X
    Categories: ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทนำ-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทนำ

รัชศกเหยียนซีปีที่หนึ่ง วันที่สิบห้าเดือนแปด ยามไฮ่หนึ่งเค่อ

แมลงในฤดูใบไม้ร่วงส่งเสียงหรีดระงม ก้อนเมฆดำบดบังดวงจันทร์

โอรสสายตรงประสูติ เดิมเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดี ทว่าทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ในตำหนักคุนหนิงกลับไม่มีสีหน้าปลาบปลื้มยินดีแม้แต่น้อย

ประตูตำหนักปิดแน่น ขันทีนางกำนัลต่างเงียบปานจักจั่นในวันหนาว รอบด้านเงียบสงัดประหนึ่งช่วงเวลาก่อนลมพายุจะมา

ฉางหลิงฝู่ หัวหน้าสำนักหมอหลวงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง นิ้วมือสั่นน้อยๆ เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากขมับ

ความหวาดหวั่นกระวนกระวายในห้องนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะสตรีที่อยู่บนเตียงผู้นั้น…ซูหลิง ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ต้าโจว

เสียงสั่นเครือของฉางหลิงฝู่ดังขึ้นผ่านผ้าโปร่งบางที่กั้นอยู่เป็นชั้นๆ “เอายาน้ำมาอีกชามหนึ่ง”

นางกำนัลรีบบอก “เจ้าค่ะ”

ยาน้ำผ่านลำคอ ลมหายใจของซูหลิงกลับยิ่งอ่อนลง นัยน์ตาของนางค่อยๆ พร่าเลือน พึมพำออกมาด้วยจิตใต้สำนึก

“ท่านพ่อ พี่ชาย”

เพิ่งจะสิ้นเสียง สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปทันที

ทุกคนต่างรู้ว่าซูฮองเฮาถือกำเนิดในวงศ์ตระกูลสูงส่ง บิดาคือเจิ้นกั๋วกงซูจิ่งเป่ย พี่ชายคือซูไหวอัน รองตุลาการศาลยุติธรรม อยู่ในตำหนักในแห่งนี้ศักดิ์ฐานะไม่มีใครสามารถเทียมได้

เพียงแต่มาบัดนี้ผู้หนุนหลังทั้งสองของซูฮองเฮาได้กลายเป็นคนสองคนที่ไม่อาจเอ่ยถึงมากที่สุดของราชสำนักต้าโจว

เรื่องมากมายต้องเริ่มเล่าตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน…

ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ยังไม่ถึงสามเดือน ชายแดนเมืองซื่อโจวก็มีทัพฉีมารุกราน ความยิ่งใหญ่ของกองกำลังทหารที่ยกมาถึงขั้นกล่าวได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน ซูจิ่งเป่ยผู้รับหน้าที่แม่ทัพใหญ่นำทัพออกทำศึก พาทหารฝีมือดีหกหมื่นนายเร่งรุดเดินทางไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ข้าหลวงใหญ่เมืองหลางโจวได้ส่งม้าเร็วมารายงาน บอกว่ากองกำลังทหารหกหมื่นนายถูกปิดล้อมอยู่ที่แม่น้ำมี่เหอ ขณะถูกข้าศึกขนาบโจมตีทั้งหน้าหลังอยู่นั้น ซูจิ่งเป่ยกลับเข้าไปในค่ายทหารของข้าศึก หลังจากนั้นก็ไม่มีร่องรอยใดๆ อีก

สกุลซูมีคุณูปการในการสู้รบที่โดดเด่น ทั้งมีความดีความชอบในการช่วยฮ่องเต้ก่อร่างสร้างเมือง ไม่มีหลักฐานแน่นหนา ใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

แต่ถัดจากนั้นก็มีคนหาหลักฐานความผิดที่บ้านสกุลซูสมคบกับข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง…ในจวนเจิ้นกั๋วกงถึงกับซ่อนทางลับที่สร้างมานานนับสิบปีแล้ว

ตามเบาะแส กรมอาญาและองครักษ์เสื้อแพร ได้เข้าตรวจสอบและปิดหอคณิกา หอสุรา โรงน้ำชาหลายแห่งในเมืองหลวงคืนนั้นเลย จับกุมผู้สอดแนมได้ร้อยกว่าคน เมื่อไต่สวนอย่างละเอียดก็พบว่าร้านรวงหลายแห่งในจำนวนนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับสกุลซู

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็คือหลักฐานที่มัดตัวแน่นหนา

แม่ทัพใหญ่เจิ้นกั๋วสมคบกับข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง ทั้งราชสำนักต่างฮือฮา แม่เฒ่าวัยแปดสิบเก้าสิบในท้องตลาดพอรู้ว่าบุตรหลานของตนตายในสนามรบ ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ก็เอาศีรษะพุ่งชนหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงตายอยู่ที่นั่น

ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงด่าว่าด้วยความคับแค้นใจ

เพื่อปลอบประโลมจิตใจของอาณาประชาราษฎร์ ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้เสด็จนำทัพออกรบด้วยองค์เอง

รากฐานหนึ่งร้อยปีของราชวงศ์ต้าโจวจะดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่ เวลานี้ยังไม่อาจทราบได้…

 

กรอกยาเข้าไปเท่าไร ซูหลิงก็อาเจียนออกมาเท่านั้น เหงื่อที่หน้าผากฉางหลิงฝู่ยิ่งหยดติ๋งๆ ลงมาปานกาน้ำหยด เขาหมุนตัวมาช้าๆ หลังจากไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกจึงบอก

“ทูลไทเฮา ระยะนี้ฮองเฮาทรงใช้ความคิดมาก พระวรกายอ่อนล้าโรยแรงเกินไป ส่งผลให้มีพระประสูติกาลก่อนกำหนด ทรงทรมานติดต่อกันมาสองวันแล้ว บัดนี้…บัดนี้อาจจะทรงประคององค์ต่อไปไม่ไหวแล้ว…”

ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง

ขณะนิ่งเงียบ ฝูอิงนางกำนัลใหญ่ของตำหนักคุนหนิงเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน กล่าวกับไทเฮา

“หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลไทเฮาเพคะ”

ไทเฮาประทับบนเก้าอี้มีพนักเท้าแขนทำจากไม้จงจู๋ฝังหยก มือที่นับลูกประคำอยู่ชะงักไปชั่วขณะแล้วกล่าวเสียงราบเรียบ

“เจ้าว่ามา”

ฝูอิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองไปที่นางข้าหลวงที่รู้จักกันในนามหัวหน้ากองงานพิธีการสวีแวบหนึ่งพลางบอก

“เมื่อครู่หม่อมฉันเห็นในแขนเสื้อของหัวหน้ากองงานพิธีการสวีซุกซ่อนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนโลหิตอยู่ผืนหนึ่ง ท่าทางลับๆ ล่อๆ น่าสงสัยเพคะ”

หัวหน้ากองงานพิธีการสวีที่ถูกชี้ตัวพูดด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ใครบงการให้เจ้าใส่ร้ายป้ายสีข้า!”

ไทเฮาจับตัวเสื้อด้านหน้าของตนเองเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าจะบอกว่าผ้าเช็ดหน้าในมือหัวหน้ากองงานพิธีการสวีมีปัญหา?”

“หม่อมฉันเพียงแต่คาดเดา ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนโลหิตในมือหัวหน้ากองงานพิธีการสวีไม่ใช่ของตำหนักคุนหนิงเพคะ” ฝูอิงหน้าผากแตะพื้น พูดด้วยเสียงอันดัง “หม่อมฉันขอให้ไทเฮาทรงตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเพคะ! ขอทรงช่วยจัดการด้วยเพคะ”

ซูหลิงไม่มีเรี่ยวแรงจะเปิดปากอีกแล้ว นางเหลือบตามองฝูอิงแวบหนึ่ง

เด็กโง่

เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา มีอันใดแตกต่างจากการเอาชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ

มีคนมากมายในโลกนี้ที่ต้องการชีวิตของนาง ไม่มีใครช่วยจัดการให้นางได้

อย่างไรเสีย สมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมืองเป็นความผิด มีศักดิ์ฐานะสูงเป็นความผิด ให้กำเนิดโอรสยิ่งเป็นความผิด

หัวหน้ากองงานพิธีการสวีคุกเข่า ‘พึ่บ’ ลงไป พูดเสียงดัง “ไทเฮาทรงตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ซุกซ่อนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนโลหิตอะไรเด็ดขาด”

“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา” ไทเฮามองหัวหน้ากองงานพิธีการสวี “เอาตัวไปโบยตีสอบปากคำ ถ้ามีอะไรน่าสงสัยก็ส่งไปที่สำนักกิจการฝ่ายใน โดยตรง”

“หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะ!”

ขันทีสองคนตรงเข้ามาลากตัวหัวหน้ากองงานพิธีการสวีออกไป

เสียงฟ้าร้องหนักทึบกรีดผ่านท้องฟ้า เสียงลมพัดกระโชก โคมไฟใต้ชายคาแกว่งไปมาท่ามกลางลมและฝนที่เศร้าวังเวง สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด ในวังมีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมาเป็นห้วงๆ

ซูหลิงหลับตาลงช้าๆ ความทรงจำค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย…

 

รัชศกหย่งชางปีที่สามสิบหก ฤดูใบไม้ผลิ

ปีนั้นนางอายุสิบเจ็ด ยังอยู่ที่บ้านรอออกเรือน

เดิมเข้าใจว่าจะได้แต่งกับบุรุษที่วงศ์ตระกูลฐานะทัดเทียมกัน รักนางทะนุถนอมนาง กลับคิดไม่ถึงว่าราชโองการฉบับเดียวจะทำให้นางกลายเป็นชายาเอกของจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องเซียวอวี้ไม่เป็นที่ต้องพระทัยของฮ่องเต้ มารดาผู้ให้กำเนิดก็เสียชีวิตไปก่อนแล้ว ทั้งไม่ใช่โอรสที่เกิดจากฮองเฮาและไม่ใช่โอรสองค์แรก แม้จะเติบโตข้างพระวรกายฮองเฮา แต่การช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทยังคงมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ชัยชนะ

ราชโองการฉบับนี้เห็นชัดว่าเป็นการลากจวนเจิ้นกั๋วกงเข้าไปในกองไฟ

นางในตอนนั้นรู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาแล้ว

บุตรสาววงศ์ตระกูลทหาร ทั้งยังอยู่ในช่วงเยาว์วัย ย่อมมีความกล้าหาญมากมายที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด

หลังจากสืบรู้ความเคลื่อนไหวของเซียวอวี้ นางก็แต่งตัวเป็นคุณชายลูกหลานผู้สูงศักดิ์ สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว โบกพัดเดินเข้าไปในหอชิ่งเฟิง สถานที่อันปะปนไปด้วยปลาและมังกรซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง

นางพลิกแขนเสื้อ ยื่นเงินก้อนโตให้หลงจู๊อวี๋

หลงจู๊อวี๋ใบหน้าเจือรอยยิ้มพานางขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเลี้ยวซ้าย นางนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวทางฝั่งตะวันตก หอชิ่งเฟิงเป็นสถานที่ชมงิ้วฟังการขับร้อง บอกว่าเป็นห้องส่วนตัว แต่ความจริงก็เพียงเอาฉากบังลมมาวางกั้นหน้าหลังไว้เท่านั้น

นางเอนหลังพิงฉากบังลม กลั้นหายใจ เริ่มแอบฟังเสียงที่ดังมาจากด้านข้าง

พระวรกายฝ่าบาทไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน การต่อสู้ช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทใกล้เข้ามาทุกที หลายท่านที่กำลังคุยโวกันอยู่ในตอนนี้ ซูหลิงเดาว่าน่าจะเป็นที่ปรึกษาของจวนจิ้นอ๋อง

ไม่ผิดจากที่คิด นางได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงตัวเองแล้ว

‘บุตรสาวสกุลซู’

เสียงเครื่องสายเครื่องเป่าที่ชั้นล่างค่อยๆ เบาลง มีคนรินสุราให้เซียวอวี้จอกหนึ่ง

‘ครั้งนี้ท่านอ๋องผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับจวนเจิ้นกั๋วกง น่ากลัวว่าเฉิงอ๋องกับเยียนอ๋องคงจะร้อนใจแล้ว’

อีกคนหนึ่งทอดถอนใจบอก ‘ผูกสัมพันธ์กับเจิ้นกั๋วกงได้เป็นเรื่องดี ทว่าบุตรสาวสกุลซูชื่อเสียงไม่ดีงาม มีความพัวพันที่ไม่ชัดเจนกับเหอจื่อเฉิน นี่ก็เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่ง’

เวลานี้ครอบครัวตระกูลขุนนางสี่ตระกูลที่รุ่งเรืองและได้รับความยอมรับนับถือในเมืองหลวงได้แก่สกุลเซวีย เหอ ฉู่ และมู่ ทุกคนต่างรู้ว่าเหอจื่อเฉินบุตรชายสายตรงของสกุลเหอชอบพอบุตรสาวสกุลซูมานาน วันทั้งวันเอาแต่วนเวียนไปมาอยู่รอบจวนเจิ้นกั๋วกง

ทว่าเรื่องยุ่งยากที่ออกจากปากขุนนางผู้มีอำนาจราชศักดิ์ย่อมมิใช่เรื่องรักใคร่ส่วนตัวระหว่างชายหญิงเรียบง่ายเช่นนั้น

แต่เป็นเพราะสกุลเหอคือขุนนางฝ่ายเยียนอ๋องที่แน่วแน่มั่นคง

ซูหลิงกดข่มเสียงหัวใจที่เต้นตึกตัก หมุนตัวช้าๆ มองผ่านฉากบังลมไป…

ท่ามกลางแสงโคมแดงสุราเขียวของหอชิ่งเฟิง หลังฉากบังลมแสงสลัวรุบรู่ นางมองเพียงปราดเดียวก็เห็นเซียวอวี้แล้ว

คนผู้นั้นเค้าโครงใบหน้าเฉียบคม เขาหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง หมุนจอกเล็กๆ ในมือเล่นไปมา ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงเย็น

‘ยุ่งยากแล้วอย่างไร ซูจิ่งเป่ยไม่มีบุตรสาวคนอื่นแล้ว’

เสียงของเขาหนักแน่นยิ่ง ทุกถ้อยทุกคำกังวานชัดเจนดุจเสียงลูกประคำกระทบจานหยก กระแทกลงไปที่หัวใจของนาง

หัวใจของซูหลิงจมดิ่งลงไปราวกรอกด้วยตะกั่ว

เด็กสาวอายุสิบเจ็ดมองพัดพับในมือ นิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน

บุตรสาวของวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์แล้วอย่างไร ไยมิใช่กลายเป็นลูกธนูแหลมคมดอกหนึ่งที่ผู้อื่นใช้ช่วงชิงอำนาจ

เขาไม่ชอบนาง นางเองก็ไม่อยากที่จะแต่งงานกับเขาแม้แต่น้อย

ทว่าราชโองการไม่อาจฝ่าฝืน ต่อให้นางไม่ยินยอมเพียงใด ก็ได้แต่ต้องสวมชุดเจ้าสาวแต่งงานกับเซียวอวี้ผู้ที่บิดาบอกว่าถึงพร้อมทั้งบู๊บุ๋น องอาจห้าวหาญและชำนาญการรบผู้นั้น

วันแต่งงาน นางร้องไห้จนหน้าตาเปรอะเปื้อนไปหมดตั้งแต่เช้า

นางร้องไห้ไป ซูไหวอันก็เช็ดให้นางไป น้ำตาปะปนกับน้ำมูก เช็ดจนเลอะเต็มมือรองตุลาการซูไปหมด

ในฐานะพี่ชายคนโต ซูไหวอันจะต้องแบกนางออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง เขาหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจอีกทีหนึ่ง

‘อาหลิง อย่าร้องไห้อีกเลย ได้หรือไม่’

ก่อนขึ้นเกี้ยวนางอดใจไม่อยู่หันหน้ากลับไป

นางยังจำได้ ชายหนุ่มรูปงามดุจหยกผู้นั้นมองมาที่ตนเอง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ขอบตาเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อขึ้นทันที

เขาพูดขึ้นเบาๆ ‘อาหลิง จวนเจิ้นกั๋วกงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป’

ยามนั้นนางเข้าใจว่าตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด

แท้จริงแล้วหลังจากแต่งงานกับเซียวอวี้ หากโยนเรื่องการเผชิญหน้ากันตาต่อตาฟันต่อฟันในช่วงแรกทิ้งไป วันเวลาก็ไม่ได้เลวร้ายเช่นที่นางคิด

แม้นางจะเตือนตัวเองอยู่เสมอ เบื้องหลังคำว่า ‘องอาจห้าวหาญชำนาญการรบ’ ไม่ใช่ความรักระหว่างชายหญิงที่งดงาม หากแต่เป็นกองกระดูกขาวโพลน

แต่จะว่าอย่างไรดีเล่า อยู่ด้วยกันวันแล้ววันเล่า สนิทสนมใกล้ชิดกันคืนแล้วคืนเล่า ในที่สุดยังคงทำให้นางปล่อยวางจิตใจที่ระแวดระวังป้องกันลง

ในค่ำคืนวันนั้นแสงเทียนสั่นไหว ดวงตาของเขาลึกล้ำและใสกระจ่างดุจธารน้ำพุบนภูเขา สะท้อนร่างที่แดงซ่านของนางอย่างชัดเจน

เขาโน้มตัวลงพูดที่ข้างหูนาง ‘อาหลิง ข้ารู้ว่าเจ้าแค้นอะไรข้า เจ้าแค้นข้าเพราะตอนแต่งเจ้าเป็นการคิดการวางแผนทั้งหมด แค้นข้าที่ทำลายบุพเพของเจ้า ข้าจะชดใช้ให้เจ้า เช่นนี้เป็นอย่างไร’

ตอนนั้นอายุยังน้อย เป็นเด็กสาวแรกรุ่นเพิ่งมีความรัก ประกายไฟเพียงนิดเดียวก็ไหม้เป็นไฟลามทุ่ง พอแตะก็ลุกไหม้

นางหวั่นไหวและเห็นเป็นเรื่องจริงจัง

เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กระทั่งในเวลานี้นางยังคงยอมรับ เซียวอวี้ในปีนั้นทำให้นางลุ่มหลงยิ่ง

เขาสอนนางยิงธนูขี่ม้า สอนนางปล่อยใจมีความสุขไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด และสอนนางว่าต้องเป็นภรรยาของเขาอย่างไร

นางรักรูปร่างท่าทางองอาจสง่างามของเขายามเหยียดแขนน้าวคันธนู รักเขาที่คำรามเรียกชื่อนางเสียงต่ำในยามแนบชิดคลอเคลีย และรักเขาที่เอ่ยคำพูดประโยคนั้นตอนรับราชโองการให้ออกจากเมืองหลวงไปสอบสวนคดี

‘อาหลิง ไปกับข้าเถิด’

หัวคิ้วนัยน์ตาของเขาไม่ค่อยเจือรอยยิ้ม แต่เมื่อยิ้มขึ้นมาก็หล่อเหลาสดใสมีชีวิตชีวายิ่ง

นางเคยคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาเช่นนี้ตลอดไป

กระทั่งวันที่สามเดือนสิบ รัชศกหย่งชางปีที่สามสิบแปด ฮ่องเต้จยาเซวียนสวรรคตกะทันหัน เซียวอวี้ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรตัวนั้น

ช่วงสับเปลี่ยนแผ่นดิน ในเมืองหลวงสับสนวุ่นวายไปหมด

พูดถึงการปกครองบ้านเมือง อดีตฮ่องเต้ครองบัลลังก์มาสามสิบแปดปี บอกว่าโง่เขลาเลอะเลือน โหดร้ายไร้ศีลธรรมก็ไม่เกินไป ราชสำนักต้องยกทัพต่อสู้ทำศึกติดต่อกันมาหลายปี เขากลับยุ่งอยู่กับการสร้างที่ประทับ โปรดปรานขุนนางขันที มอบอำนาจให้พระประยูรญาติของฝ่ายในเข้ามาก้าวก่ายการเมือง ภาษีที่นาและภาษีต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทรัพย์สินในถุงใส่เงินของวงศ์ตระกูลขุนนางอวบอ้วนจนมันเยิ้ม แต่รายได้รวมของราชสำนักปีหนึ่งกลับไม่ถึงห้าพันหมื่นตำลึง

แม้แต่เงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยแล้งรุนแรงในเหอหนานก็ได้มาจากการรวบรวมจากทางโน้นทางนี้

แผ่นดินของราชวงศ์ต้าโจวแห่งนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและรูพรุนนานแล้ว สะสมมานานยากแก่การกอบกู้กลับคืนมา

เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับราชกิจทั้งวันทั้งคืน นางมักไม่ค่อยได้พบหน้าพบตาเขา

ไม่นานนางก็ตรวจพบว่าตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ขุนนางในราชสำนักปากก็แสดงความยินดี แต่กลับกุลีกุจอเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้องค์ใหม่รับสนมชายาฝ่ายในเพิ่ม เพื่อแผ่กิ่งก้านและใบให้มากขึ้น

ดังนั้นหลี่ย่วนองค์หญิงสกุลหลี่แห่งเกาลี่ เซวียหลันอี๋น้องสาวของเซวียเซียงหยางเสนาบดีกรมอาญา หลิ่วกูหยางบุตรสาวของหลิ่วเหวินซื่อราชเลขาธิการสภาขุนนางจึงทยอยเข้าวังมาทีละคน

ความจริงในใจนางรู้ดี ขอเพียงเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ย่อมต้องมีวันนี้

 

เวลาผ่านไป ความคิดย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนจวนเจิ้นกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้น

สกุลซูสมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมืองมีหลักฐานยืนยัน นางไม่มีคำพูดจะโต้แย้ง แต่ต่อให้เอามีดพาดคอนาง นางก็ไม่เชื่อว่าซูไหวอันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

หาไม่ทางลับก็อยู่ที่นั่น เพราะเหตุใดซูไหวอันยังจะรั้งอยู่ในเมืองหลวง

นางคุกเข่าอยู่นอกตำหนักหยั่งซินรอเขา รอจนสุดท้ายยังคงเป็นเซิ่งกงกงประคองนางขึ้นมา

‘ฮองเฮาทรงครรภ์มังกรอยู่ จะทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ’ เซิ่งกงกงทอดถอนใจบอก ‘ปกติทรงปฏิบัติต่อกระหม่อมเช่นไร กระหม่อมล้วนจดจำไว้ในใจ วันนี้ขอบังอาจเตือนสักคำ ฮองเฮาเป็นมเหสีที่ผูกเงื่อนผมกับฝ่าบาท ย่อมมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง แต่ต่อให้ลึกซึ้งเพียงใดก็ทนต่อการทรมานไม่ไหว หากฮองเฮามาด้วยเรื่องสกุลซู เช่นนั้นไม่ทรงลองคิดดู ความผิดที่ทรยศต่อบ้านเมือง ที่แท้แล้วที่ทรยศคือบ้านเมืองของผู้ใด ความเมตตานี้ขอได้จริงหรือ ฮองเฮาไม่ทรงนึกถึงตนเอง หรือว่าแม้แต่บุตรในครรภ์ก็ไม่ทรงนึกถึงด้วย?’

 

ลูกของนาง

เซียวอวิ้น…โอรสสายตรงแห่งราชวงศ์ต้าโจว คำว่าอวิ้นมาจากคำว่า ‘หินแฝงไว้ด้วยหยกภูเขาจึงส่องแสงพร่างพราว’ สืบสานโองการสวรรค์ จิตใจกว้างขวางดุจมหาสมุทร ฝากแฝงความหมายที่ยอดเยี่ยมดีงาม เป็นเซียวอวี้ที่เฟ้นหาคัดเลือกคำออกมา

ซูหลิงเอียงศีรษะ ยกมือขึ้นมาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่ทั้งหมดกุมกำปั้นเล็กๆ ที่ผิวหนังยับย่นข้างกาย

ยังเล็กเพียงนี้

บางที…บางทีกระมัง

ชีวิตคนชาติหนึ่งไม่ยาวนาน ดุจต้นไม้ใบหญ้าที่มีชีวิตหนึ่งฤดูใบไม้ร่วง เดิมก็มีเรื่องมากมายให้เสียดาย…

ซูหลิงรู้สึกร่างกายค่อยๆ เบาขึ้น คล้ายกลายเป็นควันกลุ่มหนึ่ง ลอยสูงขึ้นทุกที ไม่รู้จะล่องลอยไปที่ใด

ในเวลานี้เองโอรสน้อยที่อยู่บนเตียงคล้ายรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง พลันส่งเสียงร้องไห้จ้าขึ้นมาทันที

เสียงทารกเบายิ่ง แต่กลับดังขึ้นทุกที เหมือนจะฉีกกระชากใจคนให้แหลกเป็นผุยผงได้

ดวงจันทร์คล้อยต่ำ ดวงดาวลับหาย เสียงระฆังดังขึ้น…

วันที่สิบห้าเดือนแปด รัชศกเหยียนซีปีที่หนึ่ง ฉุนอี้ฮองเฮาสิ้นพระชนม์

บทที่ 1 สกุลฉิน

“ฟื้นแล้ว! ในที่สุดคุณหนูก็ฟื้นแล้ว!”

เสียงที่ไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมาที่ข้างหูซูหลิง

นางลืมตาขึ้นช้าๆ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนในส่วนลึกของลำคอปานจะฉีกขาด จึงพูดด้วยเสียงแหบแห้ง

“น้ำ”

“บ่าว…บ่าวจะไปรินน้ำมาให้คุณหนูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวกล่าว

ซูหลิงยันตัวขึ้นมารับถ้วยน้ำ จิบไปคำหนึ่ง น้ำใสเย็นไหลลงคอ ประหนึ่งพบแหล่งน้ำในทะเลทราย

โลกที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นตามไปด้วย

ซูหลิงเลิกเปลือกตาขึ้น เหลียวมองไปรอบด้าน

สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในม่านตาคือโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวขากลมทำจากไม้จันทน์แดงหุ้มมุมด้วยสำริดชุบทอง ด้านบนวางกระถางดอกไม้เคลือบลายต้นเขียวเหมันต์กับใบไผ่ ชุดน้ำชาชุดหนึ่ง ด้านซ้ายเป็นตู้ไม้จันทน์แดงใบใหญ่คู่หนึ่ง ด้านขวาเป็นฉากแขวนปักไหมหลากสีสันลายนกกระเรียนและกวางในฤดูใบไม้ผลิ

เรียบง่ายเพียงนี้

ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักคุนหนิง

ทว่าไม่รอให้ซูหลิงทันได้ไตร่ตรองว่าทั้งหมดนี้ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความเดือดดาล ด้านหลังยังมีสตรีออกเรือนแล้วอายุเกินสามสิบตามมาด้วยคนหนึ่ง

ซูหลิงไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่รู้จักชุดขุนนาง

คนผู้นี้สวมหมวกผ้าโปร่งสีดำ ร่างสวมชุดขุนนางสีแดงเข้มลายไก่ฟ้าหลังขาว เอวคาดสายรัดเอวติดลายดอกไม้ที่แกะจากเงิน…

อ้อ เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นห้าคนหนึ่ง

ขุนนางขั้นห้าผู้นั้นก้าวขึ้นมาสองก้าว ยกมือปัดกาน้ำชาตรงหน้าจนล้มคว่ำแล้วตวาดขึ้น

“หนึ่งร้องไห้ สองโวยวาย สามผูกคอตายยังไม่พอใช่หรือไม่! ยังเห็นว่าขายหน้าผู้อื่นไม่พอใช่หรือไม่! วันนี้แม้แต่สุราพิษก็กล้าดื่ม พรุ่งนี้เจ้ายังมีอะไรไม่กล้าทำอีก! ในสายตาของเจ้ายังมีข้าที่เป็นบิดาคนนี้อยู่หรือไม่!”

บิดาหรือ

เพิ่งสิ้นเสียง ร่างทั้งร่างของซูหลิงคล้ายถูกสายฟ้าฟาดใส่เช่นนั้น

แม้แต่คำว่า ‘บังอาจ’ สองคำก็พลอยชะงักติดอยู่ที่ริมฝีปาก

ขุนนางขั้นห้ายังกล่าวต่อ “ตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์มานี่เป็นครั้งแรกที่ทรงคัดเลือกหญิงงาม ทั้งราชสำนักไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ต่างจับจ้องไปที่เรื่องนี้ ‘ฉินหลิง’ สองคำนี้ก็ถูกส่งไปที่กรมพิธีการเรียบร้อย อำนาจการตัดสินใจก็ไม่ได้อยู่ที่เจ้าอีกแล้ว! เจ้าเห็นราชวงศ์เป็นอะไร! ประตูใหญ่บ้านสกุลฉินที่นึกจะไปจะมาล้วนแล้วแต่เจ้าหรือ!”

พูดจบเขายังใช้ฝ่ามือตบโต๊ะแรงๆ สามที

ซูหลิงกลั้นหายใจจดจ่อ ตื่นตระหนกจนถ้วยในมือแทบจะถูกนางบีบแตก

ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครกล้าตบโต๊ะต่อหน้านาง แม้แต่ฝ่าบาทที่เขาพูดถึงก็ไม่เคย

“คนแซ่จูผู้นั้นก็แค่ลูกชายพ่อค้า ถึงกับคู่ควรให้เจ้าเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้หรือ!”

ขุนนางขั้นห้าเห็นสีหน้าซูหลิงไม่มีแววเสียใจใดๆ มีเพียงความงงงวยกับความหยิ่งยโสที่บอกไม่ถูกขุมหนึ่ง เขาก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดไม่ได้

“ดี…ดี ดียิ่งนัก นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าอย่าได้คิดจะออกจากบ้านอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ถ้าเจ้าไปแอบนัดพบกับเจ้าหนุ่มสกุลจูนั่นอีก ข้าจะตีเขาให้ขาหักต่อหน้าเจ้า! ตำแหน่งไท่สื่อลิ่งนี่ ข้าก็ไม่เป็นแล้ว!”

ในเวลานี้เองหญิงออกเรือนแล้วผู้นั้นรีบดึงแขนขุนนางขั้นห้าไว้ กล่าวเสียงนุ่มนวล “คุณหนูใหญ่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังอ่อนแออยู่ นายท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ”

ขุนนางขั้นห้าสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง เปิดประตูเดินออกไป เพียงทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง

“เจ้าก็เหมือนกับมารดาของเจ้า เพื่อตัวเองแล้ว ไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของผู้อื่นแม้แต่น้อย!”

จบคำของเขา หญิงออกเรือนแล้วผู้นั้นก็รีบตามออกไป

บิดา?

มารดา?

คัดเลือกหญิงงาม?

รนหาที่ตายเพราะบุรุษสกุลจูอะไรนั่น?

ซูหลิงนั่งอยู่บนเตียง ใคร่ครวญคำพูดเมื่อครู่ของขุนนางขั้นห้าไปมา

หรือว่าข้าไม่ได้ตาย

แต่ถ้าไม่ตาย แล้วฉินหลิงคือใคร

คิดมาถึงตรงนี้ซูหลิงก็ขยับตัวลงไปที่พื้น เดินเท้าเปล่าไปยังข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวขากลมหุ้มมุมด้วยสำริดชุบทอง เปิดหีบเครื่องประดับ หยิบคันฉ่องสำริดออกมาบานหนึ่ง…

พอมองไปนางก็ทรุดลงบนม้านั่งกลมทั้งตัว

หญิงสาวในคันฉ่องนอกจากมีไฝที่คางเพิ่มมาเม็ดหนึ่งแล้ว คิ้ว ดวงตา ปาก จมูกถึงกับเหมือนนางตอนอายุสิบหก…เป็นพิมพ์เดียวกัน

ดูไปดูมาก็พลันรู้สึกปวดหนึบที่จุดไท่หยางขึ้นมา นางหมดสติไปอีกครา

ตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงกลางคืนของวันถัดมาแล้ว

ความทรงจำถาโถมเข้ามาที่นางเป็นห้วงๆ บางครั้งก็เห็นคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บางครั้งก็ได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้จะไม่เชื่อมโยงติดต่อกันมากพอ แต่ก็เพียงพอให้นางแยกแยะสภาวการณ์ในเวลานี้ได้

วันนี้คือวันที่สิบหกเดือนแปด รัชศกเหยียนซีปีที่สี่

นางไม่ได้ตาย แต่นางก็ไม่ใช่นาง

เจ้าของร่างนี้คือบุตรสาวคนโตสายตรงของสกุลฉิน นามว่าฉินหลิง

ขุนนางขั้นห้าที่เมื่อวานแสดงความกำเริบเสิบสานไร้มารยาทต่อนางชื่อฉินวั่ง เป็นประมุขสกุลฉิน บิดาผู้ให้กำเนิดของฉินหลิง

ส่วนสาเหตุที่นางกลายเป็นฉินหลิง ยังต้องเล่าตั้งแต่เริ่มต้น…

ฉินวั่งถือกำเนิดในครอบครัวที่ยากจน ในวัยหนุ่มเป็นเพียงปัญญาชนยากจนคนหนึ่งของอำเภอเชียนอัน มารดาป่วยหนัก บิดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่มาก สภาพของสกุลฉินในเวลานั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกราบอาจารย์เรียนหนังสือ จะแต่งสะใภ้อย่างเป็นทางการสักคนก็เป็นเรื่องไม่ต่างจากความเพ้อฝันของคนโง่

บ้านสกุลฉินแม้จะยากจนและไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ แต่มีข้อดีตรงที่ใบหน้าของฉินวั่งสะอาดหมดจดยิ่งกว่าถุงใส่เงิน ถึงจะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่รูปร่างลักษณะองอาจผึ่งผายเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง

ในงานเทศกาลโคมไฟครั้งหนึ่ง เวินซวงหวาบุตรสาวของเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งอำเภอเชียนอันตกหลุมรักฉินวั่งตั้งแต่แรกเห็น

เวินซวงหวาได้รับการเลี้ยงดูอย่างพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เด็ก อยากได้ลมก็ได้ลม นางเข้าใจว่าขอเพียงนางอยากแต่ง ฉินวั่งก็ต้องกระโดดโลดเต้นรีบมาสู่ขอนางเป็นภรรยา

ทว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นไปดังใจปรารถนา ฉินวั่งในตอนนั้นถึงจะยากจนแต่ก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี อยู่ต่อหน้าภูเขาเงินภูเขาทองก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ตั้งใจแน่วแน่ที่จะแต่งสตรีที่ตนรักอย่างเจียงหมิงเยวี่ยเป็นภรรยา เสียดายเจียงหมิงเยวี่ยเป็นคนอาภัพ แต่งงานกับฉินวั่งได้เพียงครึ่งปีก็จากโลกนี้ไป

ฉินวั่งจิตใจแหลกสลายด้านชา จิตใจของเวินซวงหวากลับฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว

แม่สื่อมาเยือนถึงประตูบ้านอีกครั้ง สกุลฉินและสกุลเวินในที่สุดก็เกี่ยวดองกัน

เมื่อมีความช่วยเหลือจากสกุลเวิน ไม่ถึงสองปีฉินวั่งก็สอบจิ้นซื่อได้ อาการป่วยของมารดาก็ดีขึ้นตามไปด้วย ฉินวั่งได้เป็นขุนนาง เวินซวงหวาคลอดบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่งให้กับเขา บุตรชายคนโตชื่อฉินสุยจือ บุตรสาวคนโตชื่อฉินหลิง

ชีวิตผ่านไปอย่างนับได้ว่าปรองดองและมีความสุข

กระทั่งวันหนึ่งเจียงหลันเยวี่ยน้องสาวแท้ๆ ของเจียงหมิงเยวี่ยเพราะอับจนไม่มีทางไปจึงมาหาถึงบ้าน

แล้วฝันร้ายของเวินซวงหวาก็เริ่มต้นขึ้น

อย่าเห็นว่าบ้านสกุลฉินเป็นครอบครัวเล็กไม่มีอำนาจ แต่ในบ้านหลังนี้เวลาขับร้องเล่นละครขึ้นมา กลับไม่ด้อยกว่าครอบครัวใหญ่ที่มีอำนาจ กระทั่งพูดได้ว่าเปรียบกับบทละครพื้นเมืองที่เมื่อก่อนนางเคยอ่านแล้วยังมีสีสันยิ่งกว่า

ฉินวั่งพาเจียงหลันเยวี่ยกลับมาบ้านสกุลฉิน ตอนแรกก็เพียงช่วยดูแลเอาใจใส่ แต่ไม่นานก็ดูแลขึ้นมาถึงบนเตียงแล้ว เวินซวงหวาไม่ใช่ไม่เคยเอะอะโวยวาย แต่โวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อบุรุษเกิดความลุ่มหลงขาดสติ วัวสิบตัวก็ดึงไม่กลับ

สามีภรรยาเอาใจออกหาก เวินซวงหวาล้างหน้าด้วยน้ำตาทั้งวัน

ฉินวั่งขาดสติยามอยู่ต่อหน้ากามตัณหา ดีที่สกุลฉินยังมีนายหญิงผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่าฉินรู้ภาระหน้าที่อันพึงกระทำของตน นางไม่อาจเกลี้ยกล่อมบุตรชายได้ แต่ก็ระลึกถึงความดีของสกุลเวินมาโดยตลอด ก่อนตายนายหญิงผู้เฒ่าฉินพูดไว้เพียงประโยคเดียว

‘วั่งเกอเอ๋อร์ เราเป็นคนไม่อาจลืมกำพืดตัวเอง แม่อยากให้เจ้าสาบาน หญิงสกุลเจียงผู้นี้จะเป็นได้เพียงอนุตลอดไป’

นับแต่โบราณกาลคำว่ากตัญญูยิ่งใหญ่กว่าฟ้า ฉินวั่งได้แต่คุกเข่าสาบานต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าฉิน

เดิมเข้าใจว่าครานี้บ้านสกุลฉินจะสงบลงได้แล้ว แต่ใครเลยจะคาดคิด แม้คำสาบานนี้จะทำลายความทะเยอทะยานของเจียงหลันเยวี่ยที่สั่งสมรอเวลาโจมตีจนไม่เหลือชิ้นดี แต่กลับเป็นการฝังรากเหง้าของความหายนะในวันข้างหน้า

เล่ห์เหลี่ยมของเจียงหลันเยวี่ยยอดเยี่ยมยิ่ง ความรวดเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าเปรียบกับพลิกหน้าหนังสือยังเร็วยิ่งกว่า พริบตาก่อนร้องไห้อยู่กับฉินวั่ง พริบตาถัดมาก็แย้มยิ้มกับเวินซวงหวาได้แล้ว แม้จะเป็นหญิงม่าย กลับสามารถยั่วยวนจนฉินวั่งลืมหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

เวินซวงหวาอยู่ในเรือนด้านหลังแห่งนี้นับวันยิ่งคลุ้มคลั่ง นานวันเข้าในที่สุดก็ล้มป่วย

กระทั่งก่อนสิ้นใจนางก็อยู่ในสภาพกึ่งเสียสติ

นางทั้งไม่อาจเอาชนะภรรยาคนแรกของฉินวั่ง และสู้เจียงซื่อคนน้องไม่ได้ นางวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งความวิตกกังวลเกินกว่าเหตุมาทั้งชีวิต นางไม่คิดจะปล่อยผู้อื่น และไม่คิดจะปล่อยตัวเอง

ขณะใกล้จะสิ้นใจ เวินซวงหวานึกถึงภาพก่อนนายหญิงผู้เฒ่าฉินจะสิ้นลมขึ้นมาได้

นางเรียกบุตรชายคนโตของตนมา ให้ฉินสุยจือคุกเข่าลงตรงหน้าตน

เวินซวงหวาในดวงตามีน้ำตาขังคลอ ริมฝีปากซีดขาว นางพูดเสียงแหบแห้ง ‘สุยจือ แม่จะไปแล้ว เจ้าสาบานให้กับแม่ ชั่วชีวิตนี้จะรักษากิจการพื้นฐานของสกุลเวินให้ดี ไม่คิดสอบเคอจวี่เด็ดขาด’

คำพูดนี้พอกล่าวออกมา ฉินวั่งตกตะลึงตาค้างอย่างสิ้นเชิง

ฉินวั่งเป็นปัญญาชน ถ้าไม่มีพรสวรรค์และสายตาที่มองการณ์ไกลอยู่บ้าง วันนี้ก็คงไม่ถูกย้ายจากเชียนอันมารับตำแหน่งในเมืองหลวง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือบุตรชายสายตรงที่ทุกคนต่างยกย่องว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่ยังเด็ก

แต่หากฉินสุยจือเพียงกล่าวคำสาบานออกมา ทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว

ทว่าเวินซวงหวาเป็นสตรีที่ล่องลอยอยู่ในความรักมาตลอดชีวิต นางสูญเสียสติสัมปชัญญะไปนานแล้ว

นางร่ำไห้ไปบีบบังคับให้ฉินสุยจือสาบานไป

ฉินสุยจือมองมารดาที่ลมหายใจรวยริน หัวเข่าทั้งสองงอลงไปช้าๆ ยกมือขึ้น เอ่ยคำสาบานออกมาทีละคำ ก็เหมือนปีนั้นที่ฉินวั่งเอ่ยคำสาบานต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าเช่นกัน

เจียงหลันเยวี่ยมองฉินหลิงที่โศกเศร้าแทบจะขาดใจ แล้วหยักยกมุมปากขึ้นช้าๆ

ความแค้นในวันนั้น ในที่สุดนางก็ได้ล้างแค้นแล้ว

ชีวิตคนหนึ่งชีวิต ถ้าถามเจียงหลันเยวี่ยว่าเคยนึกเสียใจหรือไม่

นางก็จะตอบว่าไม่

ในสายตาของนาง เรือนด้านหลังแห่งนี้ไม่มีมาก่อนมาหลัง มีแต่ผู้มีความสามารถจึงจะได้ครอบครองตำแหน่ง คนจะมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่ล้วนอาศัยความสามารถของตน

สตรีเช่นเวินซวงหวาที่ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อบุรุษ สุดท้ายแล้วได้อะไรตอบแทนกลับมาเล่า

หลังจากเวินซวงหวาจากไปด้วยอาการป่วย ฉินวั่งก็ไม่เคยอารมณ์เสียใส่ฉินสุยจือและฉินหลิงอีกเลย เพราะความรู้สึกผิดดุจกระแสน้ำที่แทบจะท่วมท้นตัวเขา

แต่นิสัยของฉินหลิงกับเวินซวงหวาเหมือนออกมาจากเบ้าเดียวกัน นางเอาการตายของมารดากับอนาคตของพี่ชายเป็นความแค้นที่มีต่อเจียงหลันเยวี่ยสองแม่ลูก

ฉินหลิงไม่ได้คว่ำโต๊ะต่อหน้าเจียงหลันเยวี่ย ด่าว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้มารดาของตนตายแค่เพียงครั้งเดียว นางยังตบตีฉินหรงน้องสาวที่เกิดจากอนุหลายครั้ง ทุกครั้งที่ฉินวั่งเตรียมจะสั่งสอนฉินหลิง เจียงหลันเยวี่ยก็จะลูบหน้าอกฉินวั่งพลางบอก

‘คุณหนูใหญ่อายุยังน้อย ยังไม่รู้ประสา หลังจากฮูหยินจากไปแล้ว ข้าเห็นนางแอบหลบไปร้องไห้อยู่ในห้องบ่อยๆ…พูดอย่างถึงที่สุดแล้ว นี่ไยมิใช่ความผิดของข้า…’

ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรสาวจึงแตกหักกันไปเพราะน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลนี้

ฉินหลิงถูกเลี้ยงดูให้ยโสโอหังเอาแต่ใจ กำเริบเสิบสานไร้กฎระเบียบ หลายเรื่องฉินวั่งล้วนหลับตาข้างลืมตาข้าง แต่ระหว่างรอการคัดเลือกหญิงงามของฝ่ายใน ฉินหลิงได้เกิดรักใคร่ชอบพอกับบุตรชายของพ่อค้าคนหนึ่ง ทั้งยังจะเป็นจะตาย ยืนกรานว่าถ้าไม่ใช่เขาก็จะไม่แต่ง

ฉินวั่งย่อมไม่อาจนิ่งดูดายไม่ยุ่งเกี่ยว

เมื่อวานเขาอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว

 

หลังจากทำความเข้าใจเรื่องในอดีตของบ้านสกุลฉินเหล่านี้แล้ว ซูหลิงก็ยกมือขึ้นนวดคลึงหว่างคิ้ว

บุตรสาวสกุลฉินผู้นี้ ถูกเจียงซื่อผู้นั้นปั่นหัวจนหัวหมุนไปหมด

ถ้านางยังพบหน้ากับบุรุษสกุลจูต่อไป จะต้องเกิดเหตุยุ่งยากขึ้นแน่นอน ฉินวั่งไม่มีทางเอาอนาคตขุนนางของตนมาล้อเล่น ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริง เขาก็ได้แต่ต้องให้ฉินหรงบุตรสาวอีกคนของสกุลฉินเข้าวังแทนนาง

ถึงตอนนั้นจริง แม้ไม่อาจยกเจียงซื่อขึ้นเป็นภรรยาเอกก็จำต้องยกขึ้นมาแล้ว

ซูหลิงลุกขึ้นมาผลักหน้าต่างค้ำถอดขึ้น มองจันทร์เต็มดวงด้านนอกแวบหนึ่ง หยักยกมุมปากคล้ายเยาะหยัน

รัชศกเหยียนซีปีที่สี่ การคัดเลือกหญิงงามครั้งใหญ่ของตำหนักใน สวรรค์ช่างล้อคนเล่นเสียจริง

ฉินวั่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นไท่สื่อลิ่งไม่ถึงครึ่งปี กอปรกับฐานะไม่โดดเด่น คิดว่าคงยังไม่เคยเห็นนาง…อดีตฮองเฮามาก่อน

เขาไม่มีทางคาดคิดได้ ด้วยใบหน้าดวงนี้ของนาง ถ้าเข้าไปในวังแล้วจะก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ที่สูงทะมึนเพียงใด

ขณะกำลังคิดอยู่นั้น ประตูห้องชั้นในก็ถูกคนผลักเปิดเข้ามาดัง ‘ปัง’

ซูหลิงย่นหัวคิ้วน้อยๆ หมุนตัวกลับไปมอง…

เพียงเห็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีดำ ใบหน้างามดุจหยก มาปรากฏตัวต่อหน้านาง

หลังจากมองสบตากันสั้นๆ เขาก็ก้าวยาวๆ เข้ามา สองมือกุมหัวไหล่ของซูหลิง จากนั้นก็กอดนางไว้

“มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว…มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว”

ซูหลิงคิดจะหลบด้วยสัญชาตญาณ แต่จนปัญญาที่ชายหนุ่มกอดแน่นมาก นางดิ้นไม่หลุด

นางรู้ว่าคนผู้นี้คือใคร

เขาก็คือพี่ชายแท้ๆ ของฉินหลิง…ฉินสุยจือ

นับแต่ฉินสุยจือตัดขาดเส้นทางการสอบเคอจวี่ก็รับช่วงการค้าของสกุลเวินที่เชียนอัน ดูจากท่าทางที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า น่าจะเป็นเพราะหลังจากได้ทราบว่าฉินหลิงดื่มยาพิษฆ่าตัวตายก็รีบเร่งรุดกลับมาโดยเฉพาะ

ผ่านไปพักใหญ่ฉินสุยจือจึงปล่อยมือจากนาง

ขณะช้อนตาขึ้น ซูหลิงเห็นชัดเจนว่าในดวงตาของเขาแดงเรื่อไปด้วยเส้นโลหิตฝอย

ฉินสุยจือก้มหน้ากล่าวเสียงอ่อนโยน “อาหลิง จูเจ๋อผู้นั้นเข้ามาใกล้ชิดเจ้าด้วยจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมเชื่อข้า เจ้ารู้หรือไม่ หากเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป ชีวิตนี้ของเจ้าก็จบสิ้นแล้ว”

‘อาหลิง’

ซูหลิงรู้ว่าฉินสุยจือไม่ใช่กำลังเรียกตน ทว่าชั่วขณะนั้นนางยังคงนึกถึงซูไหวอันอย่างไม่อาจยับยั้งตัวเองได้

พี่ชายของนาง แต่ก่อนก็เรียกนางเช่นนี้

ฉินสุยจือกำหมัดแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ยับเยิน เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

“เขาดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เพื่อจะได้อยู่กับเขา แม้แต่ข้า เจ้าก็ตัดใจทิ้งไปได้”

บทที่ 2 การสอบเซียงซื่อ

“เขาดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เพื่อจะได้อยู่กับเขา แม้แต่ข้า เจ้าก็ตัดใจทิ้งไปได้”

ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของฉินสุยจือ จุดไท่หยางของซูหลิงก็เจ็บขึ้นมาอีก

ภาพที่ฉินหลิงจะเป็นจะตายเพราะบุรุษสกุลจูผู้นั้นทยอยผุดขึ้นมาในสมอง

นับแต่กรมพิธีการประกาศเรื่องฮ่องเต้องค์ใหม่จะคัดเลือกหญิงงามครั้งใหญ่ คุณหนูใหญ่สกุลฉินถ้าไม่ใช่นั่งน้ำตาไหลอยู่ที่หน้าต่างทั้งวันก็ทุบทำลายข้าวของ อดอาหาร ต่อมาก็เอาผ้าแพรขาวสามฉื่อแขวนบนคานห้องเสียเลย

น้ำเสียงที่โศกเศร้าปานใจจะขาดดังก้องอยู่ข้างหูนาง…

คุณชายจูบอกข้าว่าถ้าข้าเข้าวัง ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่แต่งงาน

พี่ชาย ลือสามคนกลายเป็นมีเสือจริงปากคนจำนวนมากละลายทองได้เหตุผลนี้ท่านเข้าใจดีกว่าข้า คำพูดที่ข้างนอกส่วนใหญ่ไม่ใช่ความจริง จูเจ๋อไม่ได้เป็นเช่นที่ท่านคิดแน่นอน

ชาตินี้อาหลิงถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องผิดต่อบิดามารดาและพี่ชาย

หนึ่งร้องไห้ สองโวยวาย สามผูกคอตายที่ฉินวั่งพูดเมื่อวาน ไม่ได้ใส่ความฉินหลิงแม้แต่น้อยนิด

พูดด้วยใจที่เป็นธรรม ฉินหลิงกับจูเจ๋อ ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจกันก็แล้วไปเถิด แต่เวลานี้ด้วยเรื่องดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย ก็ไม่เห็นบุรุษสกุลจูผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว

ความรักลึกซึ้งหรือตื้นเขิน ไม่ต้องบอกก็รู้

นางมองไปที่ฉินสุยจือ

เสื้อผ้าของชายหนุ่มมีแต่ละอองฝุ่น รองเท้าเปื้อนโคลน ฝ่ามือยังมีรอยแดงเพราะควบม้าเร็วจนถูกสายบังเหียนเสียดสี

ฉินสุยจือเห็นนางนิ่งเงียบไปนานไม่พูดอะไรก็อดหัวเราะเยาะหยันตัวเองไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองคานห้องแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยขึ้น

“อาหลิง ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี”

ความเจ็บปวดในดวงตาของชายหนุ่มเสียดแทงนัยน์ตาเกินไป ในใจรู้สึกบีบรัด นางลองพยายามปลอบโยน

“ต่อไป…ไม่ทำแล้ว”

ดวงตาของฉินสุยจือชะงักนิ่ง “เจ้าพูดอะไร”

ซูหลิงพยายามเลียนแบบน้ำเสียงของฉินหลิง “พี่ชาย ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว หลายๆ เรื่องข้าก็เห็นชัดเจนแล้ว…ต่อไปจะไม่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”

ฉินสุยจือกะพริบตาแรงๆ นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ยังคงใช้น้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพูดจริงหรือ ต่อไปจะไม่ไปพบกับจูเจ๋อผู้นั้นอีกแล้ว?”

ซูหลิงก้มหน้า ส่งเสียง “อืม” ต่ำๆ ออกมาคำหนึ่ง

อาจเพราะหมดสตินานเกินไป เสียงของนางออกจะแหบแห้งอย่างเห็นได้ชัด ฉินสุยจืออดนึกถึงเรื่องที่นางดื่มยาพิษเพื่อจูเจ๋อไม่ได้ แววตาหม่นแสงลง ตบบ่านางเล็กน้อยพลางบอก

“เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อย หลายวันนี้ข้าจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนเจ้า”

บอกว่าอยู่เป็นเพื่อน แต่ความจริงแล้วยังคงเพื่อจับตาดูนาง

ทว่าซูหลิงก็กระจ่างแก่ใจดี คำพูดเมื่อครู่ของนาง อย่างมากฉินสุยจือก็เชื่อเพียงครึ่งหนึ่ง อย่างไรเสียคุณหนูใหญ่สกุลฉินก็ทุ่มเทให้กับความรักอย่างสุดชีวิตจิตใจ ยากจะรับรองได้ว่าไม่ใช่เป็นการใช้วิธีการใหม่ถอยเพื่อที่จะรุก

หลังจากฉินสุยจือออกไปแล้ว ซูหลิงกลับมาที่เตียง ครุ่นคิดว่าต่อไปควรจะทำอย่างไรดี

คุณหนูใหญ่สกุลฉินสองหูไม่ฟังเรื่องราวภายนอก ทั้งหัวใจมีแต่คุณชายจู ในความทรงจำของนางไม่มีข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับบ้านสกุลซูและราชสำนักเลย

เวลานี้ข่าวที่นางรับรู้ได้มีเพียงเรื่องเดียว…

การศึกกับแคว้นฉีเมื่อสามปีก่อน ต้าโจวชนะแล้ว แผ่นดินของเขารักษาไว้ได้แล้ว

ส่วนเรื่องอื่น คงได้แต่ต้องไปสืบข่าวที่หอชิ่งเฟิง

ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องออกจากบ้านสักครั้ง

 

วันรุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์อยู่เหนือยอดไม้

เหอจูสาวใช้ยืนอยู่ด้านหลังซูหลิงที่อยู่หน้าคันฉ่อง กำลังเอาปิ่นทองเลี่ยมฝังหินลวี่ซงค่อยๆ เสียบลงบนมวยผมของซูหลิง จากนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยขึ้น

“บ่าวไม่เคยเรียนหนังสือ กล่าวคำพูดไพเราะน่าฟังไม่เป็น เพียงรู้สึกว่าคุณหนูรูปโฉมสะดุดตายิ่ง เห็นคุณหนูแล้วก็รู้สึกว่าบุปผาในลานนี้สีสันล้วนดูหมองไป”

ซูหลิงเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย

นี่ไหนเลยจะพูดจาไม่เป็น เห็นชัดว่า พูดเก่งเกินไปแล้ว

ถ้าหากนางเป็นฉินหลิงตัวจริง ยามนี้น้ำตาคงแทบจะร่วงรินออกมาแล้ว

คัดเลือกหญิงงาม…คัดเลือกหญิงงาม

แม้จะบอกว่าความรู้ความสามารถ ความประพฤติและคุณธรรม ชาติกำเนิด ความสามารถด้านศิลปะล้วนอยู่ในขอบเขตของการประเมิน แต่พูดอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังคงคัดเลือกจากความงาม

ลำพังพูดจากรูปโฉมของบุตรสาวสกุลฉิน คิดจะไม่ได้รับเลือกก็คงยาก

บอกคุณหนูใหญ่สกุลฉินรูปโฉมสะดุดตา ก็ไม่ต่างอะไรกับการแทงมีดเข้าที่หัวใจของนาง

จิตใจของสาวใช้ผู้นี้ เห็นชัดว่าโน้มเอียงไปอีกด้านหนึ่งแล้ว

แม้จะบอกว่าฐานะเปลี่ยนไปแล้ว แต่จะอย่างไรซูหลิงก็ยังคงเป็นฮองเฮาที่เคยควบคุมดูแลหกตำหนักผู้นั้น เพียงมองสบตาชั่วขณะสั้นๆ เหอจูก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้

นางกัดริมฝีปาก ยิ้มแห้งบอก “คุณหนู…คุณหนูเหตุใดจึงมองบ่าวเช่นนี้”

ซูหลิงถอดสายตากลับ กล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถิด”

เหอจูล่าถอยออกไปด้วยความหวั่นหวาดไม่สบายใจ

ประตูยังไม่ทันปิดก็เห็นฉินสุยจือหิ้วอับใส่อาหารสองใบเดินเข้ามา เขายิ้มบอก “เมื่อครู่ข้าไปตลาดมา ซื้อเกี๊ยวน้ำกับปลากะพงนึ่งที่เจ้าชอบกินมาให้ เจ้าไม่ใช่เจ็บคอหรือ กินอาหารรสจืดไม่เลี่ยนดีที่สุด รีบมาเร็ว”

ซูหลิงเข้าไปนั่ง ฉินสุยจือคีบท้องปลาให้นางชิ้นหนึ่ง

ซูหลิงกุมตะเกียบไม้ในมือ ไม่ยอมขยับ

นางไม่ชอบกลิ่นคาว แต่ไรมาก็ไม่กินปลา

“รีบกินสิ คิดอะไรอยู่” ฉินสุยจือเคาะศีรษะซูหลิงทีหนึ่ง เอียงคอยิ้มบอก “เมื่อคืนข้ายังคิดว่าคำพูดเหล่านั้นของเจ้าใช่หลอกข้าหรือไม่ วันนี้ดูแล้ว ยังคล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไปจริงๆ”

เพิ่งพูดจบ ซูหลิงก็ไอขึ้นมาทันที

ฉินสุยจือลูบหลังให้นาง “ช้าหน่อยสิ”

“อาหลิง ประเดี๋ยวเจ้าไปหาท่านพ่อกับข้า ยอมรับผิดเสียเถิด” ฉินสุยจือวางตะเกียบลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ถึงแม้ในใจของเจ้าเขาจะมีความผิดมากมาย แต่เจ้าใช้ความตายมาบีบบังคับ จะอย่างไรก็มีความผิด…ช่างเถิด เรื่องผ่านไปแล้วก็จะไม่พูดถึง เจ้าก็ถือเสียว่าทำเพื่อข้าได้หรือไม่”

ซูหลิงช้อนตาขึ้นบอก “ได้”

ฉินสุยจือไม่คิดว่านางจะรับปากง่ายดายเช่นนี้ กำลังจะหยักยกมุมปากขึ้นก็ได้ยินซูหลิงเปิดปากพูดต่อ

“พี่ชาย ช่วงบ่ายข้าอยากออกจากบ้านสักหน่อย”

ได้ยินแล้วรอยยิ้มของฉินสุยจือจางหายไปทันที พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อาหลิง เจ้าจะไปพบเขาอีกแล้ว”

ซูหลิงในใจรู้ดีว่าชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของตนค่อนข้างต่ำ เวลานี้คิดจะออกจากบ้านตามลำพังดูจะเป็นไปได้ยาก จึงเอ่ยขึ้น

“สองวันนี้ข้ารู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ อยากจะออกไปเดินเล่น ถ้าท่านไม่วางใจก็ไปด้วยกันกับข้าก็ได้”

ฉินสุยจือมองนางแวบหนึ่ง “ได้ ข้าไปกับเจ้า”

ทั้งสองคนกินอาหารเสร็จ ฉินสุยจือก็พาซูหลิงไปที่เรือนหลัก

ตอนเข้าประตู เจียงหลันเยวี่ยกำลังจัดตัวเสื้อด้านหน้าให้ฉินวั่ง ทั้งสองคนเดิมกำลังพูดคุยหัวเราะกัน พอเห็นฉินหลิง ฉินวั่งก็ทิ้งมุมปากลงทันที

“เจ้ามาทำอะไร!”

ฉินสุยจือในใจตึงเครียด กลัวมากว่าน้องสาวจะหมุนตัวเดินจากไป จึงรีบปลอบขวัญ “อาหลิง ครั้งนี้ท่านพ่อก็ร้อนใจ เจ้าอย่าคิดมาก พูดจบเราก็จะไป”

ความจริงด้วยนิสัยของคุณหนูใหญ่ ฉินวั่งพูดออกมาเช่นนี้ นางก็เดินออกไปแล้ว ไม่เพียงจะจากไป ยังต้องด่าเจียงหลันเยวี่ยว่านางจิ้งจอกจอมยั่วยวนคำหนึ่ง

เจียงหลันเยวี่ยมองซูหลิงด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม ขณะเตรียมรอชมฉากบิดากับบุตรสาวขัดแย้งกันดุจน้ำกับไฟ ก็ได้ยินซูหลิงพูดขึ้นช้าๆ

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ไปพบกับคุณชายจูอีก”

น้ำเสียงของนางพูดไม่ได้ว่านอบน้อมจริงใจสักเท่าไร ทว่าคำพูดเบาหวิวเช่นนี้ประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ฉินวั่งตะลึงงันแล้ว

นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ฉินวั่งจึงปั้นหน้าจริงจังบอก “ถ้ามีครั้งหน้าอีก สกุลฉินก็จะคิดเสียว่าไม่มีเจ้าบุตรสาวคนนี้”

“ข้าทราบแล้ว”

ซูหลิงหมุนตัวเดินออกไป

หลังจากพี่ชายน้องสาวสองคนออกจากเรือนหลัก เจียงหลันเยวี่ยโน้มตัวรินน้ำชาให้ฉินวั่งถ้วยหนึ่ง นางยิ้มบอก

“ดังคำกล่าวที่ว่าเรื่องเลวร้ายอาจนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี เรื่องที่ดีก็อาจนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีได้ คุณหนูใหญ่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก ครานี้นายท่านก็วางใจได้แล้วกระมัง”

นับแต่เวินซวงหวาล้มป่วยและจากไป ฉินหลิงก็ไม่เคยพูดจาด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็นกับฉินวั่งเช่นนี้อีกเลย

ยามนี้มุมปากของฉินวั่งคล้ายผิวทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งหนาสามฉื่อปรากฏรอยแตกขึ้น

ทั้งที่ในใจรู้สึกดีใจ แต่ยังคงปากแข็ง “วางใจอะไร เรื่องเหลวไหลที่นางทำยังน้อยอยู่หรือ ไม่แน่วันใดอาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาอีก”

เจียงหลันเยวี่ยพูดหยอกล้อ “เหลวไหลเพียงใด ก็เป็นลูกที่ท่านให้กำเนิด”

ฉินวั่งพลอยหัวเราะตามไปด้วย

การหัวเราะนี้หาใช่สิ่งที่เจียงหลันเยวี่ยปรารถนา

 

ฤดูใบไม้ร่วง พอท้องฟ้าอึมครึม ลมก็จะค่อนข้างเย็น

ซูหลิงสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมก้าวขึ้นรถม้า

พาแม่นางน้อยออกมาเที่ยวเล่น ก่อนอื่นก็ต้องไปที่ร้านขายเครื่องประดับ

ใบหน้าของฉินสุยจือเขียนไว้ว่า ‘เจ้าเลือกตามใจชอบ พี่ชายจะจ่ายเงินเอง’ แต่น้องสาวกลับหาสิ่งที่นางต้องการไม่พบ

ฉินสุยจืออับจนปัญญา จำต้องขอกระดาษจากหลงจู๊แล้วเอ่ยช้าๆ “เจ้าพูดมา ข้าจะวาดให้เจ้า”

ซูหลิงอธิบาย ฉินสุยจือขยับพู่กัน

“ข้าอยากได้ปิ่นระย้าทองคำรูปดอกไม้ ด้านบนฝังมุกสีแดง…พี่ชาย ตรงนี้ไม่ถูก ต้องโค้งอีกหน่อย”

“เหตุใดเจ้าไม่บอกแต่แรก” ฉินสุยจือปากก็บ่นว่า แต่ยังคงวาดใหม่อีกแผ่น

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินสุยจือก็เอาภาพวาดให้หลงจู๊ “ทำตามแบบนี้ รบกวนหลงจู๊แล้ว”

หลงจู๊ยิ้มพลางรับมา “คุณชายเกรงใจแล้ว”

ซูหลิงกล่าว “ไม่ทราบว่าปิ่นระย้าทองคำรูปดอกไม้ฝังมุกสีแดงต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะทำเสร็จ”

หลงจู๊จับๆ ปลายคางบอก “ปิ่นระย้านี่วาดได้ละเอียดงดงาม แม่นางรีบร้อนเพียงใดก็ต้องรอสักสิบวัน”

ซูหลิงกล่าวขอบคุณ

สิบวัน พอแล้ว

 

หลังออกมาจากร้านเครื่องประดับ ทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปทางประตูตงจื๋อ

เพิ่งลงจากรถม้าก็เห็นผู้คนจำนวนมากเดินไปยังทิศทางเดียวกัน

เดิมพวกเขาก็ตั้งใจมาหาความคึกคักอยู่แล้วจึงเดินตามไป ระหว่างทางกลิ่นหอมของดอกกุ้ยโชยมาแรงขึ้นทุกที

พอหยุดฝีเท้าลงถึงพบว่าที่แห่งนี้คือสนามสอบขุนนาง

วันนี้คือวันที่สิบเจ็ดเดือนแปด เป็นวันติดประกาศผลการสอบเซียงซื่อของเมืองหลวง

 

เจี้ยหยวนไหวจิง

ย่าหยวนเหอเหวินอี่ ฉู่เจียงหยา มู่เจิ้งเหยียน ติงจิ่น ถังเหวิน ลั่วชิวเหอ…

 

ผู้คนต่างพากันแสดงความยินดีกับบุรุษที่สวมชุดคลุมยาวสีหมึกผู้หนึ่ง “ขอแสดงความยินดีกับคุณชายไหว”

“คิดไม่ถึงจริงๆ คุณชายไหวเข้าร่วมสอบขุนนางครั้งแรกก็ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนของเมืองหลวงแล้ว อนาคตยาวไกลหาที่สุดมิได้จริงๆ”

“ขอบคุณมาก”

บุรุษที่ถูกห้อมล้อมรูปร่างสูงสง่า สีหน้าลุ่มลึก เส้นโค้งมุมปากไม่ลึกไม่ตื้น ลักษณะท่าทางที่คล่องแคล่วไม่ติดขัดนั่น ดูแล้วไม่คล้ายเพิ่งเข้าสอบขุนนางเป็นครั้งแรก

ซูหลิงเพียงมองแวบเดียวก็ถอนสายตากลับ

ตอนนางหันหน้ามา ฉินสุยจือกำลังมองคำว่า ‘เจี้ยหยวน’ สองคำแน่วนิ่งไม่ขยับ

ในความทรงจำของฉินหลิง ตั้งแต่เด็กฉินสุยจือก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาด สามขวบแต่งบทกวีได้ เจ็ดขวบเขียนตัวอักษรได้อย่างงดงาม ถ้าก่อนตายมารดาไม่ได้ให้ฉินสุยจือกล่าวคำสาบาน…

บางทีเจี้ยหยวนในวันนี้อาจเป็นเขา

ฉินสุยจือรู้สึกว่ามีคนกำลังมองตนก็รีบสงบสติอารมณ์ ส่งยิ้มให้ซูหลิง “มองข้าทำไม”

เรื่องบางเรื่องไม่ต้องการคำปลอบใจ ยิ่งไปจี้จุดกลับจะทำให้ยิ่งเจ็บปวด

ซูหลิงบอก “พี่ชาย เราไปกันเถิด”

ทันทีที่สิ้นเสียง ลมหนาวก็พัดมา

หมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมบนศีรษะซูหลิงกับแผ่นกระดาษปิดประกาศที่หน้าประตูสนามสอบถูกลมแรงพัดปลิวขึ้นพร้อมกัน

ทว่าพริบตาที่แผ่นกระดาษเลิกขึ้นมา…

หัวใจของซูหลิงคล้ายหยุดเต้นแล้ว

นางเห็นแผ่นประกาศนำจับที่กลายเป็นสีเหลืองแล้วแผ่นหนึ่ง

คนที่อยู่ในประกาศนำจับนี้ เหตุใดจึง…

เพื่อยืนยันการคาดเดาของตน นางก้าวยาวๆ เข้าไปฉีกออกมาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด

ในเวลานี้เองบุรุษในชุดสีเทาผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เอ๋? แม่นางฉีกประกาศนำจับออกมามีเจตนาใดหรือ”

ลมพัดซู่ๆ อยู่ข้างหู

ซูหลิงมองภาพวาดบนประกาศนำจับกับตัวอักษรสามตัวที่อยู่ด้านล่างตาไม่กะพริบ

 

ซูไหวอัน

 

เป็นไปได้อย่างไร

เขาไม่ใช่…ถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อเป็นพันชิ้นไปแล้วหรือ

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น ฉินสุยจือก็เดินเข้ามาถามเสียงต่ำ “อาหลิง มีอะไรหรือ”

ซูหลิงพึมพำขึ้น “นี่คือใคร”

พอได้ยินคำพูดนี้ บุรุษในชุดสีเทาก็หัวเราะบอก “แม่นางไม่ใช่คนเมืองหลวงกระมัง แม้แต่ท่านนี้ก็ไม่รู้จัก เขาน่ะหรือเคยเป็นซื่อจื่อ เจิ้นกั๋วกง รองตุลาการศาลยุติธรรม อ้อ จริงสิ ยังเป็นบัณฑิตจ้วงหยวน ในรัชศกหย่งชางปีที่สามสิบสี่อีกด้วย เดิมควรจะอนาคตยาวไกลหาที่สุดมิได้ ไหนเลยจะคาดคิด…” บุรุษในชุดสีเทาส่ายหน้าบอก “ถึงกับเป็นคนชั่วที่สมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง”

ซูหลิงแอบกำมือแน่น เล็บมือแทบจะทิ่มแทงเข้าไปในฝ่ามือ

นางควบคุมน้ำเสียงของตัวเอง เอ่ยเสียงแผ่ว “สมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง ความผิดสมควรประหาร เหตุใดคนผู้นี้ยังอยู่ในแผ่นประกาศนำจับ”

บุรุษในชุดสีเทาลูบๆ ปลายคางบอก “เฮ้อ ข้าจำได้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อนกระมัง คืนวันที่สิบห้าเดือนแปด คนผู้นี้หายตัวไปจากคุกของกรมอาญา สามปีแล้วยังจับตัวไม่ได้ แทบจะกลายเป็นคดีที่ค้างคาแล้ว”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 .. 66 เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: