว่า “คู่ของข้ายังไม่ปรากฏเลย” คำพูดนี้มิใช่การปฏิเสธกลบเกลื่อน แต่ยังไม่ปรากฏจริงๆ
“เช่นไรถึงจะถือว่าเนื้อคู่ปรากฏแล้วเล่า ทั้งที่มีคนไม่น้อยมาสืบถามเรื่องเจ้ากับข้าแท้ๆ เจ้าดูซิว่าเนื้อคู่ก็มาเยือนแล้วมิใช่หรือ” แม่สื่อหวงพินิจมองซั่นซือฮุ่ย รู้สึกเสียดายกับรอยแผลเป็นบนหน้าผากอีกฝ่ายอีกครั้ง ช่างสุดแสนจะน่าเสียดายเหลือเกิน หญิงงามโดยกำเนิดตัวเป็นๆ คนหนึ่งกลับเสียโฉมเสียได้ ประหนึ่งหยกงามชั้นเลิศมีรอยตำหนิ จะไม่ให้คนทอดถอนใจได้อย่างไรกัน
มิหนำซ้ำนางพบเจอหญิงงามมามากมาย ต่อให้งามชวนตกตะลึงเพียงใดก็แค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น ทว่านางหนูซั่นนั้นงดงามในอากัปกิริยา อ่อนหวานจากเนื้อแท้ ยังมีใบหน้าที่แย้มยิ้มอันนุ่มนวลอ่อนโยนของอีกฝ่ายดวงนั้นอีก รวมกับวาจารื่นหูนั่น ไม่ว่าใครเห็นแล้วก็ต้องอยากใกล้ชิดด้วย
ซั่นซือฮุ่ยพยักหน้าเบาๆ “คนที่เป็นคู่กันจะต้องมีใจให้กันทั้งสองฝ่ายถึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏหาใช้เนื้อคู่ไม่แต่เป็นเจ้ากรรมนายเวร”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ยกตัวอย่างเช่นคู่ที่พี่ใหญ่หวงเป็นแม่สื่อให้ ล้วนรักใคร่กลมเกลียว ครองคู่กันจนแก่เฒ่าทุกคู่หรือไม่”
“นี่…” แม่สื่อหวงหัวเราะเล็กน้อย ไม่เห็นด้วยกับซั่นซือฮุ่ย “การแต่งงานในใต้หล้าก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้นมิใช่หรือ ใครสามารถรับรองได้ว่าออกเรือนแล้วจะมีชีวิตสุขสบาย นี่ก็ต้องดูที่นิสัยใจคอของเจ้าสาวด้วย”
“ใช่แล้ว ดังนั้นถ้ารอได้ก็รอเถิด รอเนื้อคู่ที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น ถึงจะไม่เสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ” ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมแต่งกับใครง่ายๆ เด็ดขาด ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด จะให้นางออกเรือนโดยที่ไม่เคยได้ใช้เวลาทำความรู้จักกันเลย นั่นเป็นการบังคับให้นางไปตายชัดๆ
แม่สื่อหวงเห็นซั่นซือฮุ่ยไม่หวั่นไหวก็ไม่ฝืนใจนาง สตรีกำพร้าที่ไร้ภูมิหลังไร้บิดามารดาอย่างนางจะเลือกบ้านสามีดีๆ ก็คงยาก ตอนนี้คนที่ไม่สนใจรอยปานของนางก็คงมีแต่ครอบครัวชาวสวนชาวไร่เท่านั้น แต่ถ้าไม่มีรอยปานนั่น หากนางคิดจะก่อตั้งตระกูลในเมือง ดูจากรูปโฉมของนางแล้วเกรงว่าคงไม่อาจทำได้…ยั่วตายวนใจเกินไป น่ากลัวว่าหากผู้อื่นรู้เข้าว่านางอยู่ตัวคนเดียวก็คงจะมาฉุดตัวนางไป
“จริงสิ วันนี้เจ้ามาคนเดียวหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ามากับแม่นางน้อยสกุลหลิว” พูดจบนางก็ชี้ไปทางหลิวซินซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่จู่ๆ ก็เห็นว่าด้ายแดงบนนิ้วของหลิวซินยาวยืดออกไป ข้ามไปยังอีกฝั่งของลำธาร ผูกลงบนนิ้วของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้นางอดร้องอุทานเสียงดังออกมามิได้
“มีอันใดหรือ” แม่สื่อหวงหรี่ตามองไป เห็นคนแล้วก็จำได้ว่านั่นคือบุตรสาวครอบครัวนายพรานสกุลหลิว
“เนื้อคู่ของนางปรากฏแล้ว คือเด็กหนุ่มสวมชุดสีครามฝั่งตรงข้ามผู้นั้น”
แม่สื่อหวงหันมองไปอีกครา “อา นั่นคือบุตรชายคนเล็กของสกุลข่งที่อยู่แถวชานเมือง ปีนี้อายุสิบหกปี ลงนาปลูกข้าวเป็น ทำไร่ไถนามาไม่น้อย เริ่มถึงวัยทาบทามหาคู่ครองแล้วล่ะ”
ในใจแม่สื่อหวงจดจำเอาไว้อีกคู่ วางแผนว่าภายในสองสามวันจะแวะเวียนไปที่สกุลข่งก่อน
“คนผู้นั้นนิสัยใจคอดีหรือไม่เจ้าคะ” ซั่นซือฮุ่ยรีบเอ่ยถาม ถึงแม้เนื้อคู่จะปรากฏขึ้นแล้ว แต่ดีร้ายอย่างไรก็ต้องรู้ความเป็นมาของอีกฝ่ายเสียก่อน เพื่อจะได้แน่ใจว่าหลังจากหลิวซินออกเรือนไปแล้วจะอยู่สุขสบาย
“นิสัยดี ซื่อตรง ทั้งยังทนความลำบากได้” แม่สื่อหวงพูดจบก็หันไปมองทางหลิวซิน กลับพบว่าสายตาของนางหยุดลงบริเวณที่อยู่ไกลยิ่งกว่า เหล่าคุณชายที่อยู่ฝั่งนั้นแต่งกายอย่างฉูดฉาดงดงาม ล้วนแต่เป็นลูกหลานครอบครัวคหบดีในเมืองทั้งสิ้น วันๆ เอาแต่ชนไก่แข่งสุนัข “แม่นางน้อยผู้นี้กลับทะเยอทะยานไม่เบา”
ซั่นซือฮุ่ยฉงนงุนงง “หมายความว่าอย่างไรหรือ”
“เจ้าดูสิว่านางกำลังมองอะไรอยู่”
ซั่นซือฮุ่ยมองไปตามทิศทางที่แม่สื่อหวงชี้ ตรงนั้นก็มีชายหนุ่มเยาว์วัยอยู่กลุ่มหนึ่งเช่นกัน แต่ถ้าจะถามนางว่ามีความแตกต่างกันเช่นไร…อืม คงจะถุงเงินหนักกว่า เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนั่นต้องใช้เงินทองไม่น้อย ดังนั้นความหมายของแม่สื่อหวงคือจะบอกว่าคนที่หลิวซินต้องใจคือชายหนุ่มที่ถุงเงินหนักกว่าเหล่านั้น?
“สายตาของแม่นางน้อยนั้นเข้าใจง่ายยิ่ง หากนางมิได้หลงใหลในเงินทองจนหน้ามืดตามัว ก็คงไปมาหาสู่กับผู้อื่นอย่างลับๆ อยู่ก่อนแล้ว”
แม่สื่อหวงเหมือนกับกลัวว่าซั่นซือฮุ่ยจะไม่เชื่อจึงเอ่ยอีกครั้งว่า “ดูสิ สายตาของนางพุ่งตรงไปที่คนผู้หนึ่งอยู่ตลอดเวลา คนผู้นั้นคือบุตรชายของเถ้าแก่ฉินแห่งร้านขายผ้าในเมือง เขาแต่งภรรยาตั้งนานแล้ว ในบ้านก็มีสาวใช้ห้องข้าง กับอนุภรรยามากมายนับไม่ถ้วน”
พอได้ยินแม่สื่อหวงพูดเช่นนี้ ซั่นซือฮุ่ยก็อดกังวลขึ้นมามิได้ สายตาของหลิวซินดูคล้ายกับรู้จักบุรุษผู้นั้น แต่หลิวซินเข้าเมืองน้อยครั้งยิ่ง เหตุใดถึงมีโอกาสรู้จักกับบุรุษผู้นั้นได้เล่า
“ข้าคิดว่านางไม่ค่อยได้รู้จักพบเจอกับคนเช่นนั้น เลยมองสักหลายๆ หนกระมัง” ซั่นซือฮุ่ยคิดเช่นนี้และหวังให้เป็นเช่นนี้จริงๆ
สิ่งที่แย่ที่สุดในยุคสมัยนี้ก็คือบุรุษสามารถมีภรรยา อนุ และสาวใช้ห้องข้างได้ทั้งหมดอย่างสมเหตุสมผล ถึงแม้กฎหมายจะกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าหากอายุเกินสี่สิบปีแล้วยังไม่มีบุตรถึงจะสามารถรับอนุได้ แต่ปัญหาคือตั้งแต่หัวจนถึงหางไม่มีใครทำตามสักคน แล้วนับประสาอะไรกับเมืองใกล้ๆ ชายแดนแห่งนี้เล่า
ได้ยินแม่สื่อหวงบอกว่าแต่งภรรยาต้องแต่งกุลสตรี รับอนุต้องรับโฉมงาม บุรุษหากพอจะมีเงินมีทองบ้าง ใครเล่าจะไม่อยากเสพสุขอย่างชาวฉี
หากอยากจะหาบุรุษที่ใช้ชีวิตโดยมีภรรยาเพียงแค่คนเดียว ถ้ามิใช่เพราะยากจนข้นแค้นเสียจนมิอาจรับอนุได้ ก็คงจะ…มีโรคภัยที่น่าอับอาย
เฮ้อ เป็นยุคสมัยที่ชวนให้คนเศร้าโศกจริงๆ เด็กสาวพอถึงอายุสิบห้าสิบหกปีก็ต้องออกเรือนแล้ว ซ้ำยังต้องแบ่งปันสามีกับผู้อื่นอีก…ซั่นซือฮุ่ยคิดว่าอย่างไรนางก็ควรหาวิธีกลับบ้านโดยเร็วจะดีกว่า
“แย่แล้ว ท้องฟ้าดูท่าแปดส่วนคงจะฝนตก”
เมื่อได้ยินแม่สื่อหวงกล่าวเช่นนี้ซั่นซือฮุ่ยก็เงยหน้าขึ้นมองตามจิตใต้สำนึก รู้สึกว่าท้องนภาขมุกขมัวอยู่บ้าง ลมพัดหนาวเย็นเล็กน้อย หากฝนตกลงมาจริงๆ…จะหนาวเหน็บเพียงใดกันหนอ
ลำพังแค่จินตนาการถึงความหนาวนางก็เริ่มตัวสั่นเทาแล้ว ด้านหนึ่งกังวลว่ารอยปานของนางจะเลือนหายไป จึงเตรียมกล่าวลา “พี่ใหญ่หวง วันนี้พวกเราพอแค่นี้เถิด ข้าต้องพาหลิวซินกลับไปก่อน”
ได้ยินว่าเทศกาลซั่งซื่อจะยังครึกครื้นรื่นเริงไปอีกอย่างน้อยสามวัน ยังมีโอกาสให้ทำการค้าอีกมาก
เดิมทีซั่นซือฮุ่ยยังตั้งใจจะไปกราบไหว้ศาลเฒ่าจันทราที่อยู่บนเนินชุนเฟิงสักหน่อย ทว่าอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป นางคิดว่ากลับก่อนน่าจะดีกว่า หาเวลาว่างทำซาลาเปาสักหน่อย พรุ่งนี้จะได้หาเงินเพิ่ม
“ได้ กลับไปก่อนเถิด ครั้งนี้สำเร็จผลเมื่อใด เจ้าก็ซื้อชุดที่พอดูได้ให้ตนเองสักสองสามชุดเถิด” แม่สื่อหวงมองดูรอยปะชุนบนเสื้อผ้าซั่นซือฮุ่ย กระทั่งเห็นผมเปียสองข้างที่มัดอย่างลวกๆ ของนางแล้วก็รู้สึกเจ็บดวงตายิ่ง
ซั่นซือฮุ่ยตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ จากนั้นยอบกายคารวะแล้วไปตามหาหลิวซิน ใครจะรู้ว่าละสายตาไปเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวก็หาตัวคนไม่เจอแล้ว
หายไปที่ใดแล้วนะ
นางกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของหลิวซิน จึงมองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างห้ามไม่อยู่ ครั้นแล้วก็เห็นหลิวซินอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งจริงๆ!
ได้ยินมาว่าขนบธรรมเนียมของชาวซุยโจวนั้นเปิดกว้าง ไม่เหมือนกับเมืองหลวงที่ยึดถือกฎที่ว่าสตรีต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอย่างเคร่งครัด แต่การอยู่ร่วมกับบุรุษอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้คงไม่ได้กระมัง!
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นซั่นซือฮุ่ยก็เห็นว่าจริงๆ แล้วอีกฝั่งก็มีหญิงสาวจำนวนหนึ่งอยู่ด้วยเช่นกัน…เอ่อ หรือเพราะวันนี้เป็นงานดูตัวครั้งใหญ่ ดังนั้นกฎระเบียบจึงหย่อนยานกว่าเดิมเล็กน้อย
นางสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวที่อยู่ฝั่งนี้จะมองไปทางอีกฝั่งเป็นระยะๆ แต่ก็มิได้ชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์หญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแต่อย่างใด ท่าทีเช่นนี้ทำให้ซั่นซือฮุ่ยสบายใจขึ้นเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าชื่อเสียงของหลิวซินจะเสียหาย
แต่พอมองดูอีกหลายครานางก็กังวลขึ้นมาอีก…ไม่ถูก! ดูจากท่าทางของหลิวซินแล้ว เหตุใดถึงดูเหมือนรู้จักกับบุรุษผู้นั้นจริงๆ เล่า ไม่ได้ ข้าต้องรีบพาตัวนางไปถึงจะถูก
ซั่นซือฮุ่ยข้ามสะพานโค้ง เดินไปทางหลิวซินด้วยฝีเท้ารวดเร็ว ยิ่งนางเดินเข้าไปใกล้มากเท่าใดก็ยิ่งเห็นรอยยิ้มขวยเขินและคาดหวังจากบนใบหน้าของหลิวซินชัดเจนขึ้น ทำให้นางร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว
ไฉนถึงมีเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ด้ายเนื้อคู่ปรากฏขึ้นแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดยังมีบุคคลที่สามปรากฏกายขึ้นอีกเล่า
“เอ๊ะ นี่มิใช่แม่นางขายซาลาเปาเมื่อวันนั้นหรอกหรือ”
เงาสายหนึ่งพุ่งมาจากด้านข้าง ทำเอาซั่นซือฮุ่ยตกใจจนชะงักฝีเท้า ครั้นช้อนสายตาขึ้นมองนางก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
สวรรค์ เหตุใดถึงเจอบุรุษผู้นี้อีกแล้วเล่า!
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนกันยายน 2568)
Comments
comments
No tags for this post.