บทที่ 3 ฝีมือการแสดง
ฉินสุยจือมองซูหลิงที่มีท่าทางตกตะลึง อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ “อาหลิง เจ้าเป็นอะไรไป หรือเจ้ารู้จักคนผู้นี้”
ซูหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง รีบจัดการกับอารมณ์ของตน เงยหน้าพูดเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเพียงเห็นเขามีส่วนคล้ายกับท่านหลายส่วน ถึงได้ถามด้วยความอยากรู้”
ฉินสุยจือมองภาพวาดชั่วครู่พลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “ที่นี่คนไปกันเกือบหมดแล้ว เราก็ไปกันเถิด”
“ได้”
ตอนทั้งสองกินข้าวอยู่ ซูหลิงเห็นชัดว่าใจลอย
ฉินสุยจือคาดเดาความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีไม่ออก เพียงเข้าใจว่าในใจของนางคงยังคิดถึงจูเจ๋อผู้นั้นอยู่ จึงกล่าวอย่างอับจนปัญญา
“ประเดี๋ยวยังอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไป”
ซูหลิงวางช้อนลง พูดอย่างคล้อยตามเขา “ข้าได้ยินว่างิ้วที่หอชิ่งเฟิงดีมาก อยากไปดูสักหน่อย”
ฉินสุยจือมองนางอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หอชิ่งเฟิงแห่งนั้นปะปนไปด้วยปลาและมังกร หญิงสาวคนหนึ่งเช่นเจ้าจะไปสถานที่เช่นนั้นทำอะไร”
ซูหลิงใช้วิธีถอยเพื่อจะรุก เค้นรอยยิ้มออกมาจางๆ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าท่านไม่อนุญาต เช่นนั้นก็ไม่ไปแล้ว”
รอยยิ้มนี้ฉินสุยจือมองอย่างไรก็มีความหมายว่ายอมถอยเพื่อจะรุก
ถ้าจะบอกว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉินมีนิสัยหยิ่งผยองกำเริบเสิบสานถึงขั้นนี้ได้ ฉินสุยจือก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย เขาตามใจฉินหลิงอย่างไม่มีเงื่อนไขก็ไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน เวลานี้พอเห็นนางไม่สบอารมณ์ก็ทิ้งหลักการเปลี่ยนคำพูดทันที
“ข้าพาเจ้าไปก็แล้วกัน” พูดจบฉินสุยจือก็ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วบอก “เจ้าสวมหมวกปิดหน้าไว้ให้ดี ห้ามถอดลงมา”
ซูหลิงพยักหน้ายิ้ม “ได้”
ฉินสุยจือแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
ประตูตงจื๋อแห่งเมืองหลวงเป็นเขตที่เจริญที่สุดของต้าโจว
บนท้องถนนผู้คนเดินกันขวักไขว่ ร้านรวงมากมายดุจต้นไม้ในป่า เสียงร้องขายของดังขึ้นตรงโน้นทีตรงนี้ทีไม่ขาดหู
ซูหลิงเหลียวมองรอบด้านเงียบๆ
เมืองหลวงดูคึกคักกว่าแต่ก่อนมาก
พวกนางเดินผ่านหัวโค้งตรอกสุดท้าย มาถึงด้านล่างของหอชิ่งเฟิง
หอชิ่งเฟิงมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งเป็นเวทีงิ้ว ชั้นสองเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ คนที่มาดื่มสุราชมงิ้วส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่เรืองอำนาจและผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ จอมยุทธ์ในยุทธภพกับพ่อค้าต่างแดน
ส่วนชั้นสามคือศาลาเฟยเหนี่ยว* ที่เลื่องชื่อลือนามในยุทธภพ
นางเพียงเคยขึ้นไปครั้งเดียวเพื่อซื้อข่าวของเซียวอวี้
บนแผ่นป้ายพื้นดำตัวอักษรสีทองสลักคำพูดเช่นนี้ไว้ประโยคหนึ่ง…
‘รู้เรื่องราวในอดีตชาติของท่าน เข้าใจความทุกข์ยากในชาตินี้ของท่าน ไขปริศนาในชาติหน้าของท่าน’
จนทุกวันนี้นางยังจำได้ดี
ซูหลิงตามฉินสุยจือเดินเข้าประตูใหญ่
อวี๋เหนียงหลงจู๊ใหญ่ของหอชิ่งเฟิงพบเห็นคนมานับไม่ถ้วน มีความสามารถสูง เห็นมีคนแปลกหน้ามาก็รีบมองประเมินทันที
ผู้มีอำนาจราชศักดิ์มีหน้ามีตาในเมืองหลวงส่วนใหญ่นางล้วนเคยพบเจอ แต่คุณชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แต่งเนื้อแต่งตัวไม่คล้ายผู้สูงศักดิ์หรือมีบรรดาศักดิ์ รูปร่างหน้าตาก็ไม่คล้ายคนธรรมดาทั่วไป นางสรุปเอาเองว่าถ้าไม่ใช่บุตรชายพ่อค้าที่ร่ำรวย ก็ต้องเพิ่งมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน
ส่วนแม่นางที่อยู่ด้านหลังเขาผู้นั้น หลงจู๊อวี๋หรี่นัยน์ตาลง
สวมเสื้อที่ทำจากผ้าไหมเนื้อนุ่ม ใส่ต่างหูหยกเขียวเนื้อดีงามหรู แม้จะสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งปิดคลุมใบหน้า แต่ก็ไม่อาจซุกซ่อนความงามเพริศพริ้งและท่วงทีอันงามสง่าไว้ได้
เพียงแต่กลิ่นอายทั่วร่างนั้นนางรู้สึกว่ามีความคุ้นเคยอยู่หลายส่วน แต่ก็พูดไม่ถูกว่าคืออะไร
เมื่อมองอากัปกิริยาของคนทั้งสอง อวี๋เหนียงก็คาดเดาว่า ต้องเป็นพี่ชายน้องสาว
นางเดินเข้ามากล่าวด้วยใบหน้าแฝงรอยยิ้ม “สองท่านมาชมงิ้วหรือ”
ฉินสุยจือพยักหน้าน้อยๆ “ใช่”
อวี๋เหนียงหยักยกมุมปากยิ้ม “เช่นนั้นเชิญทางนี้เถิด”
ผ่านไปครู่หนึ่งอวี๋เหนียงก็กล่าวกับสองพี่น้อง “สองท่านมาได้จังหวะพอดี แม่นางซื่อเยวี่ยที่ขับร้องงิ้วในวันนี้เป็นนักแสดงมีชื่อเสียงที่เมืองก่วงโจวส่งมา รูปโฉมงดงามน่าประทับใจไม่พูดถึง พิณหมากล้อมอักษรภาพวาด ไม่มีสิ่งใดไม่ยอดเยี่ยม”
ซูหลิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ทราบว่าเริ่มแสดงยามใด”
อวี๋เหนียงบอก “อีกหนึ่งเค่อให้หลัง”
ซูหลิงถามอีก “มีบทละครให้อ่านหรือไม่”
อวี๋เหนียงบอก “ย่อมมีแน่นอน ประเดี๋ยวจะเอามาให้แม่นาง”
อวี๋เหนียงคลุกคลีอยู่ในหมู่บุรุษมานานปี ท่วงทีจริตจะก้านเรียกได้ว่าสลักอยู่บนใบหน้า นางเห็นฉินสุยจือรูปงามทั้งสุภาพเรียบร้อยก็อดหยอกล้อไม่ได้
“แม่นางซื่อเยวี่ยของเราขายศิลปะไม่ขายตัว อีกประเดี๋ยวถึงคุณชายจะพึงพอใจเช่นไร ก็อย่าได้โยนเงินลงมาทีพันตำลึงล่ะ”
คำพูดประโยคเดียวทำเอาฉินสุยจือชายหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาผู้นี้ใบหูแดงก่ำ
ซูหลิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลังจากอวี๋เหนียงเดินจากไปแล้ว ฉินสุยจือชายตามองนางพลางเอ่ย “ดูท่าทางเจ้าคุ้นเคยกับที่นี่ดี บอกมา ใช่เคยแอบมาที่นี่ไม่ให้ข้ารู้มาก่อนแล้วหรือไม่”
ทันทีที่เขาพูดจบ ซูหลิงก็รีบส่ายศีรษะ แต่ใจกลับเต้นตึกตักขึ้นมา
นับแต่นางตื่นขึ้นมา ไม่รู้มีความรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว
แม้นางได้พยายามเต็มที่ที่จะเลียนแบบฉินหลิงในความทรงจำของนาง แต่อารมณ์ความรู้สึกของคนที่เผยออกมายามไม่รู้ตัวเป็นสิ่งที่ไม่อาจซุกซ่อนได้
สองวันนี้ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่ฉินสุยจือเองก็รำพึงรำพันไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียว บอกว่านางเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
บ้านสกุลฉินก็แล้วไปเถิด ถึงพวกเขาจะรู้สึกแปลก แต่ก็ไม่สงสัยฐานะของนาง
แต่ในวังหลวงก็ไม่เหมือนกันแล้ว
รูปโฉมของนาง เสียงของนาง ลายมือของนาง ความเคยชินทุกอย่างของนางล้วนเป็นภัยพิบัติในวันข้างหน้า
นางเข้าวังด้วยใบหน้าดวงนี้ คนอื่นยังพอหลอกได้ แต่เซียวอวี้เล่า บุรุษที่ฉลาดเฉียบแหลมน้ำนิ่งไหลลึกเช่นนั้น นานวันเข้านางจะรับรองได้อย่างไรว่าจะไม่เผยพิรุธออกมา
ในวังหลวงแต่ละคนล้วนเฉลียวฉลาดปฏิภาณไว ไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่ใช่ฉินหลิง ต่อให้คุณหนูใหญ่สกุลฉินยังอยู่บนโลก วิธีการสังหารคนไม่เห็นโลหิตเหล่านั้นก็สามารถมอบความผิดฐานเป็นนางมารให้นางได้
คนเปลี่ยนดวงวิญญาณแล้วยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับภูตผี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยอมรับนางได้
ถึงตอนนั้นควรทำเช่นไร
ซูหลิงทางนี้กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกลองเสียงดนตรีดังขึ้น
เตาเครื่องหอมสี่ด้านมีควันลอยเป็นเกลียวขึ้นมา ท่ามกลางความพร่ามัวพลันมีข้อมือขาวผ่องเนียนละเอียดข้างหนึ่งลอดออกมาจากม่านผ้าต่วนสีคราม กระดกนิ้วเป็นดอกกล้วยไม้*
จากนั้นสตรีผู้หนึ่งสวมชุดผ้าไหมโปร่งสีแดงปักลายเส้นสีทอง มวยผมบนศีรษะมีปิ่นระย้าเงินถักลายดอกไม้ฝังอัญมณีเสียบอยู่ ใช้พัดบดบังใบหน้า เดินมาที่แท่นเวทีทรงกลมทีละก้าวๆ
ซูหลิงก้มหน้าลงมองบทละครแวบหนึ่ง
…ตำนานอวิ๋นไถ
เนื้อหาเกี่ยวกับสตรีสูงศักดิ์ในจวนโหวที่หลังจากตกอับก็ขายศิลปะในหอคณิกาเพื่อหาเลี้ยงชีวิต
ซูหลิงเอามือค้ำแก้ม ทอดสายตามองไป
เดิมคิดจะดูเพื่อความสนุกสนาน แต่ดูไปดูมาก็เคลิบเคลิ้มหลงใหล
นางไม่เคยเห็นสตรีคนใดที่คิ้วตาจมูกปากไม่มีส่วนใดโดดเด่น แต่กลับมีเสน่ห์ลึกซึ้งถึงในกระดูก ทุกการขมวดคิ้วแย้มยิ้มล้วนเฉิดฉายงดงาม ดีใจ โกรธ เศร้าใจ มีความสุขล้วนแสดงออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว
ยามนางสวมผ้าโปร่งสีแดงเส้นไหมทอง สถานที่แห่งนั้นก็คือหอคณิกา
ยามนางสวมผ้าแพรต่วน สถานที่แห่งนั้นก็คือจวนวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์
ยามเหลียวมามองคลี่ยิ้มจางๆ พอก้มหน้าลงไปก็น้ำตาหยาดหยดได้
ซูหลิงใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะ หยักยกมุมปากเล็กน้อย
แม่นางซื่อเยวี่ยท่านนี้แสดงสีหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม
ฉินสุยจือเห็นนางดูอย่างตั้งอกตั้งใจก็แอบคิดอยู่ในใจ ด้วยนิสัยรักสนุกเช่นนี้ของนาง ถ้าเข้าประตูวังไปได้จริง ก็ไม่รู้วันหน้าจะเป็นเช่นไร
คิดมาถึงตรงนี้ฉินสุยจือก็กำหมัดแน่น
เมื่อวานเขาพานางไปขออภัยบิดา ความจริงไม่ใช่เพียงเพื่อคำว่า ‘กตัญญู’ คำเดียว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด
เขาเอ่ยคำสาบานนั้นออกมา ก็เท่ากับถูกกำหนดไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้ไม่อาจสอบเคอจวี่เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ถ้าหากนางได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เขานอกจากมอบทรัพย์สินให้มากหน่อยแล้ว ก็ไม่สามารถมอบอะไรให้ได้อีก
ที่นางพอจะฝากความหวังไว้ได้ ก็มีเพียงฉินวั่งคนเดียวเท่านั้น
ฉินสุยจืออยู่เป็นเพื่อนเล่นกับซูหลิงสามวัน ก่อนจะจากไปเขายังสั่งกำชับแล้วกำชับอีก
“ข้าไปแล้ว เจ้าห้ามไปพบจูเจ๋ออีก”
ซูหลิงพยักหน้าติดๆ กัน “ได้ ตกลง ข้าทราบแล้ว”
ฉินสุยจือรับคำเสียงหนึ่งก่อนบอก “เช่นนั้นเดือนหน้าข้าค่อยกลับมาใหม่”
บ้านสกุลฉิน เรือนอุดร
เงาจันทร์สลัวราง ใบไม้ในสวนส่งเสียง
เจียงหลันเยวี่ยนั่งอยู่บนม้านั่งกลม หลุบตาปลดต่างหูพลางพูดกับหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างเสียงต่ำ
“หลายวันมานี้คุณหนูใหญ่ทำอะไรอยู่กันแน่ ทางสกุลจูว่าอย่างไรบ้าง”
หมัวมัวสูงวัยกล่าวเสียงต่ำ “คุณชายจูบอกว่าพักหลังมานี้คุณหนูใหญ่ไม่ได้ส่งจดหมายไปทางนั้นอีก”
เจียงหลันเยวี่ยย่นหัวคิ้วบอก “ไม่น่าเป็นเช่นนั้น หรือว่าตายไปครั้งหนึ่งนิสัยก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
หมัวมัวสูงวัยหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “เท่าที่บ่าวดู นางยากจะเปลี่ยนกมลสันดาน ฮูหยินทราบหรือไม่ สองวันนี้คุณชายใหญ่พานางไปที่ใด”
เจียงหลันเยวี่ยเลิกคิ้วถาม “ที่ใดหรือ”
หมัวมัวสูงวัยบอก “หอชิ่งเฟิง พูดขึ้นมาแล้วคุณหนูใหญ่ผู้นี้ก็น่าสนใจ ดูเหมือนเกิดมาก็ไม่ยินดีที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบ หญิงสาวคนหนึ่งเอาแต่ไปหอชิ่งเฟิงจะมีเรื่องดีอะไรได้ คุณชายใหญ่ผู้นี้เหตุใดจึงคล้อยตามนางเช่นนี้”
เจียงหลันเยวี่ยยิ้มหยัน “ตั้งแต่เด็กก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ฉินหลิงอยากได้ดวงจันทร์บนท้องฟ้า ฉินสุยจือก็ต้องไปสอยมาให้นาง ส่วนหรงเอ๋อร์ของข้า ถ้าข้าไม่ช่วงชิงแทนนาง นางก็จะไม่มีอะไรเลย”
หมัวมัวสูงวัยบอก “เรื่องนี้ต้องบอกให้ทางนายท่านทราบหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง” เจียงหลันเยวี่ยทำมือเป็นเลขสาม “ฉินสุยจือไปแล้ว ไม่เกินสามวันนางจะต้องก่อเรื่องขึ้นแน่นอน ถึงตอนนั้นให้นางเป็นคนพูดเอง ไม่ใช่ยิ่งดีกว่าหรือ”
ทว่าแม้แต่เจียงหลันเยวี่ยเองก็นึกไม่ถึง เหตุยุ่งยากที่นางเฝ้ารอคอย ซูหลิงเพียงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันเท่านั้น
ฉินสุยจือกลับไปเชียนอันแล้ว ฉินวั่งต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกวัน เจียงหลันเยวี่ยไม่อาจควบคุมนางได้ ประตูใหญ่บ้านสกุลฉินไม่มีความหมายอะไร ซูหลิงพาสาวใช้บ่าวรับใช้ไปหอชิ่งเฟิงแต่เช้า
ไหนเลยจะรู้ว่าพอเข้าประตูไป หอชิ่งเฟิงถึงกับกำลังวุ่นวายโกลาหลไปหมด
“อวี๋เหนียง เจ้าเสนอราคามา แม่นางซื่อเยวี่ยผู้นี้ คุณชายเช่นข้าต้องเอามาให้ได้”
อวี๋เหนียงกล่าวยิ้มๆ “แม่นางซื่อเยวี่ยขายศิลปะไม่ขายตัว เวลานี้มาขับร้องงิ้วที่หอชิ่งเฟิงก็เพียงเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง คุณชายเจียงไยต้องสร้างความลำบากใจให้สตรีผู้หนึ่ง ถ้าอยากหาคนรู้ใจ คุณชายเจียงไม่สู้ไปดูที่หอคณิกา อีกประการหนึ่ง ถ้าบอกราคาไปจริง ท่านก็ไม่แน่ว่าจะจ่ายไหว”
ซูหลิงย่นหัวคิ้วเล็กน้อย
เจียงตัวใดหรือ
เป็นแซ่เจียงของ ‘เจียงเฉิงหย่วน’ รองเสนาบดีกรมอากร หรือแซ่เจียงของ ‘เจียงจงถิง’ เสนาบดีกรมพิธีการ ที่แท้เป็นตัวใดกันแน่
บุรุษผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง “บิดาของข้าคือเจียงเฉิงหย่วนรองเสนาบดีกรมอากร ข้าเจียงอู้จะไม่มีเงินได้อย่างไร เจ้าเสนอราคามาก็แล้วกัน”
อ้อ เป็นเจียงที่ไม่มีเงินผู้นั้นจริงๆ
ซูหลิงพูดในใจ ด้วยนิสัยคร่ำครึดื้อรั้นเช่นนั้นของบิดาเจ้า เจ้ามีเงินก็แปลกแล้ว
เจียงเฉิงหย่วนเป็นทาสเฝ้าทรัพย์ที่ขึ้นชื่อของกรมอากร เป็นไก่เหล็กตัวผู้ปกติล่วงเกินคนในราชสำนักไม่น้อย
มีคนเคยจับตามองบัญชีของบ้านสกุลเจียงเพื่อค้นหาจุดที่ไม่ถูกต้อง แต่เจียงเฉิงหย่วนบริสุทธิ์ไร้จุดด่างพร้อย ไม่เคยทุจริตแม้แต่น้อยนิด
ซูหลิงเอียงศีรษะมองแม่นางซื่อเยวี่ยที่น้ำตาใกล้จะหยาดหยดแวบหนึ่ง
พลันรู้สึกว่าเจียงอู้ผู้นี้ปรากฏตัวได้ถูกจังหวะพอดี
อวี๋เหนียงยิ้มบอก “ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะคุณชายเจียง วันนี้นอกจากแม่นางซื่อพยักหน้า หาไม่ข้าอวี๋เหนียงก็ไม่อาจเสนอราคาได้”
“ทุกคน ล้อมหอชิ่งเฟิงเอาไว้” เจียงอู้สั่ง “วันนี้ข้าต้องได้ตัวนาง เจ้าก็อย่าว่าข้าแย่งชิงคนจากหอชิ่งเฟิงของเจ้า เงินข้าจะวางไว้ให้เจ้าที่นี่ มีแต่มากไม่มีน้อย”
“ช้าก่อน”
ซูหลิงก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง “คุณชายเจียงอย่าเพิ่งรีบร้อน ในเมื่อท่านเสนอราคาได้ เช่นนั้นข้าก็เสนอราคาได้เช่นกัน ถ้าท่านเสนอราคาได้สูงกว่าข้า ข้าก็จะไป ถ้าผลออกมาตรงกันข้าม ท่านกับคนที่อยู่ข้างหลังท่านเหล่านี้ก็ต้องจากไป”
เจียงอู้หรี่นัยน์ตาจ้องผ้าคลุมหน้าของซูหลิง “เจ้าเป็นใคร มาจากบ้านใด กล้ามาตั้งกฎกับข้า”
ซูหลิงหาม้านั่งตัวหนึ่งแล้วนั่งลง วางข้อมือไว้บนหัวเข่า พูดด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “คุณชายเจียงไม่จำเป็นต้องสนใจว่าข้าเป็นใคร ในเมื่อเป็นการแข่งขันกันเสนอราคา เช่นนั้นก็ใช้เงินพูดกัน ท่านเห็นเป็นอย่างไร”
เจียงอู้มองจอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรมแห่งยุทธภพที่กอดอกยืนอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง แล้วสูดลมหายใจทีหนึ่ง
“ได้ๆ การแข่งขันกันเสนอราคาใช่หรือไม่ ห้าสิบตำลึง”
ตามจำนวนจ่ายเบี้ยหวัดในเวลานี้ของต้าโจว ห้าสิบตำลึงน่าจะพอซื้ออนุได้สองคน
ใช้เป็นราคาเริ่มต้น นับว่าไม่ต่ำแล้ว
ซูหลิงไม่แม้แต่จะคิดก็พูดต่อทันที “หนึ่งร้อยตำลึง”
บ้านสกุลฉินแม้วงศ์ตระกูลจะไม่โดดเด่น แต่บ้านสกุลเวินกลับร่ำรวยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฉินสุยจือเข้าไปรับช่วงกิจการของสกุลเวิน ยิ่งขยายการค้าจากเชียนอันไปถึงเหอหนาน ปกติก็ยัดเงินให้ฉินหลิงอยู่เสมอ
นางประเมินดูเงินและสิ่งของที่อยู่ในมือฉินหลิงแล้ว มากไปก็ไม่มี แต่แปดร้อยตำลึงยังพอรวบรวมออกมาได้อยู่
เพียงแต่เงินแปดร้อยตำลึงไม่มากไม่น้อยจำนวนนี้นางรวบรวมออกมาได้ บุตรชายของเจียงเฉิงหย่วนก็ทำได้เช่นกัน
เจียงอู้เห็นนางไม่ให้หน้าเพียงนี้ อดไม่ได้ที่จะเอามือเท้าเอว ส่งเสียง “เฮอะ” ออกมาคำหนึ่งแล้วบอก “สองร้อยตำลึง”
ซูหลิงก็พูดต่อทันที “สี่ร้อยตำลึง”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา รอบด้านก็คึกคักขึ้นมาทันที
เจียงอู้สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เขากำหมัดพลางพูดเสียงเย็น “ห้าร้อยตำลึง”
เห็นเขาไม่เพิ่มเป็นเท่าตัวแล้ว ซูหลิงในใจรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร ยิ้มพลางบอก “แปดร้อยตำลึง”
เห็นได้ด้วยตาเนื้อว่าเม็ดเหงื่อของเจียงอู้ไหลลงมาจากขมับ เขาพูดด้วยความเดือดดาล “เจ้าเป็นใครกันแน่!”
เขามองแตงเบี้ยวพุทราแตกสองคนที่อยู่ด้านหลังซูหลิง มองอย่างไรก็ไม่คล้ายบ่าวไพร่ของวงศ์ตระกูลที่มีเงินและอำนาจ
แต่ถ้าไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ ความมั่นใจของสตรีผู้นี้ใช่มากเกินไปหน่อยหรือไม่!
ซูหลิงเอ่ยขึ้นช้าๆ “ดูท่าทางของคุณชายเจียง หรือคิดจะลงไม้ลงมือกับข้า? ถ้าวันนี้ท่านลงมือ เกรงว่าบิดาของท่านจะต้องพาคุณชายไปดื่มน้ำชาที่จวนใต้เท้าเซวียแล้ว”
ใต้เท้าเซวียก็คือเซวียเซียงหยางเสนาบดีกรมอาญา พี่ชายร่วมอุทรของเซวียเฟยในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“เจ้าแซ่เซวียหรือ เจ้าเป็นคุณหนูคนที่เท่าไรของบ้านสกุลเซวีย”
บ้านสกุลเซวียนั้นมีบุตรหลานมาก มีคุณหนูหลายคน
ซูหลิงไม่ตอบ กลับย้อนถาม “แม่นางซื่อเยวี่ยยังอยู่ที่นี่ คุณชายเจียงยังสู้ราคาหรือไม่”
เห็นท่าทีเช่นนี้ เจียงอู้ก็ไม่กล้าเพิ่มราคาแล้ว หรือจะบอกว่าเขาไม่เห็นว่านักแสดงงิ้วผู้นี้มีค่าถึงแปดร้อยตำลึง
เขาย่นหัวคิ้วบอก “เจ้าผู้เป็นสตรีผู้หนึ่ง เอาเงินแปดร้อยตำลึงซื้อนักแสดงงิ้วคนหนึ่งไปทำอะไร!”
“ที่ท่านทำคือซื้อ แต่ข้าไม่ใช่ วันนี้จะอยู่หรือไป ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของนาง”
คำพูดนี้มีความหมายคล้ายพบเห็นความไม่เป็นธรรมบนท้องถนนจึงชักดาบเข้าช่วยเหลือ
ซูหลิงลุกขึ้นมาเดินไปถึงเบื้องหน้าซื่อเยวี่ย เปิดผ้าคลุมหน้าออกครึ่งหนึ่ง เอ่ยขึ้นเบาๆ “แม่นางซื่อ จะไปกับข้าหรือไม่”
บทที่ 4 ยั่วยวนคน
หญิงสาวโยนเงินแปดร้อยตำลึงซื้อหญิงขับร้องคนหนึ่งกลับบ้านเป็นเรื่องที่พบเห็นน้อยมาก
วันนั้นที่หอชิ่งเฟิงก็ก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นมาไม่น้อย
มีคนบอกว่านี่เป็นการเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อผดุงคุณธรรม ทว่าก็มีคนบอกว่าความชื่นชอบของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่และขุนนางที่เรืองอำนาจแต่ไรมาก็คาดเดายาก ใช้เงินฟุ่มเฟือยตามอำเภอใจก็ดี เสียสละช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อผดุงคุณธรรมก็ช่าง ล้วนเป็นไปได้ว่าจะเกิดจากอารมณ์สนุกสนานชั่ววูบ
…อารมณ์สนุกสนาน
ตอนแรกซื่อเยวี่ยเองก็คิดเช่นนี้
ดังนั้นตอนที่นางรู้ว่าฉินหลิงใช้เงินทั้งหมดของตนจึงซื้อตัวนางมาได้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
เมฆดำหนาหนัก เงาจันทร์กำลังจะดับไป
ซูหลิงนั่งอยู่บนม้านั่งกลม ซื่อเยวี่ยยืนอยู่กลางห้อง
ซื่อเยวี่ยนิ่งเงียบไปนานแล้วจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ดูเหมือนว่าการกระทำของคุณหนูในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบ”
ซูหลิงพยักหน้า บอกตามตรง “ถูกต้อง”
ซื่อเยวี่ยกล่าวช้าๆ “ซื่อเยวี่ยเป็นเพียงหญิงขับร้องเล่าเรื่องประโลมโลก นอกจากร้องเพลงงิ้วแล้ว ก็ทำได้เพียงใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่เหล่าบุรุษชื่นชอบ ไม่ทราบว่าคุณหนูฉินซื้อตัวข้ามาเพื่อจะทำอะไรหรือ”
“แม่นางซื่อเชี่ยวชาญพิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ ทั้งร้องเพลงงิ้วก็ดี เหตุใดต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป วันนี้ข้าเชิญแม่นางซื่อมาที่บ้านของข้า เพียงเพื่อจะขอคำชี้แนะเล็กน้อย”
“ขอคำชี้แนะ?” ซื่อเยวี่ยหัวเราะเล็กน้อย “คุณหนูเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง หากคิดจะศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปะบทกวี สามารถไปหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปไกล เวลานี้ใกล้จะคัดเลือกหญิงงามครั้งใหญ่ ในเมืองหลวงไม่รู้มีสตรีที่ปราดเปรื่องเชี่ยวชาญพิณเชี่ยวชาญภาพวาดมามากมายเท่าไร เพราะเหตุใด…”
พูดถึงตรงนี้ซื่อเยวี่ยนิ่งงันไปชั่วขณะ
ฉินหลิงเป็นบุตรสาวคนโตของไท่สื่อลิ่ง อายุสิบหกปีพอดี
“คุณหนูฉินจะเข้าวังคัดเลือกหญิงงามหรือ”
“ใช่” ซูหลิงลุกขึ้นมาช้าๆ เอาสัญญาขายตัวของซื่อเยวี่ยส่งให้ถึงมือนางพลางพูดเบาๆ “สิ่งที่ข้าอยากเรียน มีเพียงแม่นางซื่อที่สอนได้ นี่นับเป็นค่าสอน”
ซื่อเยวี่ยมองสัญญาขายตัวในมือ ตอนแรกก็ตะลึงงัน จากนั้นก็ตาแดงแล้ว
เรื่องที่ซูหลิงใช้เงินก้อนโตซื้อหญิงขับร้องกลับมาที่จวน ทันทีที่ไก่ขัน เรื่องก็ไปถึงหูของฉินวั่ง
ฉินวั่งโมโหจนมือสั่น แขนเสื้อยาวตวัดรวบ ก้าวยาวๆ ดุจดาวตกบุกเข้ามาที่เรือนของฉินหลิง
ประตูถูกผลักเข้ามาดัง ‘ปัง’
“ข้าดูถูกเจ้าไปแล้วจริงๆ แปดร้อยตำลึง…สตรีผู้หนึ่งเช่นเจ้าถึงกับใช้เงินแปดร้อยตำลึงซื้อหญิงขับร้องคนหนึ่งกลับมา! เจ้าเห็นบ้านสกุลฉินเป็นอะไร เป็นหอคณิกาหรือ ไม่ว่าใครก็กล้าพากลับมา!” ฉินวั่งเอามือกุมหน้าอกพูด
ซูหลิงยืนขึ้นมา กล่าวกับฉินวั่ง “ท่านพ่ออนุญาตให้ข้าได้ชี้แจงเล็กน้อยได้หรือไม่”
“ชี้แจงอันใด! เจ้าจะชี้แจงอันใด!” หลังจากฉินวั่งเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายซูหลิงชัดเจน ก็รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้ามืดลงรำไร เขาหอบหายใจแรงพลางเอ่ย “เจ้าไม่ต้องชี้แจงกับข้า ตอนนี้รีบพาคนส่งกลับไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ซูหลิงมองฉินวั่งที่เดือดดาลจนผมชี้ชันค้ำหมวก พูดด้วยความอดทนข่มกลั้น “ท่านพ่อระงับโทสะด้วย ข้าจ่ายค่าไถ่ตัวมาโดยไม่ได้เปิดเผยชื่อ ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของสกุลฉินต้องเสียหาย นอกจากนี้แม่นางซื่อจิตใจสูงส่งบริสุทธิ์ หากไม่ใช่เพราะหลายปีก่อนครอบครัวเกิดเหตุพลิกผันขึ้น ก็คงไม่มาขายศิลปะที่หอชิ่งเฟิง…”
ฉินวั่งตัดบททันควัน “แล้วอย่างไร อาหลิง ชีวิตทุกข์ระทมแล้วอย่างไร ในโลกนี้คนน่าสงสารมีมากมาย หรือว่าเจ้าจะพากลับมาบ้านทั้งหมด ยังจ่ายค่าไถ่ตัวมาโดยไม่ได้เปิดเผยชื่อ ใต้หล้านี้ไม่มีกระดาษที่ห่อไฟได้! เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าการกระทำที่รักสนุกชอบเอาชนะนี้ วันหน้าจะไม่นำพาภัยพิบัติมาสู่บ้านสกุลฉิน!”
ได้ยินแล้วซูหลิงก็กล่าวช้าๆ “แล้วเหตุใดตอนนั้นท่านพ่อไม่อดทนข่มกลั้นไว้ก็พาคนน่าสงสารกลับมาบ้าน”
พอสิ้นเสียง เจียงหลันเยวี่ยที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พลันหน้าดำคล้ำไปทั้งหน้า
คนน่าสงสารคนนั้นก็คือเจียงหลันเยวี่ยที่ ‘ชีวิตทุกข์ระทม’
ฉินวั่งถึงกับสะอึก
แม้สิ่งที่ซูหลิงพูดล้วนเป็นความจริง แต่ในสายตาของฉินวั่ง บิดาคือบิดา บุตรคือบุตร เขาว่านางได้ นางว่าเขาก็คืออกตัญญูไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่
เขาโกรธจนเดินวนไปรอบห้อง เพิ่งยกมือขึ้นเตรียมจะเรียกบ่าวรับใช้ ก็เห็นเจียงหลันเยวี่ยขอบตาแดงวิ่งเข้ามา
“นายท่านอย่าบันดาลโทสะ”
ฉินวั่งกล่าวเสียงเฉียบขาด “เจ้ามาทำอะไร! เจ้าไม่ต้องพูดแทนนางแล้ว! ต่อให้เจ้าพูดจนปากฉีก นางก็ไม่รับน้ำใจ”
น้ำตาของเจียงหลันเยวี่ยไหลพรากลงมา “นายท่าน คุณหนูใหญ่อายุยังน้อย นิสัยยังไม่เป็นผู้ใหญ่ อาจถูกผู้อื่นหลอกไปชั่วขณะก็เป็นได้ ไม่ผ่านเรื่องราวไม่รู้ถึงบุญคุณของบิดามารดา ท่านก็อย่าโกรธไปเลย”
“สิบหกยังนับว่าเด็กหรือ แล้วเมื่อใดนางจึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นางเป็นเช่นนี้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกหญิงงาม เมื่อใดเข้าวังไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าข้าอาจต้องเสียหมวกผ้าโปร่งดำ วันใดศีรษะต้องหลุดร่วงลงมาก็เป็นเรื่องปกติ! เช่นนี้ยังไม่สู้ให้หรงเอ๋อร์เข้าวัง!”
เจียงหลันเยวี่ยทางหนึ่งเช็ดน้ำตา ทางหนึ่งบอก “นายท่านอย่าพูดเช่นนี้ บุตรที่เกิดจากภรรยาเอกกับบุตรที่เกิดจากอนุจะอย่างไรก็แตกต่างกัน ระวังจะถูกคนอื่นได้ยินเข้า”
ซูหลิงมองเจียงหลันเยวี่ย พลันรู้สึกเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเวินซวงหวากับฉินหลิงจึงเสียสติ
นางไม่อาจทนดูต่อไปได้ จึงเอ่ยปากตามตรง “แม่นางซื่อเชี่ยวชาญพิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ ข้าเชิญนางมาก็เพื่อการเข้าวังคัดเลือกหญิงงาม”
พริบตานั้นฉินวั่งถูกทำให้โมโหจนหัวเราะแล้ว “ข้าหาอาจารย์มาให้เจ้าตั้งหลายคน เจ้ายังไม่ยอมเรียน เวลานี้เปลี่ยนเป็นหญิงขับร้อง เจ้าก็ยอมเรียนแล้ว?”
คุณหนูใหญ่กับฉินวั่งเข้ากันไม่ได้ดุจน้ำกับไฟ นางจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาไปเสียทุกอย่าง
ฉินวั่งให้นางทำอะไร นางก็จะทำในสิ่งตรงข้าม ส่งผลให้ความรู้และสติปัญญาตื้นเขิน นอกจากดีดพิณได้สองเพลง เมื่อเปรียบกับฉินหรงที่เจียงหลันเยวี่ยให้กำเนิดแล้ว พูดได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนฟ้า คนหนึ่งอยู่ใต้ดิน
ซูหลิงพูดอย่างจริงจัง “ถ้าท่านพ่อไม่เชื่อ เช่นนั้นไม่สู้กำหนดเวลาไว้ครึ่งเดือน หลังจากครึ่งเดือนท่านพ่อสามารถตรวจสอบการคัดตัวอักษรวาดภาพของข้าด้วยตนเอง รวมทั้งธรรมเนียมมารยาทในวัง ถ้าไม่มีความก้าวหน้า ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก ทุกอย่างแล้วแต่ท่านพ่อจะจัดการ”
เจียงหลันเยวี่ยย่นหัวคิ้วมองซูหลิงแวบหนึ่ง
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ แววตาของฉินวั่งก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ถลึงตาใส่ซื่อเยวี่ยอย่างดุดันทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“ได้ เจ้าจำคำพูดวันนี้ไว้ให้ดี ครึ่งเดือนให้หลัง ถ้าเจ้ายังเป็นเหมือนเมื่อก่อน คนผู้นี้! ต้องไปจากที่นี่!”
ซูหลิงบอก “เรื่องนี้แน่นอน”
หลังจากฉินวั่งกับเจียงหลันเยวี่ยไปแล้ว ซื่อเยวี่ยก็รีบกล่าว “คุณหนูฉิน พิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ ซื่อเยวี่ยสามารถถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้ได้ แต่ธรรมเนียมมารยาทในวัง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร”
สำหรับซูหลิงแล้ว ธรรมเนียมมารยาทในวังนั้นไม่จำเป็นต้องเรียน
นางเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อครู่แม่นางซื่อคงเห็นเจียงอี๋เหนียงผู้นั้นแล้ว”
ซื่อเยวี่ยบอก “เห็นแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นไม่สู้สอนความสามารถในการหลั่งน้ำตาได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตาให้ข้าก่อนเป็นอย่างไร”
ได้ยินแล้วซื่อเยวี่ยก็อดหัวเราะตามไม่ได้ “เช่นนั้น…ไม่รู้ความยากลำบากของการเป็นนักแสดงงิ้ว แม่นางฉินจะทนได้หรือไม่”
“เจ้าสอนมาก็แล้วกัน”
ซูหลิงย่อมเข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าฝึกฝนสิบปีเพื่อขึ้นเวทีแสดงเพียงชั่วครู่เดียว ดังนั้นตอนนางเอ่ยคำพูดนี้ก็เพียงเพื่อหยอกล้อ
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกนี้ยังมีของเช่นขี้ผึ้งเร่งน้ำตาอยู่ด้วย
ซื่อเยวี่ยหยิบขวดเครื่องเคลือบสีน้ำตาลแบนออกมาใบหนึ่ง “นี่คือขี้ผึ้งเร่งน้ำตา เดิมทีซื่อเยวี่ยเป็นม้าผอมถูกคนขายมาแล้วสี่ครั้งจึงได้พบกับอาจารย์ ได้ฝึกฝนเรียนรู้ความสามารถในการหาเลี้ยงปากท้อง ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เพียงนึกถึงวันเวลาในอดีตก็หลั่งน้ำตาได้แล้ว แต่คุณหนูฉินเป็นสตรีสูงศักดิ์ คิดว่าคงไม่เคยได้รับความทุกข์ยากอันใด ไม่สู้ลองใช้ของสิ่งนี้ แตะเล็กน้อยแล้วนำมาทาที่ใต้ตาก็ใช้ได้”
ซูหลิงยื่นมือไปแตะเล็กน้อย เพิ่งจะทาไปที่ใต้ตา น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาราวทำนบแตก
ซื่อเยวี่ยหยิบคันฉ่องสำริดที่อยู่ด้านข้างมา “คุณหนูฉินท่านดู”
พอมองไป ลูกตาดำของซูหลิงคล้ายสั่นสะท้านไปหมด
ดวงตาคู่นี้หางตาแดงระเรื่อ ขนตาชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเวทนาสงสาร คล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ซื่อเยวี่ยยิ้ม “คุณหนูฉิน แปดร้อยตำลึงนี้คุ้มค่าหรือไม่เจ้าคะ”
ซูหลิงพยักหน้า
คุ้มค่า
ตอนแรกซื่อเยวี่ยก็คาดเดาไม่ออกว่าที่แท้แล้วซูหลิงคิดจะทำอะไร
อย่างเช่นเห็นอยู่ว่าซูหลิงเขียนตัวอักษรได้งดงามอยู่แล้ว กลับจะเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษรเป็นอีกแบบหนึ่ง และอย่างเช่นเห็นอยู่ว่าอากัปกิริยาของนางสง่าภูมิฐานมีมารยาท สุภาพงดงาม กลับจะเรียนรู้เสน่ห์และกิริยาท่าทางความอ่อนช้อยจริตจะก้านอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงขับร้อง
แต่ระหว่างคนฉลาดด้วยกัน อาจมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
ซื่อเยวี่ยไม่ถาม ซูหลิงก็ไม่เอ่ยถึง
นางอยากเรียนอะไร ซื่อเยวี่ยก็สอนอย่างนั้น
ซูหลิงขลุกอยู่ในห้องฝึกคัดอักษรทั้งวัน ข้อมือคล้ายถูกเสียดสีจนแตกแล้ว บางครั้งเขียนจนถึงก่อนฟ้าสางแล้วฟุบหลับไปบนโต๊ะ
ซื่อเยวี่ยมีฐานะเดิมเป็นม้าผอม พบเห็นบุรุษสตรีมานับไม่ถ้วน แต่นางไม่เคยพบสตรีเช่นคุณหนูใหญ่สกุลฉินมาก่อน
ซูหลิงขอให้ซื่อเยวี่ยเข้มงวดสักหน่อย ซื่อเยวี่ยจึงวางท่าทีเช่นเดียวกับตอนอาจารย์ของนางสอนนาง
นางเอาบทงิ้วจำนวนมากให้ซูหลิงอ่าน เดิมเข้าใจว่าคุณหนูบ้านขุนนางคงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เท่าไร เห็นแปลกใหม่สักสองวันก็คงพอแล้ว
กลับไม่คิดว่าซูหลิงจะยึดมั่นยิ่ง ไม่ว่าจะเจอบทงิ้วที่เอ่ยปากยากเพียงใดก็ไม่เคยพูดคำว่า ‘ไม่’
แต่ความสามารถในการร้องงิ้ว ประการแรกต้องอาศัยการฝึกฝน สองต้องอาศัยความเข้าใจ มีคนมากมายฝึกฝนมาทั้งชีวิตก็ยังขึ้นเวทีไม่ได้
นางรู้ว่าซูหลิงขาดตรงจุดใด กลับลังเลไม่กล้าเอ่ยปาก
สุดท้ายยังคงเป็นซูหลิงที่ฉีกกระดาษที่กั้นกลางอยู่แผ่นนี้ออก นางพูดอย่างจริงจัง “แม่นางซื่อยังคงพูดออกมาตามตรงเถิด”
ซื่อเยวี่ยพินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูซูหลิง “คุณหนูฉินหากคิดจะเป็นคนอื่น ต้องลืมก่อนว่าตนคือใคร บทงิ้วมีความสุข ท่านก็มีความสุข บทงิ้วระทมทุกข์ ท่านก็ทุกข์ระทม”
หากคิดจะเป็นคนอื่น ต้องลืมก่อนว่าตนคือใคร
ซูหลิงมองสบตากับซื่อเยวี่ย นิ่งเงียบไปพักใหญ่จึงบอก “ขอบคุณมาก”
แสงอาทิตย์จะส่องจากหน้าต่างด้านตะวันออกไปถึงหน้าต่างด้านตะวันตกทุกวัน
ซื่อเยวี่ยเห็นในดวงตาสุกใสงดงามคู่นั้นของซูหลิงมีประกายแสงเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่ง มีความระยิบระยับพร่างพราวเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่ง
หยิ่งผยองเอาแต่ใจ ภูมิฐานเพียบพร้อมคุณธรรม น้ำตาขังคลอจะร้องไห้ เปี่ยมเสน่ห์ยั่วยวนคน ล้วนคือนาง
ซูหลิงวางบทงิ้วในมือลง มุมปากมีรอยยิ้มผุดขึ้นจางๆ นางได้กลายเป็นบุตรสาวสกุลฉินไปแล้ว ต่อไปนี้นางก็คือฉินหลิง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วก็มาถึงครึ่งเดือนให้หลังแล้ว…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.