บทที่ 7 ประลองฝีมือการแสดง
แสงสว่างจากท้องฟ้าส่องผ่านหน้าต่างมากระทบอิฐสีเขียวอมดำ
เจียงหลันเยวี่ยลืมตาขึ้นช้าๆ เอียงหน้ามองบุรุษที่อยู่ข้างกาย
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนของฉินวั่ง เขาจะตื่นสายกว่าปกติหน่อย
เจียงหลันเยวี่ยลุกขึ้นมาเงียบๆ เดินไปนั่งที่ข้างหน้าต่าง ลูบคลำต่างหูเบาๆ อยู่หน้าคันฉ่องอย่างใจลอย ครู่หนึ่ง ฉินวั่งพลันเอ่ยปากขึ้น
“วันนี้เหตุใดเจ้าจึงตื่นเช้าเพียงนี้”
เจียงหลันเยวี่ยมือสั่น ตลับชาดตกลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’
นางหันหน้าไปยิ้ม “ร้านที่ประตูซีจื๋อมีปัญหาเล็กน้อย ต้องไปดูเจ้าค่ะ”
ฉินวั่งลุกขึ้นมานั่งนวดคอเล็กน้อยพลางถาม “เรื่องอะไร หนักหนาหรือไม่”
เจียงหลันเยวี่ยเดินมาถึงข้างกายสามี ปัดมือเขาออกแล้วช่วยนวดให้พลางพูดขึ้นเบาๆ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าข้าจัดการไม่ได้ย่อมต้องเรียนให้นายท่านทราบ ไม่ง่ายกว่านายท่านจะได้หยุดพักผ่อน ยังคงพักผ่อนให้มากเถิดเจ้าค่ะ”
ฉินวั่งกุมมือนาง “เรื่องในบ้าน ลำบากเจ้าแล้ว”
เจียงหลันเยวี่ยกล่าวยิ้มๆ “ไม่ลำบากเจ้าค่ะ”
เจียงหลันเยวี่ยเพิ่งก้าวเท้าออกจากบ้านสกุลฉิน ฉินสุยจือก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องหนังสือของบ้านสกุลฉิน
ฉินวั่งถือหลักฐานปึกหนึ่งอยู่ในมือ ตัวสั่นสะท้าน จากนั้นก็โยนลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘ปึก’ ทันที
“ฉินจื่อโย่ว เจ้าใช่เสียสติไปแล้วหรือไม่! ในสายตาของพวกเจ้าไม่ยอมรับนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ ฉินอี๋เหนียงอยู่ในครอบครัวนี้มาสิบกว่าปี นางเคยช่วงชิงอะไร!”
ฉินสุยจือมองฉินวั่งด้วยแววตาเยียบเย็น “ถ้าท่านพ่อไม่เชื่อ ก็ตามนางออกจากเมืองไปดูด้วยตาตนเองว่าวันนี้นางไปพบใคร ถ้าวันนี้ข้าใส่ความนาง รอท่านพ่อกลับมา ข้าจะขออภัยอี๋เหนียงยอมรับผิดด้วยตัวเอง”
ฉินวั่งพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เหลวไหลอย่างที่สุด!”
ฉินสุยจือมองเขาด้วยแววตาบีบคั้น “ท่านพ่อไม่เชื่อข้า หรือไม่กล้าเชื่อข้ากันแน่”
ฉินวั่งลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย กำหมัดแน่น ข้อนิ้วซีดขาวจางๆ
เขาเคาะโต๊ะอย่างแรงทีหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ช่วงเย็นย่ำ แสงสายัณห์สีแดงสาดกระจายไปทั่วท้องฟ้า
เจียงหลันเยวี่ยมือหิ้วห่อของน้อยใหญ่กลับมาถึงบ้านสกุลฉิน
ฉางโฝ่วบ่าวรับใช้ข้างกายฉินวั่งเอ่ยว่า “อี๋เหนียง เวลานี้นายท่านอยู่ที่ห้องโถงหลักด้านหน้ารอท่านอยู่ขอรับ”
เจียงหลันเยวี่ยกะพริบๆ ตาแล้วเอ่ยถาม “นี่ถึงเวลาอาหารแล้ว ไปที่โถงด้านหน้าทำอะไร”
ฉางโฝ่วยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เอ่อ…บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ”
เจียงหลันเยวี่ยเดินตามฉางโฝ่วไปทางประตูบุปผาย้อยอ้อมผ่านศาลาหลันซวี่ก็ถึงห้องโถงหลักด้านหน้า
นางเลิกคิ้ว ผลักประตูเปิดด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย
ฉินวั่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าแขนไม้จันทน์แดงลายปลาคู่ ฉินสุยจือกับฉินหลิงนั่งอยู่ด้านข้างของเขา สายตาของคนทั้งสามจับนิ่งมาที่ร่างของนาง
“วันนี้ช่างประจวบเหมาะเสียจริง คุณหนูใหญ่กับคุณชายใหญ่ก็อยู่ด้วย” เจียงหลันเยวี่ยเอาอับใส่อาหารและห่อของในมือวางลงทีละอย่าง ก่อนจะยิ้มบอก “ข้าสั่งเสื้อผ้าจากร้านเมี่ยวหลันให้คุณหนูใหญ่สองชุด ไม่รู้ใส่พอดีตัวหรือไม่…” เจียงหลันเยวี่ยหยิบเสื้อผ้าเดินมาถึงข้างกายฉินหลิง “คุณหนูใหญ่เอาไปลองสวมดูเถิด ถ้าไม่พอดีจะได้รีบเอาไปแก้”
ฉินหลิงมองสบตานาง กระชากเสื้อผ้าในมือนางมาแล้วโยนไปที่พื้น
ถ้าเป็นปกติ ฉินวั่งต้องตวาดเสียงดังว่า ‘เจ้าทำอะไรรู้จักหยุดแค่พอเหมาะพอควร!’
แต่วันนี้เขาเพียงกุมที่เท้าแขนแน่น
เจียงหลันเยวี่ยก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา กัดๆ ริมฝีปาก ขอบตาแดงก่ำพลางบอก “ไม่ชอบแบบกับลายหรือ หรือไม่ชอบสี ต้องตำหนิข้าที่ไม่ได้บอกให้ทราบก่อน…”
พูดมาถึงตรงนี้เจียงหลันเยวี่ยก็สูดจมูก รอฉินวั่งเอ่ยปาก
ทว่าวันนี้ในห้องนี้กลับเงียบจนทำให้คนรู้สึกหวั่นหวาด
นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ฉินวั่งก็กดเสียงต่ำเอ่ยถามว่า “วันนี้เจ้าไปที่ใดมา”
เจียงหลันเยวี่ยคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามเรื่องนี้ ในดวงตามีประกายกระวนกระวายใจพาดผ่านจางๆ แต่ยังคงกล่าวเสียงนุ่มนวล
“ข้าไปที่ถนนฉางชิงก่อน จากนั้นก็ซื้อข้าวของเล็กน้อย เห็นยากนักที่คุณชายใหญ่จะกลับมาสักครั้ง จึงซื้อปูที่เขาชอบกิน ปูช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงตัวอวบอ้วน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะพอดี”
นี่คือจุดที่ปราดเปรื่องของเจียงหลันเยวี่ย
เวลาที่นางโกหกมักจะผสมคลุกเคล้ากับคำพูดที่เป็นจริง ทำให้คนยากจะแยกแยะจริงเท็จ
ฉินวั่งมองนัยน์ตาของนาง มือจับแหวนน้าวเล็กน้อยพลางเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใดวันนี้เจ้าจึงเอาเงินจากร้านที่ถนนฉางชิงไปสิบหมื่นตำลึง”
มีเรื่องจริงๆ ด้วย
เจียงหลันเยวี่ยในใจรู้ดีว่าเงินสิบหมื่นตำลึงไม่อาจปิดบังได้ จึงคิดหาเหตุผลไว้แต่แรกแล้ว
นางพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าคิดอยู่ว่าคุณหนูใหญ่รูปงามไม่มีใครเทียม ภายนอกงดงามภายในเฉลียวฉลาด จะต้องถูกคัดเลือกเข้าวังแน่นอน แต่วังหลวงไม่เหมือนอยู่บ้าน ทุกหนแห่งล้วนต้องใช้เงิน ข้าได้ไปสั่งไข่มุกทะเลใต้กับหลงจู๊ร้านจินอวี้ไว้จำนวนหนึ่ง…”
“พอแล้ว!” ฉินวั่งถลึงตา ชี้ไปที่ห่อผ้าสีครามที่ข้างเท้าเจียงหลันเยวี่ย “ไข่มุกทะเลใต้อะไร! เจ้าบอกข้ามา นั่นคืออะไร!”
เจียงหลันเยวี่ยร่างชะงักค้าง ราวกับถูกหินก้อนโตทุ่มมาถูก แต่นางยังคงปากแข็ง
“นี่เป็นเครื่องประทินโฉมที่ข้าซื้อมา”
ฉินวั่งแหงนหน้าส่งเสียง “หึ” ออกมาคำหนึ่ง เสียงนี้ก็ไม่รู้ว่าร้องไห้หรือหัวเราะ
เครื่องประทินโฉม ดี ดียิ่งนัก
วันนี้เขาขี่ม้าเร็วออกจากเมือง บอกกับตัวเองตลอดเวลาว่านั่นเป็นเพียงการเข้าใจผิด เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเขาก็เห็นนางแอบนัดพบกับจูเจ๋อ
นางเอาเงินสิบหมื่นตำลึงให้จูเจ๋อ จูเจ๋อก็มอบห่อผ้าสีครามห่อนี้ให้กับนาง
ตอนเห็นฉากนั้น ฉินวั่งก็ขนลุกชันไปทั้งร่างแล้ว
คนข้างหมอนที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี เขาถึงกับไม่เข้าใจนางแม้แต่น้อย
ฉินวั่งเดินเร็วๆ ไปถึงข้างกายเจียงหลันเยวี่ย เปิดห่อผ้าออก จดหมายยี่สิบแปดฉบับร่วงพรวดออกมาทั้งหมด
จดหมายยี่สิบแปดฉบับนี้ไม่เพียงสามารถทำลายเส้นทางขุนนางของเขา ยังสามารถเอาชีวิตของบุตรสาวเขาได้อีกด้วย
ฉินวั่งยื่นนิ้วชี้อย่างสั่นเทาไปที่จดหมายเหล่านี้ “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก”
เจียงหลันเยวี่ยพลันตระหนักได้
มิน่าเล่าวันนี้ใบหน้าจูเจ๋อมีบาดแผล มิน่าเล่าวันนี้เขาถึงได้พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่มีท่าทีละโมบเช่นที่ผ่านมาให้เห็น
ที่แท้วันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน
ชั่วขณะนี้เจียงหลันเยวี่ยกำลังครุ่นคิดว่านางควรโต้แย้งต่อไป หรือควรก้มศีรษะขอการอภัยให้
ถ้าพวกเขามีหลักฐานอยู่ในมือแล้ว การเถียงข้างๆ คูๆ รังแต่จะทำให้นางหาเรื่องอัปยศอดสูใส่ตัวเอง หลังจากพินิจพิจารณาแล้ว นางก็เลือกอย่างหลัง
จะอย่างไรฉินวั่งผู้นี้แต่ไรมาก็ชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ขอเพียงเขาเชื่อว่าที่นางทำไปทั้งหมดก็เพื่อบุตรสาว ไม่มีจิตใจที่จะทำร้ายบ้านสกุลฉินก็พอ
เจียงหลันเยวี่ยยังไม่ทันพูดน้ำตาก็ไหลออกมาก่อน พูดด้วยความเศร้าโศกอย่างที่สุด
“นายท่าน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า”
ฉินวั่งก้าวถอยหลังติดๆ กัน คล้ายไม่กล้าเชื่อน้ำตาของคนที่อยู่ตรงหน้าอีก
สิ่งต่างๆ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างต่อเนื่อง
‘ข้าคิดถึงพี่สาวแล้ว พี่เขยก็คิดถึงนางกระมัง’
‘พี่เขยวางใจ ฮูหยินใหญ่มีบุญคุณต่อข้าดุจขุนเขา ต่อไปข้าจะกตัญญูและเคารพนางให้ดี’
‘นายท่าน ฮูหยินใหญ่ไม่ยอมรับข้า ข้ายังคงจากไปดีกว่า’
‘นายท่าน นี่คือลูกของเรา หรงเอ๋อร์’
‘หรงเอ๋อร์ ต้องเชื่อฟัง ห้ามเจ้าชิงดีชิงเด่นกับพี่สาวเจ้า ห้ามทำให้ท่านพ่อลำบากใจ’
ฉินวั่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พึมพำขึ้น “ข้าว่าข้าก็ดีต่อเจ้าไม่น้อย เพราะเหตุใดเจ้า…”
เจียงหลันเยวี่ยร้องไห้พลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยทำเรื่องที่เป็นภัยต่อบ้านสกุลฉิน จดหมายเหล่านี้เดิมก็ตั้งใจว่าจะเอาให้นายท่านดู ข้าเพียงคิดจะช่วยช่วงชิงโอกาสให้หรงเอ๋อร์สักครั้ง หรงเอ๋อร์หนึ่งไม่ใช่ลูกภรรยาเอก สองไม่มีพี่ชายรักและเอ็นดู ข้ากลัวว่าต่อไปนางจะถูกคนข่มเหงรังแก ถึงได้ถูกภูตผีครอบงำจิตใจ”
พูดจบเจียงหลันเยวี่ยก็ลุกขึ้นพุ่งชนกับโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้จันทน์แดง แต่ละครั้งแรงขึ้นทุกที โลหิตหยดลงบนพื้น
ฉินวั่งมุ่นหัวคิ้วมองนาง “นี่เจ้าทำอะไร!”
เจียงหลันเยวี่ยแหงนหน้ามองฉินวั่ง “พี่เขย ถ้าพี่สาวเห็นข้าเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ จะต้องผิดหวังและเจ็บปวด…ข้า…ข้าไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไป!”
ละครฉากนี้ดูมาถึงตรงนี้ แม้แต่ฉินหลิงก็ไม่อาจไม่ยอมรับนับถือหญิงสกุลเจียงผู้นี้
เกิดเรื่องแล้วก็ยอมรับผิดก่อน จากนั้นก็เอ่ยถึงฉินหรง แสดงให้รู้เป็นนัยว่าความผิดทั้งหมดเกิดจากเรื่องภรรยาเอกกับอนุ
สุดท้ายก็เอ่ยถึงเจียงหมิงเยวี่ยภรรยาคนแรกที่ชีวิตนี้ฉินวั่งยากจะลืมเลือนได้
ภายใต้การร่ำไห้รำพึงรำพันประโยคแล้วประโยคเล่าของนาง แววตาที่เฉยเมยเฉียบขาดของฉินวั่งดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
เจียงหลันเยวี่ยคล้ายกลับไปเป็นหญิงไร้ที่พึ่งพิงคนนั้นอีกครั้ง
เห็นสภาพการณ์แล้ว ฉินสุยจือจึงตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น
ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก ประกายตาดุจชุบด้วยน้ำแข็ง เขาควบคุมน้ำเสียง พูดเน้นย้ำทีละคำ
“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ใช่อี๋เหนียงของบ้านสกุลฉินอีก ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดหรงเจี่ยเอ๋อร์จะไม่เอาชีวิตเจ้า แต่ไม่อาจให้เจ้าอยู่บ้านสกุลฉิน ข้ามีบ้านที่เชียนอันหลังหนึ่ง พรุ่งนี้จะให้คนส่งเจ้าไปที่นั่น”
เจียงหลันเยวี่ยลมหายใจสะดุดติดขัด
อำเภอเชียนอัน นั่นเป็นบ้านเกิดของเวินซวงหวา ถ้านางกลับไปเชียนอัน คนสกุลเวินจะไม่ถลกหนังนางหรือ
เจียงหลันเยวี่ยคุกเข่าลงตรงหน้าฉินวั่ง “ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย มีความผิดสมควรตายหมื่นครั้ง ไม่กล้าขอให้นายท่านให้อภัย เพียงขอให้คุณชายใหญ่คุณหนูใหญ่อย่าตำหนิหรงเอ๋อร์ นางไม่รู้เรื่องอะไรเลย นางอายุยังน้อย…”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ฉินหรงก็วิ่งเข้ามา “ท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำอะไร! รีบลุกขึ้นมา!”
ฉินสุยจือกล่าวกับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกาย “ยังไม่รีบพาคุณหนูรองออกไป รออะไรอยู่!”
ฉินหรงรีบคุกเข่าลง หมอบอยู่ข้างเท้าฉินวั่ง “ท่านพ่อ ท่านอย่าไล่ท่านแม่ไปได้หรือไม่ หรงเอ๋อร์ไม่อาจไม่มีแม่…”
ฉินวั่งที่อายุเกินสี่สิบมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า หัวใจคล้ายกำลังสั่นไหว
ฉินหรงเป็นเขาอุ้มชูเลี้ยงดูมา เจียงหลันเยวี่ยก็ปรนนิบัติเขามาสิบกว่าปีแล้ว
เขาออกจะ…ตัดใจไม่ลงจริงๆ
ในเวลานี้เองฉินหลิงก็ลุกขึ้นมา ปลายนิ้วลูบผ่านหางตา จมูกขาวเนียนแดงเล็กน้อย หลั่งน้ำตาเงียบๆ
นางก้มลงมองฉินหรง พูดอย่างเน้นย้ำทีละคำ “เจ้าไม่อาจไม่มีแม่ ดังนั้นข้าไม่มีแม่ได้เช่นนั้นหรือ”
ฉินหรงช้อนตาขึ้นมองฉินหลิง ร้องไห้โฮ “พี่หญิงใหญ่ ท่านแม่มีความผิด หรงเอ๋อร์ก็มีความผิด พี่หญิงใหญ่ ท่านตีข้าเถิด”
“ตีเจ้า?” ฉินหลิงหันไปกล่าวกับฉินวั่ง “ท่านพ่อ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านแม่ของข้าก็คงไม่ตาย ถ้าท่านแม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ พี่ชายก็คงไม่ต้องเอ่ยคำสาบานนั่น” น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลจากขอบตาของฉินหลิง “สองวันก่อนติดประกาศผลสอบเซียงซื่อ ทั้งสวนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุ้ย ท่านพ่อรู้หรือไม่ พี่ชายยืนดูอยู่ที่นั่นนานเพียงใด ข้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียบุตรสาวคนโตของสกุลฉิน แต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา ความรู้สติปัญญาตื้นเขิน เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ”
คำพูดเหล่านี้ แต่ก่อนเป็นฉินวั่งที่ชี้หน้าด่าฉินหลิง
“แต่พี่ชายของข้า ตั้งแต่เล็กก็เฉลียวฉลาดเหนือผู้อื่น ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก เรื่องนี้ข้าตีเจ้าแล้วมีประโยชน์หรือ”
พวกเขารู้จักทิ่มแทงหัวใจของฉินวั่ง แล้วนางทำไม่เป็นหรือ
ฉินสุยจือเป็นบุตรชายคนเดียว ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจเข้าสอบเคอจวี่แสวงหาความก้าวหน้า นี่เป็นความเจ็บปวดชั่วชีวิตของฉินวั่ง
ฉินหลิงมองแววตาของฉินวั่งที่ใกล้จะพังทลายแล้วกล่าวต่อ “ท่านพ่อยังจำคำพูดประโยคนั้นที่ท่านแม่พูดอยู่เสมอตอนป่วยได้หรือไม่”
ฉินวั่งรูม่านตาหดลง “อาหลิง…”
ฉินหลิงโจมตีเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ท่านแม่ถามท่าน เพราะเหตุใดท่านจึงไม่ยอมเชื่อนาง”
ฉินวั่งคล้ายได้เห็นเวินซวงหวาอีกครั้ง นางใบหน้าซีดขาว เส้นผมยุ่งเหยิง ปากเอาแต่พึมพำไม่หยุด
‘เพราะเหตุใดท่านพี่จึงไม่เชื่อข้า ข้าก็เป็นภรรยาท่านเช่นกัน เพราะเหตุใด’
ฉินหลิงกระจ่างแก่ใจ ด้วยนิสัยใจคอของฉินวั่ง คำพูดประโยคนี้เพียงพอให้เขารู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
เจียงหลันเยวี่ยหวาดกลัวอย่างถึงแก่นแท้แล้ว นางสั่นเทาไปทั้งร่างดุจตะแกรงร่อนรำ ร้องบอกฉินวั่ง
“นายท่าน…ไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ใช่เช่นนั้น!”
ฉินสุยจือส่งสายตา ปากของเจียงหลันเยวี่ยก็พลันถูกอุดไว้
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด ฉินวั่งหลับตาลง เอ่ยเสียงแหบแห้ง “ใครอยู่ข้างนอกเข้ามา พาคุณหนูรองกลับไปที่ห้อง ส่งเจียงซื่อออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้”
สายลมในฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างเย็น
ช่วงเวลาจุดโคมฉินสุยจือยกหีบไม้หวงฮวาหลีเข้ามาในเรือนของฉินหลิง
ฉินหลิงถามด้วยความประหลาดใจ “นี่คืออะไร”
ฉินสุยจือยื่นกุญแจให้นาง ยิ้มบอก “อาหลิง เปิดออกดู”
ฉินหลิงรับไป
หลังจากสอดลูกกุญแจเข้าไป หมุนสองครั้ง ฝาหีบก็เปิดออก
พอมองไป ฉินหลิงก็ตะลึงงันไปทั้งร่างแล้ว
ในหีบมีแผ่นใบไม้ทองคำ หยกขาวมันแพะและไข่มุกทะเลใต้ชั้นหนึ่ง
ยังมีปิ่นระย้าทองคำรูปดอกไม้ฝังมุกสีแดงที่นางต้องการอันนั้น
สิ่งของเหล่านี้ไม่พูดถึงว่ามูลค่าควรเมือง แต่เอาไปแลกกับร้านค้าสิบร้านในย่านที่ดีที่สุดของประตูตงจื๋อก็ยังเพียงพอ
ฉินสุยจือบอก “เจียงหลันเยวี่ยแม้จะน่าแค้นใจ แต่คำพูดบางคำของนางก็พูดได้ไม่ผิด วงศ์ตระกูลของเราไม่มีอำนาจบารมี ถ้าเจ้าเข้าวังหลวงไปจริง จุดที่ต้องให้เงินค่าน้ำร้อนน้ำชาซื้อความสะดวกมีมากมาย ข้าไม่มีอะไรจะให้เจ้าได้ ของเหล่านี้เดิมก็จะให้เจ้าเป็นสินเจ้าสาว ข้าสะสมมาหลายปีแล้ว”
ฉินหลิงฟังคำพูดนี้แล้ว ขอบตาก็แดงเรื่อขึ้นทันที
นางคล้ายได้ยินซูไหวอันพูดอยู่ข้างหูนางว่า ‘อาหลิงของเราจะแต่งงานแล้ว อยากได้อะไรเป็นสินเจ้าสาว เขียนรายละเอียดมาให้ข้า’
ฉินสุยจือยกมือขึ้นมาช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง หยักยกมุมปากบอก “แค่นี้ก็ซาบซึ้งใจแล้วหรือ ข้าพี่ชายของเจ้าเป็นถึงพ่อค้าใหญ่ของทางเหนือ อีกไม่นานการค้าของบ้านเราก็จะขยายไปถึงเมืองซูโจว แพรพรรณ แป้งทาหน้า เครื่องประดับ หอสุรา ยังมีอีกมากมายที่เจ้าไม่รู้ ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้ว อีกสองปีก็จะนั่งเรือออกทะเล ไปดูๆ โลกภายนอก…”
ฉินหลิงไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ฟังฉินสุยจือเล่าถึงโลกภายนอก
เล่าว่าเขาร้ายกาจเพียงใด ได้เงินมาอย่างง่ายดายเพียงใด
ฉินหลิงในใจรู้ดี ฉินสุยจือพูดเรื่องเหล่านี้ก็เพียงเพราะอยากจะให้นางลืมเรื่องคำสาบานนั้นเสีย
แต่นางไม่อาจลืมแววตาของฉินสุยจือตอนมองแผ่นประกาศที่สนามสอบ
ฉินสุยจือพูดติดต่อกันอยู่ครึ่งชั่วยาม พูดจนปากคอแห้ง เขาลุกขึ้นมารินน้ำถ้วยหนึ่ง เพิ่งจะดื่มได้คำเดียวก็ได้ยินฉินหลิงเอ่ยปากขึ้น
“พี่ชาย สอบเคอจวี่ไม่ได้ เช่นนั้นก็สอบอู่จวี่เถิด”
ฉินสุยจือร่างชะงักค้าง “เจ้าว่าอะไรนะ”
“อู่จวี่แม้จะเน้นหนักด้านทักษะความกล้าหาญ แต่ก็สอบเรื่องกุศโลบายการวางแผน บทความเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไขด้วย” ฉินหลิงมองแผ่นหลังเขาพลางบอก “ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเดิมทีเคยเป็นแม่ทัพ ชื่นชมผู้มีคุณธรรมความสามารถ มองคนออกและรู้จักใช้คน อู่จวี่แม้จะเปรียบกับเคอจวี่ไม่ได้ แต่สามารถเข้าเป็นขุนนางได้ก็เพียงพอแล้ว”
เพิ่งสิ้นเสียง ฉินสุยจือก็หมุนตัวมามองประสานสายตากับนาง
แสงเทียนสว่างไสว ฉินหลิงเห็นประกายไฟในดวงตาของชายหนุ่ม
บทที่ 8 เข้าวังหลวง
คืนก่อนเข้าวัง ฉินหลิงกับซื่อเยวี่ยนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่ศาลาหลันซวี่
ลานบ้านเงียบเหงาอ้างว้าง สายลมพัดผ่านค่อนข้างหนาวเย็น ฉินหลิงกระชับเสื้อคลุมบนตัวแล้วเอ่ยถาม
“หลังจากวันพรุ่งนี้ แม่นางซื่อจะไปที่ใดหรือ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ” ซื่อเยวี่ยวางถ้วยชาในมือแล้วยิ้ม “น่าจะไปเที่ยวเล่นที่เจียงหนานกระมัง”
ฉินหลิงก้มหน้าหยิบตั๋วแลกเงินหลายใบออกมาจากในแขนเสื้อ วางลงในมือนาง
หลังจากซื่อเยวี่ยมองเห็นชัดเจนก็รีบบอกปฏิเสธ “คุณหนูฉินให้ข้ามามากพอแล้ว เงินนี่ข้าละอายใจที่จะรับไว้ ไม่อาจรับไว้อีกแล้ว”
“สำหรับข้าแล้ว แม่นางซื่อเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งสหาย จะละอายใจที่จะรับไว้ได้อย่างไร พรุ่งนี้แยกจากกันแล้ว ชีวิตนี้เจ้าข้าก็ยากจะได้พบกันอีก ถ้าเจ้าเห็นข้าเป็นสหายรู้ใจก็รับไว้เถิด” ฉินหลิงยิ้มกว้างแล้วเอ่ยเสริม “เงินแม้จะดูเป็นของพื้นๆ ไปสักหน่อย แต่กลับใช้ประโยชน์จริงได้มากที่สุด ไม่ผิดกระมัง”
ซื่อเยวี่ยปลายจมูกแสบร้อน
นางปีนี้อายุยี่สิบ เคยถูกขายมาทั้งหมดสี่ครั้ง เงินที่ทุ่มมาที่ตัวนางมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ที่ตกถึงมือนางมีเพียงปิ่นปักผมที่หลอกให้คนดีใจไม่กี่อันเท่านั้น
นางมีบทละครงิ้วที่ร้องไม่หมด มีหนี้ที่ใช้ไม่หมด และมีแขกที่รับรองไม่หมด
ไม่เคยคิดเลยว่ายังสามารถเป็นสหายรู้ใจของฉินหลิง หญิงสาวสูงศักดิ์เช่นนี้ได้
ผ่านไปพักใหญ่ซื่อเยวี่ยจึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ “คุณหนูวางใจ เรื่องทุกอย่างในบ้านสกุลฉิน ชั่วชีวิตนี้ซื่อเยวี่ยจะไม่เอ่ยกับใคร ทางหอชิ่งเฟิง คุณหนูก็ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอบคุณมาก” ฉินหลิงก้มหน้า เอ่ยขึ้นเบาๆ
วันที่สิบหกเดือนเก้า รัชศกเหยียนซีปีที่สี่
ท้องฟ้าใกล้สว่าง เหล่าหญิงงามที่เข้าร่วมการคัดเลือกนั่งรถเทียมล่อทยอยมาถึงประตูเสินอู่
แม้ฉินหลิงจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าปีนี้หญิงงามที่เข้าร่วมการคัดเลือกมีจำนวนมาก แต่พอมายืนอยู่ที่นี่จริง เห็นหญิงงามแต่งตัวสวยสดงดงามยืนหัวดำไปหมด ยังคงอดหายใจสะดุดติดขัดไม่ได้
รูปร่างสตรีแต่ละนางอ้วนผอมแตกต่างกันไป ล้วนแล้วแต่มีข้อดีของตน ทำเอาทัศนียภาพงดงามโดยรอบจืดชืดไปถนัดตา
เหล่าหญิงงามเดินเป็นแถวยาวเหยียดเข้าประตูเสินอู่มาถึงอุทยานหลวง
เสียงหัวเราะดังไม่ขาดหู ผู้ควบคุมดูแลของสิบสองสำนักกำลังรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เพียงได้ยินโจวหยางขันทีหัวหน้าสำนักกิจการฝ่ายในโก่งคอพูด
“คนมาครบหรือยัง ประตูวังปิดแล้วหรือ”
ขันทีน้อยเยาว์วัยค้อมตัวบอก “เรียนกงกง คนมาครบแล้ว ประตูวังวันนี้ก็ลงดาลแต่หัววันแล้วขอรับ”
“อืม…” โจวกงกงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ที่ข้าสอนเจ้าเมื่อวาน ยังจำได้หรือไม่”
“จำได้แน่นอนขอรับ ประเดี๋ยวให้พิจารณาดูหญิงงาม ที่สูงไป เตี้ยไป อ้วนไป ผอมไป พูดจาไม่ชัดเจน ให้ประคองออกไปให้หมด”
โจวกงกงถามขึ้นอีก “ประคองออกไปเท่าไร”
ขันทีตอบ “สามพันคนขอรับ”
โจวกงกงยกปลายคางขึ้น พูดด้วยความพึงพอใจ “ไปเถิด”
ขันทีนับร้อยคนเดินไปที่อุทยานหลวง
หญิงงามทุกคนล้วนต้องถูกพวกเขามองประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ยามเที่ยง แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องอยู่บนท้องฟ้าสูง
ฉินหลิงมองผู้คนตรงหน้าที่เปลี่ยนเป็นบางตาลง
หญิงงามที่ประคองออกไปมีมากกว่าที่เหลืออยู่ บางคนที่ไม่อยากอยู่ในวัง สีหน้าดูเบิกบานใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีบางคนที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากส่งเสียงร้องไห้โฮออกมา
ชั่วขณะนั้นขันทีหนุ่มคนหนึ่งก็เดินมาถึงข้างกายฉินหลิง เดินวนรอบตัวนางไปรอบหนึ่ง
ฉินหลิงสวมกระโปรงผ้าต่วนสีปะการังยาวระพื้นที่ซื่อเยวี่ยตัดเย็บด้วยตัวเอง เกล้ามวยสูง บนมวยผมเสียบปิ่นทองรูปก้อนเมฆประดับทับทิมคู่หนึ่ง การแต่งตัวเช่นนี้ทั้งสามารถขับดุนช่วงวัยที่งดงามที่สุด ยังสามารถเผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวและลำคอขาวผ่องนวลเนียนดุจหิมะออกมาอย่างวับๆ แวมๆ
มองดูเหมือนเรียบง่าย กลับแฝงไว้ด้วยกลอุบายอย่างเต็มเปี่ยม
ขันทีน้อยก้มหน้ามองสมุดในมือแวบหนึ่ง “แม่นางคือ…”
ฉินหลิงพูดช้าๆ ทีละคำ “บุตรสาวฉินไท่สื่อ ฉินหลิง”
ขันทีน้อยเห็นนางหัวคิ้วนัยน์ตาดุจภาพวาด พูดจาสุภาพชัดถ้อยชัดคำ ส่วนสูงรูปร่างเหมาะสมดีเยี่ยม ไม่มีที่ให้ติ จึงก้มหน้าเขียนคำว่า ‘จย่า’* ลงไป
ผ่านจุดนี้ก็เท่ากับว่าผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว
หลังจากการคัดเลือกรอบแรก ถัดไปอีกสองวันจึงเป็นการคัดเลือกรอบสอง
การคัดเลือกรอบสองซับซ้อนกว่าการคัดเลือกรอบแรกมาก อธิบายอย่างง่ายก็คือการคัดเลือกรอบแรกตรวจสอบหู ตา ปาก จมูก เส้นผม ผิวพรรณ ลำคอ ไหล่ หลัง รวมทั้งความชัดเจนของเสียง ส่วนการคัดเลือกรอบสองต้องทดสอบเรื่องความหยาบหนาละเอียดของข้อมือ ความสั้นยาว ความโค้งของเท้า สีสัน และจุดเล็กน้อยอื่นๆ
ขอเพียงมีจุดใดที่ไม่งดงามก็จะถูกขันทีประคองออกไป
ภายใต้การคัดกรองอย่างละเอียดเข้มงวดเช่นนี้ คนกว่าห้าพันคนพริบตาเดียวก็จะเหลือเพียงเก้าร้อยคนแล้ว
วันที่สาม
ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้ง
เหล่าข้ารับใช้ในวังถือโคมชาววังทรงสี่เหลี่ยม เดินลงบันไดสูงใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง พาหญิงงามแต่ละนางเข้าไปในห้องลับ
ห้องลับแต่ละห้องมีนางกำนัลสูงวัยสองคนรออยู่ข้างในแล้ว
ฉินหลิงยืนอยู่นอกห้องลับ อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
ตำหนักในกับราชสำนักล้วนเป็นสถานที่ที่น้ำใสเกินไปปลามิอาจอยู่รอด ขอเพียงฮ่องเต้ยังไม่ได้พยักหน้าให้คนอยู่ บรรดาหญิงงามก็อาจถูกคนขัดแข้งขัดขากลั่นแกล้งได้ทุกเมื่อ
รูปโฉมปานกลาง หรืองามดุจเทพธิดา ล้วนขึ้นอยู่กับพริบตาที่นางกำนัลสูงวัยขยับพู่กันเขียนลงไป
ฉินหลิงพอเข้าไปในห้องลับก็ได้ยินนางกำนัลสูงวัยคนหนึ่งบอก “เชิญแม่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”
ฉินหลิงยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ช่วงจังหวะหมุนข้อมือก็ยัดหยกขาวมันแพะชั้นหนึ่งสองชิ้นเข้าไปในแขนเสื้อของพวกนาง
ในวังล้วนแต่เป็นพวกเปี่ยมไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ พอน้ำหนักตกลงไป ปรายตามองแวบเดียว ปลายนิ้วลูบผ่านเนื้อหยกก็พอคาดเดามูลค่าได้แล้ว
นางกำนัลสูงวัยทั้งสองยกมุมปากยิ้มทันที
จากนั้นก็ตรวจหน้าอก ดมกลิ่นรักแร้ เฟ้นคลึงดูริ้วรอย เหล่านี้จึงจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกหญิงงาม
นางกำนัลสูงวัยสองคนลูบคลำเนื้อตัวนางจากล่างขึ้นบน
ขณะที่ฉินหลิงหลับตาลงแล้วกัดฟัน อดทนไว้
ฝ่ามือสอดมาจากด้านหลังผ่านใต้รักแร้ ชั่งน้ำหนักด้วยมือ เห็นน้ำหนักนี้อยู่ในขั้นดีเยี่ยม นางกำนัลสูงวัยก็อดกล่าวไม่ได้
“รูปโฉมของแม่นางนับว่างามที่สุดที่ข้าพบเจอมาในวันนี้ โชควาสนาย่อมรออยู่ในภายหลัง”
นางกำนัลสูงวัยคนหนึ่งถือพู่กัน อีกคนหนึ่งเริ่มพูด “บุตรสาวสกุลฉิน ฉินหลิง อายุสิบหก รูปร่างสูงโปร่งอวบอิ่ม ผิวขาวดุจหยก คิ้วงามฟันขาว ปากแดงดุจลูกท้อ ไม่เป็นแผลไม่มีฝีหนอง ไม่มีจุดด่างดำและโรคอื่นๆ อยู่ในขั้นจย่า”
ฉินหลิงได้ตัวอักษร ‘จย่า’ อีกตัวหนึ่ง
ผ่านด่านรูปร่างหน้าตาแล้ว ยังมีคนทดสอบการคัดอักษรวิจารณ์บทกวีศิลปะฝีมือต่างๆ โดยเฉพาะ
หลังจากทดสอบด้านศิลปะ ห้าพันคนก็เปลี่ยนเป็นสามร้อยคน
คนที่สามารถอยู่ต่อได้ ถ้าไม่ใช่สตรีในวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์ต้าโจว ก็เป็นหญิงที่มีรูปโฉมงามเพริศพริ้งเหนือผู้คน
ทว่าที่ได้อักษร ‘จย่า’ สองตัวมีเพียงสิบคนเท่านั้น
ตามกฎระเบียบของต้าโจว สามร้อยคนที่ ‘ผ่านด่านเอาชนะคู่ต่อสู้’ มาได้ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักฉู่ซิ่วในคืนนั้น
สี่คนต่อหนึ่งห้องพัก
ตอนฉินหลิงเข้าไปในห้อง แม่นางอีกสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่ พอเห็นนางเข้ามา หญิงสาวในชุดสีครามหนึ่งในนั้นก็กะพริบตายิ้มพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าจำเจ้าได้ เจ้าได้อักษรจย่าสองตัวใช่หรือไม่”
พอได้ยินคำว่า ‘อักษรจย่าสองตัว’ อีกสองคนที่เหลือแววตาเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้นมาทันที ทั้งยังเป็นความลุ่มลึกประเภทที่สตรีด้วยกันจึงจะเข้าใจ
ฉินหลิงยิ้มบาง “แม่นางความจำดียิ่ง”
หญิงสาวในชุดสีครามใบหน้าขาวผ่อง ดวงตาโตประหนึ่งองุ่นดำสองลูก นางยิ้มบอก “ข้าคือหลัวอิงไฉ่ คุณหนูเก้าของจวนอิงกั๋วกง เจ้าเป็นบุตรสาวบ้านใดหรือ”
ฉินหลิงเอ่ยตอบ “บุตรสาวคนโตของบ้านสกุลฉิน ฉินหลิง”
“บ้านสกุลฉิน บ้านสกุลฉินไหนหรือ” หลัวอิงไฉ่กล่าว “พี่เฉียว ท่านรู้หรือไม่”
พี่เฉียวที่นางเรียกส่ายศีรษะ
ฉินหลิงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ในใจกลับกำลังคิด สกุลเฉียว?
บ้านสกุลซูกับคนสกุลเฉียวหลายคนในเมืองหลวงต่างไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ในอดีตงานเลี้ยงในวังนางก็ไม่ได้เชิญสตรีสกุลเฉียวมาพูดคุยเป็นพิเศษ จึงไม่มีความทรงจำอะไรแม้แต่น้อย
บ้านสกุลเฉียวประการแรกไม่มีความดีความชอบในการสู้รบ ประการที่สองไม่มีบรรดาศักดิ์ และไม่ใช่สี่ตระกูลใหญ่ นางประเมินดูแล้วแม่นางเฉียวผู้นี้ฐานะน่าจะต่ำกว่าบุตรสาวสกุลหลัว
ตอนนี้เองแม่นางอีกคนหนึ่งที่สวมกระโปรงหรูฉวินสีดอกเจี๋ยเกิ่งก็เอียงหน้ามาเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นบุตรสาวของฉินไท่สื่อหรือ”
ฉินหลิงตอบ “ใช่”
นางมองประเมินฉินหลิงอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าเป็นบุตรสาวสกุลมู่ มู่หวั่นฉี่”
บุตรสาวสกุลมู่ หญิงสูงศักดิ์จากหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางอันดับหนึ่ง
ฉินหลิงกล่าว “คารวะแม่นางมู่”
มู่หวั่นฉี่พยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร
หลัวอิงไฉ่พูดขึ้นอีก “ปกติท่านแม่ของข้าชอบจัดงานเลี้ยงที่สุด งานเลี้ยงชมบุปผา งานแข่งขันเตะลูกหนังอะไร ทุกเดือนล้วนมีรูปแบบใหม่อยู่เสมอ พี่ฉินรูปโฉมงดงามเพียงนี้ เมื่อก่อนเหตุใดข้าจึงไม่เคยพบ”
หญิงสกุลเฉียวพลันพูดแทรกขึ้น “หรือว่า…แม่นางฉินไม่ใช่คนเมืองหลวง?”
ฉินหลิงตอบเสียงนุ่ม “ใช่ ข้าเพิ่งมาเมืองหลวงเมื่อครึ่งปีก่อน”
หลัวอิงไฉ่เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” นางเอามือเท้าแก้มพลางถอนหายใจ “เฮ้อ ข้าไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลย พี่ฉิน ก่อนมาเมืองหลวงท่านอยู่ที่ใด ลั่วหยางหรือ หรือว่าจะเป็นซูโจว”
ฉินหลิงยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน พูดไปเรื่อยเปื่อย “บ้านบรรพบุรุษอยู่ที่เชียนอัน นอกจากเชียนอันแล้ว ข้าก็ไม่เคยไปที่อื่น”
นางอายุสิบเจ็ดอยู่ที่จวนจิ้นอ๋อง อายุสิบเก้าอยู่ที่ตำหนักคุนหนิง
เชียนอันนางก็ไม่เคยไป
แม่นางเฉียวปิดปากหัวเราะขึ้นมา “น้องหลัว เวลานี้เจ้ามาทอดถอนใจยังจะมีประโยชน์อะไร รอเข้าวังอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ว่าที่ใดเจ้าก็ไม่ได้ไปแล้ว”
“พี่เฉียวพูดอะไรกัน จงใจหัวเราะเยาะข้าใช่หรือไม่” หลัวอิงไฉ่ใบหน้าแดงปลั่ง นั่นเป็นความขวยเขินที่มีแต่อิสตรีเท่านั้นที่มี
แม่นางเฉียวกล่าวต่อ “ข้าไหนเลยจะหัวเราะเจ้าได้ น้องหลัวเป็นไข่มุกแสนล้ำค่าของจวนอิงกั๋วกง ทั้งรูปโฉมงดงามเพียงนี้ ฝ่าบาทต้องทรงโปรดปรานแน่”
“เหตุใดแม้แต่ฝ่าบาทท่านก็กล้าเอามาพูดล้อเล่น” หลัวอิงไฉ่รีบปิดปากของนาง
ฉินหลิงกำหมัดตามสัญชาตญาณ
แม่นางเฉียวกดเสียงลงต่ำบอก “พวกเจ้ารู้หรือไม่ ฝ่าบาทครองบัลลังก์มาสามปีกว่า เพราะเหตุใดเพิ่งมาคัดเลือกหญิงงามในปีนี้”
หลัวอิงไฉ่บอก “ข้าได้ยินมาว่าเพราะอดีตฮองเฮา…”
มู่หวั่นฉี่อดมุ่นหัวคิ้วไม่ได้ “ประเดี๋ยวหัวหน้ากองงานห้องบรรทมหลู่ จะมา พูดอะไรต้องระวังหน่อย”
แม่นางเฉียวพลันเผยสีหน้าไม่ค่อยชวนมอง
มู่หวั่นฉี่พูดตามตรง “หัวหน้ากองงานห้องบรรทมหลู่เป็นนางข้าหลวงลำดับหลักขั้นสี่ แอบวิจารณ์เรื่องในวัง ระวังนางจะลงโทษพวกเจ้า”
ฉินหลิงกำลังครุ่นคิดว่าอวิ้นเอ๋อร์จะอยู่ที่ตำหนักใด ก็ได้ยินคำว่า ‘หัวหน้ากองงานห้องบรรทมหลู่’ นี้เข้า
ในใจพลันเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่
ขันทีน้อยกับนางกำนัลที่เจอในช่วงสองวันนี้ล้วนแต่ใบหน้าแปลกใหม่ ไม่เคยอยู่รับใช้ยามนางอยู่ในวัง แต่แซ่หลู่นี้…
หัวใจของนางยังไม่ทันกลับเข้าที่ก็ได้ยินเสียงผลักประตูดัง ‘แอ๊ด’
หัวหน้ากองงานห้องบรรทมหลู่แววตาเคร่งขรึม สองมือกอดอก กำลังจะเอ่ยปากก็ประสานสายตาเข้ากับฉินหลิงเสียก่อน
ทุกอย่างพลันสงบนิ่ง
จากนั้นหัวหน้ากองงานห้องบรรทมหลู่ก็คุกเข่า ‘ตึง’ ลงไปกับพื้น พูดเสียงสั่น “ฮองเฮา!”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนตุลาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.